Group Blog
 
 
กันยายน 2553
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
29 กันยายน 2553
 
All Blogs
 
ร้านหนังสือในข้าวสาร ... ตอน ชาดอกมะลิจากหนุ่มออสเตรีย

ร้านหนังสือในข้าวสาร ... ตอน ชาดอกมะลิจากหนุ่มออสเตรีย



วันนี้ผมเปิดร้านแต่เช้า มันเป็นวันสุดสัปดาห์ปลายเดือน ช่วงต้นปี ลูกค้าหนุ่มผมทองหน้าตาบ่งบอกเชื้อชาติยุโรปคนหนึ่ง แต่งกายด้วยเสื้อเชิร์ตแขนยาวสีอ่อนติดกระดุมทุกเม็ด ชายเสื้อทับลงในกางเกงสแล็คสีกรมท่า สะพายกระเป๋าเดินทางติดหลัง สวมรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อก้าวเข้ามาในร้าน ถามผมด้วยภาษาอังกฤษชัดเปรียะ “คุณมีโลนลีแพลนเน็ตของประเทศไทยไหม”

ผมกวาดสายตาขึ้นไปบนชั้นไม้สีดำม็อคคา ที่โชว์อยู่หน้าร้าน แล้วตอบ “มี เหลือเล่มสุดท้ายแล้ว” มันเป็นฉบับมือ 2 ปี 2007 ห่ออยู่ในถุงพลาสติก พร้อมชี้นิ้วไปทางขวาของชายหนุ่ม

ลูกค้าชั้นดีหันไปเห็นมองที่ชั้น พอเห็นหนังสือเล่มนั้น ก็หยิบทันทีพร้อมกับที่มืออีกข้างควักธนบัตรราคา 1000 บาทเดินมายื่นให้ผม ยิ้มเล็กน้อย

ผมรับเงิน พร้อมหยิบเงินทอน แล้วใส่หนังสือลงในถุงพลาสติกยื่นให้ ชายหนุ่มกล่าวขอบคุณ เก็บเงินทอนยัดใส่กระเป๋าที่อกเสื้อ กระชับหนังสือในมือ แล้วหันหลังกลับกำลังจะเดินออกจากร้าน

“ขอโทษครับ สำเนียงภาษาอังกฤษของคุณชัดมากเลย คุณเป็นคนอังกฤษใช่ไหม” ผมถาม

“ใช่ ผมมาจากลอนดอน” ชายหนุ่มหันมาตอบพร้อมยิ้มเปิดเผย

ผมกล่าวขอบคุณ พร้อมอวยพรให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ ผมบอกตัวเองว่าเป็นไปตามคาด ลักษณะกิริยาท่าทาง การแต่งกายของลูกค้าแต่ละเชื้อชาติจะแตกต่างกัน รวมถึงวิธีการในการซื้อของ ... ซื้อหนังสือ เท่าที่สัมผัสมา ลูกค้าชาวอังกฤษเป็น 1 ในลูกค้าชั้นเยี่ยม ดี 1 ประเภท 1 ไม่เรื่องมาก ไม่ต่อ แถมถ้าพูดจากันถูกคอ บางทีก็จ่ายเงินเกินให้ด้วยซ้ำ ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นส่วนใหญ่ในความคิดเห็นส่วนตัวของผมเท่านั้นนะครับ ส่วนใครจะไม่เหมือนที่ผมเจอก็ไม่ว่ากันนะครับ

กล่าวถึงลูกค้าดี 1 ประเภท 1 ไปแล้ว ก็ต้องกล่าวถึงแย่ที่สุดที่เคยเจอด้วย ปรากฏว่ากรณีที่เจอเป็นหนังสือโลนลีแพลนเน็ตฉบับรวม 11 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ สภาพปกโอเค แต่ข้างในปรากฏว่า ถูกฉีกออกไปเป็นช่วงๆ 3-4 ช่วง พอผมไล่หมายเลขหน้าหนังสือจากสารบัญ มันคือเนื้อหารายละเอียดของทั้งประเทศที่ถูกฉีกออกไป 3-4 ประเทศ ผมเจอหนังสือฉบับนี้ตอนที่ลูกค้าเอามาขายให้ร้าน ผมก็ถามไปว่าทำไมหนังสือมันถูกฉีกกระจายแบบนี้ พี่แกตอบหน้าตาเฉยว่า แกฉีกออกไปเพราะหนังสือทั้งเล่มมันหนัก เลยไม่อยากถือไปไหนมาไหนทั้งเล่ม เวลาไปถึงประเทศที่ต้องการแล้ว ก็จะใช้วิธีฉีกหน้าที่เป็นประเทศนั้นๆออกเพื่อพกติดตัวไป หนังสือที่เหลือจะเก็บไว้ที่ห้องพัก พอเดินทางออกจากประเทศนั้นๆแล้ว ไอ้ปึกที่ถูกฉีกออกไปนั้นก็หมดประโยชน์ถูกทิ้งไป ผมพยายามทำความเข้าใจว่า หนังสือโลนลีแพลนเน็ตบางฉบับมันหนักเกือบกิโล แต่ก็ไม่คิดว่าจะเจอพฤติกรรมแบบนี้ ถามไปถามมาปรากฏว่าเป็นคนสเปน ตกลงหนังสือเล่มนั้นผมแลกเอาไว้แล้วก็เขียนกระดาษน้อยแปะไว้หน้าหนังสือเพื่อบอกลูกค้าว่ามันไม่ครบสมบูรณ์ทั้งเล่ม ปรากฏว่าอยู่ไม่ถึงเดือนก็ถูกลูกค้าซื้อต่อไป ตอนนี้ผมยังไม่แน่ใจเลยว่า หนังสือเล่มนั้นจะกลับมาที่ร้านผมอีกรึเปล่า ในสภาพถูกฉีกเพิ่มมากกว่าเดิมไหม

หลังจากหนุ่มอังกฤษออกไปไม่นาน 2 พี่ชาย-น้องสาวชาวออสเตรียก็ก้าวเข้ามาในร้าน ถามหาหนังสือไวท์ไทเกอร์ ของอาราวิน อดิกะ ผมคุ้นๆกับชื่อหนังสือก็เลยไปเช็คตรงชั้นหนังสือมือ 2 ที่เป็นภาษาอังกฤษ ปรากฏว่ามีอยู่ 1 เล่ม ก็หยิบมาส่งให้ คนพี่ชายหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสรับหนังสือแล้วก็จ่ายเงิน หลังจากนั้นผมก็ชวนคุยเกี่ยวกับการเดินทางท่องเที่ยวทริปนี้ว่าเป็นไงบ้าง คนพี่ก็บอกว่าเขา 2 คนชอบเดินทางบ่อยๆ เนื่องจากครอบครัวค่อนข้างมีฐานะ ตัวพี่ชายเองนั้นมีธุรกิจส่วนตัวเกี่ยวกับการท่องเที่ยวอยู่ในออสเตรีย ส่วนคนน้องนั้นยังเรียนอยู่เพียงแต่ว่าเธอหยุดเรียนไว้เพื่อออกเดินทางมาด้วยกันกับพี่ชาย ไล่มาตั้งแต่เนปาล อินเดีย พม่า จีนตอนใต้ เวียตนาม ลาว เขมร ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ปีก่อนๆก็ไปโซนยุโรปตะวันตกมาบ้างแล้ว เราคุยกันอย่างออกรส ตอนหนึ่งผมถามขึ้นว่า ในความชอบส่วนตัวของเขาเนี่ย กาแฟของประเทศไหนรสชาติดีที่สุด คนพี่บอกว่า

“ผมคิดว่า กาแฟของเวียตนามแจ๋วที่สุด ไม่ใช่ในห้างสรรพสินค้าหรือภัตตาคารนะ แต่เป็นร้านท้องถิ่นที่ผมแวะระหว่างท่องเที่ยวอยู่ในฮานอย ผมชอบเพราะมันมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวที่ผมไม่เคยได้กลิ่นที่ไหนมาก่อน”

“อืมมม ...” ผมครางในลำคอ กลิ่นแบบไหนหนอ มันจะคล้าย “ยกล้อ” ของบ้านเราไหมนะ

“แล้วคุณล่ะ คิดว่ากาแฟที่ไหนแจ๋วที่สุด” คนน้องถามมา ยิ้มมุมปาก

“ต้องประเทศไทยสิ ร้าน ออนล็อกหยุ่น แจ๋วสุดอยู่แล้ว บรรยากาศก็เจ๋งโคตร” ผมเชียร์สุดใจขาดดิ้น สายเลือดชาตินิยมฉีดพล่าน แต่

“ปกติแล้วผมจะดื่มชาเป็นหลักน่ะ กาแฟร้านนี้มันไม่ได้กินกันทุกวันนี่นา มันอยู่คนละทางกับที่ทำงาน หลังๆนี่ ผมดื่มชาอู่หลง พอดีเพื่อนผมกลับมาจากเมืองจีน แล้วเขาซื้อมาฝาก กลิ่นมันหอมมากเลยนะ” ผมเสริม

“เหรอ ฉันเองก็ชอบดื่มชาเหมือนกัน แล้วตอนที่ออกมาจากเวียตนาม ฉันได้ซื้อใบชาจากเวียตนามติดมาด้วย กลิ่นหอมมากเลยนะ เหมือนกับว่าเขาผสมใบอะไรสักอย่างใส่ลงไปด้วยน่ะ แต่น่าเสียดายจังเลย กล่องมันอยู่ในกระเป๋าเดินทางที่ห้องน่ะ ไม่ได้ติดตัวมา ไม่งั้นฉันจะแบ่งไว้ให้คุณบ้าง” เธอกล่าวอย่างมีน้ำใจ

“ไม่เป็นไรๆ บางทีถ้าผมมีโอกาสไปเที่ยวที่เวียตนาม ผมอาจจะได้ลองจิบชาที่คุณบอกก็ได้” ผมกล่าวพลางคิดในใจ แล้วเราจะมีโอกาสได้ไปไหมเนี่ย

“แต่คุณจะรู้ได้ยังไงล่ะ ว่าชาที่ฉันซื้อมาน่ะเป็นชาแบบไหน ยี่ห้ออะไร ใช่มั๊ย เอาอย่างนี้ดีกว่า คุณปิดร้านเมื่อไหร่ เดี๋ยวตอนค่ำๆเราจะแวะเอาใบชามาให้คุณ หลังจากที่เรากลับไปที่ห้องพักแล้ว” เธอพูดเร็วปรื๋อ

“พอดีเดี๋ยวผมมีธุระต้องปิดร้านชั่วคราว กลับมาอีกทีก็น่าจะประมาณ 3 ทุ่ม ถ้าอย่างนั้น ผมจะเปิดร้านอีกสัก 1 ชั่วโมงก็แล้วกัน ถ้ายังไงคุณแวะมาตอนนั้นก็ได้ ค่ำนี้พวกคุณไม่ได้มีแผนไปไหนอีกหรือ” ผมถาม

“ไม่มีแผนน่ะ เราอยากพักผ่อนเบาๆ เพราะพรุ่งนี้เราจะบินกลับแล้ว คงจะออกจาก ถ.ข้าวสารนี่ประมาณ 5 โมงเย็นน่ะ” คนพี่ตอบ

“ถ้างั้น ก็ตกลงตามนี้ละกัน เดี๋ยวเจอกันตอน 3 ทุ่มนะ เราไปก่อนล่ะ คุณเองก็จะได้ไปทำธุระด้วย บาย” สาวน้อยกล่าวพร้อมยิ้มสดใส

ผมกล่าวขอบคุณพร้อมโบกมือให้ หลังจากนั้นก็เก็บของและปิดร้านชั่วคราว เขียนป้ายกระดาษแปะหน้าร้านบอกลูกค้าไว้ว่า จะกลับมาอีกทีตอน 3 ทุ่ม แล้วก็เปิดไฟนีออนหน้าร้านทิ้งไว้ 2 ดวง เผื่อไว้ให้ลูกค้าที่เดินผ่านไปมาสามารถมองเห็นหนังสือที่ชั้นหน้าร้านได้ถนัดก่อนเดินออกไป

เย็นนั้นสภาพอากาศทั่วไปดี จุดหมายของผมห่างจากใจกลางกรุงเทพ ไม่ต่ำกว่า 50 กิโลเมตร ถ้าเดินทางโดยถนนวงแหวนรอบนอก ไป-กลับ ก็ประมาณ 2 ชั่วโมง แต่ถ้าเดินทางโดยใช้ถนนปกติตัดผ่านออกไป ระยะทางจะลดลงเกือบ 10 กิโลเมตร แต่ก็จะผ่านจุดที่การจราจรจอแจไม่ต่ำกว่า 5 จุด ไป-กลับอาจจะเป็น 4 ชั่วโมงได้ง่ายๆ วันนั้น ผมเลือกที่จะไม่ใช้ถนนวงแหวนรอบนอก แต่ตัดสินใจใช้เส้นทางผ่านเข้าไปกลางเมืองโดยไม่ได้คิดว่า สุดสัปดาห์นี้มันปลายเดือน “วันห้างแตก” ซึ่งผมต้องผ่านห้างสรรพสินค้าขนาดยักษ์ไม่ต่ำกว่า 3 ห้าง

ผมกลับมาถึงร้านตอน 4 ทุ่มครึ่ง รีบเปิดร้านแล้วกวาดสายตาไปรอบๆ ไม่มีใครรออยู่ ผมคิดในใจ “แหงสิ ฝรั่งที่ไหนจะรอเอาใบชาให้เจ้าของร้านหนังสือ ตั้งเกือบ 2 ชั่วโมง” หลังจากนั้นผมถ่วงเวลาอยู่จนเกือบเที่ยงคืนก่อนปิดร้าน ใจนึกด่าตัวเองที่สะเพร่า ไม่สามารถกลับมาถึงร้านทันเวลาตามป้ายที่เขียนบอกไว้ อย่างนี้ลูกค้าขาจรที่สนใจจะซื้อหนังสือแล้วมารอตามเวลาก็เสียเที่ยวเปล่า อย่างนี้ก็เสียชื่อร้านแย่ ... รวมถึง 2 พี่น้องนั่นด้วย

วันรุ่งขึ้นผมไปวิ่งออกกำลังที่สนามฟุตบอลของมหาวิทยาลัยใกล้บ้านแต่เช้า จนเหนื่อย พักรอจนเหงื่อแห้ง จากนั้นก็เดินดูหนังสือ กินข้าวตามปกติ กว่าจะกลับมาถึงร้าน อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จพร้อมเปิดร้านก็เกือบเที่ยง ผมเช็คสต็อคหนังสือรับลูกค้าไปเรื่อยจนกระทั่ง เกือบ 5 โมงเย็น

มีเสียงกรุ๋งกริ๋งจากโมบายที่แขวนไว้ตรงประตูหน้าร้านดังขึ้น ผมเงยหน้าจากสมุดสต็อค แล้วเอ่ยปากต้อนรับ “สวัสดีครับ” พร้อมมองไปที่ประตู

2 พี่น้องจากออสเตรียนั่นเอง คนพี่ชายถือหนังสือในมือ 1 เล่ม อีกมือหนึ่งจับสายสะพายกระเป๋าเดินทางที่แบกหลังอยู่ ส่วนคนน้องสาวมือหนึ่งลากกระเป๋าเดินทางแบบมีล้อเข็น แถมกระเป๋าเล็กสะพายไหล่อีกใบ อีกมือหนึ่งถือห่อพลาสติกแบ่งใส่ใบชาไว้ข้างใน

“สวัสดี เมื่อคืนเรามาแล้วตอน 3 ทุ่มครึ่ง แต่คุณยังไม่กลับมาน่ะ พอตอนเช้าเราเลยมาอีกรอบตอนประมาณ 10 โมง แต่เห็นร้านคุณยังไม่เปิด” คนพี่เอ่ยออกมาหลังจากพักเหนื่อยครู่หนึ่ง

“ผมขอโทษที เมื่อวานนี้กะเวลาผิด กว่าจะมาถึงก็ 4 ทุ่มครึ่งแล้ว แต่ผมก็เปิดร้านอยู่จนถึงเที่ยงคืนนะ” ผมอธิบายปนแก้ตัว “ส่วนเมื่อเช้านี้ ผมไปวิ่งออกกำลังกายน่ะ กลับมาอีกทีก็เกือบเที่ยง คุณเลยเสียเวลาตั้ง 2 รอบ ผมนี่แย่จริงๆ”

“ไม่เป็นไรหรอก เอ้านี่ ใบชาของคุณ ฉันแบ่งไว้ให้ เก็บดีๆนะ ไม่รู้ว่ากลิ่นใบชาจะระเหยไปหรือเปล่า” คนน้องสาวเอ่ยยิ้มๆ

ผมรับไว้พร้อมเอ่ยปากขอบคุณอย่างเกรงใจ

“แล้วก็ผมมีหนังสือเล่มนึงมาขายให้คุณ คุณรับซื้อไหม ราคาเท่าไหร่” คนพี่ชายยื่นหนังสือให้เล่มนึง มันคือ อีคลิปส์ – ภาค 3 ของหนังสือแวมไพร์ยอดฮิต

ผมพลิกดูแล้วเอ่ยราคา “100 บาท”

“ร้านหนังสืออีกร้านที่อยู่ตรงโน้น ให้ราคามา 200 บาท แต่ไม่เป็นไร เราขายให้คุณ 100 บาท - เราชอบคุณ” คนพี่ชายพูด

ผมพูดไม่ออก หยิบเงิน 100 บาทส่งให้ พร้อมกับพวงกุญแจที่ระลึกส่งให้ 2 พวง เป็นแบงก์ 500 บาทไทย จำลองขนาดประมาณ 1 ใน 4 เคลือบพลาสติกแข็งหนา “เอ้า ผมให้คุณ 1000 บาท” พร้อมยิ้มมุมปาก

คนพี่รับพวงกุญแจไป พลิกดูในมือพร้อมหัวเราะ ยื่นให้น้องสาวดู “สวยดี รูปในแบงก์นี่เป็นคิงของคุณใช่ไหม”

“ใช่ แล้วคราวหน้าถ้าคุณกลับมาเที่ยวเมืองไทยอีก อย่าลืมแวะมานะ ผมจะพาคุณไปเที่ยวที่สวยๆ ที่คุณยังไม่ได้ไป” ผมยื่นมือออกไป

“แน่นอน แล้วผมจะกลับมา” ชายหนุ่มยื่นมือมากระชับ พร้อมกอดไหล่ของผมแล้วยิ้ม

“ฉันก็จะมาด้วยเหมือนกัน” หญิงสาวยื่นมือมาให้ ยิ้มสดใส

ผมจับมือเธอ พร้อมโบกมือ อวยพรให้ทั้งคู่เดินทางโดยสวัสดิภาพ หลังจากทั้งคู่ออกไปแล้ว ผมแกะห่อพลาสติกออกดู มันเป็นใบชาตากแห้งสีดำปนอยู่กับกลีบดอกไม้สีขาวแห้ง กลิ่นดอกมะลิโชยระรื่นโรยกลิ่นมิตรภาพหอมกรุ่น



Create Date : 29 กันยายน 2553
Last Update : 29 กันยายน 2553 22:00:37 น. 4 comments
Counter : 1353 Pageviews.

 
^^
อ่านแล้วก็ยิ้มเลยค่ะ
เขียนหนังสือขายได้เลยนะคะ เล่าได้ละเอีดละเมียดไปเรื่อยๆ

คนอังกฤษเห็นด้วยเหมือนกันค่ะ
ส่วนตัวโชคดีเป็นทุนที่ได้เจอกับอาจารย์ที่มาจากอังกฤษ สำเนียงเลยพอไปได้บ้าง

แต่คนออสเตรเลีย มักถูกประเมิณว่าเป็นฝรั่งขี้นกไม่มีตังค์ ทำไมเป็นแบบนั้นหนอ
ยังไม่เคยเจอค่ะแบบแย่ๆ อย่างมากแค่ขี้หลีเท่านั้น


โดย: หนูวิ้ง วันที่: 30 กันยายน 2553 เวลา:0:00:12 น.  

 
อยากมีร้านแบบนี้บ้าง
ฉันเคยไปซื้อหนังสือเก่าที่ข้าวสาร
จำได้ว่าคนขายคุยสนุกดี
จะใช่คุณหรือเปล่านะ
ฉันซื้อชีวประวัติมูรินโญ่มา ตอนนี้ถูกเพื่อนยืมไปยังไม่คืน
ไม่ได้ไปข้าวสารนานแล้ว คิดถึงบรรยากาศจังเลย


โดย: นุ่น IP: 125.24.172.19 วันที่: 30 กันยายน 2553 เวลา:1:33:50 น.  

 
ขอบคุณมากๆครับ ทั้งคุณหนูวิ้งและคุณนุ่น สำหรับคำชื่นชม เป็นกำลังใจให้คนเขียนได้เป็นอย่างดี

ผมเองมีความสุขกับร้านหนังสือแล้ว ก็อยากจะแชร์กันบ้าง

อันนี้แชร์ให้ฟังนะครับ - จากที่ลูกค้าอิสราเอลของผมบอก ออสเตรเลียนี่ได้เงินมากกว่า อิสราเอลประมาณ 3 เท่า แล้วอิสราเอลนี่ก็มาตรฐานยุโรป เพราะฉนั้นผมว่าออสเตรเลียนี่ไม่ใช่ขี้นกแน่ๆ ผมว่าขี้ช้างเลยแหล่ะ

ส่วนความฝันนั้น ถ้ามีโอกาสได้ทำตามความฝัน ก็อย่าพลาดนะครับ อย่างน้อยก็จะมีความสุขที่ได้ทำมันแล้ว ล้มเหลวบ้างก็ช่างมัน ตั้งต้นใหม่ได้อยู่แล้ว คนอื่นๆก็ล้มกันเยอะแยะ

พวกเด็กๆที่มาเล่นสงกรานต์กันที่นี่ ทั้งที่ไม่รู้จักัน ก็มักจะบอกกันในคืนสุดท้ายว่า ปีหน้าเจอกันใหม่

ว่างๆก็มาเที่ยวบ้างนะครับ ข้าวสารยังรออยู่เสมอ


โดย: เจตตจัน (jettajan ) วันที่: 2 ตุลาคม 2553 เวลา:23:33:42 น.  

 
“ฉันก็จะมาด้วยเหมือนกัน”
ผมชอบประโยคนี้ครับ และทำให้จินตนาการไปถึงหญิงสาวที่ทำหน้าตาดื้อ ๆ แบบไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมให้พี่ชายได้เปรียบมาเที่ยวคนเดียวหรอก

พี่เขียนเล่าเรื่องได้เจ๋งมากครับ
หก


โดย: หก IP: 223.204.120.32 วันที่: 23 เมษายน 2554 เวลา:18:54:25 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jettajan
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add jettajan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.