Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2556
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
11 พฤษภาคม 2556
 
All Blogs
 
ร้านหนังสือในข้าวสาร ... ตอน แท็กซี่กะดึก

สวัสดีครับคุณผู้อ่านทุกท่าน ยินดีที่ยังมีชีวิตอยู่ ยังครบ 32 กินได้ นอนหลับ และได้มีโอกาสมาเขียนบล็อกเล่าเรื่องเรื่อยเปื่อยจากร้านหนังสือในถนนข้าวสาีร มาให้ได้อ่านกันอีก หลังจากที่ย่างผ่านเดือนเมษายนเข้าสู่เดือนพฤษภาคมเต็มตัว ก็ได้แต่หวังว่าอากาศจะคลายร้อนและมีฝนตกลงมาสร้างความชุ่มฉ่ำให้กับชาวเรากันบ้าง บรรเทาความแล้งให้โดยเฉพาะพื้นที่เกษตรกรรมต่างจังหวัดที่ไม่สามารถจะไปคาดหวังกับบรรดาผู้แทนราษฎรอันทรงเกียรติได้ ... โดยเฉพาะบทสัมภาษณ์ออกสื่อที่บอกว่าให้อดทนอีกนิด เดี๋ยวเข้าสู่หน้าฝนก็จะมีน้ำให้เพาะปลูกกันได้เหมือนเดิม ... ผมอ่านข่าวแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจว่าจะให้ท่านรับเงินเดือนจากภาษีของผมทำไมกันหนอ สู้เอาเงินไปถวายวัดพระบาทน้ำพุ ดูจะได้บุญกุศล หรือมีประโยชน์มากกว่า

ครับ ... นอกเรื่องกันมาซะยาว ก็กลับเข้ามาในร้านหนังสือกันดีกว่า ในภาวะที่ลูกค้าน้อยลงๆ พากันหลบร้อนออกไปจากบ้านเรา แต่ร้านหนังสือยังคงเปิดอยู่ครับเพื่อต้อนรับลูกค้าเหล่าแบ็คแพ็คเกอร์ที่มาเที่ยวในงบประมาณจำกัด และเรายังมีหนังสือให้เลือกชม เลือกเปลี่ยนกันได้ไม่มากก็น้อย ทั้งไกด์บุ๊คภาษาต่างประเทศ ทั้งเฟรสบุ๊ค แผนที่และหนังสืออ่านเล่นมากมายหลายภาษา ... ผมเคยลองนับไปนับมาดูแล้วพบว่าที่ร้านมีหนังสือปะปนกันได้ถึง 14 ภาษา ไม่รวมเศษเล็กๆน้อยๆภาษาละเล่ม 2 เล่ม เช่น กรีซ เช็ค ตากาล็อก นับว่าแปลกเหนือความคาดหมายไปหลายขุมเหมือนกัน

วันก่อนผมเพิ่งไ้ด้หนังสือภาษารัสเซียนมา 2 เล่ม ปกแข็งรูปเล่มน่าอ่านดี ภาษาหลักบนปกนั้นดูแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นภาษารัสเซีย แต่ภาพบนปกนี่สิที่บ่งบอกความเป็นญี่ปุ่นออกมาอย่างชัดเจน แถมเล่มที่มีหน้าปกเป็นภาพสถานีรถไฟยังมีตัวหนังสือภาษาญี่ปุ่น 2 แถวพิมพ์ในแนวตั้งชิดขอบปกด้านขวาอีกด้วย พร้อมกับที่ตัวอักษรบนปกพิมพ์ไว้ชัดเจน "Харуми Мураками"

..... สัญชาติญาณบอกว่า "มูราคามิ" ล้านเปอร์เซ็นต์ ... ผมพลิกดูหน้าในก็พบกับความจริงว่าสิ่งที่ผมเดานั้นไม่ผิดไปเลย เล่มซ้ายเป็นสารคดี "Underground 2" เรื่องเกี่ยวกับเหตุแก๊ซพิษในสถานีรถไฟใต้ดินซึ่งเกี่ยวเนื่องกับลัทธิโอมชินริเคียว (เป็นเล่ม 2 ซึ่งเขียนไว้ตั้งแต่ปี 1998 ต่อจากเล่ม 1 ที่เขียนไว้ในปี 1997) แต่พิมพ์เป็นเวอร์ชันภาษารัสเซียเล่มนี้ในปี 2006

ส่วนอีกเล่มหนึ่งซึ่งหน้าปกเป็นภาพหญิงสาวออฟฟิศก้าวเท้าลงบนเส้นเชือกที่พาดผ่านบนยอดตึก น่าจะเป็นรวมเรื่องสั้นเล่มใหม่ "Tokyo Kitanshu" ซึ่งเพิ่งเขียนในปี 2010 และแปลเป็นภาษารัสเซียนในปี 2011


"Yakusoku-sareta basho-de (Andaguraundo 2)" และ "TOKYO KITANSHU" โดยฝีมือรจนาของ Haruki Murakami

ขณะที่ผมนั่งตบแต่งมุมหนังสืออยู่อย่างเงียบๆ ลูกค้าสาวชาวจีนคู่หนึ่งก็เปิดประตูก้าวเข้ามาในร้านถามหาโลนลีแพลนเน็ตอินเดีย ซึ่งผมเหลือแต่ฟุตปริ๊นท์มือสองปกแข็งปี 2009 กับดิสโคเวอร์อินเดีย 2011 ฉบัีบใหม่มือหนึ่งอยู่ 2 เล่ม หญิงสาวร่างอวบหน้าบ้องแบ๊วหยิบมาพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก็ตกลงใจแลกกับโลนลีแพลนเน็ตอินโดนีเซีย 2010 ปีล่าสุดพร้อมจ่ายเงินเพิ่มอีกเล็กน้อย

"I just applied Indian visa on last week, do you think it's the ggod idea to go there now? ... ฉันเพิ่งขอวีซ่าอินเดียไปเมื่อสัปดาห์ก่อน คุณว่าฉันไปอินเดียช่วงนี้ดีไหม" อาหมวยจากจีนแผ่นดินใหญ่ถามมา

ผมช้อนสายตาขึ้นสบตาเธอ แล้วชำเลืองไปทางเพื่อนสาวร่างผอมที่มาด้วยกัน "คุณไปกันกี่คนล่ะ เพื่อนคุณไปด้วยกันหรือเปล่า ถ้าไปกันหลายคนก็น่าจะโอเคนะ"

"She doesn't go with me. She take leave just 1 month to come here in thailand. เธอไม่ได้ไปด้วย เพื่อนฉันลางานมาเที่ยวเมืองไทยนี่แค่ 1 เดือน วันลาเธอไม่พอ" เธอตอบยิ้มๆ แต่แววตากังวล

"คุณกังวลกับข่าวช่วงก่อน ทั้งบนรถเมล์และข่าวเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวต่างชาติคู่นั้นน่ะ ใช่ไหม" ผมถามไปพร้อมกับสบตาเธอ

"Yes, I feel worry about those news.  Actually I want to go to India, but safety is the first priority. ... ใช่ ฉันไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่กับข่าวพวกนั้น จริงๆแล้ว ถึงแม้ว่าฉันอยากไปเที่ยวที่อินเดียมากแค่ไหน แต่เรื่องความปลอดภัยก็เป็นเรื่องสำคัญอันดับแรกแน่ๆ" เธอตอบมา

"เท่าที่ผมเคยถามๆลูกค้ามา ผู้ชายไม่มีปัญหาแน่นอน ไม่ว่าจะไปคนเดียวเดินเดี่ยว ขี่จักรยาน นาน 5-6 เดือนจนถึง 4-5 ปี ... แต่สำหรับผู้หญิงแล้ว ไม่ง่ายเลย พวกเธอมักจะบอกกับผมในประโยคเดียวกันว่า "It's not easy to travel there in India by 1 lady. ว่าแต่คุณไม่มีเพื่อนผู้ชายหรือแฟนมาด้วยกันเลยเหรอ" ผมตอบพลางถามย้อนกลับไป

"ไม่มี ... ทำไมเหรอ" เธอถาม

"อย่างน้อย ถ้ามีเพื่อนผู้ชายหรือแฟนของคุณไปด้วยกัน ก็น่าจะปลอดภัยมากขึ้นน่ะ เพราะเท่าที่เห็นลูกค้าที่ไปเป็นคู่ก็ดูปลอดภัยดี ... แต่แน่ละ คุณก็ต้องดูแลตัวเองแล้วก็แผนเดินทางก็อาจจะต้องคุยกันก่อน แน่นอนมันไม่เหมือนกับบินเดี่ยวอยู่แล้ว" ผมตอบ

"เหรอ ... แล้วฉันจะหาเพื่อนร่วมทางที่ไหนดีละเนี่ย" เธอทำหน้าขมวดคิ้ว

"ก็ระหว่างที่รอวีซ่าอยู่นี่ คุณลองถามๆดูแถวข้าวสาร หรือไม่ก็ระหว่างการเดินทางขึ้นเหนือของคุณก็ได้นี่ คุณยังพอมีเวลาหาเพื่อนร่วมทางได้อีกหลายสัปดาห์ก่อนออกเดินทาง ใช่ไหม ... คุณอาจจะหาเพื่อนร่วมทริปไปอินเดียได้ก็เป็นได้นะ" ผมลองแนะนำดู

"อื้อ ดีเหมือนกัน ถ้างั้่นฉันให้อี-เมล์กับคุณไว้ได้ไหม เผื่อคุณมีลูกค้าซื้อหนังสือที่จะไปอินเดียเร็วๆนี้จะได้ส่งเมล์บอกฉันได้" เธอบอกพร้อมกับจดข้อมูลลงในกระดาษใบเล็กให้ผม ... เธอชื่อ "Liu - หลิว"

ผมหัวเราะพร้อมกับรับเศษกระดาษจากเธอ "ได้ๆ ถ้ามี เดี๋ยวส่งให้"

คล้อยหลังไป 2 วัน ตอน 2 ทุ่ม "หลิว" กลับมาอีกพร้อมกับเพื่อนสาวร่างผอมคนเดิม เธอนั่งลงที่ร้านพร้อมกับแผนที่กรุงเทพวางแบบนโต๊ะ ถามผมว่า

"สวัสดี ... คุณช่วยหน่อยสิ เราอยากไปที่นี่น่ะ "Asiatique" น่ะ ... มันอยู่ไหน ไกลม๊ะ" เธอว่าแล้วชี้ไปที่ตัวหนังสือในแผนที่

ผมชำเลืองดูนาฬิกา "คุณมาช้าไปแล้ว ตอนนี้เรือหมดแล้ว เหลือแต่รถแท็กซี่กับรถเมล์เท่านั้น แล้วรถเมล์ก็ไม่ใช่สายตรงด้วย ต้องต่อรถหลายต่อ ... อ้อ แล้วก็รถไฟฟ้าก็ไปได้ แต่ต้องต่อหลายต่อเหมือนกัน"

"เราไม่ไปแท็กซี่น่ะ คุณรู้ไหม เขามักจะเรียกราคาแพง" หลิวว่ามาพร้อมบ่นพึมพำ "มีทางอื่นไหม"

"มี แต่หลายต่อน่ะ จริงๆผมแนะนำว่าคุณควรไปแต่เย็นนะ ออกจากที่นี่สัก 5-6 โมงเย็น ขึ้นเรือที่ท่าพระอาทิตย์ แป๊บเดียวก็ถึงท่าน้ำสาทร แล้วคุณก็รอเรือ "Shuttle boat" ฟรีจากท่าน้ำสาทรไปที่เอเชียทีค ไม่ต้องเสียเงิน ... พรุ่งนี้ดีกว่าไหม" ผมถามอาหลิวไป

"พรุ่งนี้เย็น เราไปเชียงใหม่แล้ว เขาบอกว่าที่นี่สวยดี โดยเฉพาะตอนค่ำ" เธอว่าพร้อมส่ายหน้า

"ใช่ ... โดยเฉพาะตรงท่าน้ำ เขาพยายามทำให้มันคล้ายๆกับ อ่าววิคตอเรียที่ฮ่องกง ตอนกลางคืนน่ะ มองไปฝั่งตรงข้ามก็จะเห็นวิว กลางคืนพร้อมแสงไปเรียงราย" ผมตอบไป


เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ ... ดูท่าว่าการตลาดค่อนข้างดี เพราะเปิดมาไม่เท่าไหร่ ลูกค้าต่างชาติถามหากันบ่อยๆ ... ของเขาดีจริง

"น่าเสียดายจัง" อาหลิวถอนหายใจลึก หลังจากคุยเบาๆอยู่กับเพื่อนของเธอ

ผมมองเงียบๆอยู่พักใหญ่ "เอางี้" ผมกระแอม "ถ้าผมไปส่งคุณที่สถานีรถไฟฟ้าตากสิน แล้วคุณนั่งรถไฟฟ้าข้ามฝั่งไปสาทร ก่อนจะเดินมาขึ้นเรือไปเอเชียทีค แล้วคุณก็จ่ายค่าน้ำมันให้ผมนิดหน่อย คุณคิดว่าไง" ... ส่วนในผมบอกว่า "เอาวะ ไหนๆก็ไม่ค่อยมีลูกค้าแล้ว ไปขับรถเล่นแล้วแวะกินก๋วยเตี๋ยวเป็ดที่หน้าสถานีรถไฟวงเวียนใหญ่ดีกว่า ไม่ได้ไปกินตั้งนานแล้ว"

"ดีสิ ว่าแต่ทำไมคุณไม่ไปส่งเราที่นั่นเลยล่ะ" อาหลิวถามมา ตาเป็นประกาย

ผมส่ายหน้าตอบไป "ไม่อ่ะ ... รถติดมาก คุณแค่นั่งรถไฟฟ้าข้ามไปสถานีเดียว 20-30 บาทละมั้ง"

"รถไฟฟ้าที่นี่แพงน่ะ สถานีเดียวที่ปักกิ่งแค่ 10 บาทเอง" เธอกล่าวแล้วถามต่อมาว่า "ถ้าเป็นที่ท่าน้ำสาทร คุณไปส่งเราได้ไหม"

ผมเช็คตารางเวลาเปิด-ปิด ของท่าน้ำสาทรจากอินเตอร์เน็ตแป๊บนึงก็ตอบเธอไป "ได้สิ เวลาเหลือ ท่าน้ำยังไม่ปิด"

"ตกลง งั้นเราไป คุณคิดเท่าไหร่" อาหลิวถามราคาแท็กซี่สมัครเล่นมา

"คุณให้เท่าไหร่ล่ะ" ผมถาม อาหลิวหันไปคุยกับเพื่อนแป๊บนึงก่อนบอกราคามา มันเป็นราคาที่ตุ๊กๆปฏิเสธแน่นอน

"ไม่ได้หรอก ราคานั้น เพราะขากลับผมไม่มีผู้โดยสารนะ ไม่เหมือนตุ๊กๆหรือแท็กซี่" ผมส่ายหน้าปฏิเสธยิ้มๆ ก่อนที่อาหลิวจะหันกลับไปคุยใหม่กับเพื่อน 

"เราไปไม่เกินเท่านี้ล่ะ" เธอบอกราคาสุดท้ายมา

"โอเค" ผมยิ้มแล้วพยักหน้าตกลง พาทั้งคู่เดินออกไปจากร้านแล้วไขกุญแจปิดประตูกระจก ปฏิบัติหน้าที่ของแท็กซี่กะดึก ... ไม่ถึง 15 นาที ผมจอดรถตรงทางเดินหน้าบริษัทเสริมสุขที่ทะลุออกท่าเรือข้ามฟากสาทรพร้อมกับชี้มือบอก 2 สาว

"คุณเดินเข้าไปทางนี้นะ นั่งเรือข้ามฟากไปรอเรือของเอเชียทีคที่ฝั่งโน้น"

สาวหลิวพยักหน้ายิ้ม กล่าว "ขอบคุณค่ะ" ก่อนจะสัมผัสมือกับเธอ กลิ่นอิซเซย์ มิยาเกะโชยแผ่วยามดึก ...

เอ้า ... ใครจะไปอินเดียบ้างครับ มีอาหมวยรอหาเพื่อนเดินทางไปด้วยหนึ่งคน

... ถ้าไม่มีใครไป เดี๋ยวผมปิดร้านไปเองก็ได้ ... เขาจะหาว่าคนไทยไม่มีน้ำใจ หุหุ

(หัวเราะแบบมีเลศนัย)

เจตตจัน
085-8035412
087-0719858่
jettajan227@yahoo.com

ปล. เดือนก่อนมีสาวหมวยมาฝากส่งโปสการ์ดไปจีน 5 ใบ เป็นโปสการ์ดกระดาษสาสีสี 3 ใบ และกระดาษอาร์ตอีก 2 ใบ


1 ใน 2 โปสการ์ดกระดาษอาร์ทจากปาย ... แม่คุณปั๊มตราประทับซะเปรอะไปหมด


3 ใบนี้เป็นกระดาษสา 3 สี ลายเส้นวาดง่ายๆ ดูสวยงามแบบเบสิค มาไกลจากเมืองนอกเมืองนา


"โปสการ์ดสี่แผ่นดิน" ... พลิกดูด้านเขียน 3 ใบนั้นมีตัวอักษรพิมพ์ไว้ชัดเจน "Made in Nepal" เข้าใจว่าเป็นโปสการ์ดที่เดินทางไกลจากเนปาล ดินแดนต้นกำเนิดแห่งศาสนาพุทธ ผ่านเข้ามาวางขายในอินเดีย ก่อนที่จะถูกบริษัท "มิตรา กิ๊ฟท์ช็อป จำกัด" บริษัทที่จำหน่ายสินค้า-ของที่ระลึกจากประเทศอินเดีย นำเข้ามาขายในประเทศไทย และนักท่องเที่ยวสาวชาวจีนซื้อ-ประทับตราแสตมป์ไทย ส่งกลับไปที่ประเทศจีน



Create Date : 11 พฤษภาคม 2556
Last Update : 11 พฤษภาคม 2556 15:53:54 น. 0 comments
Counter : 1826 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jettajan
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add jettajan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.