Group Blog
 
<<
มกราคม 2554
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
10 มกราคม 2554
 
All Blogs
 
ร้านหนังสือในข้าวสาร ... ตอน ภารกิจร้านหนังสือที่ไม่ใช่ขายหนังสือ

สวัสดีปีใหม่นะครับ ยินดีที่ยังมีชีวิตอยู่และได้พบกันอีก

ผมเปิดร้านมาก็นับเป็นปีแล้ว ยังไม่ได้ตั้งชื่อเลยครับ จะว่าเป็นเคล็ด เป็นขัดยอกหรือยังไงก็ไม่รู้ แต่ว่าร้านก็ยังอยู่มาได้ มีลูกค้าเข้าสม่ำเสมอพอสมควร แต่บางทีลูกค้าที่เข้ามาก็ไม่ได้เข้ามาทำอะไรที่เกี่ยวกับหนังสือเลย

"เอ่อ คุณขายบุหรี่มั๊ย" หนุ่มเคราดกถาม

"คุณมีร่มขายไหม" หญิงสาวถาม สายตามองฝ่าสายฝนไปยังถนนเบื้องหน้า

"คุณถ่ายรูป ทำวีซ่าหรือเปล่า" บางทีมาเป็นแก๊งค์

"ฉันต้องการสีน้ำเป็นขวดเล็กๆ สำหรับวาดภาพน่ะ คุณมีขายไหม มันน่าจะเป็นสีที่ขายในร้านอุปกรณ์เครื่องเขียนน่ะ" สาวติสต์ถามมา

"พอดีฉันลบรูปในเมมโมรีของกล้องดิจิตอลไปหมดเลยน่ะ คุณกู้ไฟล์รูปพวกนั้นได้ไหม" สองสาวฮิปปี้ถามเสียงละห้อย

"คุณมีหมอนหนุนคอขายไหม เราจะเอาไปใช้บนเครื่องบิน" หนุ่มสาวชาวยิวถาม

"ร้านคุณอยู่ที่ถนนข้าวสารใช่ไหม นอกจากหนังสือกับแผนที่ที่ผมสั่งมานี้แล้ว คุณช่วยหาเข็มขัดซ่อนเงิน กับกระเป๋าคาดเอวอย่างแบน ให้ผมด้วยนะ เอาแบบสีดำๆ แล้วส่งไปรษณีย์มาพร้อมกันเลย วันนี้เดี๋ยวผมโอนเงินให้ แล้วผมรอรับของ เนี่ยถ้าได้ครบทุกอย่าง ผมจะได้ไปเที่ยวหลังปีใหม่นี้เลย" เสียงลูกค้าหนุ่มรุ่นใหญ่จากระยอง กำชับมาตามสาย บ่ายวันนั้นผมเดินวนไป-กลับ อยู่ระหว่างบางลำพู-ถนนข้าวสาร ประมาณ 4 รอบกว่าจะได้ของครบ รวมทั้งเข็มขัดซ่อนเงิน ลายหนังงูอย่างงามที่ส่งไปให้ลูกค้า "ผมส่งของให้แล้วนะครับพี่ ของน่าจะถึงมือพี่ประมาณวันที่ 4 - วันแรกของปีใหม่เลย" ผมส่งข้อความตอบไปทางอีเมล์

"คุณช่วยเรียกรถแท็กซี ให้หน่อยได้ไหม" ลูกค้าสูงวัยสามี-ภรรยา ชาวยุโรปเดินเข้ามาถามผมในร้าน ทั้งๆที่หน้าร้านก็ติดถนน มีรถวิ่งตรงไปทางสนามหลวงเต็มไปหมด ถามไป-ถามมา ได้ความว่า ทั้ง 2 คนเรียกรถแท็กซีเป็น 10 คันแล้ว ทุกคันตกลงไปสนามบินตามที่แกเรียก แต่มีเงื่อนไขว่า ค่าโดยสารคิดราคาต่อคน โดยไม่เปิดมิเตอร์ แกไม่เข้าใจว่าทำไม ทั้งๆที่มิเตอร์ก็มี แต่คนขับไม่ต้องการคิดค่าโดยสารจากมิเตอร์ แต่กลับบอกราคาต่อคนให้แทน ผมหัวเราะในใจ แล้วบอกแกว่าให้เดินไปไกลๆจากตรงบริเวณหน้าโรงพักนี้หน่อย แล้วลองใหม่ น่าจะโอเค

เมื่อวานนี้เอง ลูกค้าหนุ่มลูกครึ่งอิหร่าน-เยอรมัน ลูกค้าเก่าที่ซื้อหนังสือไปเมื่อวันก่อน เดินมาที่ร้าน ถามผมว่า

"เฮ้ คุณช่วยผมได้ไหม ผมมีปัญหาเรื่องโทรศัพท์กลับบ้าน คืออย่างนี้นะ ผมได้ซื้อซิมโทรศัพท์มา 1 อัน พร้อมบัตรโทรศัพท์ต่างประเทศจากสนามบิน พนักงานที่ให้มาน่ะบอกว่าโทรไปต่างประเทศได้ ราคาถูกด้วย แต่ผมโทรไม่ได้น่ะ ผมถามใครมาตั้งหลายคนแล้ว ทั้งร้านขายโทรศัพท์ ร้านสะดวกซื้อ แต่ไม่มีใครช่วยผมได้เลย" สำเนียงเยอรมันงึมงำในลำคอ หน้าตาคล้ายเจฟ โกลบลัม พระเอกหนังเรื่อง The Fry กับ ID4 ยู่ยี่หน้านิ่วคิ้วขมวด

"ไหนขอผมดูหน่อย" ผมหัวเราะพลางคิดในใจ หึหึ ... แล้วกูจะรู้ไหมเนี่ย

เช็คไป เช็คมา ซิมใส่แล้ว ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนเลย เอ้าขึ้นทะเบียนก่อน ภาษาก็ภาษาไทย แน่ละ .... เขาถึงทำอะไรไม่ได้ / เปลี่ยนภาษาเป็นอังกฤษ เสร็จ / โทรยังไม่ออก ต้องเติมเงินก่อน

"คุณไปซื้อบัตรเติมเงินมา 100 หรือ 200 บาทก็ได้ เอาของแบรนด์นี้นะ แล้วกลับมา" ผมบอกไป ฝรั่งส่ายหัวอย่างจนใจ เดินออกไปที่ 7-11 ใกล้สุด

"เอ้า โอเค เรียบร้อย เติมเงินแล้ว" ผมขอดูบัตรโทรศัพท์ต่อ เป็นบัตรชนิดโทรกลับ ต้องโทรเข้าไปที่ศูนย์บริการก่อน แล้ววางสาย ศูนย์บริการจะโทรกลับมาโดยอัติโนมัติ ให้เราบอกรหัสตัวเลข 10 กว่าตัวบนบัตร / เอ้าขูดก่อน

"ยังโทรไม่ได้อยู่ดี" ฝรั่งยื่นโทรศัพท์ให้ผมลอง

ทำไมนะ ผมเช็คเบอร์ดู เบอร์ที่โทรมีตัวเลขร่วม 10 ตัว "อันไหน รหัสประเทศ อันไหนเบอร์ คุณแยกให้ผมหน่อย" ผมเอ่ยปาก

"49 สองตัวหน้านี่เป็นรหัสประเทศ ข้างหลังนี่เป็นเบอร์" ลูกค้าแยกให้

"โอเค ได้การ" ผมเช็คเสร็จก็อธิบายไปว่า

"ตอนนี้คุณมีเงิน 2 ก้อนในโทรศัพท์ โทรได้ 2 วิธี คือ ก้อนที่ 1 เป็นเงินที่คุณเติมไป 100 บาทเมื่อกี้นี้ คุณโทรตรงได้เลยแต่ต้องเพิ่ม 001 ลงไปก่อน ตามด้วยรหัสประเทศ 49 แล้วเป็นเบอร์ XXXXX... คุณถึงจะโทรไปเยอรมันได้ คุณลองโทรดู เบอร์ตอนแรกคุณมีแต่ 00 น่ะ" ผมบอกพร้อมยื่นโทรศัพท์ให้

ลูกค้ารับไปพร้อมมองหน้าอย่างไม่แน่ใจ แล้วทำตามที่ผมบอก

"ได้ไหม" ผมถาม เลิกคิ้วข้างหนึ่ง

"น่าจะโอเค มีเสียงรอสายเหมือนปกติ" ลูกค้าหนุ่มยิ้มมุมปาก สักครู่ก็พ่นภาษาต่างดาวน้ำไหลไฟดับ

ผมอ้าปากหัวเราะแบบไม่มีเสียง พร้อมยื่นมือขวา เอานิ้วชี้จรดนิ้วโป้งเป็นวงกลม แทนคำถามกึ่งล้อเลียน

ลูกค้ายิ้ม พูดโทรศัพท์ต่อ พลางชูนิ้วโป้งให้ผมแล้วยื่นมือมาให้ผมตบ ประมาณ 5 นาทีก็วางสาย แล้วถามต่อ "ถ้าผมจะโทรไปหาแม่ที่อิหร่านล่ะ"

"ได้เหมือนกัน ทีนี้เงินก้อนที่ 2 ของคุณคือ บัตรชนิดโทรกลับ 300 บาทใบนี้ คุณโทรไปที่ศูนย์บริการนะ มันจะโทรกลับมา แล้วคุณกดรหัสตัวเลข 10 กว่าตัวที่ขูดไว้นี่ แล้วลองโทรดู"

ลูกค้าทำตามที่บอก ผมนั่งลุ้นอยูว่าจะได้ไหม ปรากฏว่าลองอยู่ 2 ครั้งก็โทรติด สายปลายทางที่อิหร่านคุยนานประมาณ 10 นาทีก็วางสาย

"ทีนี้โทรตรง หรือระบบโทรกลับ ก็น่าจะต่างกันที่ค่าบริการอัตราการโทรกี่บาทต่อนาที คุณต้องลองเช็คดูเองว่าอันไหนถูกกว่า" ผมเสริม

"ผมรู้แล้ว 001 นี่เองเป็นตัวสำคัญที่ขาดไป" ลูกค้าเอ่ยพร้อมยิ้มในสีหน้า

"ถ้าเงินคุณไม่พอ คุณอาจลองใช้ 100 ก็ได้นะ แต่สายมันน่าจะเข้าที่ศูนย์บริการก่อน แล้วเก็บเงินปลายทาง ก่อนโอนสายไปให้ พนักงานจะถามคนรับสายว่าจะรับหรือเปล่า ถ้าผมจำไม่ผิด" ผมเสริม

"โอเค เข้าใจแล้ว"

"นี่เป็นความลับนะ คุณอย่าบอกใครล่ะ แต่ถ้ามีคนถาม คุณคิดเงินสัก 20 บาทแล้วกัน" ผมพูดยิ้มๆ

ฝรั่งหนุ่มหัวเราะก๊าก พลางเอ่ยปากขอบคุณ

ก่อนหน้านี้อีกวันหนึ่ง เป็นวันอาทิตย์ มีสาวออสเตรียอีก 1 คน เดินเข้ามาในร้านตอนบ่ายแก่ ผมกำลังปอกแอปเปิ้ลอยู่ที่โต๊ะ

"คุณช่วยฉันหน่อยได้ไหม ฉันมีปัญหาน่ะ" หญิงสาวเอ่ยขึ้น หน้าตาทุกข์ร้อน

"คุณมีปัญหาอะไร ลองว่ามา ผมอาจจะช่วยได้" ผมถาม

"คือฉันเงินหมดน่ะ" เธอกล่าว ผมได้ยินแล้วยิ้ม พลางคิดในใจ อิ๊บอ๋ายแล้ว

"มีเหลืออยู่แค่ 8 บาทเอง มันเป็นยอดเงินค้างอยู่ในโทรศัพท์น่ะ แต่ฉันไม่ได้มาขอเงินคุณหรอกนะ ฉันเพียงแต่จะมาขอให้คุณช่วยส่งข้อความไปออสเตรียให้หน่อย ฉันจะขอให้ที่บ้านส่งเงินให้ฉันน่ะ ยอดเงินที่เหลือเท่านี้มันโทรไม่ได้" เธอพยายามอธิบาย

"คุณรู้ไหม พรุ่งนี้ฉันจะบินกลับแล้ว แต่ตอนนี้ฉันไม่มีเงินกินข้าวเย็น กับค่ารถไปสนามบินพรุ่งนี้ ส่วนค่าใช้จ่ายอย่างอื่นไม่ต้อง ขาดแค่นี้เอง"

"ทำไมคุณไม่เอากล้องถ่ายรูปของคุณอันนี้ฝากเขาไว้ที่โรงแรม แล้วขอยืมเงินผู้จัดการดูล่ะ" ผมไม่ค่อยแน่ใจ เดี๋ยวตำรวจสากลมันจะมาหาตูข้าถึงบ้านหรือเปล่าหว่า เหมือนพวกข่าวอาชญากรรมที่เคยได้ยินกันบ่อยๆ ทางอินเตอร์เน็ต

"ไม่เอาหรอก กล้องของฉันตัวนี้ราคาแพงมาก ราคาหลายพันเหรียญเลย เดี๋ยวเสียหายขึ้นมา ไม่มีใครรับผิดชอบได้แน่ๆ" เธอปฏิเสธ ส่ายหน้าเด็ดขาด

"คุณไม่มีเพื่อนหรือใครที่รู้จักเลยเหรอ" ผมพยายามบ่ายเบี่ยง

"ฉันเดินทางคนเดียว คุณต้องงช่วยฉันนะ เนี่ยฉันพยายามถามขอความช่วยเหลือมาหลายคนแล้ว แต่ทุกคนส่ายหน้าปฏิเสธฉันหมดเลย" เธออ้อนวอน พลางเหลือบมองแอปเปิลในจาน

"ระหว่างเดินทางแถวชนบทนะ ฉันเคยเห็นพวกคนจรจัดเขาหาอาหารกัน บางคนก็เก็บเศษเปลือกมะม่วงชิ้นเล็กๆมาหั่น รวมๆกันให้เยอะๆ ก็พอจะกินอิ่มได้ ถ้าเป็นต่างจังหวัด ชนบทนะ เงินสัก 5 บาท ฉันก็สามารถซื้อข้าวเหนียวเปล่าๆมากินให้พอหายหิวได้ แต่ที่นี่มันถนนข้าวสาร ฉันทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก" เธอพึมพัม

ต้นเหตุมันเกิดจากเธอคำนวณเงินพลาด จริงๆแล้วเงินของเธอจะต้องเหลือพอถึงพรุ่งนี้ วันสุดท้ายของการเดินทาง ชำระค่าใช้จ่ายทุกอย่างหมดพอดี แล้วบินกลับบ้าน ผมฟังเธอเล่าแล้วบอกว่า มันเสี่ยงเกินไปจนอาจจะเกิดเหตุผิดพลาดอย่างที่เธอเผชิญอยู่ขณะนี้ เธอยอมรับแล้วบอกว่า เธอเดินทางท่องเที่ยวบ่อย ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พลาด

คุยกันสักพัก ผมประเมินดูว่าไม่น่าจะมีอันตรายอะไร ก็ตกลงให้เธอใช้โทรศัพท์ส่งข้อความดู ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่า โทรศัพท์มือถือเก่าๆของผมที่ใช้แต่ในประเทศจะส่งข้อความไปออสเตรียได้หรือเปล่า

เบอร์ปลายทางที่เธอส่งข้อความไปคือ +4850762XXXX
ทั้งหมด 2 ข้อความ เป็นภาษาต่างดาว ประมาณนี้ "MAMO WYSLIJ MI 50ZL BRAKUJE MI DO BILETU NA LOTNISKO ..... ODPISZ NA MOJ ..... TERAZ PISZE"

ผมเดาเอาว่า น่าจะประมาณ ... น้องรักพี่โดมมาก แต่เราคง ...
เอ๊ยไม่ใช่ ขอโทษทีครับ น่าจะประมาณว่า แม่(มาโม) ส่งเงินมาหน่อย .....
เงินไม่พอ .... ไม่มีเงินกินข้าว ....

สักพักหนึ่งก็มีสายเข้ามาจากต่างดาว (ผมคิดในใจ ... เออ ได้แฮะ) เธอรับแล้วคุยกันสักครู่ก็วางสาย ทางโน้นไม่สามารถโอนเงินได้ แบงก์ปิดเพราะเป็นวันอาทิตย์ ต้องรอจนเช้าวันจันทร์แบงก์ทำงาน โอนได้ - ที่เมืองไทยก็น่าจะประมาณเที่ยง เธอบอกก็ยังดี ยังไงก็จะมีค่ารถไปสนามบินได้ ส่วนอาหารเช้าพรุ่งนี้ กินที่โรงแรม ก็เหลือแค่อาหารเย็นวันนี้เท่านั้น

ผมชวนเธอกินข้าวเย็นด้วยกัน เธอปฏิเสธ แต่ขอแอปเปิลไป 2 ชิ้น ผมเลยยัดแอปเปิลใส่ถุงให้เธอไปอีก 1 ใบ วันรุ่งข้นก่อนกลับ เธอแวะมาที่ร้าน กล่าวขอบคุณที่ช่วย พร้อมเอาเงินมาให้ 18 บาทเป็นค่าส่งข้อความ หลังจากผมเช็คยอดเงินที่เหลือในโทรศัพท์

******************

ภารกิจร้านหนังสือที่จำได้เด่นชัดที่สุด จนถึงวันนี้ ก็ยังจำได้ คือ

ส่งข้อความเป็นภาษาไทย โดยหนุ่มต่างชาติ พูดไทยไม่ได้ ถอดความประโยคต่อประโยค ปลายทางคนรับน่าจะเป็นสาวไทยชื่อ ตรี 089494XXXX อ่านภาษาอังกฤษไม่ออก ข้อความว่า

"ผมอยู่ในกรุงเทพแล้ว ผมหวังว่าคุณคงโอเค ผมคิดถึงคุณมากๆ ขอให้คุณพูดอะไรกับผมบ้าง แม้จะเป็นครั้งสุดท้าย ได้โปรด ... จากอาเลโก 085318XXXX"

ชายหนุ่มในตาเศร้าผู้นี้ แวะมาหาผมอีก 2-3 ครั้ง ภายในช่วง 1 สัปดาห์หลังวันส่งข้อความ เพื่อถามว่ามีใครโทรมาเรื่องข้อความนี้หรือไม่ มีข้อความตอบกลับมาหรือไม่ หลังจากนั้นชายหนุ่มก็หายไป

..... จนถึงวันนี้ ก็ยังไม่มีข้อความตอบกลับมา .....



Create Date : 10 มกราคม 2554
Last Update : 10 มกราคม 2554 14:12:05 น. 5 comments
Counter : 1165 Pageviews.

 
สนุกดีค่ะ อ่านแบบเบาๆสบายๆเหมือนนั่งอยู่ที่ร้านแถวข้าวสารจริงๆ


โดย: พี่ตาอัมพวา IP: 58.9.245.90 วันที่: 13 มกราคม 2554 เวลา:14:34:59 น.  

 
ขอบคุณมากครับ
แล้วว่างๆ แวะมาอ่านอีกนะครับ


โดย: เจตตจัน (jettajan ) วันที่: 16 มกราคม 2554 เวลา:12:56:42 น.  

 
ชอบคุ่


โดย: บีบี IP: 118.175.88.61 วันที่: 10 มีนาคม 2554 เวลา:15:10:51 น.  

 
ขอบคุณครับ ว่างๆแวะมาอีกนะครับ


โดย: jettajan (jettajan ) วันที่: 4 เมษายน 2554 เวลา:17:28:00 น.  

 
ถ้าคุณรวมเล่ม ผมก็จะซื้ออ่าน รับรอง


โดย: i.am.Victor วันที่: 16 พฤศจิกายน 2554 เวลา:14:51:12 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jettajan
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add jettajan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.