Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2556
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
13 กรกฏาคม 2556
 
All Blogs
 
ร้านหนังสือในข้าวสาร ... ตอน Escape !!!

สวัสดีครับคุณผู้อ่านที่รักทุกท่าน ด้วยความยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งกับเรื่องเล่าฆ่าเวลาจากร้านหนังสือในข้าวสาร ร้านหนังสือไกด์บุ๊คเล็กๆสุดถนนข้าวสารฝั่งตะวันตก (ถ้าวางทิศทางตรงตามแผนที่ โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่หน้าร้าน) เพราะทิศเหนือจะเป็นทางที่เดินตามถนนจักรพงษ์ขึ้นไปทางสี่แยกบางลำพู ทิศใต้จะตรงไปทางกองสลากหรือกรมประชาสัมพันธ์เก่า ข้ามถนนไปทางสนามหลวงและจะเห็นวัดพระแก้วจากมุมไกลสุดสายตา ผ่านไปเหนือทุ่งพระเมรุหญ้าเขียวขจีสวยงามมาก หน้าร้านนั้นหันไปทางทิศตะวัออก เพราะถ้ายืนบนฟุตบาทชิดถนนจะสามารถมองตรงดิ่งเข้าไปจนสุดถนนข้าวสารเห็นป้ายโฆษณาเบอร์เกอร์คิงที่ปลายถนนข้าวสารอีกด้านหนึ่ง ตอนเช้าๆพระอาทิตย์ขึ้นก็จะโผล่ขึ้นตรงกลาง ขนาบด้วยตึกแฟลตตำรวจทางด้านซ้าย และตึกผับกัลลิเวอร์ทางด้านขวา ... องศาจะเยื้องต่างกันตามฤดูกาล บางฤดูพระอาทิตย์จะขึ้นจากกลางขนาบของ 2 ตึก แต่บางฤดูจะเบี่ยงบ้าง เยื้องไปทางตึกแฟลตโรงพัก เพราะว่าโลกเอียง

บรรยายซะละเอียดยิบยังกับเรียนวิชาการทำแผนที่ก็ไม่ใช่อะไรหรอกครับ เพราะว่าหลายสัปดาห์ก่อนกระถางบอนแดงลายปลาโดนอุ้มหายไปเฉยๆ ผมมาเจอตอนเช้า ก็ยังแปลกใจอยู่ว่าหายไปไหนทั้งกระถาง น้ำหนักก็ไม่ใช่เบาๆ พอค่ำวันถัดมาก็ไปเจอแตกเป็นเศษวางซ้อนกันอยู่ข้างร้าน วางกองอยู่กับถุงขยะและต้นบอนกำใหญ่ๆ ใบแดงเหี่ยวสลดติดกับเศษดิน ผมเดาว่ากระถางคงแตกจาก "มือที่มองไม่เห็น" หลังจากนั้นก็มีพลังอะไรสักอย่างจาก "ใครบางคน" นำเอาเศษกระถางที่เหลือพร้อมกับกำของต้นบอนเหี่ยวสลดมาโยนไว้ที่กองขยะ ... ผมพยายามมองแบบโลกสวยเข้าใจว่ามอเตอร์ไซค์อาจจะเฉี่ยวชนแตกแล้วคนกวาดถนนของ กทม. อาจจะรวบรวมไปไว้ที่กองขยะก็ได้

... เช้าวันรุ่งขึ้น ผมหากระถางเก่าได้ 1 ใบขนาดพอๆกันจากดาดฟ้าชั้น 4 มันเป็นสีแดงไม่สวยอะไรมีดินแห้งปนขี้แมวค้างอยู่ค่อนกระถาง ทำการยกลงมาที่หน้าร้านและปลูกบอนแดงกำนั้นลงไปใหม่ หน่อไหนที่สลดดูไม่ไหวแล้ว ผมก็แยกทิ้งไป เหลือไว้แต่หน่อที่พอไหว พรวนดินใหม่หาไม้มาปักพยุงพร้อมกับผูกเชือกประคองไม่ให้ใบสลดระลงกับดิน ใส่ปุ๋ยและรดน้ำจนชุ่มเช้า-เย็น ... รอ ...

... เหมือนฟ้าผ่ากลางแจ้ง ... วันรุ่งขึ้น กอบอนถูกรื้อออกมากระจายอยู่หน้าร้านปะปนอยู่กับเศษดิน ... กระถางหายไป ??? ...

เช้าวันนั้น ผมประสานมือสองข้างอยู่หลังศรีษะ ยืนนิ่งๆอยู่อย่างนั้น พร้อมกับพยายามจินตนาการหาสาเหตุว่า "เราทำอะไรพลาดไปหรือเปล่า เช้าใส่บาตรทันบ้าง ไม่ทันบ้างแล้วก็ขับรถไปทำงาน เย็นกลับมาเฝ้าร้าน รดน้ำต้นไม้ ทิ้งขยะ ปิดร้าน ..." มองเหม่อออกไปทั้ง 3 ทิศ เหนือ-ใต้-ตะวันออก และกระพริบตาปริบๆ อย่างไม่ได้คำตอบ ก่อนตัดสินใจครั้งสำคัญ ... "ย้ายบ้านหนี !!!"

....................................................................

ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง สหรัฐอเมริกาเจอคลื่นความร้อนระดับสูงสุด หลายพื้นที่ในเขตตะวันตกเฉียงใต้อุณหภูมิพุ่งสูงขึ้นเกือบแตะ 50-60 องศาเซลเซียส ผู้คนหลบร้อนไปทะเลกันเต็มหาด ถ้าเศรษฐกิจดีๆ เงินคล่องมือมากกว่านี้ คงหนีร้อนมาเที่ยวบ้านเรากันเต็มไปหมด เหมือนกับพวกคนแก่ชาวยุโรปวัยเกษียณที่มาปักหลักยาวอยู่แถวเชียงใหม่กันเต็มเมือง เรียกว่าย้ายถิ่นฐานกันเลยเพราะอากาศเย็นใกล้เคียงกัน แต่ค่าใช้จ่ายถูกกว่าบ้านเกิดเมืองนอน ... แถมมีกีฬาสีให้ดูแก้ว่างด้วย

ภัยจากธรรมชาติยังไม่พอ ตั้งแต่ต้นปี พายุทอร์นาโดที่สหรัฐ น้ำท่วมยุโรปกลาง โคลนถล่มอินเดีย คลื่นความร้อนซ้ำที่สหรัฐอีก ภัยจากมนุษย์กันเองก็ไม่น้อย ปฏิวัติที่อียิปต์นี่ยืดเยื้อมากว่าสัปดาห์แล้ว ฝ่ายต่อต้านกับฝ่ายสนับสนุนสู้รบแย่งอำนาจกัน มีคนเสียชีวิตบนท้องถนนตามเคย แต่เป็นสัจธรรมที่ว่าผู้นำของ 2 ฝ่ายที่แย่งอำนาจกันนี้ไม่เคย "ตาย" จากการสู้รบ ... ไม่เหมือน "ลีโอไนดัส" กษัตริย์สปาตาร์ในตำนานที่ยอมตายเพื่อปกป้องแผ่นดินเกิดจากกองทัพเปอร์เซียร์ของกษัตริย์เซอซิล


ภาพประกอบจาก "300" - ลีโอไนดัส กษัตริย์ฮีโร่ในหนังที่ออกตัวหน้าแถวรบเป็นคนแรกและตายเป็นคนสุดท้าย ตามแบบฉบับฮีโร่ขนานแท้

ข่าวนักศึกษาจีนโดนทำร้ายในฝรั่งเศส ข่าวเหตุร้ายกับหญิงสาวนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เกิดในอินเดีย เคยถูกถามมาถึงเมืองไทย ในไทยเรานี่ก็มีไม่น้อย อย่างเบาะๆก็ลูกค้านักท่องเที่ยวโดนขโมยของในกระเป๋าระหว่างเดินทางบนรถโดยสาร เงินหายเป็นหมื่น มาขอใช้โทรศัพท์ตามความคืบหน้าของคดีไปยังตำรวจท่องเที่ยว - รายนี้โชคดีได้คืน หรืออย่างแย่ๆก็ที่เห็นคลิปที่พ่อของนักท่องเที่ยวสาวต่างชาติทำขึ้น เพราะทนไม่ไหวที่ลูกสาวมาถูกล่วงละเมิดทางเพศที่นี่ แต่ไม่มีความคืบหน้าหรือจับกุม ลงโทษผู้ต้องหาอย่างที่พอใจ คุณพ่อเลยทำวิดีโอคลิปภาษาอังกฤษปล่อยลงยูทูปซะเลย ... เดือนก่อนนักท่องเที่ยวหนุ่มผิวหมึกขึ้นรถทัวร์ผิดจากสมุยไปเสม็ดโดยรถเที่ยวดึก พอรู้ตัวอีกทีว่าไม่น่าจะใช่เส้นทางที่เคยไป ก็บอกกับคนขับรถ แต่ดูเหมือนจะคุยกันไม่รู้เรื่องสักเท่าไหร่ พอเห็นคนขับจะเปลี่ยนเส้นทางก็เลยโกยดีกว่า เอาตัวรอดไว้ก่อนกลับมาตั้งหลักใหม่เพราะไม่แน่ใจอะไรทั้งสิ้น ผมเจอพี่แกมาเล่าให้ฟังตอนแวะเข้ามาที่ร้านระหว่างรอรถรอบใหม่ จริงๆแล้วต่างคนต่างก็สื่อสารกันไม่ได้ระหว่างนักท่องเที่ยวกับคนขับ จะว่ามีเหตุก็ไม่ถูก

"คุณแน่ใจหรือ ว่าเขาจะทำอันตรายแก่คุณ เขาอาจจะพยายามเปลี่ยนเส้นทางหรือยังไงก็ได้" ผมถามย้ำไปเพื่อความแน่ใจ

"ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอนนั้นคนขับเปลี่ยนเส้นทางไปไหนก็ไม่รู้ มันมืดมากและบนรถก็มีผมเหลืออยู่คนเดียว ผมเลยคิดว่าผมเผ่นดีกว่า" ชายหนุ่มตอบมั่นใจ

ผมได้แต่พยักหน้า เพราะเราไม่รู้สถานการณ์ตอนนั้น แต่ชายหนุ่มผิวหมึกมาจากอาฟริกา ผมว่าสัญชาติญาณการเอาตัวรอดของพี่แกสูงมากทีเดียว ที่บ้านเกิดคงหนักกว่านี้

ล่าสุดนี่คนที่เคยเอาหนังสือเก่ามาขายให้ผมนานๆทีแวะเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับไกด์บุ๊คมือสอง 2 เล่มเป็น โลนลีแพลนเน็ตกัมพูชาและโลนลีแพลนเน็ตเวียตนาม ปีล่าสุด ... พร้อมกับฟันบนแถบหน้าหายไปทั้งแถบลึกเข้าไปถึงด้านข้าง ไม่ต่ำกว่า 5-6 ซี่

"พี่ไปโดนอะไรมา" ผมหรี่ตา เบ้หน้าถามไป

"ผมไปโดนปล้นมา เฮีย ... หน้าวัดพระแก้วอาทิตย์ที่แล้วนี่เอง" เสียงเล่าตอบมาพร้อมอ้าปากให้ดู

"ตีสองแล้ว คืนนั้น แถวป้ายรถเมล์ใกล้ๆลานน้ำพุหน้าวัดน่ะ ผมไปรอลูกค้าฝรั่งแก่คุยต่อราคากับเกย์เด็กหนุ่มแถวนั้นอยู่ ผมนั่งหันหน้ามองลูกค้าไปทางด้านหนึ่ง อยู่ๆก็มีมอเตอร์ไซค์มาจากอีกด้านหนึ่ง 2-3 คัน มันลงมาเอาปืนตบเข้าเต็มปากจนผมกระเด็นลงไปกลิ้งกับพื้น เลือดเต็มปาก แถมยังจะเข้ามาแทงซ้ำอีก ผมโบกมือกันไว้แล้วตะโกนไปว่า เฮ้ย มึงเอาอะไร ... มันบอกว่า มึงเอาเงินมา ... ผมต้องรีบคว้ากระเป๋ายื่นให้มันมีเงินอยู่พันกว่าบาท พร้อมตะโกนบอกไปว่า มึงอย่าแทงกู ... ลูกค้าฝรั่งวิ่งเข้ามาจะช่วย ก็โดนมันชกเข้าให้ 2 หมัด"

"แล้วเฮียนะ ฝรั่งพาผมไปโรงพยาบาล ... ไอ้โรงพยาบาลนี้แม่งก็โรงฆ่าสัตว์ หมอแม่งดูแผลแล้วก็ให้ยาแก้อักเสบมาอย่างเดียว แผล-เผลออะไรมันไม่เย็บไม่อะไรให้สักอย่าง" เสียงเล่าอย่างเหลืออดเอ่ยถึงโรงพยาบาลแห่งหนึ่งใกล้ๆ ที่เข้าไปคืนนั้น

"ผมต้องไปติดต่อทาง กทม. ขอภาพจากกล้องวงจรปิดมาให้ตำรวจดู ... กล้องตั้งไกลนะแต่มันจับภาพมาได้ชัดมากเลย ... แถวนั้นมันมืดด้วย คงไม่ค่อยมีใครไปตรวจตราสักเท่าไหร่ มัวแต่ไปจับฝรั่งเมาในข้าวสารกันหมด" เสียงเล่ามาพร้อมกับส่ายหน้า

ฟังๆไปใจหนึ่งก็รู้สึกว่า สถานที่มืดอย่างนั้น เวลาตีสองดึกขนาดนั้น มัน ... "อโคจร" นะ เลี่ยงได้ก็น่าจะเลี่ยง ถ้าจะเข้าไปเสี่ยง ก็ต้องระมัดระวังตลอดเวลา ใช้พลังชีวิตเยอะหน่อย ... แต่อีกใจหนึ่งได้แต่สงสารในเหตุที่เกิดขึ้น ที่เป็น "ความพลาด" ที่ไม่รู้จะโทษใครดี ... อย่าว่าแต่บริเวณนั้นเลย บางคืนดึกๆ ผมเคยไปเดินเล่นตลาดมืดตรงคลองหลอด มีคนขายของ-ซื้อของอยู่เต็มไปหมด ขณะที่ผมเดินเลยไปยืนดูของอยู่ตรงแผงรองเท้าข้างศาลหลักเมือง ไฟส่องสว่างจ้า อยู่ๆวัยรุ่นคนหนึงก็เดินเดี่ยวถือไม้หน้าสามเข้ามาฟาดกระหน่ำลงไปที่ชายวัยรุ่นเจ้าของร้านที่นั่งอยู่คนเดียว มันฟาดๆๆๆอย่างเดียว ไอ้คนถูกฟาดได้แต่เอาแขนเปล่าพยายามกันๆ แต่ก็หมอบลงไปพร้อมกับเลือด อึดใจใหญ่มือหน้าสามก็วิ่งหายไปโดยไม่มีใครกล้าเข้าไปขวาง ก่อนที่จะมีพรรคพวกของคนโดนไม้ 2-3 คนวิ่งเข้ามาดู แล้วก็วิ่งตามมือฟาดไป พร้อมกับมีคนเข้ามาช่วยดูแผลให้คนเคราะห์ร้าย ... ผมได้แต่ยืนดู กลัวโดนลูกหลง ...

เย็นวันหนึ่ง สาวยิวเข้ามาที่ร้าน ถามหาหนังสือโลนลีแพลนเน็ตไทยแลนด์และหนังสือภาษาฮีบรูไปทริปสักเล่ม ผมชี้ไปที่ชั้นหนังสือขวามือกลางร้านให้ก่อนที่เธอจะใช้เวลาเลือกอยู่ไม่นานนัก ได้ไกด์บุ๊คพร้อมกับหนังสืออ่านไปอย่างละเล่ม

"คุณเพิ่งปลดประจำการมาใช่ไหม" ผมถามยิ้มๆ หน้าตาเธอดูยังเด็กอยู่ อายุคงไม่มากนัก ถ้าเดาไม่ผิดคงจบ "เซคคันดารีสคูล (เทียบเท่า ม.6)" แล้วเข้าฝึกทหารมา

"ใช่แล้ว ฉันประจำการอยู่ 3 ปี ปลดแล้วก็มาเที่ยวนี่แหละ ฉันเพิ่งมาถึงที่นี่เมื่อวานนี้เอง" หญิงสาวบินเดี่ยวเที่ยวไทยตอบยิ้มๆ

"ตอนผมเรียน รด. 3 ปี เขาฝึกความแข็งแรงของร่างกาย ระเบียบ วินัย การใช้อาวุทธปืน สอบยิงเป้ากระดาษบ้างนิดหน่อย ... คุณฝึกอะไรบ้างล่ะ เหมือนสายลับมอสสาร์ดในหนังหรือเปล่า" ผมถามต่อพร้อมเลิกคิ้ว ทำตาโตล้อเลียนเล็กน้อย

"ก็ไม่มากหรอก แต่ฉันฝึกแฮนด์ทูแฮนด์คอมแบท และสามารถฆ่าคนด้วยมือเปล่าได้" เธอยกมือขวาขึ้น พลกมือไปมา ทำตาวาว

"โฮะ โห ..." ผมตาโต อ้าปากค้าง คิดอยู่ในใจ ... เธอฆ่าพวกปาเลสไตน์มากี่คนแล้วนี่

"ล้อเล่นน่า ... ไม่หรอก ฉันฝึกทหารทั่วไปแหละ ไม่เหมือนในหนังสักหน่อย" เธอหัวเราะร่าเริง เสียงใสกังวาล

....................................................................

ค่ำวันนั้น ผมเอาแกลลอนนมเมจิขนาด 1 ลิตรมาใบหนึ่ง เอามีดในครัวมาปาดบ่าของแกลลอนเฉียงขึ้นปากขวดออกทิ้ง เหลือด้ามจับไว้ และเอาปลายมีดเจาะทะลุก้นแกลลอนพลาสติกด้านล่างอีก 5-6 แผล แทนทางระบายน้ำก้นกระถาง หาดินมาใหม่ใส่ลงไปค่อนแกลลอน ตะแคงเอียงนอนและเคาะแกลลอนให้ดินเอียงลงมา ก่อนที่จะยัดกำ "บอนแดง" ที่เหลืออยู่ใส่ตามแนวนอนเข้าไป กะให้อยู่กลางขวดก่อนที่จะพลิกแกลลอนนมไปตั้งไว้อีกครั้ง เขย่าดินให้กลับลงไปที่ก้นแกลลอนตามเดิม พร้อมกับเติมดินอีกนิดหน่อย รดน้ำจนชุ่ม ... จากนั้นก็หิ้วกระถางจำเป็นใส่ในถุงพลาสติกรองน้ำไหลหยด ย้ายขึ้นไปวางไว้ที่นอกชานชั้น 3 สำหรับตากผ้าด้านหลังบ้าน หันหน้าออกทิศตะวันตก เพราะฉะนั้นจะไม่โดนแดดยามเช้าและควันรถจากถนน แต่จะรับแดดบ่ายรำไรแทน เพราะกำแพงนอกชานเป็นกำแพงปูนลายโปร่งตา ... "บ้านใหม่" ของบอนแกลลอนนี้จะดูร่มรื่นกว่าบ้านเดิม เย็นกว่าน่าจะถูกใจท่านผู้ชม

... 3 สัปดาห์ผ่านไป ... "เธอ" ดูสดชื่นกว่าเมื่อก่อน หน้าตาสดใส ใบเขียวปี๋ตัดกับลวดลายสีแดงสด ไม่ซีดสลดเพราะกรำแดดอยู่ที่เดิม


บอนแดง หลังย้ายบ้านใหม่ไปอยู่ในแกลลอนนมเมจิ ที่นอกชานหลังบ้าน ... ท่าทาง "เธอ" ในฐานะ "Queen of the Leafy plants - ราชินีแห่งไม้ใบ" ต้นนี้จะชอบ

เจตตจัน

085-8035412

087-0719858

jettajan227@yahoo.com




Create Date : 13 กรกฎาคม 2556
Last Update : 13 กรกฎาคม 2556 11:10:18 น. 0 comments
Counter : 1371 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jettajan
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add jettajan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.