Group Blog
 
<<
มกราคม 2557
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
18 มกราคม 2557
 
All Blogs
 

นอกร้านหนังสือ ... ตอน Dejavu 3

สวัสดีครับคุณผู้อ่านที่รักทุกท่าน ด้วยความยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งกับเรื่องเล่านอกร้านหนังสือ สัปดาห์นี้เจอกันที่งานนิทรรศการรัตนโกสินทร์ ณ ถนนพระอาทิตย์ กันอีกสัปดาห์หนึ่งครับ หลังจากที่สัปดาห์ก่อนเลิกงานตอน 4 ทุ่มครึ่ง ไฟดับพรึ่บพร้อมๆกับชายชุดดำ (หนุ่มๆสตาฟจัดงาน) เข้ามารื้อเสารื้อเต๊นท์กันอย่างรวดเร็ว เพื่อเปิดการจราจรตามปกติก่อนเที่ยงคืน เช็คยอดแล้วลูกค้าซื้อไปประมาณ 30 กว่าเล่ม ในราคาโปรโมชันพิเศษกับวันแรกที่มาวางแผงสนุกๆ ... ก็ถือว่าโอเคครับสำหรับการขายเอามันส์ ไม่ได้ขายเอาเงินเป็นเป้าหมายหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สึกดีๆ ที่ได้พบปะพูดคุยกับนักอ่านด้วยกัน แถมได้เรื่องราวนอกร้านหนังสือมาเล่าสู่กันฟังในบล็อกอีก สงสารแต่แม่ค้าขายผ้าเช็ดหน้าที่จัดร้านวางขายอยู่ตรงกันข้าม ที่นั่งเหงารอลูกค้ามองอยู่ตาปริบๆ กับจิตรกรข้างๆที่มีลูกค้าเข้ามาเป็นแบบวาดภาพอยู่ 2-3 คน

เย็นวันถัดมา ผมไปเร่ร่อนหาที่ได้ตรงเต๊นท์มุมสุดแถวกลาง เยื้องกับร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อนายโส่ย ไม่ไกลเท่าไหร่ ร้านนี้ดังข้ามประเทศนะครับ ลูกค้าต่างชาติมากินกันเป็นล่ำเป็นสัน เห็นป้ายแนะนำเป็นภาษาเกาหลีด้วย เดินผ่านเมื่อไหร่ก็เห็นลูกค้าตลอด ผมเองบางทียังแวะไปนั่งกินเกาเหลาทุกอย่าง-ผักบุ้งล้วนกับข้าวสวย 2 ถ้วย อิ่มสบายๆกำลังดี แต่วันนี้ไม่ได้แวะครับ เพราะเฝ้าแผงหนังสืออยู่คนเดียว

ขอบคุณภาพชัดๆจาก www.maechoice.com ร้านนี้ติดอันดับหลายเว็บครับ ทั้งไทย-เทศ ถ้ามีโอกาสก็ไม่ควรพลาด

เข้าใจว่าล็อกนี้เป็นพื้นที่จัดไว้สำหรับออกร้านอาหาร-ของกิน เพราะข้างๆผมด้านขวา เป็นรถเข็นอาหารตามสั่ง ข้างหลังก็ชนกับพี่เหมียวเจ้าของร้านขายสายไหม-ข้าวโพดคั่ว ใส่แก้วทรงสูง 20 บาท ส่วนด้านซ้ายของผมชนกับหลังป้ายตลาดที่ 3 พอดี ซึ่งด้านหน้าป้ายจะเป็นเวทีชั่วคราวสำหรับหนุ่มตัวตลกประจำงานที่มาเป่าลูกโป่งแจกเด็กๆเป็นรอบๆไปจนกว่างานจะปิด 4 ทุ่มครึ่ง

วันนี้ผมลองขายดูโดยไม่มีโปรโมชันพิเศษ ราคาตามป้ายที่ติดไว้แต่ละเล่ม โดยเปลี่ยนหนังสือเป็นอีกลังหนึ่งทดแทนกันประมาณ 80 เปอร์เซนต์ของหนังสือที่เอามา โดยรอบนี้เท่าที่ผมสังเกตุดูจะเป็นหนังสือแปลซะเยอะ ซึ่งก็พอไปได้เหมือนกันเพราะลูกค้าก็เลือกๆดูอยู่พอสมควร ไม่ว่าจะเป็น "เชน" คาวบอยขี่ม้ารุ่นคุณปู่ในปกแข็งเก่าคลาสสิค ที่คุณแม่ไซส์ XL คนหนึ่งซื้อไป ป้ายเดิมที่ผมแปะไว้บอกราคาอยู่ที่ "ข้าวมันไก่ไม่เต็มจาน" ซึ่งคุณแม่ก็ยังขอต่อราคามาว่า "ลดหน่อยได้ไหม"

ทำเอาผมยิ้มกว้าง ปฏิเสธไปอย่างนิ่มนวลว่า "อย่าเลยครับ ราคาถูกแล้วนี่" แต่ในใจบอกว่า "ซื้อเอาสนุกน่า ราคาหนังสือยังไม่ได้แม็กนัมอันนึงเลย"

คุณแม่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้าจ่ายเงิน ยังดีที่ตัดสินใจซื้อก็เลยได้หนังสือไป ไม่เหมือนกับสาวแว่น-นักอ่านนวนิยายสืบสวนอีกคนหนึ่งที่มากับชายหนุ่ม รอบแรกทั้งคู่มาด้วยกันและซื้อหนังสือซีรี่ส์ปัวโรต์ของ "อกาธา คริสตี้" ไป 2 เล่ม โดยทิ้งไว้อีก 2 เล่มที่ไม่มั่นใจว่าอ่านหรือยัง

"อ่านอยู่ หรือ สะสมครับ" ผมถามไปขณะที่เธอลังเลดูอยู่อีก 2 เล่ม คุ้นๆว่าจะเป็น สาวชาวแฟลต กับ 4 ฆาตกร อะไรนี่แหละ

"อ่านอยู่ด้วยค่ะ มีตอนอื่นอีกไหมคะ" เธอถามพร้อมกับจ่ายเงิน

"วันนี้มีแค่ 4 เล่มครับ แต่ผมจำได้ว่ายังมีอีกไม่ต่ำกว่า 5 สงสัยต้องรอรอบหน้า" ผมตอบพร้อมกับกล่าวขอบคุณลูกค้าสาว เหลียวหลังไปไม่นานก็มีน้องนักเรียนหญิงคนหนึ่งมาซื้อ 1 ใน 2 ของเล่มที่เหลือนั้นไป ก่อนที่อีกสักครึ่งชั่วโมงถัดมา สาวแว่นกลับมาอีกครั้งเพื่อจะเก็บสแปร์อีก 2 เล่มให้หมด แต่ปรากฏว่าได้แค่เล่มเดียว เพราะโดนนักเรียนหญิงฉกไปก่อน เป็นอันว่าหนังสือของ "อกาธา" ขายดีสำหรับวันนี้

หนุ่มอีกคนโกยไป 6 เล่ม โดยรวมเอา สเต็ปเปนวูลฟ์ กับ ท่องตะวันออก ของเฮสเสไปด้วย ไล่ๆกับที่หนุ่มชลบุรีอีกคนคว้าเอา "ฤดูกาล" ของเสกสรรค์ / ชีวประวัติของอีดี อามิน และอื่นรวม 4-5 เล่ม ก่อนที่จะมีลุงอีกคนที่เข้ามาดูๆหนังสือแปลของสุวิทย์ ขาวปลอด / หนังสือแปลจารกรรมหัวรบนิวเคลียร์ของสายลับมอสสาดจากอิสราเอล ถ้าจำไม่ผิดผมว่าแปลโดย โรจนา นาเจริญ

หนังสือรวมคอลัมน์ของคนไทยก็ขายได้บ้างเหมือนกันครับ "ไม่มีโทรศัพท์ และเครื่องปรับอากาศ" ของวรพจน์ ที่มีลูกค้าหลายคนสลับหน้ากันมาจับๆวางๆ อยู่ไม่ต่ำกว่า 4-5 คน ก่อนจะโดนสาวใต้ใจถึงซื้อไปในอัตราครึ่งราคา ก่อนที่ "ลม ฟ้า อาหาร" ของโอเพ่นจะตามไปติดๆจากลูกค้าสาวสวยอีกคนหนึ่ง

ลูกค้าหนุ่มใส่แว่น หน้าเกาหลีอีกคนหนึ่งเปรยอย่างน่าสงสารหลังจากซื้อหนังสือใส่ถุงไป 2 เล่มว่า "หนังสือเก่านี่กลิ่นกระดาษมันหอมดีนะครับ แต่หายาก บางทีผมต้องไปนั่งอ่านเอาตามห้องสมุด ... ปกติขายอยู่ที่ไหนครับ"

"ผมมีร้านเล็กๆขายโลนลีแพลนเน็ตกับไกด์บุ๊คอยู่ตรงสุดถนนข้าวสารครับ ตรงข้ามกับโรงพักชนะสงครามพอดี" ผมยิ้มตอบไป

"แล้วผมไปซื้อที่ร้านวันหลังได้ไหมครับ" ลูกค้าถามต่อ

"ก็ได้ครับ เพียงแต่ผมไม่ได้โชว์ หนังสือเก่าภาษาไทยพวกนี้ผมเก็บลงลังไว้ เมื่อก่อนเคยขายเล่นดึกๆในถนนข้าวสารอยู่พักนึง แล้ว 4-5 ปีก่อนก็เคยโชว์หน้าร้านอยู่ แต่เดือนกว่าแทบจะไม่มีลูกค้าคนไทยมาซื้อเลย ผมเลยเก็บแล้วเปลี่ยนเป็นหนังสือท่องเที่ยวภาษาอังกฤษแทน ... วันไหนว่างๆแวะไปที่ร้านดูก็ได้ครับ แต่ต้องเลือกๆเอาจากในลังแหละ" ผมตอบพร้อมกับนึกถึงลูกค้าสาวคนเดียวที่เคยแวะเวียนมาคุ้ยหนังสืออยู่ 3-4 ครั้ง หลังๆนี่เธอหายไปแล้ว

... การขายวันนี้ก็ถือว่าโอเค ในระดับหนึ่ง เมื่อยดีที่ต้องยืนตลอดกว่า 4 ชั่วโมง เพราะไม่มีที่นั่ง ทำให้ผมต้องฆ่าเวลาโดยการยืนอ่านหนังสือ "ข้าวนอกนา" ของอดีตนายกคึกฤทธิ์ ที่เขียนคอลัมน์ไว้หลายสิบปีแล้ว ตอนนั้นเข้าใจว่าพี่ชายของท่าน นายกเสนีย์ ปราโมทย์ เจอพายุเข้าอย่างหนักจากกรณีพระถนอม บวชเณรกลับเข้ามาในประเทศไทย ทำเอาป่วนไปหมดทั้งคณะรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรี จากความคิดเห็นที่แตกต่าง รวมไปถึงวัดบวรด้วยที่พระถนอมเข้ามาอยู่ พอดีหนังสือเล่มนั้นมันเป็นพ็อคเก็ตเล็กๆหนาไม่เท่าไหร่นัก ก็เลยอ่านจนจบเล่มประมาณ 3 ทุ่ม ลูกค้าเดินผ่านไปๆมาๆ บางคนอาจแปลกใจที่เห็นตาแว่นยืนก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือนิ่งๆเป็นหุ่นให้ดู แต่มองอีกมุมหนึ่ง ผมว่ามันเข้ากันดีกับการขายหนังสือนะครับ ในการ "ขายหนังสือ-พริตตี้ก็ต้องยืนอ่านหนังสือให้ดู" ... เพียงแต่พริตตี้เป็นตาแว่นคนเดียวเท่านั้นเอง ... ไม่เหมือน "ขายรถ-แต่เอาพริตตี้มาโชว์สวยให้ดู" จนคนดูมาดู มาถ่ายรูปแต่พริตตี้ ไม่ได้ซื้อรถสักหน่อย

พูดถึงอดีตนายกคึกฤทธิ์แล้ว ทำให้นึกถึงหนังสือที่อ่านมาหลายเล่ม ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง "ยิว" ที่เล่าถึงประวัติศาสตร์ของคนพิเศษชาตินี้อย่างได้อรรถรส / "ไผ่แดง" การปะทะกันทางความคิดอย่างลงตัวระหว่างสมภารกร่างกับไอ้แกว่น ในฉากชนบทบ้านเรายุคที่ความคิดหัวก้าวหน้าทางการเมืองแผ่กระจายอย่างรุนแรง หรือ "หลายชีวิต" โศกนาฏกรรมของผู้โดยสารเรือจากต่างที่มา ต่างสถานะ ที่ต้องมาร่วมชะตากรรม จบชีวิตบนเรือลำเดียวกัน นึกแล้วอยากกลับไปอ่านซ้ำอีกสักรอบ คิดถึง "ลอย" เด็กกำพร้าลอยตามน้ำมา ที่โตขึ้นมาเป็นโจรบนฐานความคิดว่าชีวิตนี้มีแต่กำไร หรือ "หมอแสง" หมอเทวดาที่พ่ายแพ้แก่โรคเรื้อน จนดูเหมือนพระเจ้าจะบันดาลทางออกที่ดีที่สุดมาให้

"The Magazine" / Bangkok Post / Issue 161 / 08 April 2010 ... "Many lives"

(Prince Lek) Paothong Thongchua / (Phanni) Sinjai Plengpanich / (Nori) Attaporn Theemakorn / (Chan) Phuwarit Phumphuang / (Loi) Chatchai Plengpanich / (Lamom) Lalita Sasiprapa / (San) Chartchai Ngamsan / (Thongproi) Metinee Kingpayome / (Phon) Santisuk Phromsiri

(เสียดาย "ไผ่แดง" พิมพ์เก่า ปกสีแดงลายต้นไผ่อย่างสวย หายไปตอนที่ไปเช่าล็อกขายของอยู่ในห้างแห่งหนึ่ง สมัยสิบกว่าปีก่อนโดยไม่ได้บอกลากัน ได้แต่ขอให้คนที่หยิบไปคืนนั้นเป็นหัวขโมยนักอ่านที่ดี อ่านแล้วส่งต่อก็จะถือว่าเยี่ยม และขออโหสิ)

... หลังอ่านจบ ผมคุยกับพี่เหมียว แม่ค้าสายไหมใกล้ๆกันพักใหญ่ก่อนเก็บร้าน เธอเล่าว่าไม่ได้มีร้านประจำที่ไหน เพราะอยู่กับทีมงานออกร้านอย่างนี้เงินดีกว่า ลูกชายลูกสาวก็โตแล้ว เป็นนักดนตรี กำลังบ่มวิชา ถ้าเล่นกีตาร์เก่งพอจะให้ไปอยู่กับร้านของป้าที่เมืองนอก (ชื่อ "ระเบียง" หรือ "ระแนง" ก็จำไม่ได้) ... พี่แกหัดทำขนมสายไหมจากลูกๆนี่เอง จนตอนนี้ออกร้านทำเองคล่องแล้ว บางทีไปเปิดบูทออกงานในห้าง ก็เติมความคิดสร้างสรรค์ เป็นน้ำตาลหลายสี หลายกลิ่น มีทั้งสายไหมที่พันไม้ถือ และพันเป็นก้อนฟูๆใส่ถ้วยพลาสติกใสทรงสูง สีเดียวบ้าง หลายสี ดูสวยดี หรือแม้กระทั่งสายไหมที่เติมฝีมือศิลปะ ประดิษฐ์เป็นสี เป็นรูปทรงต่างๆใส่ถุงขาย ราคาหลักร้อยก็มีลูกค้าซื้อเป็นของฝาก ... นอกจากนี้ลูกชายยังลงทุนซื้อเครื่องทำข้าวโพดคั่วมาขายเพิ่มช่วยแม่ด้วย ส่วนสามีของพี่เขาก็รับงาน นัดคิวออกร้านให้ทั้งคุณแม่ คุณลูก ออกร้านขนมจีนก็ได้ บางงานเหมาขายลูกชิ้นเสียบไม้ 4 ลูก 5 บาทมา 70-80 กิโล แม้กระทั่งงานแสดงดนตรีที่คุณลูกเล่น คุณแม่ก็ร้องเพลงได้ แต่ว่าอาจต้องมีชุดแต่งตัวให้เข้ากับคอนเซปท์งานสักหน่อย ... พี่แกคุยสนุกดี

ระหว่างคุยกัน ก็มีเสียงวณิพกเด็กดีดกีตาร์ของเล่น ตะโกนร้องเพลงแทรกขึ้นมา พี่เหมียวชี้ให้ดูเด็กพิเศษที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามผู้เป็นต้นเสียง เด็กน้อยถูกแม่เดินมาดุ ทำหน้าเสีย พี่แกให้ขนมสายไหมไปกินปรากฏว่า แม่มาว่าเด็กและดึงขนมออกจากมือเอาไปทิ้ง ฝรั่งพ่อ-แม่ลูก 4 คนครอบครัวหนึ่งให้เงินเด็กน้อยและก็ซื้อสายไหมให้เด็กไป ก็ถูกแม่มาเอาขนมไปอีกไม่ให้กิน จนฝรั่งคนแม่ยืนดูอยู่ทนไม่ไหวต้องไปต่อว่าแม่เด็ก ทั้งๆที่คุยกันไม่รู้เรื่อง ได้แต่กลับมายืนส่ายหน้าสบตาอยู่กับพี่เหมียวอย่างอารมณ์บูด ส่วนเด็กน้อยก็นั่งเงียบก้มหน้ากุมหัว

พี่เหมียวเล่าต่อ "เมื่อวานได้เงินเยอะกว่านี้ เห็นแม่เขามารวบเงินใส่เป็นถุงไปเลยนะ คนแถวนี้บอกว่าเด็กได้เรียนหนังสืออยู่ ดูตัวเล็กๆแกรนๆ แถมออกมาเป็น "พิเศษ" แบบนี้ ... ไม่รู้ตอนท้องเขากินอะไรบ้าง ดูอายุก็มากแล้ว คงกินแต่เหล้าเหมือนในหนัง ... ลูกเราตอนท้องนี่ยังต้องกินบำรุงให้ดีๆเลย ตอนอายุเท่านี้ลูกเรายังดูแลดี แต่นี่ต้องมานั่งขอเงิน น่าสงสาร ... ดูท่าทางวันนี้อาจจะได้เงินน้อยกว่าเมื่อวาน แม่เขาเลยดูหงุดหงิด แถมท่าทางจะเมาด้วย เขาคอยยืนดูอยู่ไม่ห่าง บางทีก็เดินเอาเท้ามาเหน็บเข้าให้ที่เจ้าตัวเล็กนั่น ... นั่นๆ ... มาเตะอีกแล้ว ... ถ่ายรูปไม่ทัน ... แหม มัน "ลำยอง" จริงๆเลย ... "

... 5 ทุ่มแล้ว ผมเดินลากกระเป๋ากลับถึงบ้าน ความคิดคำนึงล่องลอยเคว้งคว้างอยู่ในอากาศ ... แม้ว่าเด็กคนนั้นจะบวชไม่ได้อย่างในบทประพันธ์ของ "โบตั๋น" ... ก็ได้แต่หวังว่าเรื่องราวชีวิตของเด็กน้อยจะจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง แม้สักเสี้ยวส่วนของ "ทองเนื้อเก้า" ก็ยังดี

เจตตจัน
02-2820358
087-0719858
085-8035412

jettajan227@yahoo.com

เก็บตก ภาพบรรยากาศแผงหนังสือสมัครเล่น ในสัปดาห์หน้า

แผงหนังสือหน้าร้านข้าวมันไก่กับพ่อค้าสมัครเล่นรุ่นเล็ก

เริ่มมีลูกค้าเข้ามาดูหนังสือกันบ้าง ตอนหัวค่ำ หลังจากวางแผงไปพักใหญ่

เวลาดีประมาณ 2 ทุ่มกว่า ลูกค้ามาแวะเยี่ยมเยียนไม่ขาดสาย

หญิงสาวกับหนังสือในชุด "กลิ่นรัก" ของ "อีแร้ง"

ลูกค้าสาวช่างภาพกับ "เร่ร่อนหาปลา" ของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล

ฝรั่งมืดคนนี้ได้ "มายา-Illusion" ของเอ๊กซูเปรีไปวันก่อน ตามมาเก็บตกอีกรอบ

แก๊งนักศึกษาที่มาทำกิจกรรมบ้าง มาเที่ยวบ้าง

ฝรั่งคู่นี้เอ็นจอยอีทติ้งครับ กับ "ไข่ปลาหมึกทอด" ร้านตรงกันข้าม ... เจอน้ำจิ้มซีฟู้ดเข้า เล่นเอาเหงื่อตกไปเหมือนกัน




 

Create Date : 18 มกราคม 2557
0 comments
Last Update : 18 มกราคม 2557 1:05:18 น.
Counter : 1697 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


jettajan
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add jettajan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.