Group Blog
 
 
กันยายน 2553
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
27 กันยายน 2553
 
All Blogs
 
ร้านหนังสือในข้าวสาร ... ตอน ครูสาวจากแคนาดา (จบ)

เธอเดินเข้ามาในชุดเสื้อกล้าม กางเกงทรงลุง รองเท้าแตะ พร้อมกับย่ามสะพายไหล่ มองผ่านๆคล้ายเด็กค่ายอาสาประจำมหาวิทยาลัยเทคนิค
“ร้านคุณรับซื้อหนังสือด้วยหรือเปล่า ฉันมีหนังสือราฟไกด์เซ้าท์อีสต์เอเชีย ปี2008 จะขายพร้อมกับจะซื้อหนังสือโลนลีแพลนเน็ต ฉบับรวมเวียตนาม-กัมพูชา-ลาว-แม่น้ำโขง เอาเล่มมือสองนะ ฉันมีงบจำกัด” เธอว่า
ผมพยักหน้า แล้วพลิกดูหนังสือที่เธอยื่นให้ สำรวจสภาพพร้อมประเมินราคาคร่าวๆ จากนั้นก็เดินไปหยิบหนังสือโลนลีแพลนเน็ตปกที่เธอต้องการมา 3-4 เล่มวางให้เธอเลือก เธอพลิกดูทีละเล่มช้าๆ เน้นๆ
“ฉันเอาเล่มนี้แหละ” เธอเลือกฉบับมือสอง ปี 2007
“คุณต้องจ่ายเงินเพิ่ม 200 บาทนะ” ผมบอกราคาที่เธอต้องชำระเพิ่ม
“100 นึงได้ไหม ฉันมาคนเดียวจริงๆนะ แล้วฉันก็มีงบไม่มากนัก” เธอต่อรอง
ผมพลิกดูหนังสือราฟไกด์เซ้าท์อีสต์เอเชีย ปี2008 ในมือพร้อมกับชั่งใจ “150 บาทก็ได้ ผมลดให้คุณได้เท่านี้แหละ” หนังสือของเธอไม่ขี้เหร่เท่าไหร่ ตกแต่งซักหน่อยก็พอโอเค
เธอส่ายหน้าปฏิเสธ พร้อมสาธยายคุณสมบัติหนังสือของเธอว่า ซื้อมาจากเมืองนอกนะ ราคาแพงมาก สภาพก็ดีแถมปีก็ใหม่กว่า ร่ายยาวกึ่งอึดใจพร้อมลงท้าย ขอต่ออีก 30 บาท เธอพร้อมจ่ายแค่ 120
ผมกัดฟันบอกตอบตกลง พร้อมกับหยิบใส่ถุงพลาสติกพลางรับเงิน เธอบอกว่าเพิ่งมาเที่ยวเมืองไทยครั้งนี้เป็นครั้งแรก โดยจะเดินทางออกจาก ถ.ข้าวสาร พรุ่งนี้เข้าไปในกัมพูชาผ่านทางอรัญประเทศ มุ่งเข้าสู่พนมเปญ จากนั้นก็ทะลุไปเวียตนามเข้าโฮจิมินห์ ขึ้นเหนือไปยังฮานอย แล้ววกเข้ามายังลาว หลวงพระบาง ก่อนจะล่องใต้ลงมายังเวียงจันทน์ กลับมาเมืองไทยอีกที ใช้เวลา 3 สัปดาห์ใน 4 ประเทศ ก่อนจะบินกลับไปแคนาดา สอนหนังสือต่อ เธอส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่าย
ผมยิ้มเรื่อยเปื่อยพร้อมคิดในใจ บ้านยูยังดีกว่าบ้านไอเยอะ บ้านยู ลา 3 อาทิตย์ติดกันได้ บ้านไอนี่หมดสิทธิ์ กว่าจะเก็บวันลาได้ถึง 3 อาทิตย์นี่ต้องอายุงานไม่น้อยนะครับ เผลอๆต้องทำงานเกือบ 10 ปีเชียวนะ แถมไม่มีสิทธิ์ลาติดกันเกิน 5 วัน 7 วันแน่นอน ต้องพวกผู้บริหารระดับสูงอะไรเทือกนั้นแหละ ถึงจะมีสิทธิ์ ไม่งั้นถ้ายังเป็นลูกจ้างอยู่ละก็มีหวังตกงานเอาง่ายๆ
ผมอวยพรให้เธอเดินทางปลอดภัยก่อนจากกัน จากนั้นก็ซ่อมแซมหนังสือที่ได้มา เตรียมเก็บกวาดร้านให้เสร็จก่อนข่าวภาคดึก
ประมาณ 4 ทุ่มก่อนปิดร้าน ผมกำลังนั่งห่อหนังสือเล่มนั้นอยู่ เธอก้าวกลับเข้ามาอีกครั้ง สัญชาติญาณบอกผมว่า เอาละซิ งานเข้า
“เฮ้ คุณ” เธอเรียกพร้อมยื่นหนังสือที่ซื้อไปมาให้ผม “ฉันต้องการคืนหนังสือเล่มนี้ให้คุณได้ไหม แล้วฉันต้องการหนังสือของฉันคืน พร้อมเงิน 120 บาท”
เอาละซิ ซื้อไปแล้ว อ่านก็แล้ว ขอคืนกันง่ายๆแบบนี้นะ มีที่ไหนกัน ผมกลั้นใจถาม “ปกติซื้อแล้ว ไม่รับคืนนะ ทำไมล่ะ คุณมีปัญหาอะไรเหรอ”
“คือว่า ฉันลองโทรไปจองห้องพักตามเบอร์โทรศัพท์ของที่พักในหนังสือ 3-4 แห่งแล้วปรากฏว่า มันไม่ได้น่ะ คือมันปิดน่ะ คุณเข้าใจไหม มันเลิกกิจการไปแล้วน่ะ” เธอพ่นเร็วปรื๋อ แทบฟังไม่ทัน
“ผมไม่คืนเงินคุณหรอก คุณลองโทรไปที่อื่นดูสิ มันคงไม่ปิดหมดทุกที่ละมัง”
“แต่ฉันอยากได้หนังสือของฉัน กับเงินของฉันคืน” เธอแสดงความจำนงอย่างเด็ดเดี่ยว
ผมพยายามอธิบายสารพัด ว่าเงินที่เธอจ่ายน่ะ มันเป็นราคาของ “ข้อมูล” ในหนังสือ ไม่ใช่ราคาของกระดาษที่ประกอบมาเป็นหนังสือ ส่วน “ข้อมูล” ที่เธอซื้อไปนั้นจะถูกหรือผิด จะตรงกับข้อมูลปัจจุบันหรือเปล่า มันไม่ใช่ปัญหาของผม ก็เธอตัดสินใจซื้อ ฉบับปี 2007 มันก็ต้องยอมรับสิว่า ต่างจากปัจจุบันตั้ง 3 ปี มันก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงกันบ้าง ถ้า “ข้อมูล” มันใช้ไม่ได้ มันก็ไม่ใช่สาเหตุที่จะคืนหนังสือ-คืนเงิน นี่นา ถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริงๆ มีลูกค้าที่เข้าใจแบบนี้ ร้านหนังสือจะอยู่ได้อย่างไร
“ฉันต้องการหนังสือของฉันคืน เงินด้วย” เธอเสียงแข็ง “ไม่งั้น ฉันจะไปแจ้งตำรวจ”
ป๊าด ..... ไปกันใหญ่แล้ว แค่หนังสือเล่มเดียว ถึงขั้นขึ้นโรงพักเลยเรอะ อากาศใกล้ดึกชักจะค่อยๆอบอ้าวขึ้น ผมพยายามใหม่ ต่อรองว่าเอาอย่างนี้ไหม ผมจะเปลี่ยนเป็นฉบับปี 2009 ให้ พร้อมกับจะลดราคาที่ต้องจ่ายเพิ่มให้เป็นพิเศษ หรือไม่งั้นก็เอาอย่างที่เธอบอกนั่นแหล่ะ แต่ผมจะคืนเงินให้แค่ 50 บาทเท่านั้น
เธอส่ายหน้าปฏิเสธ ทำตาแดงๆ แล้วยกมือกุมหน้า เสียงเริ่มสะอื้น “ฉันต้องการหนังสือของฉันคืน คุณรู้มั้ย ฉันไม่มีเงินมากนัก แล้วหนังสือนี่มันก็ใช้ไม่ได้ ฉันยังไม่ได้จองที่พักเลย คืนนี้ฉันมีเวลานอนไม่ถึง 6 ชั่วโมงเองมั้ง แล้วฉันก็ต้องออกเดินทางแต่เช้าพรุ่งนี้อีก มันแย่มากเลยนะ ส่วนที่ฉันกลับมาร้านคุณเนี่ย ฉันชอบร้านคุณนะ ฉันยังคิดว่าฉันจะกลับมาอีกเลย ถ้ามีโอกาสผ่านมาที่ ถ.ข้าวสารนี่อีก”
“โอเค” ผมดึงลิ้นชักออกมา เปิดกล่องใส่เงินออกดู มีแบงค์ย่อยเหลืออยู่ 90 บาท ผมตัดสินใจจบสถานการณ์ตึงเครียดนี่อย่างเร็วที่สุด ก่อนที่ทุกอย่างจะเกินการควบคุม “ผมมีอยู่ 90 บาท ผมคืนให้คุณได้แค่นี้ เอาหนังสือของคุณคืนไป เอาหนังสือของผมคืนมา ผมจะปิดร้านแล้ว” ผมรู้สึกเซ็งเป็ด
เธอรับเงินไปถือไว้ในกำมือ ส่ายหน้า “ฉันจะเอา 100 บาท คุณต้องคืนให้ฉันมาอีก 10 บาท”
ผมเบิกตาโพลงเหมือนคนเห็นผี เสียงดังขึ้น “เฮ้ ผมให้คุณได้มากที่สุดแล้วนะ ถ้าคุณไปที่ร้านอื่น เขาจะเตะคุณกระเด็นออกไปจากร้านด้วยซ้ำ ไม่มีทางที่คุณจะได้เงินคืนถึง 90 บาทแบบนี้หรอก”
เธอสบตาผม พร้อมกล่าวยืนยัน “ฉันต้องการอีก 10 บาท”
ผมรวบสิ่งของที่ค้างบนโต๊ะ ไปวางที่เก้าอี้ด้านหลัง ระยะห่างเกินมือเอื้อมถึง ป้องกันเธอคว้าขึ้นมาขว้างใส่หน้าผม ถึงผมจะไม่อยากขึ้นโรงพักเพราะเรื่องนี้ แต่ผมก็ไม่อยากเจ็บฟรีโดยไม่จำเป็น แล้วกล่าวอย่างหมดความอดทน “ผมจะปิดร้านแล้ว ถ้าคุณไม่ออกไป ก็ตามใจ”
เธอเริ่มลังเล มองสำรวจไปรอบร้าน พูดว่า “คุณมีโปสการ์ดหรือของที่ระลึกให้ฉันแทนไหมล่ะ” แล้วก็เดินไปหยิบพวงกุญแจที่ระลึกบ้าง แม่เหล็กติดตู้เย็นบ้าง พลิกป้ายราคาดู
ผมหยิบโปสการ์ดขึ้นมาปึกนึง ส่งให้เธอด้วยความอิดหนาระอาใจ ส่วนเธอก็รับไปพลิกๆดู จนหมดปึก ส่งคืนให้ผมพร้อมส่ายหน้าแสดงอาการไม่ถูกใจ แล้วเริ่มออกเดินสำรวจร้านต่อไปโดยไม่ได้รู้สึกรู้สากับสายตาของผมที่มองตามอยู่ ผมคิดในใจ “ทำไมผมต้องมาเสียสติเรื่องเงิน 10 บาทกับลูกค้านรกแตกอย่างนี้” ผมตัดสินใจดึงลิ้นชักออกมา โกยเศษเหรียญที่ค้างอยู่ในกล่องเงิน นับได้ 10 บาท เดินไปแตะไหล่เธอพร้อมยื่นเงินให้ แล้วบอกเธอ “ขอให้เที่ยวให้สนุกนะ”
เธอชะงักนิดหนึ่งก่อนหันมามองตาผม ประกายตาส่องแววประหลาดใจพร้อมยิ้ม กล่าวว่า “ขอบคุณนะ แล้วฉันจะกลับมา”
ผมยิ้ม โบกมือให้หน่อยนึง นึกถึงตาเฒ่าที่ขับเครื่องบินรุ่นเก๋าลำนั้น พุ่งเข้าชาร์จจานบินลำยักษ์ ในฉากไคลแมกซ์สุดท้ายของหนัง “ไอดี 4” แกหัวเราะร่าแล้วตะโกน “ข้ากลับมาแล้ว”
เธอย้ำ “แล้วฉันจะกลับมา”
ผมหัวเราะ แล้วบอกเธอไป “ไม่เป็นไร ไม่ต้องก็ได้”



Create Date : 27 กันยายน 2553
Last Update : 27 กันยายน 2553 12:29:02 น. 2 comments
Counter : 1468 Pageviews.

 
สงสัยว่าทำไมฝรั่งหลายคนถึงวีนได้ขนาดนี้กับเรื่องที่เราอาจจะดูเล็กน้อย แต่ก็ได้ผลใช่ไหมครับ หรือว่าผมต้องลองแบบนี้ดูบ้างแล้ว


โดย: Maeil วันที่: 5 มกราคม 2554 เวลา:6:47:57 น.  

 
แล้วแต่ดวงครับ แต่วันนั้น ผมประมาณเอาว่า แจ็กพอต แตก หนักที่สุดแล้ว ในรอบเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา


โดย: เจตตจัน (jettajan ) วันที่: 10 มกราคม 2554 เวลา:10:29:05 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jettajan
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add jettajan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.