Group Blog
 
<<
เมษายน 2555
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
2 เมษายน 2555
 
All Blogs
 

สะโพกเริ่มหายเจ็บ ตาเริ่มหายมัว แต่ขาดันมาเจ็บ ปีชงของจริงสินะ

โอ๊ย
คิดถึงการอัพบล็อคจังเลย
ช่วงนี้ยุ่ง ๆ เลยไม่มีเวลาอัพบล็อคที่ทำงานเลย แฮ่
แต่ให้มาอัพที่บ้านก็ไม่ไหว
เพิ่งจะกายภาพก้นและสะโพกจนหายจาก piriformis syndrome
อยากรู้ว่ามันเป็นยังไง แล้วกายภาพท่าไหนบ้างจนหาย
กลับไปอ่านบล็อคเราก่อนหน้านี้นะ

ปวดสะโพก+ก้น ไปหามา 3 รพ.ทั้งกิน ทั้งฉีดก็ไม่หาย สุดท้ายเพิ่งมารู้ว่าตัวเองรักษาผิดวิธีมาตลอด

หลังจากเพียรพยายามมีวินัยในการกายภาพทุก ๆ วัน ๆ ละหลาย ๆ ท่า ๆ ละหลาย 10 ครั้งจนมันดีขึ้น
นั่งได้นานขึ้นโดยไม่ต้องปวดจี๊ดหรือต้องยืนทำงานแล้ว
เราก็สัญญากับตัวเองว่าจะไม่นั่งอัพบล็อคที่บ้านเป็นอันขาด
เพราะการอัพบล็อคแต่ละที ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมงต่อเนื่องตลอดเลย
จะให้ลุกกลางทางก็ทำไม่ได้
มันต้องพิมพ์ให้จบ หลังจากไฟมันลุกโชนแล้ว

แต่วันนี้ขอหน่อยเถอะ
จะพยายามไม่นั่งนานแล้วกัน
เพราะรู้เลยว่านั่งพิมพ์นาน ไอ้อาการปวดจี๊ดมันต้องกลับมาอีก
แล้วเท่ากับว่ากายภาพที่เราตั้งใจทำมาทุกวัน ๆ นึงไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงเป็นเวลาร่วมเดือนมันไม่มีความหมายอะไรเลย

หลังจากสะโพกดีขึ้น
ก็ถึงเวลาที่เราต้องไปเชงเม้ง
แล้วหลุมเชงเม้งของทั้งอากง อาม่าฝั่งป๊าและม้า
รถเข้าไม่ถึงตรงหน้าลานที่วางของไหว้เลย
ที่แรก
รถมันต้องจอดข้างหลังหลุม
เวลาขนของไหว้
ก็ต้องขนของเดินขึ้นเนินหลุมอันโครตจะสูงแล้วก็เดินลงเนินเพื่อไปวางของไหว้
แบกของไหว้ทั้งของคาว ของหวาน ผลไม้หนัก ๆ ขึ้น ลงเนินหลายรอบ
ที่ ๆ สอง
รถต้องจอดที่ถนนเมน
ซึ่งมันต้องข้ามหลุมชาวบ้านไปก่อนถึงจะถึงลานไหว้ของหลุมบ้านเรา
ก็ทำแบบเดิม
ขนของขึ้นเนิน ลงเนินอยู่หลายรอบ
บางคนอาจะคิดภาพไม่ออก
ขอเอาภาพในเน็ทมาลงแล้วกันนะ










คือเนินเนี่ย มันเกือบสูงท่วมหัวเลยนะ
แล้วคิดดูสิ
แบกพวกของไหว้ประมาณนี้
ต้องแบกขึ้น แบกลง ขนกี่รอบถึงจะหมด










กลับถึงบ้าน
ไม่ปวดนะ
แต่อีกวัน
แม่เจ้า
ลงบันไดไม่ได้เลย
เจ็บข้อพับตรงหัวเข่ามากกกกก
หันข้างก็ไม่ได้ ก็เจ็บเหมือนกัน
แล้วซวยมากตรงที่มันเหมือนเส้นจะพลิกหรือผิดท่าตรงข้อพับเนี่ย
เพราะไม่ว่าเราจะทำอะไร
มันก็ต้องไปกระทบตรงเส้นข้อพับตรงหัวเข้าหมดเลย
ไม่ว่าจะเดิน นั่ง หันซ้าย ขวา ขึ้น-ลง บันได
เราต้องใช้ข้อพับนี้ทั้งหมดซึ่งมันติดกับเส้นประสาทใหญ่ของร่างกายที่เรียกว่า sciatic nerve



คราวนี้เลยกลายเป็นคนแก่อยู่ 1 อาทิตย์เต็ม ๆ
แล้วต้องเพิ่มเวลาสำหรับกายภาพไปโดยปริยาย
จากเดิมที่บริหารยืดกล้ามเนื้อ piriformis อย่างเดียว
คราวนี้ต้องมาบริหารเส้น sciatic nerve นี้ด้วย
แถมยังต้องประคบน้ำแข็ง 20 นาที พัก 20 นาที แล้วก็ประคบใหม่อีก 20 นาที
จริง ๆ เค้าบอกว่าถ้าจะให้ดีนะ ทำแบบนี้ 4 รอบ 1 รอบก็ล่อไป 40 นาทีแล้ว
ใครจะไปมีเวลานั่งประคบเข้า ประคบออก 3 ชั่วโมงฟระ
ตูทำให้รอบ 2 รอบก็เสียเวลาจะแย่แล้ว

ประคบเสร็จก็นวดด้วยน้ำมันหม่องอีกก่อนนอน
ตอนนี้ห้องนอนเต็มไปด้วยกลิ่นน้ำมันหม่องก่อนนอน
เราก็ชินกับกลิ่นไปเลย เหมือนเป็นกลิ่นอโรม่า ไม่ได้กลิ่น นอนไม่หลับซะล่ะมั้ง
แล้วไม่อยากจะบอกว่ากลิ่นมันก็ติดผ้าปู ผ้านวมและหมอนข้างเราไปเรียบร้อย
แต่
จะเดือนร้อนทำไม
นอนคนเดียว 555






เป็น 1 อาทิตย์ที่ทรมานมาก
ทำอะไรก็ต้องทิ้งน้ำหนักลงขา 2 ข้างให้เท่ากันถึงจะเจ็บน้อยที่สุด
เวลาหันก็ต้องหันทั้งตัว
จะเอี้ยวหันไปข้างใดข้างหนึ่งไม่ได้
เพราะน้ำหนักมันจะไปทิ้งที่ขาข้างใดข้างหนึ่ง เจ็บอีก
เวลาขึ้นบันไดไม่เจ็บนะ
แต่ลงบันไดนี่ สุดยอดของความทรมาน
คือต้องลงเหมือนคนแก่จริง ๆ นะ
ลงทีละขั้น
แล้วแต่ละขั้นที่ลง
ต้องเอาน้ำหนักไปลงที่แขนที่จับราวบันได
ห้ามลงที่ขาข้างใดข้างหนึ่งเด็ดขาด
เพราะมันจะเจ็บปวดรวดร้าวมากมาย

แล้วคิดดูสิ
เราไป-กลับที่ทำงานโดยการใช้รถไฟฟ้า
ใต้ดินนี่ยังดีหน่อยนะเพราะใช้บันไดเลื่อนได้เกือบหมด
แต่บนดินเนี่ยสิ
BTS เนี่ย
เวลาขึ้นเนี่ยยังมีบันไดเลื่อนนะ
แต่เวลาลงเนี่ย นรกชัด ๆ
ไม่มีบันไดเลื่อนลงนะจ๊ะ
วันแรกก็กัดฟันเอามือจับราวลงทีละขั้นลงจากชานชลาเหมือนคนไต่เขาน่ะ




ใช้เวลานานมากกว่าจะชั้นที่แตะบัตรออก
แล้วตอนเช้า ๆ เนี่ย
คนเป็นล้าน เวลาเราลงก็เหมือนไปขวางทางชาวบ้านที่เค้าแห่ลงกันพรึ่บ ๆ
ไปทำงานก็สาย

วันต่อมา
เลยต้องไปขอลงลิฟต์จาก รปภ
เพราะลิฟต์เนี่ย นอกจากสถานีสยามเนี่ย




เค้าไม่ได้เปิดให้ใช้ได้เองนะ
เค้าล็อคเอาไว้
เวลาเดินไปบอก
ก็ต้องอธิบายอีก
เพราะเค้าก็มองว่าเราไม่ได้พิการนี่นา
ทำไมต้องมาใช้ลิฟต์




คือจริง ๆ เราไม่เคยใช้เลยนะถ้าเราขาดีเนี่ย
เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแต่ละสถานีเนี่ย ลิฟต์มันอยู่ตรงไหน
เรายังเคยเถียงกับเพื่อนเลยว่าลิฟต์มันมีทุกสถานีเหรอ ทำไมเราไม่เคยเห็น
คือจริง ๆ มันมีทุกสถานีนั่นแหละ
แต่เราไม่ได้สังเกตุเอง
เพราะไม่มีความจำเป็นต้องใช้
ไม่งั้นคนพิการจะใช้ยังไงล่ะเนอะ

เราเห็นตลอดที่สถานีสยามและสถานีเปิดใหม่จากอ่อนนุชไปเนี่ย
มันไม่ได้ล็อค
คนที่ใช้คือคนที่ขาปกติแต่ขี้เกียจเบียดคนลงบันไดเลื่อน



ตอนขาเจ็บก็อธิบายไปว่าขาเป็นอะไร
แล้วทำไมลงบันไดไม่ได้
ก็เสียเวลารอ รปภ มาปลดล็อคประตูลิฟต์แล้วก็ลงไปชั้น 2 แตะบัตรออกไปต่อรถไฟใต้ดินได้
เดินก็ต้องเดินช้า ๆ
เดินเร็วก็ไม่ได้ น้ำหนักมันลงขา 2 ข้างไม่เท่ากัน ก็เจ็บอีก
ใช้ชีวิตเหมือนคนแก่จริง ๆ อยู่อาทิตย์กว่า
ทั้งเดินช้า ๆ ลงบันไดช้า ๆ ทีละขั้น
นั่งช้า ๆ ค่อย ๆ หย่อนก้นนั่งหรือทิ้งน้ำหนักเวลาลุกขึ้นยืนก็ต้องทำช้า ๆ
คิดดูนะ
ขนาดมือถือดัง
แล้วถ้าเราไม่ได้อยู่ใกล้
เรายอมไม่รับเลยนะ
ไม่รีบวิ่งไปรับเพราะวิ่งแล้วเจ็บ
จะเดินช้า ๆ ไปรับ กว่าจะเดินถึงเค้าก็วางไปแล้วอยู่ดี







แต่เราเกิดปัญญากับการทำช้านะ
มันเหมือนเรากลับไปปฏิบัติธรรมเดินจงกรมเมื่อหลายปีก่อนเลย
คือเวลาเราทำอะไรช้า ๆ เนี่ย
สติมันจะสามารถจับความรู้สึกได้ละเอียด มันทันกับอากัปกิริยาของเรา
ไม่ว่าจะเดินช้า ๆ เราก็เอาสติไปจับการเดินของเราได้ว่ากำลังก้าวเท้าซ้ายหรือเท้าขวา
เวลาลงบันไดช้า ๆ ทีละขั้น
สติก็สามารถจับอยู่กับขาที่ก้าว น้ำหนักที่ถ่ายลงไปของขาและแขนที่ช่วยพยุงทั้งสอง
ทำให้เราไม่ฟุ้งซ่าน
อยู่กับปัจจุบันมากขึ้น
มีสติกับร่ายกายและจิตใจเราเอง

ตอนนี้ทำอะไรก็ไม่เจ็บแล้วทั้งยืน เดิน นั่งหรือลงบันได
แต่เวลานวดก่อนนอนก็ยังเจ็บเส้นตรงข้อพับอยู่
ก็กะจะนวดจนกว่าจะหายเจ็บ
แล้วตอนนี้ตื่นนอนมาลุกขึ้นยืนแล้วเจ็บส้นเท้า
ไป search ดูเค้าบอกว่าน่าจะมาจากรองช้ำอักเสบ



ตอนนี้ก็เลยต้องกายภาพเท้าตามรูป แต่เราทำอย่างเดียวเอง แหะ ๆ





แล้วก็แช่เท้าด้วยน้ำอุ่น
ก็ทำมาเป็นเดือนแล้วนะ
แต่ก็ยังไม่หาย
ตื่นมาก็พยายามยืดขาก่อนจะลุกขึ้นยืนนะ
แต่มันก็ยังเจ็บส้นอยู่ เราก็ต้องพยายามทำต่อไปจนกว่าจะหาย

เพิ่งจะเข้าใจความเสื่อมของร่างกายก็ปี 2 ปีมานี้เอง
ตอนนี้เราก็ใส่ใจกับร่างกายเรามากขึ้นเยอะเลย
กลับมาจากทำงานก็จะกายภาพเท้า เนื่องจากยืน เดินเยอะ ทำให้เจ็บรองช้ำ
ก็จะกลิ้งฝ่าเท้ากับที่กลิ้ง




แล้วก็ดู youtube ไปทวิสเอวไปเพราะเอวหนูหายไปไหนก็ไม่รู้ ตัวตันได้อีก
เสร็จแล้วก็แช่เท้าด้วยน้ำอุ่นจัด
แช่ไปก็นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ไป 15 นาที
เสร็จแล้วก็ไปอาบน้ำ ทาครีม นวดหน้าให้ครีมมันซึมเข้าผิวเยอะ ๆ





เพราะแก่แล้ว การผลัดเซลผิวมันก็ไม่ดีเหมือนเด็ก ๆ

แล้วก็เขียนไดอารี่
เสร็จแล้วก็มากายภาพสะโพกและก้นหรือ piriformis
เสร็จแล้วก็มานวดขับพับขาแล้วก็หลังเท้าโดยเฉพาะเส้นเอ็นใกล้ ๆ ตาตุ่มที่เราจะเจ็บ
แล้วก็ได้เวลาล้างมือ สวดมนต์นอน
ไม่อยากจะบอกว่าทำทุกอย่างให้เสร็จก่อน 3 ทุ่มนะ
เพราะนอนไม่เกิน 3 ทุ่ม
ถ้าทำทุกอย่างเสร็จก่อน 3 ทุ่มก็จะนอนอ่านหนังสือยกขาสูงให้เลือดมันไม่กองที่เท้า
เพราะมันกองมาตั้งแต่เราตื่นลุกจากที่นอนมาเป็น 15 ชั่วโมงแล้ว





เราเป็นคนต้องนอนเยอะ เพราะเป็นภูมิแพ้ด้วย
ถ้านอนไม่พอ ภูมิแพ้จะขึ้นจมูกและตา
อีกวันไม่เป็นอันทำงานเลยคราวนี้

ด้วยความที่นอนเร็ว
เลยไม่เคยได้ดูละครอะไรกับเค้ามาเป็น 10 ปีแล้ว
คุยอะไรกับใครก็ไม่รู้เรื่อง
แถมเสาร์ อาทิตย์ก็ดูแต่หนังอินดี้ญี่ปุ่น
คุยกับคนทั่วไปที่ดูหนังรักกุ๊กกิ๊กหรือหนังตลกก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน

นอนดึกผิวแย่นะจ๊ะ ฮอร์โมนก็จะผิดปกติด้วย

อ้าว ๆ
ขึ้นต้นด้วยเจ็บขา
แต่ทำไมมาลงเอยด้วยวิธีการดูแลตัวเองละเนี่ย





 

Create Date : 02 เมษายน 2555
0 comments
Last Update : 29 พฤษภาคม 2555 8:07:20 น.
Counter : 4963 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


หนูลีลี
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 94 คน [?]




ไม่อินกับการเขียนบล็อคมาตั้งแต่บล็อคสุดท้ายปี 2561 แล้วค่า
Friends' blogs
[Add หนูลีลี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.