ที่หน้าร้านตอนต้นสัปดาห์ ค่ำวันนั้น ผมยืนมองดูที่ถนนฝั่งตรงข้ามอย่างแปลกๆ ... รถยูโอบีหายหน้าไปหลายวัน ทำให้ทิวทัศน์หน้าร้านดูโล่งกว้างมากขึ้น ไล่ๆกันกับที่รถบรรทุกหกล้อที่มาขนตู้แช่หลายตู้ไปจากกัลลิเวอร์ผับฝั่งตรงข้าม คงเป็นแค่รีโนเวทใหม่ ไม่ใช่กลับบ้านเก่า ... ผมกลับเข้ามานั่งห่อหนังสือไกด์บุ๊คที่ห่อค้างไว้อย่างอารมณ์ดี ... ไม่ใช่อะไรหรอกครับ สต็อกที่เกือบจะเด๊ด ของผมถูกปล่อยออกไปในวันเดียวกัน 2 เล่ม มันคือโลนลีแพลนเน็ตกัมพูชา 2010 เวอร์ชันภาษาอิตาลี กับ ไกด์บุ๊ค "anwb" ไทยแลนด์ 2009 ซึ่งเข้ามาสิงสถิตย์อยู่ในร้านผมเป็นปลาร้าค้างปีจนผมแทบจะเก็บลงลัง เพราะลูกค้าอิตาลีส่วนใหญ่จะต่อมาตรฐานครึ่งราคา ส่วนลูกค้าฮอลแลนด์นั้นมักจะใช้ภาษาอังกฤษได้ดีจนไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องมองหาหนังสือดัชท์นอกบ้านตัวเอง ... ทำให้ 2 เล่มนี้กลายเป็นเด็กหลังห้อง ที่คอยแต่จะนั่งคุยเรื่อยเปื่อย ไม่ก็แอบเล่มเกมส์ ดูหนังสือโป๊ โดยไม่ค่อยมีครูคนไหนสนใจ จนกระทั่งวันนั้น .......
แกงค์สก๊อยดัชท์ 4-5 คนสะพายเป้หลังแอ่นเข้ามาพลิกดูโลนลีแพลนเน็ตไทยแลนด์เวอร์ชันเก่ามือสองอยู่ในมือ ขณะที่ตาคม กลมโต มองมาที่ผม คิ้วโก่ง ยกขึ้นพร้อมคำถาม "คุณมีไกด์บุ๊คภาษาดัชท์ไหม"
"ไทยแลนด์หรือเปล่า" ผมถามเบาๆพร้อมกับคุ้ยเด็กหลังห้องเล่มนั้นยื่นไปให้ หลังจากแอบเช็ดฝุ่นกับหลังเสื้อไปสองที ... แหม ถึงห่อพลาสติกไว้ก็ยังมีฝุ่นจับบ้างแหละ ... "ไม่ใช่โลนลีแพลนเน็ตนะ" ผมกล่าวเสริม ... ถึงโอกาสจะมีน้อยพอๆกับความหวังว่าสนามฟุตซอลจะสร้างเสร็จทันพิธีเปิดการแข่งขัน แต่มันก็ต้องลองกันสักตั้งนึง หม่อมคิดในใจ ... เอ้ย ... ผมคิดในใจ
ดัชท์ไกด์ 2009 "Thailand - ANWB wereldreisgids" ... เด็กหลังห้องของผมที่ถูกคว้าออกไปโดยแกงค์สก๊อยสาวชาวดัชท์
"วาว ... ปีไหนนี่" สก๊อยสาวจากเมืองกังหันอุทาน พร้อมกับวางโลนลีแพลนเน็ตลงทันทีพร้อมกับรับเด็กหลังห้องของผมไปพลิกดู
"เก่าไปนิด ... ปี 2009" ผมตอบพร้อมกับใจเริ่มเต้นแรง
หญิงสาวพลิกดูราคาด้านหลังแล้วหันไปคุยกับเพื่อน 2-3 คำแล้วหันกลับมาหาผม "OK, I take this."
"ส่วนใหญ่ ชาวดัชท์สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ดีธรรมชาติอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมคุณถึงถามหาไกด์ภาษาดัชท์อีกล่ะ" ผมถามไป
"ใช่ คุณพูดถูก เราใช้ภาษาอังกฤษได้ดี แต่บางทีถ้าเป็นภาษาบ้านเกิดของคุณเอง มันก็สะดวกกว่าอยู่ดี แถมเล่มนี้พิมพ์สีทั้งเล่ม และรูปสวยๆเยอะ เราจะได้เลือกที่เที่ยวได้ถูกใจที่สุด" สาวน้อยยิ้มใสตอบมา
ผมรีบหยิบหนังสือใส่ถุง รีบรับเงิน รีบทอนเงิน พร้อมอวยพรให้เดินทางโดยสวัสดิภาพอย่างรวดเร็วก่อนที่สก๊อยสาวจะเปลี่ยนใจ หลังจากนั้นพักใหญ่ๆ คู่สามี-ภรรยาชาวอิตาเลียนอีกคู่หนึ่งที่เข้ามาถามหาโลนลีแพลนเน็ตกัมพูชา ในสภาพการณ์คล้ายๆกัน คนสามีเลือกได้โลนลีแพลนเน็ตกัมพูชามือสองเวอร์ชันปี 2010 มาถือไว้ในมือ แล้วถามมา "คุณมีอิตาเลียนไกด์ไหม"
ผมคุ้ยเด็กหลังห้องอีกเล่มหนึ่ง แอบเช็ดกับกางเกงอีก 2 ครั้ง ก่อนยื่นให้ มันคือ "โลนลีแพลนเน็ตกัมพูชา 2010 เวอร์ชันภาษาอิตาเลียน"
สามีรับไปพลิกดูเทียบกันกับเวอร์ชันภาษาอังกฤษที่อยู่ในมือก่อนหันไปปรึกษาภรรยาอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันมาบอกผม "OK, I take this." ... พวกเขาเลือกเอาฉบับภาษาบ้านเกิด
ผมรีบหยิบหนังสือใส่ถุง รีบรับ-รีบทอน และอวยพรลูกค้าก่อนออกจากร้านไป ผิวปากเป็นทำนองเพลง "ความรักดีๆอยู่ที่ไหน" ของ พีท พีระ ด้วยอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
" ... ความรักอยู่แห่งหนใดใครเก็บเอาไว้
หลบอยู่ไหนเหตุใดไม่ปรากฏตัว
หรือความรักแท้จริงไม่มีอยู่เลย
รักใครก็ต้องลงเอยช้ำเจ็บร้าวปวดทุกที
หาความรักเท่าไรไม่เจอสักทีหัวใจโทรมๆ ที่มี
ใครสักคนช่วยทีความรักดีๆ อยู่ที่ไหน ... "
เพลงนี้เพราะดี มิวสิกวิดีโอไปถ่ายไกลถึงฮ่องกง .... Victoria bay ยามค่ำ แสงไฟสวยเหมือนเดิม
**************************************
เช้าวันนี้ ผมเปิดร้านต้อนรับลูกค้าคู่แรกด้วยอาการงงๆ หนุ่ม-สาวชาวเบลเยี่ยมคู่นี้เข้ามาถามหาร้านหนังสือภาษาอังกฤษร้านใหญ่ๆในห้างสรรพสินค้า เพื่อจะไปซื้อหนังสือไกด์บุ๊คมือสอง
ผมยิ้มมุมปากแล้วบอกไปว่า "ผมบอกให้ได้นะ ต้องนั่งรถเมล์ไปหลายป้ายเหมือนกัน ... แต่ร้านใหญ่ๆในห้างจะไม่มีไกด์บุ๊คมือสองขายนะ ที่นั่นจะขายแต่หนังสือใหม่เท่านั้น"
"อ้าว ... เหรอ งั้นคุณมีไกด์บุ๊คโลนลีแพลนเน็ตเซ็นทรัลเอเซียมือสองหรือเปล่า" หนุ่มเบลเยี่ยมยิ้มถามมา
"มีสิ" ผมหยิบฉบับมือสอง ปี 2007 แถมด้วย ฉบับมือหนึ่งใหม่กิ๊ก ปี 2010 มาให้ดูด้วยประกบกัน
สองคนปรึกษากันก่อนที่จะวางฉบับเก่า ปี 2007 ลงที่ชั้น พร้อมกับแฟนสาวที่หยิบโลนลีแพลนเน็ตเซ็นทรัลอเมริกา 2010 ฉบับมือสองมาวางคู่กันกับโลนลีแพลนเน็ตเซ็นทรัลเอเชียใหม่กิ๊กคู่นั้นในมือ ... ผมยิ้มกว้าง วันนี้ท่าจะฤกษ์ดี เปิดร้านทีเดียว 2 เล่มเลย ... โลนลีแพลนเน็ตเซ็นทรัลอเมริกาเล่มนั้น ผมเพิ่งจะรับซื้อไว้ได้เมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เอง ...
"เราเอา 2 เล่มนี้ ... แต่เราไ่ม่มีเงินพอนะ คุณอยากได้ไอ้นี่ไหม ... เราแลกกัน" ลูกค้าสาวยิ้มมีเลศนัยก่อนจะเปิดกระเป๋าหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาวางลงบนโต๊ะ ... มันคือกล้องดิจิตอล "CANNON IXUS 55"
ผมหุบยิ้ม เกาหัวงงๆ "อะไรนะ ... คุณจะเอากล้องดิจิตอลอันนี้แลกหนังสือโลนลีแพลนเน็ต 2 เล่มนี้เหรอ ทำไมล่ะ คุณไม่ใช้มันแล้วเหรอ"
"เราทำที่ชาร์จแบตเตอรีของมันหายน่ะ แล้วเราก็ขี้เีกียจหาซื้อที่ชาร์จอันใหม่ ... พอดีเรามีกล้องโซนีอีกอีกหนึ่งด้วย ... ในกล้องนั่นมีเมมโมรีสติ๊ก 2 กิ๊กอีกอันหนึ่งด้วยนะ" ลูกค้าสาวว่ามา แล้วคุ้ยหยิบกล้องโซนีอีกอันหนึ่งออกมาจากกระเป๋าให้ดู
"คุณเอาหนังสือไกด์บุ๊คเล่มอื่นมาลดราคาก็ได้นะ" ผมลังเล ไม่แน่ใจราคาประเมินของมันเลยลองถามดู เพราะลูกค้าคงไม่กลับมาขายคืนครึ่งราคาแน่ๆ ส่วนมือก็กดเปิด-ปิดกล้อง ตรวจสอบดูสภาพการทำงานอยู่ไปมา
"เรามีอีกหลายเล่มก็จริง แต่เราจะเก็บเข้าคอลเลคชันของเราที่บ้านน่ะ ... เอาน่า กล้องนี้เราซื้อมาตั้ง 300 ยูโรนะ" ลูกค้าสาวเอ่ยยิ้มๆ ตาเป็นประกาย
ผมหัวเราะส่ายหน้าอยู่ไปมา ไม่แน่ใจว่าดีลหนังสือแลกกล้องนี้ จะกลายเป็น "Crazy Belgium" หรือ "Silly Thai" กันแน่ ... ก่อนคิดในใจ "เอาซี้ จะเป็นไรไป"
"OK, I take this" ผมเก็บกล้องลงลิ้นชัก แล้วหยิบหนังสือสองเล่มนั้นใส่ถุงส่งให้ "Special for my first customer today. Enjoy your collection and have a nice trip."
"Happy deal" หนังสือแลกกล้องจากลูกค้าชาวเบลเยียมสำหรับไกด์บุ๊คคอลเลคชันส่วนตัว
ปล. ผมลองเข้าไปเช็คในอินเตอร์เน็ต เว็บไซต์ของแคนนอน กล้องดิจิตอล IXUS 55 รุ่นนั้นราคาขายตอนวางตลาดประมาณ หมื่นกว่า ใกล้ๆกันกับ 300 ยูโร ... ผมนั่งยิ้มแก้มแทบแตก