Group Blog
 
<<
มีนาคม 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
2 มีนาคม 2556
 
All Blogs
 
ร้านหนังสือในข้าวสาร ... ตอน Hang over !%&#@$

สวัสดีครับคุณผู้อ่านที่รักทุกท่าน ด้วยความยินดีครับ ที่ยังมีชีวิตอยู่ กินอิ่ม นอนหลับ ครบ 32 และได้มาเขียนบล็อกเล่าเรื่องราวในร้านหนังสือให้ได้ฟังกันอีก กลางบรรยากาศของสัปดาห์แห่งความรักที่เวียนมาบรรจบอีกครั้ง ก่อนจะถึงวันมาฆบูชาในอีก 2 สัปดาห์ถัดไป

14 กุมภาฯ วันนั้น เรื่องราวความรักของคนบนโลกดำเนินไปตามแต่ทิศทางที่ต่างกัน บางคนสุข บางคนอาจเศร้า แล้วแต่วิธีคิดและวิถีชีวิตที่คละเคล้าปะปน แต่เรื่องราวแปลกประหลาดจากต่างแดนเรื่องนั้นกลับเป็นรักหักมุมที่ไม่น่าเกิดขึ้น ... หนุ่มนักวิ่งขาเทียมจากแอฟริกาใต้ ยิงแฟนสาวสวยนางแบบเสียชีวิตด้วยความเข้าใจผิดกลางดึก จากความพยายามเซอร์ไพรส์ในเช้าวันวาเลนไทน์ของแฟนสาว ... ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เกิดอะไรขึ้นคืนนั้น หนุ่มนักวิ่งย่อมรู้อยู่แก่ใจ และไม่ว่าจะเป็นเหตุเจตนา บันดาลโทสะ อุบัติเหตุหรือความเข้าใจผิด ใครบางคนก็ได้แต่ขอส่งกำลังใจเพื่อเอาใจช่วยให้พ่อหนุ่มผ่านคืนวันอันยากลำบากนี้ไปได้ โดยไม่เจ็บปวดมากจนเกินจะทน หรือเป็นเหตุฝังใจไปจนตาย

ครับ ... ร้านหนังสือยังคงเปิดอยู่สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ต้องการหนังสือไกด์บุ๊คสำหรับการเดินทางท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน สเปน สวีเดน ฮีบรูว์ หรืออื่นๆ ทั้งมือหนึ่งและมือสอง วันก่อนลูกค้าสาวผมยาวเพิ่งจะมาคว้าเอาโลนลีแพลนเน็ตคอสตาริกาปกเก่าไป 1 เล่ม ก่อนหน้าที่โลนลีแพลนเน็ตฟิจิปกเก่ามือสองจะตามออกไปไล่ๆกัน จนกระทั่งสายหน่อยประมาณเกือบเที่ยง ลูกค้าคู่นั้นก็มาตามสัญญาเพื่อจะรับ "เจ้าชายน้อย" ไปเข้าคอลเลกชัน

"สวัสดี คุณหาให้เราได้หรือเปล่า" สาวสวยเดินนำหน้าเข้ามา ในมือถือน้ำผลไม้ปั่นแก้วใหญ่

"ได้สิ ... นี่ไง" ผมว่าแล้วหยิบหนังสือยื่นส่งให้ "เจ้าชายน้อย" ในห่อปกกระดาษขาว เรียบร้อยดี แม้จะมีร่องรอยคราบดำตามสันบ้างนิดหน่อย

"เยี่ยมจริง" ลูกค้าสาวรับไปพลิกดูหน้าในซึ่งเป็นกระดาษปอนด์อย่างดีที่ไม่มีรอยยับย่นให้เห็นเลย แล้วยื่นให้แฟนหนุ่มที่เดินตามเข้ามารับไปดู ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา ถามว่า

"ตกลง เราซื้อเล่มนี้ คุณคิดราคาเท่าไหร่"

"คุณให้เท่าไหร่ล่ะ" ปากไวเท่าความคิด ผมถามไปอย่างชนิดขายเอามันส์ ไม่ได้ขายเอาเงิน (ใจก็แวบไปถึงประมาณสิบปีก่อน พ่อค้ารถเข็นขายนาฬิกาแขวนผนังเรือนไม้รูปพังงาเรือให้ผม จากคำถามเดียวกัน ผมประเมินราคาจากสายตาและบอกราคาไปโดยพ่อค้าไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียวนอกจากพยักหน้าและหยิบนาฬิกาเรือนนั้นส่งให้ ... หลังจากนั้นหลายเดือน ผมก็ได้เจอนาฬิกาลักษณะเดียวกันในร้านเฟอร์นิเจอร์ไม้ร้านหนึ่ง ... ส่วนราคาก็ไม่ต้องพูดถึงดีกว่า หุหุ)

... แฟนสาวบอกราคามา

... ผมต่อรองราคาด้วยสายตาไปอีก ... นี้ดดดดนึง ... ก่อนจะปิดการขายด้วยราคาที่ชายหนุ่มเพิ่มสูงขึ้นไปอีก 25 เปอร์เซนต์

ลูกค้าสาวสวยได้ของสะสมชิ้นสำคัญไปเข้าคอลเลกชันอย่างถูกใจ พร้อมพวงกุญแจที่ระลึกที่ผมแถมไปให้อีกหนึ่งอัน ... ส่วนผม ก็ได้ขายหนังสือเอามันส์อย่างที่ตั้งใจจริงๆ

นาฬิกาแขวนผนังเรือนไม้ ทำเป็นรูปพังงาเรือ สวยๆประมาณนี้ที่ขายมาในราคาตามใจผู้ซื้อ ... เอ๊ะ หรือจะเป็น "ของโจร" @$&!!

เย็นวันเดียวกัน หนุ่มจีนหัวใสคนหนึ่งเดินเข้ามาถามหาหนังสือสำหรับพูดภาษาไทย โดยแทบจะสื่อสารกันด้วยภาษามือ เพราะพี่แกพูดภาษาอังกฤษไม่ได้มากนัก ตอนแรกผมหยิบเฟรสบุ๊คอังกฤษ-ไทยไปให้ดู แกก็ส่ายหัว เฟรสบุ๊คแมนดาริน-ไทย พี่แกก็ไม่โอเค สุดท้ายน่าจะเป็นแคนโตนีส-ไทย ก็ตกลงกันได้ ชำระเงินเสร็จแล้วถามไป-ถามมา ได้ความว่า

"คุณรู้ไหมว่า วันนี้สถานทูตเปิดทำงานหรือเปล่า ผมต้องติดต่อแจ้งเรื่องเอกสาร"

ผมยิ้มแล้วส่ายหน้า "ไม่ทำงานละมั้ง วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ น่าจะปิด พรุ่งนี้-วันจันทร์น่าจะดีกว่า คุณมีธุระด่วนหรือ"

"ผมมาคนเดียว เมื่อคืนนี้ก็เมาซะจนป่นปี้ ของหายหมดทั้งกระเป๋า-เงิน-พาสปอร์ท-บัตรเครดิต ผมต้องแจ้งสถานทูตทำเอกสารใหม่หลายอย่างเลย" จีนหนุ่มหัวใสอธิบายมา

"อ้อ ... ซอรี่ด้วยนะ" ... ทำเอกสารสำคัญหายต่างบ้านต่างเมืองนี่ คงไม่สนุกแน่ๆ ผมคิด

"ขอบคุณมากๆ แล้วผมจะแวะมาใหม่" หนุ่มหัวใสกล่าวขอบอกขอบใจมากมาย ดูท่าแกจะประทับใจที่ผมพยายามหาเฟรสบุ๊คและแกะห่อพลาสติกให้ดูหลายเล่ม กว่าจะได้ไอ้ที่ต้องการ

หลังจากนั้น ในหัวค่ำของ 2 วันถัดมา พี่แกก็แวะมาอีกครั้งพร้อมกับอัพเดทสถานการณ์ให้ฟังว่าได้ไปติดต่อสถานทูต แก้ไขเรื่องเอกสารหายเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้จะออกจากกรุงเทพฯ ขึ้นเหนือไปเที่ยวต่อ พร้อมกับบอกว่ามาใหม่คราวหน้าจะหัดพูดภาษาให้ดีกว่านี้ จะได้คุยกันได้สนุกขึ้น ผมเตือนว่าให้ระวังอย่าเมาแประอย่างวันก่อนอีก ก่อนจะขอถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก พี่แกก็เออออห่อหมก แอ็คท่าให้ถ่ายซะดิบดี


"หนุ่มจีนหัวใส" ลูกค้าที่แวะมาที่ร้าน หลังจากดริ๊งก์เลยเถิดจนของเขิงหายหมด ต้องขอความช่วยเหลือจากสถานทูต

อีกคนหนึ่งซึ่งดริ๊งก์จนเกือบได้เรื่องคือหนุ่มด๊อยช์ที่เข้ามาที่ร้านยามดึกกัน 2 คน (เรื่องก็คือทำท่าจะพลาดไม่ได้เป็นพ่อค้าลูกค้ากัน) เพื่อนนั้นได้แผนที่พม่าที่ต้องการไปแล้ว แต่เจ้าตัวไม่ได้เอาเงินมา ท่าทางกรึ่มๆยังไม่จบดี แต่จับพลัดจับผลูยังไงก็ไม่รู้ ทำให้ต้องมากัน 2 คน เพื่อนเลือกแผนที่จ่ายตังค์เสร็จ กำลังจะออกไป พ่อหนุ่มก็คว้าไกด์บุ๊ค "REISE know how" ของ "Kambodscha" กัมพูชาภาษาเยอรมันปกเก่าหลายปีแล้ว มายื่นให้ผมบอกว่า

"ยูเก็บเล่มนี้แยกไว้ให้ด้วย ไอจะกลับไปดื่มต่อแล้วพรุ่งนี้เช้าจะกลับมาเอา 10 โมงโอเคไหม"

ผมพยักหน้าแล้วกระชับมือแน่นอย่างเป็นมั่นเหมาะ "ได้สิ ผมจะรอคุณ"

วันรุ่งขึ้นผมก็ไปตลาด ใส่บาตร ทำธุระ รดน้ำต้นไม้ ตัดใบเหลือง ... สัพเพเหระ จนกระทั่งเที่ยง พ่อสายบัวแต่งตัวรอเก้อก็พึมพำกับตัวเองเบาๆอย่างคนที่รู้ๆกันอยู่ว่า "เก็บหนังสือเข้าชั้นที่เดิมดีกว่า อย่าเอาแยกไว้ในเก๊ะเงินเลย เกะกะ" ... บ่ายนั้นผมก็นั่งอ่านเพชรพระอุมาต่อ พรานรพินทร์กำลังเจ๊าะแจ๊ะนาคเทวี อยู่บนเขานกอินทรีหลังจากล่วงเข้าสู่นรกดำได้แล้ว

"ไฮ ผมมาเอาหนังสือไกด์กัมพูชาเล่มนั้น" หนุ่มด๊อยช์เดินแบกเป้หลังสูงท่วมหัวเข้ามา โบกมือทัก

ผมชำเลืองหางตาดูนาฬิกาที่ข้อมือ เข็มชี้บอกเวลาสี่โมงเย็น ก่อนถามยิ้มๆ "เฮ้ คุณกลับมาจริงๆด้วย ผมนึกว่าคุณลืมไปแล้ว ว่าแต่นี่มัน 10 โมงของคุณเรอะ" ...  แน่ะดันไปกระแทกเขาอีก

"ฮ่า ฮ่า พอดีเมื่อคืนผมดื่มมากไปหน่อย เช้านี้เลยแฮงก์โอเวอร์ ตื่นเสียสายเลย ... แต่ผมก็ยังมานะ" พ่อหนุ่มหัวเราะแก้เก้อก่อนรับหนังสือไป (เหมือนพี่มอสที่มาช้ายังดีกว่าไม่มา)

ผมมีเรื่อง "Hang over" มาเล่าให้ฟังอีกเรื่องหนึ่งครับ จากสุดสัปดาห์ต้นกุมภาฯ ที่ผ่านมา ประมาณทุ่มกว่าวันเสาร์ ลุกค้ากำลังขวักไขว่ได้เวลาเดินเข้าเดินออกดูหนังสือกันเป็นล่ำเป็นสัน ก็ให้เกิดอุบัติการณ์ประหลาดเสียงจ้อกแจ้กจอแจ เงาคนเรียงรายอยู่หน้าร้านเต็มไปหมด แล้วลูกค้าก็พากันหายออกไปจากร้านหมดเลย ผมมองอย่างงงๆ ก่อนจะเดินออกไปหน้าร้านก็จึงได้พบกับคำเฉลยของสิ่งที่ทำให้ลูกค้าฝรั่งเดินออกไปจากร้านกันหมด เป็น "Hang over" ภาคพิเศษที่เล่าด้วยภาพให้ดูกันครับ


ลูกค้าเดินออกจากร้านไปยืนจ้องมองไปที่ฝั่งตรงข้ามกันเรียงรายเต็มทางเดินหน้าร้าน


รถสปอร์ทซุปเปอร์คาร์ ป้ายแดง สัญญลักษณ์ "ม้าลำพอง" แห่งอิตาลี ราคาหลายสิบล้านคันหนึ่ง ถูกลากมาจอดสงบนิ่งอยู่หน้าถนนข้าวสาร ฝั่งตรงข้าม หน้าร้านพอดี


ผู้สื่อข่าวภาคประชาชนทั้งไทย-เทศ ได้ทำหน้าที่นักข่าวพลเมืองกันอย่างเต็มที่ มากันหมดทั้งกล้องดิจิตอล สมาร์ทโฟน แท็บเลต ภาพถูกถ่ายกันตลอดเวลา แสงแฟลชแวบวับไม่ขาดระยะ ภาพข่าวของ "ม้าลำพอง" ตัวนี้ถูกส่งกระจายไปทั่วโลกไซเบอร์ ภายในไม่กี่นาที ... "ความฉิบหายวายวอดของคนอื่น" เป็นเรื่องเรียกความสนใจได้เสมอ


สองหมวยสาวสวยจากจีนแผ่นดินใหญ่ก็มามุงกับเขาด้วย เห็นเป็นของแปลก... มันคงไม่เหมือนกับซากรถจักรยานชนกันที่ปักกิ่ง

ระบบขับเคลื่อนไม่สามารถทำงานได้ทั้ง 4 ล้อ ต้องใช้รถลากช้อนใต้ท้องด้านหน้าแล้วดันขึ้นไปบนทางลาดของรถบรรทุก ทั้งๆที่ล้อหลังไม่หมุนแล้ว


ใช้เวลาร่วม 3 ชั่วโมงกว่าจะเรียบร้อย ... ภาพถ่ายจากด้านหน้าบนทางลาดของรถบรรทุก แวบแรกที่เห็นชัดๆ ก็แว่วเสียงเพลงของน้ำชา ... รักแท้ รักที่อะไร ตับ ไต ไส้ พุง ...


ประมาณ 5 ทุ่มกว่า ... "ม้าลำพอง" ป้ายแดงตัวนั้นก็ขึ้นไปแฮงก์โอเวอร์อยู่บนรถบรรทุกและจากไป

ราตรีสวัสดิ์ครับ

เจตตจัน

085-8035412

087-0719858

jettajan227@yahoo.com

ปล. ส่วนที่เหลือระหว่าง "บริษัทประกัน" กับ "เจ้าของรถป้ายแดง" คันนั้น ใครจะแฮงก์โอเวอร์ มากกว่ากัน ก็ไม่รู้เหมือนกัน ... หุหุ




Create Date : 02 มีนาคม 2556
Last Update : 2 มีนาคม 2556 9:46:37 น. 0 comments
Counter : 2155 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jettajan
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add jettajan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.