Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2556
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
5 พฤษภาคม 2556
 
All Blogs
 
ร้านหนังสือในข้าวสาร ... ตอน Business trip

สวัสดีครับคุณผู้อ่านที่รักทุกท่าน ด้วยความยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งกับเรื่องเล่าเรื่อยเปื่อยจากร้านหนังสือในข้าวสาร ร้านหนังสือท่องเที่ยวเล็กๆร้านนึงที่ตั้งมาได้เกือบๆ 4 ปีแล้ว ถ้าเปรียบเป็นคนก็ประมาณเด็กเล็กที่วิ่งได้ เตะฟุตบอลเป็น และอยากเรียนรู้ เห็นอะไรเป็นแปลกไปหมดทุกอย่าง แต่บางอย่างก็เป็นอะไรที่คุ้นเคย และเป็นงานแล้ว รู้ว่าตื่นเช้าต้องอาบน้ำ แปรงฟัน หัดผูกเชือกรองเท้า เป็นเรื่องปกติ ก็คล้ายๆกับรูปแบบธุรกิจร้านที่เป็นรูปแบบซ้ำๆประจำปี ที่มีขึ้น-ลง เหมือนคลื่น ช่วงไฮซีซัน ที่จะต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับของที่จะขาย สต็อกต้องมี คนขายต้องฟิตแอนด์เฟิร์ม วางตารางชีวิตให้สอดคล้องกับฤดูการขาย ... ส่วนช่วงโลว์ซีซันก็เตรียมตัวหากิจกรรมทำเวลาว่าง เพราะเฝ้าร้านเปล่าที่ไม่ค่อยมีลูกค้า คิดหาโปรโมชันมาส่งเสริมการขาย หรือไม่ก็หยุดยาว ไปเที่ยวมันซะเลย ... พี่เกียรติร้านรองเท้าข้างๆเคยคุยกัน บอกว่า "บางช่วงที่ไม่มีลูกค้า อยู่บ้าน เฝ้าร้านเบื่อๆ ก็ปิดร้านไปเปลี่ยนบรรยากาศซะเลย สิ้นเรื่องสิ้นราว"

เลยสงกรานต์มาแล้ว ช่วงนี้จะเป็นโลว์ซีซันที่ลูกค้ากระเป๋าหนักที่ออกเดินทางท่องเที่ยวตามฤดูกาลจบการเดินทางเพื่อกลับบ้านกลับเมือง หนังสือของร้านบางส่วนจะกลับคืนมาจากลูกค้าที่เช่าซื้อไป ทั้งมือหนึ่งและมือสอง ... แน่นอนรวมทั้งหนังสือจากที่อื่นๆที่แบ็คแพ็คเกอร์ติดตัวมาด้วย เอามาแลกหนังสือกลับไป ขายถูกๆ หรือบางทีอารมณ์ดีๆก็ให้เปล่าทิ้งไว้ที่ร้านเอามันส์ ซะงั้น ... หลังจากนั้นก็มักจะเหลือแต่ลูกค้าเดนตายที่ อยู่ยาว-ทำงานเก็บเงินที่บ้านเกิดนานๆ สต็อกเงินเก็บไว้เยอะๆ เพื่อออกมาท่องโลกข้ามปี งบประมาณจะวางไว้ค่อนข้างชัด กิน-ใช้ในระดับคนไทยปกติ เพื่อให้มีเงินอยู่ได้นานที่สุด ... เพราะฉะนั้น บางวันที่ร้านอาจจะไม่ได้ขายของเลย แต่มีลูกค้าเดินเข้า-ออกทั้งวัน มาคืนหนังสือบ้าง มาแลกบ้าง บางคนก็เล่ม-สองเล่ม แต่บางคนหิ้วมาเป็นถุงใส่หนังสือมาเป็น 10 เล่มก็มี ...

กลางแดดบ่าย สาวอังกฤษในชุดเสื้อกล้ามกางเกงยีนส์ขากุดสั้น ผมทองรวบไว้เหนือต้นคอเดินเข้ามาในร้านพร้อมกับหนังสือไกด์บุ๊คเล่มหนึ่งในมือ สายตาของผมผ่านว่อบแว่บไปที่ความหนาของเล่มและสีออกเหลืองออกน้ำเงินบนปก บ่งบอกว่าเป็นโลนลีแพลนเน็ตเซาท์อีสต์เอเชีย แต่จะเป็นปีไหนผมไม่แน่ใจ หญิงสาวเดินมาหยุดอยู่ที่ชั้นโลนลีแพลนเน็ต ไล่สายตามาตามตัวอักษรย้อนจาก Z - Y - X - W - V - U - T ..... จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ A และหยิบเล่มเป้าหมายออกมาดู มันคือโลนลีแพลนเน็ตออสเตรเลียมือสองปีล่าสุด เล่มหนาหนักประมาณ 1 กิโลกรัมหรือเฉียดๆ

"โลนลีแพลนเน็ตออสเตรเลีย มีแต่เล่มนี้ใช่ไหม" เธอถาม ทำหน้าแหยงๆ

"ไม่ใช่หรอก ... บริษัทเขาแบ่งออกเป็นอีกหลายปกย่อยๆนะ เช่น ปกอีสต์โคสต์ออสเตรเลีย - รวมแนวชายฝั่งตะวันออกทั้งหมด ปกเพิร์ทและเวสต์โคสต์ออสเตรเลีย - รวมแนวฝั่งตะวันตกและเมืองเพิร์ท ปกเซ็นทรัลออสเตรเลีย - รวมกลางทวีปและทะเลทราย ดินแดนของชาวอะบอริจิน รวมทั้ง "อูลูรู" ด้วย นอกจากนั้นก็มีเมืองย่อยๆอีกเช่น ซิดนีย์บ้าง นิวเซาท์เวลส์บ้าง เป็นปกย่อยๆอีกหลายปก ... ว่าแต่คุณไปเที่ยวทั่วหรือเปล่า" ผมจาระไนพร้อมกับชี้ไปที่เล่มย่อยๆ ที่เรียงอยู่ในชั้นเกือบครบ

"ใช่ ฉันต้องการเล่มรวม ... ขนาดมันพอๆกันเลยนะนี่" เธอว่าพลางยกโลนลีแพลนเน็ตเซาท์อีสต์เอเชียในมือขึ้นมาเทียบกันดู

"มันมีดิสโคเวอร์ซีรี่ส์ออกใหม่มาด้วย สำหรับออสเตรเลีย เป็นฉบับพิมพ์สี เล่มบางกว่า ไม่หนาหนักเท่า แต่ข้อมูลก็แน่นอนว่าน้อยกว่านะ ขึ้นกับระยะเวลาเดินทางของคุณว่านานหรือเปล่า ถ้านาน - ผมว่าเล่มใหญ่ดีกว่า แต่ถ้าไม่นานนัก - เล่มดิสโคเวอร์นี่ก็เหมาะ" ผมบอกตัวเลือกเพิ่มให้เธอ พร้อมกับหยิบเล่มนั้นมาให้ดู เล่มมือสองที่ผมยื่นให้เป็นปี 2010 ที่ผมแลกไว้ได้จากลูกค้ารุ่นลุงปีที่แล้ว

"ไหนขอฉันดูหน่อยสิ" เธอเอ่ยอย่างสนใจพร้อมกับรับไปพลิกดูอยู่ในมือ "ฉันไปประมาณเดือนครึ่ง เล่มนี้น่าจะโอเค ไม่หนักด้วย ... ฉันเอาเล่มนี้ แล้วก็ฉันมีเล่มนี้มาแลกคุณได้ไหม"

ผมรับโลนลีแพลนเน็ตเซาท์ฯ เล่มนั้นมาดู มันเป็นฉบับปี 2012 ก่อนประเมินราคา "สภาพดี ... ผมรับ แต่คุณจ่ายค่าแลกนิดหน่อย"

เธอตกลงพร้อมกับทำหน้าเศร้า "ฉันคงคิดถึงมัน เราอยู่ด้วยกันตลอด 4 เดือน"

ผมอวยพรให้เธอเดินทางโดยสวัสดิภาพก่อนออกจากร้านไป เธอบอกว่าหลังออกจากออสเตรเลีย ก็คงจะเดินทางกลับอังกฤษเพื่อกลับไปเรียนต่อ ... ต่างจากสาวเยอรมันอีกคนที่มาคว้าโลนลีแพลนเน็ตออสเตรเลียมือสองเล่มล่าสุดไป เธอทำงานที่ออสเตรเลียและพอดีลาหยุดมาเที่ยวเมืองไทยตอนปีใหม่ เธอต้องการฉบับรวมเล่มใหญ่เพื่อเที่ยวให้ทั่วๆ

 โลนลีแพลนเน็ตออสเตรเลีย ปกล่าสุด เล่มใหญ่หนาหนักขนาดประมาณ 1 กิโลกรัม

"ผมเคยได้ยินว่าคนที่จะไปทำงานที่ออสเตรเลียจะต้องกรอกใบสมัครขอวีซ่าทำงานทางอินเตอร์เน็ต ใช่หรือเปล่า" ผมถามเธอพร้อมกับนึกถึงลูกค้าหนุ่มยุโรปที่เคยเล่าให้ฟังว่าจะไปทำงานที่นั่น แต่กำลังหาข้อมูลอยู่ ... ใช่ ออสเตรเลียเป็นเมืองที่น่าอยู่ รายได้ดี และไม่อันตรายเหมือนอเมริกาหรืออังกฤษ ที่มักจะมีปัญหาเรื่องการเหยียดผิว

"เหรอ ไม่แน่ใจ เหมือนกัน" เธอตอบมาอย่างไม่แน่ใจ

"อ้าว แล้วคุณเข้าไปทำงานได้ไงล่ะ" ผมเลิกคิ้วถามไป

"ฉันเข้าไปเที่ยวก่อน แล้วก็หางานไปด้วย หลังจากนั้นพอได้งานแล้ว ฉันก็อ้อนวอนกับทางเจ้านายให้เขาช่วยเดินเรื่องเกี่ยวกับใบอนุญาตทำงานให้" เธอเล่ายิ้มๆพร้อมกับทำท่าทางพนมมือวิงวอนเหมือนๆกับคนไทยยกมือไหว้พลางส่ายหน้า "มันลำบากเหมือนกัน ฉันต้องใช้ความพยายามอยู่นานทีเดียว"

ผมพยักหน้าพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้ "คุณเยี่ยมจริงๆ ยังไงก็เที่ยวและทำงานให้สนุกนะ แล้วถ้าว่างๆก็แวะกลับมาเที่ยวกรุงเทพอีกละกัน"

**********************************

หลังจากที่ผมหาแผนที่และหนังสือท่องเที่ยวเมืองไทยในเวอร์ชันภาษาจีน เข้ามาเปิดแผนกใหม่ในร้านขึ้นมาได้ ลูกค้าเลือดมังกรก็เริ่มเข้ามาเยี่ยมเยียนในร้านมากขึ้น หลังจากที่ก่อนนี้จะเข้ามาเดินวน 1 รอบและแวะดูโปสการ์ดก่อนออกจากร้านไป กลายเป็นมาหยุดขอดูแผนที่ประเทศไทยในภาษาจีนชนิดกันน้ำ พร้อม 5 พื้นที่สำคัญ ศูนย์กลางกรุงเทพ-กลางเมืองเชียงใหม่-พัทยา-เกาะเมืองอยุธยา-เกาะภูเก็ต หรือบางทีก็ขอเปรียบเทียบไกด์บุ๊ค "ไท่กว๋อ" ของ 2 บริษัท ผมจำเป็นต้องปรับโสตเสียใหม่ให้เข้ากับภาษาอังกฤษสำเนียงไชนีสมากขึ้น ... แต่ล่าสุดนี้หนุ่มตี๋ 2 คนก็ยังทำให้ผมงงอยู่ดี เมื่อฟังคำถามหลังจากที่พ่อหนุ่มเงยหน้ามาจากแผนที่ ... "Do you have nakhonpathom map?"

"No." ผมตอบงงๆ ไอ้ที่งงนั้น ไม่ใช่งงคำถามภาษาอังกฤษนั้นนะครับ แต่งงว่าเปิดร้านมา 4 ปีก็เพิ่งเจอพี่นี่แหละ ที่ถามหาแผนที่จังหวัดนครปฐม "May not the big highlight." ผมเพิ่มไปยิ้มๆส่วนในใจบอกว่า "เอาไว้ว่างๆแล้วผมจะลองไปหาดูนะ แผนที่จังหวัดนครปฐมภาษาจีน ... โอ้ พระเจ้า จะไปหาร้านขายข้าวหมูกรอบมันเปลวแสนอร่อยหรือไง พ่อ"

ตัวอย่างของหนึ่งในแผนที่กรุงเทพ เวอร์ชันภาษาจีน

ต่างจากหนุ่มจีนอีกคนหนึ่งที่แต่งกายเรียบร้อย เสื้อแขนยาว ทับชายในกางเกงสแล็ค เพียงแต่ไม่ผูกไทเท่านั้น ชายหนุ่มเข้าร้านมาซื้อแผนที่ภาษาจีนแล้วก็เตรียมหางานทำที่นี่ด้วย อาจจะเป็นครูสอนภาษาจีนตามโรงเรียนหรืออื่นๆ ผมก็ไม่แน่ใจ แต่เท่าที่ผมสังเกตุดูตอนนี้ ลูกค้าไชนีสที่เข้าร้านมา ส่วนใหญ่พูดไทยได้พอควร แถมพูดอังกฤษได้พอประมาณทีเดียว ดูดูไปก็ชักจะกังวลแทนลูกหลานไทยในอนาคต ที่น่าจะเจอกับปัญหากำแพงภาษาเป็นแม่นมั่น ... ก่อนนั้นก็มีหนุ่มใหญ่น่าจะเป็นแขกแถวตะวันออกกลางที่เข้ามาถามหาวิธีการทำธุรกิจในเมืองไทย "คุณรู้ไหม พวกอิสราเอลข้างๆนี่น่ะ เขาทำธุรกิจที่นี่ได้ยังไง"

"ไม่รู้สิ อาจจะเป็นหุ้นส่วนกับคนไทยละมั้ง คุณถามทำไมเหรอ" ผมตอบไปอย่างไม่แน่ใจ เพราะเห็นแต่ธุรกิจต่างชาติที่มี "นอมินี" เต็มไปหมด

"ผมสนใจจะมาหาทางทำธุรกิจที่นี่น่ะ" ชายหนุ่มตอบมา

"ผมแนะนำว่าคุณน่าจะไปปรึกษาทนายความนะ แถวนี้ไม่ค่อยเห็น แต่ผมจำได้ว่าเคยเห็นป้ายโฆษณาสำนักงานทนายความที่รับปรึกษาการทำธุรกิจสำหรับคนต่างชาติ ซื้อขายที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ก็ได้ แถวสุขุมวิทน่ะ มีเยอะ" ผมนึกถึงป้านโฆษณาภาษาอังกฤษที่เห็นเต็มไปหมด แถวสุขุมวิทบ้าง นานาบ้าง

ไม่ต่างจากหนุ่มผิวสีอีกคนที่มาซื้อแผนที่ไปเที่ยวใต้ ไปเกาะสมุย ...

"คุณรู้ไหม รถตุ๊กๆเนี่ยะ ราคาเท่าไหร่" ลูกค้าหนุ่มจากแอฟริกาใต้ถามมา

"ไม่รู้สิ ... คุณถามทำไมเหรอ" ผมอึ้งไปครู่ก่อนถามกลับ

"ผมจะซื้อนะสิ ที่แอฟริกาใต้ผมทำธุรกิจ อยากได้ไปสัก 4-5 คัน" ตอบมาพร้อมยิ้มกว้าง

ผมเลยกวักมือเรียกมานั่งดูอินเตอร์เน็ตที่หน้าจอ เมื่อเสิร์ชขึ้นมา ก็เจอข้อมูลผู้ผลิต แถวอ้อมน้อยบ้าง ต่างจังหวัดบ้าง ราคาประมาณ 150000-180000 บาท บางเจ้าก็ 200000 บาทขึ้นไป แล้วแต่แบบ

"กี่ดอลลาร์น่ะ คุณคิดหน่อยสิ" ชายหนุ่มดูตัวเลขกระพริบตาปริบๆ พอดีเว็บไซต์พวกนั้นเป็นภาษาไทย

"ผมคิดให้ ดอลลาร์ละประมาณ 30 บาทนะ ... นี่ 5000-6000 ดอลลาร์" ผมจิ้มเครื่องคิดเลขให้ดู

"อู้วววว ... แพงน่ะ ... ถูกกว่านี้ไม่มีเหรอ" ลูกค้าส่ายหน้าทำตาโต

ผมไล่เว็บต่อ "อ้า ... นี่ เจอแล้ว 80000 บาท แต่มันเป็นยูสคาร์น่ะ" ผมชี้ให้ดูพร้อมบอกชื่อจังหวัดหนึ่งในภาคอีสานไปให้จากหน้าเว็บ

"โน โน ไม่เอายูสตุ๊กๆ ... แพงอ่ะ ถ้าราคา 5000-6000 ดอลลาร์อย่างนั้น ผมซื้อรถจากญี่ปุ่นดีกว่า รถบีเอ็มมือสอง สภาพดีๆ ราคาไม่ถึง 10000 ดอลลาร์ก็มีนะ คุณลองดูที่เว็บนี้สิ" ลูกค้าทำท่านึกอยู่พักหนึ่งก่อนบอกมา www.cartradeview.com

"นี่เห็นไหม มีรถให้เลือกเต็มไปหมด ถ้าเครื่องใหญ่-กินน้ำมันก็อาจจะราคาถูกหน่อย แต่ถ้ารุ่นใหม่ๆเครื่องเล็ก-กินน้ำมันน้อยลง ราคาก็จะแพงมากขึ้น นี่ไงคุณลองดูสิ มีเมนูให้เลือกราคาตั้งแต่ 2000-20000 ดอลลาร์เลย ... ถ้ารถตุ๊กๆเมืองไทยแพงขนาดนั้น ผมซื้อรถเก๋งมือสองจากญี่ปุ่นดีกว่า"

หลังจากที่ดูรถมือสองจากญี่ปุ่นอยู่พักใหญ่ ผมก็อึ้งไปเลย มันก็คงเหมือนๆกับเต๊นท์รถมือสองบ้านเรานั่นแหละ เพียงแต่ว่าเต๊นท์ไหนที่จะขายในอินเตอร์เน็ตอย่างเป็นล่ำเป็นสันเหมือนที่ญี่ปุ่นเท่านั้น ยังไงก็แล้วแต่ หนุ่มผิวหมึกก็ได้ขอจดที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ของบริษัทที่ขายรถตุ๊กๆเหล่านั้นไปหลายที่ ทั้งกรุงเทพและต่างจังหวัด

ก่อนจากกันลูกค้าบอกผมว่าเขามาจาก "ประเทศสาธารณะรัฐแอฟริกาใต้" ที่นั่นสวยมา อากาศดี ต้นไม้เขียวครึ้ม เรามี "เมืองโจฮันเนสเบิร์ก" หนึ่งในเมืองที่สวยงามที่สุดในโลกด้วย ถ้าคุณมีโอกาสให้ลองไปเที่ยวดู แล้วคุณจะติดใจ ... ผมเอ่ยขอบคุณที่ชวนพร้อมกับสัมผัสมือกับลูกค้าก่อนจากกัน

เจตตจัน

085-8035412

087-0719858

jettajan227@yahoo.com

ปล. ค่ำวันนั้น ลูกค้าชาวเยอรมันคนหนึ่งมาฝากส่งโปสการ์ด 3 ฉบับ ผมมองดูโปสการ์ดแล้วยกนิ้วให้ลูกค้า รับปากว่าจะหยอดตู้ให้ หวังว่าคงจะไปได้ถึงปลายทาง

ลายมือเรียบร้อย จ่าหน้าชัดเจนไม่มีข้อบกพร่อง ขนาดกว้าง-ยาว ใกล้เคียงมาตรฐานไปรษณีย์ ... แต่ ...

พี่แกเล่นเอากระดาษกล่องลูกฟูกมาทำโปสการ์ด ลวดลายกล่องบอกความอาร์ตอย่างถึงขนาด แถมด้วยเทปใสปิดทับด้านภาพทั้งแผ่น คลุมขอบ 4 ด้าน เป็นโปสการ์ดโลว์คอสต์ที่ "Cool" สุึดๆไปเลย ... เอาวะ จะถึงหรือไม่ถึงปลายทางที่เยอรมัน ก็วัดดวงละกัน เฮ้อออ ...




Create Date : 05 พฤษภาคม 2556
Last Update : 5 พฤษภาคม 2556 21:04:37 น. 1 comments
Counter : 3858 Pageviews.

 
Thx u crab!


โดย: Kavanich96 วันที่: 6 พฤษภาคม 2556 เวลา:5:39:20 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jettajan
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add jettajan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.