ดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้ครับ//www.khaosanroad.com/index.php/en/component/content/article/258-khao-san-road-community/848-qmiracle-smile-thailandq-on-khao-san-roadผมเองจำได้ว่าปีก่อนๆนี้ ที่เริ่มมีการปิดถนน จัดงานประเภทถนนคนเดิน มีออกร้าน ขายของพร้อมเวทีการแสดง+ดนตรี ปีแรกๆวงดนตรีเป็นไอ้แบบที่ตะโกนร้อง-เสียงแหบๆ เลิกประมาณเกือบเที่ยงคืน เป็นที่ปวดเศียรเวียนเกล้ามาก เพราะวันรุ่งขึ้นเป็นวันจันทร์ที่ต้องทำงาน ได้แต่ถามอยู่ในใจว่า "เมื่อไหร่มันจะเลิกสักที" แต่พอปีหลังๆมาวงดนตรีค่อนข้างจะถูกใจ เพราะเพลงซอฟท์ลง บางทีก็เป็นเรกเก้บ้าง แจสบ้าง ปีนี้ก็เห็นเป็นแจสแมนกันเยอะ น่าจะโอเคเมื่อวานนี้หนุ่ม-สาวลอนดอนเนอร์คู่หนึ่ง ย้อนกลับมาที่ร้านหลังจาก 2 สัปดาห์ก่อนทั้งคู่เข้ามาซื้อโลนลีแพลนเน็ต "Discover Thailand" มือสองไป 1 เล่ม หญิงสาวนั้นเป็นคนเลือกหนังสือ ส่วนชายหนุ่มเป็นคนชำระค่าหนังสือ กิริยามารยาทและการพูดจานั้นดูดีมีระดับอย่างไม่อาจปฏิเสธ
ทั้งคู่เลือกซื้อหนังสือไป 4 เล่ม เป็นสมุดภาพ 2 เล่มของแนนซี แชนด์เลอร์ อาทิสต์ชาวอเมริกันซึ่งทำแผนที่โดยใช้ลายเส้นกับการระบายสีเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ
ส่วนอีก 2 เล่ม นั้นเป็นหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนาของสำนักพิมพ์ซิลค์เวอร์ม
ทั้งคู่นั้นกำลังจะกลับอังกฤษในวันพรุ่งนี้ จึงมาเลือกซื้อหนังสือกลับไป แต่ที่สะดุดตาผมนั้นกลับเป็นต้นชวนชมในกระถางพลาสติกใบเล็กสีดำที่คล้องติดเอวของหญิงสาวอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้ว่าเธอไปซื้อมาจากไหนแต่ที่ขายต้นไม้ใกล้สุดก็น่าจะเป็นเทเวศร์ ... กระถางนั้นมีดอกอยู่ 1 ดอก เธอบอกว่าชอบมันและจะเอากลับไปปลูกที่อังกฤษ ก่อนออกจากร้าน ผมถามไปว่าเธอจะเอาหนังสือมาคืนหรือเปล่า เธอบอกว่าไม่ เธอจะเก็บไว้เป็นที่ระลึก
เธอทำให้ผมนึกถึงหญิงสาวลอนดอนเนอร์อีกคนหนึ่งซึ่งเดินเข้าในร้านเมื่อประมาณ 3 เดือนก่อน เธอบินเดี่ยวออกนอกอังกฤษเป็นครั้งแรกในชีวิตเพื่อมาเที่ยวเมืองไทย โดยเลือกไปที่เกาะช้างประมาณ 2 สัปดาห์ หลังจากนั้นเธอย้อนมาที่กรุงเทพ ก่อนจะผ่านขึ้นเหนือไปประมาณ 1 เดือนตามแผนเธอถามหาแผนที่ชายทะเลภาคตะวันออก พร้อมกับหนังสือไกด์บุ๊คเที่ยวภาคเหนือ โดยเฉพาะแผนที่นั้น เจาะจงว่าต้องมีเกาะช้างด้วย"คุณเพิ่งมาจากเกาะช้างและจะไปเที่ยวภาคเหนือต่อไม่ใช่หรือ แล้วจะเอาแผนที่ชายทะเลตะวันออกไปทำไม" ผมถามพลางค้นหาแผนที่ในแป้นหมุน"ฉันจะกลับไปที่เกาะช้างอีกน่ะ" เธอตอบอมยิ้มผมเลิกคิ้วสูงถามไป "ชายหาดสวยถูกใจคุณใช่ไหมล่ะ""ก็ใช่" เธอว่า "แต่มันไม่ใช่เหตุผลหลักหรอก""แล้วอะไรถูกใจคุณล่ะ" ผมถามยิ้มๆ"ฉันอยากไปเจอหมาตัวนึงที่เกาะนั้นอีกน่ะ คุณรู้ไหม มันน่ารักมากเลย ฉันให้อาหารมันแล้วหลังจากนั้นมันก็ตามฉันไปทุกที่ตลอด 2 สัปดาห์" เธอว่าผมฟังพร้อมหัวเราะเงียบกริบในใจ "หมา-แมว ที่ไหนก็เหมือนกันละมั้ง ใครให้อาหารมัน มันก็เดินตามทั้งนั้นแหล่ะ ตามตลาดก็มี วัดก็มี เยอะแยะไป"เธอกล่าวต่อ "เนี่ย ฉันว่าจะพามันกลับไปอังกฤษด้วย หลังจากกลับมาจากภาคเหนือแล้ว ฉันจะไปตามหามัน คุณรู้ไหมว่าฉันต้องทำยังไงบ้าง ถึงจะพามันกลับไปเลี้ยงที่อังกฤษได้"ผมเห็นท่าจะเอาจริง เลยแนะนำว่าเธอควรจะต้องเข้าไปลองเช็คในอินเตอร์เน็ตดูอีกที แต่ที่แน่ๆผมเดาว่าควรจะต้องมีการตรวจสุขภาพของหมาโดยสัตว์แพทย์ ... แต่ปัญหาใหญ่คือ เธอจะไปตามหามันเจอหรือเปล่าเท่านั้นผมเปิดให้ดูแผนที่เกาะช้าง แล้วถามว่าเธอจำได้หรือเปล่าว่าพักที่ไหน หาดอะไร เธอขมวดคิ้วพลางส่ายหน้าบอกว่าจำไม่ได้ ผมเลยบอกให้ลองเช็คดูว่ามีนามบัตรโรงแรมติดตัวมาด้วยหรือเปล่า เธอคุ้ยๆสิ่งของในย่ามสะพายอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนจะได้กระดาษยับยู่ยี่มา 1 ใบ ผมคลี่ออกดูพบว่ามันเป็นใบเสร็จรับเงินของเกสต์เฮาส์แห่งหนึ่งใน "หาดไก่แบ้" จึงชี้ลงไปในภาพชายหาดทิศตะวันตกของเกาะช้างในแผนที่ มองหน้าเธอแล้วเอ่ยว่า "ที่รักของคุณอยู่ที่นี่"เธอยิ้มกว้างอย่างดีใจ พลางกล่าวขอบคุณหลายครั้ง ก่อนจะจ่ายเงินค่าแผนที่และหนังสือโลนลีแพลนเน็ตไทยแลนด์ไป 1 เล่ม ... ที่เหลือก็แล้วแต่โชควาสนาของเอ็งแล้ว เจ้าหมาโชคดี ... ผมโบกมือพร้อมอวยพรให้เธอเดินทางโดยสวัสดิภาพ พร้อมโชคดีในการตามหาเจ้าหมาน้อยตัวนั้น..........กลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา หญิงสาว 2 คน กับเด็กชายอีก 1 คน ใช้เวลาค่อนวันช่วยกันทำ "ข้าวราดกระเพราหมูสับกับไข่เจียว" หลายสิบกล่องหอบขึ้นรถตุ๊กๆจากบางลำพูไปที่เชิงสะพานพระปิ่นเกล้า มอบให้กับผู้ดูแลเต๊นท์ที่ตั้งเพื่อบริจาคให้กับผู้ประสพภัยน้ำท่วมบริเวณนั้นหญิงสาวเจ้าของวันเกิด บอกว่ารู้สึกดีอย่างประหลาด ที่ได้ทำอะไรดีๆสักอย่างให้กับคนอื่นบ้าง หลังจากชายกลางคนหันมายกมือไหว้พร้อมกล่าวขอบคุณที่นำอาหารมาบริจาค ก่อนจะช่วยกันกับอาสาสมัคร ทำการขนกล่องข้าวลงเรือยนตร์ออกไป ... แม้แต่รถตุ๊กๆที่พาไป-กลับ ก็ไม่คิดเงินเหมือนอาการติดเชื้อ อีก 2-3 วันถัดมา โดยไม่ต้องรอวันเกิด ใครบางคนที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ ก็ตื่นไปตลาดแต่เช้า ตระเตรียมอุปกรณ์ วัตถุดิบสำหรับข้าวราดไข่เจียวเกือบร้อยกล่อง หลังจากไข่ที่ซื้อมาไม่พอ ต้องกวาดจากตู้เย็นจนเกือบหมด พร้อมกับข้าวสารหมดถัง โดยความช่วยเหลือจากหญิงสาวอีกคนและเด็กชายคนเดิม เริ่มเจียวไข่ตั้งแต่สายๆ กว่าจะเสร็จก็เกือบ 6 โมงเย็น ใส่รถตุ๊กๆคันใหม่ให้ไปส่งที่เต๊นท์เดิม ... แม้รถตุ๊กๆจะคิดเงิน ก็ไม่ทำให้ความอบอุ่นในใจนั้นลดลง ... เพราะมีหญิงชราพร้อมกับรอยยิ้มร่วมทางไปอีก 1 คนถึงแม้สายน้ำที่ท่วมอยู่จะเยียบเย็น หรือสายลมหนาวที่พัดผ่านจะบาดผิวกาย แต่หัวใจหลายๆดวงก็ยังคงอุ่น และไม่แห้งแล้งจนเกินไป
..... from a birds eye view, I can see we are family .......... from a birds eye view, I can see you are just like me ....."The world as I see it" by Jason Mrazhttps://www.youtube.com/watch?v=wfXrvN7jm_g