Group Blog
All Blog
--- ไ ม่ คิ ด ว่ า จ ะ ติ ด ซี รี่ ส์ ไ ด้ อี ก ---



























































จำไม่ได้แน่นอนว่าปีไหนกันนะที่ฉันติดซีรี่ส์เรื่อง Prison Break ใจจดใจจ่อรอวันอาทิตย์สี่ทุ่ม น่าจะประมาณเจ็ดหรือแปดปีที่แล้ว ก่อนดูซีรี่ส์ก็จะเข้าห้องน้ำห้องท่าให้เรียบร้อยก่อน เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาระหว่างดู เหตุการณ์ชิงไหวชิงพริบและพลิกตลอดเวลา คนดูแทบกลั้นหายใจ ลุ้นเอาใจช่วยไมเคิล สโกลฟิลด์ตลอดเวลา เป็นช่วงเวลา 50 นาทีที่ระทึกและรอลุ้นตอนต่อไปในวันอาทิตย์ถัด ๆ ไป ถึงขนาดนั้นเราก็รอได้ ดูจนจบซีซั่นแรก มาซีซั่นสอง ก็โดนจับเข้าคุกโซน่าอีก เป็นช่วงเวลาแหกคุกแล้วแหกคุกเล่า กว่าจะได้ดูรวดเดียวจนครบทุกซีซั่นก็ผ่านมาอีกหลายปี เรื่องนี้ฉันซื้อให้พ่อดู เขาก็ติดซีรี่ส์นี้งอมแงมเหมือนกัน ดูแล้วก็ต้องดูให้จบ วัน ๆ ไปไหนไม่ได้นอกจากดูตอนต่อไปและต่อไป ถ้าคนมีงานมีการทำก็อาจเสียงานเสียการหรือเสียคนไปเลย ไม่อยากเชื่อว่าเนื้อหาแบบนี้จะทำให้เราอยากติดตามตอนต่อไปอย่างกระหายใคร่รู้ขนาดนั้น

ฉันยังย้อนกลับไปดู Prison Break ตั้งแต่ซีซั่นแรกจนซีซั่น 5 และคาดว่าจะทำต่ออีก แต่เราไม่อยากให้มีภาคต่อแล้วนะ มันควรจะจบได้แล้วล่ะ ถึงจะเป็นแฟนซีรี่ส์เรื่องนี้แต่ก็ขอพอแค่นี้
ช่วงที่ไม่ติดซี่รี่ส์ยาว ๆ ฉันก็ดูละครย้อนหลังของบ้านเรา ดูจนแทบจะไม่มีอะไรให้ดูแล้ว แต่ไม่เคยลองซีรี่ส์เกาหลี นั่นเพราะมั่นใจว่าน่าจะเสียผู้เสียคนอีกเช่นเคย เอาไว้มีเวลาว่างมากกว่านี้ก่อนนะ จะดูให้อร่อยไปเลย

ช่วงที่อากาศบ้านเราเข้าขั้นวิกฤติ ไปไหนมาไหนใต้หน้ากากพีเอ็ม 2.5 เราก็หากิจกรรมอื่น ๆ ทำแทนการออกกำลังกายกลางแจ้ง ว่าไปตามความจริงแล้ว การดูซีรี่ส์อะไรก็ไม่เกี่ยวกับอากาศสักเท่าไหร่เพราะเราก็ใช้เวลาในที่ทำงานเหมือนเดิม เราดูละครหรืออะไรต่อมิอะไรในเวลางานของเรา เพราะมีอินเทอร์เน็ตใช้ กลับบ้านก็คือพัก เราไม่ติดอินเทอร์เน็ตที่บ้าน เราไม่อยากใช้ไวไฟตลอดเวลา เข้าบ้านคือต้องพักแล้วล่ะ

เมื่อต้นเดือน เฟซบุ๊กบอกเราว่า เราอยู่บนเฟซบุ๊กมา 9 ปีเต็ม ๆ แล้ว เริ่มเล่นวันที่ 5 พฤษภาคม 2013 ซึ่งก่อนหน้านั้นเราก็อยู่บนบล็อกแกงค์ พื้นที่ที่เราได้เขียนอะไรเรื่อย ๆ บอกเล่าความเป็นไปในแต่ละวัน เวลาผ่านไปช้า ๆ ไม่มีใครมาพูดคุยมากมาย แต่ก็มีเพจวิวเวอร์ที่บางคนอาจจะเผลอคลิกเข้ามาและออกไป บางคนคลิกเข้ามาอ่านแล้วไม่ทิ้งรอยไว้ มีชื่อเพื่อนบล็อกแกงค์ที่เราคุ้นเคยมากดโหวตให้ เป็นกำลังใจชั้นดีของเราเสมอ ๆ แม้เพียงคนเดียวเสียงเดียวเราก็ยิ้มและขอบคุณอยู่ในใจ เรายังชอบเขียนอะไรต่อมิอะไรที่เรารู้สึกอยู่ แม้จะเขียนเองหรืออ่านเองก็เถอะ ดีใจที่ยังเขียนอยู่

สองอาทิตย์ที่ผ่านมา เราดูซีรี่ส์เรื่อง Game of Thrones ตั้งแต่ซีซั่นแรกจนถึงซีซั่นที่ 7 ดูอย่างเมามันส์ จบซีซั่นแรกก็ยังย้อนกลับไปดูแต่ละ อีพี (1-10) เก็บรายละเอียดบางตอนที่งง ๆ อยู่ ไม่อยากพลาดรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ดูแบบไม่อ่านสปอยล์ใด ๆ อยากใช้เวลากับการดูทั้งหมด

จบซีซั่นแรก ที่เปิดตัวด้วยการเล่าเรื่องราวความขัดแย้งของสมาชิกครอบครัวชนชั้นสูงในจักรวรรดิต่าง ๆ เพื่อครองบัลลังก์เหล็กตั้งแต่ต้นเรื่อง นอกจากนี้ยังเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับภัยคุกคามจากดินแดนตอนเหนือของเวสเทรอสอันมีหิมะและน้ำแข็งปกคลุม พร้อมกับภัยจากทวีปฝั่งตะวันออก พ้นจากทะเลแคบไป ซึ่งค่อยปะทุขึ้นพร้อม ๆ กัน คิดอย่างเดียวว่า อยากหาหนังสือมาอ่านทั้งหมดเลย เชื่อว่าต้องมีอะไรที่นักเขียนซ่อนไว้อีกมากมาย ต้องสนุกไม่แพ้ซีรี่ส์ที่ดูอยู่แน่ ๆ ถึงยังไม่ได้อ่านแต่การดูก็ไม่ทำให้ฉันหยุดดูได้ ฉากอลังการตระการตาเหลือเกิน มันยิ่งใหญ่จนอดทึ่งผู้เขียนและบทภาพยนต์ไม่ได้ ติดตามดูแต่ละวันจนจบทั้ง 7 ซีซั่นแต่ไม่ได้ดูซีซั่น 8 ปัจจุบันทางช่อง HBO พร้อม ๆ fc GOT ทุกคน เดาทางผู้เขียนไม่ค่อยออก แต่ก็คาดการณ์ไว้ในใจแล้วเช่นกันว่าใครจะได้ครองบัลลังก์เหล็ก ใครจะฆ่าแมดควีน และแมดควีนควรจะเป็นใคร

แม้จะผิดหวังและหดหู่หัวใจที่ตัวละครที่เรารัก ๆ ตายไปต่อหน้าต่อตา ถึงกับเศร้าที่ถูกทำร้ายจิตใจ แม้จะรู้ว่าทุกคนอยู่ในเกม อยู่ท่ามกลางสงครามชิงบัลลังก์ ไม่รู้ใครจะเป็นมิตรกับเรา ไม่รู้ใครคอยแทงข้างหลัง รู้หน้าไม่รู้ใจ ไม่รู้ใครจะอยู่ใครจะไป ทุกคนตายแบบช็อกหัวใจเราเลยก็มี คำภาวนาของเราไม่เป็นผลนอกจากดูความเป็นไปของคนที่ติดอยู่ในวังวนของสงครามชิงบัลลังก์

ทุกตัวละครมีมิติ มีความซับซ้อน มีเหตุมีผลในการทำอะไรหรือไม่ทำอะไร บางทีก็ไม่เรียกว่าเหตุผลหรอกแต่เป็นการตัดไฟแต่ต้นลม คิดการใหญ่วางแผนเพื่อรวมอำนาจ เพื่อรวบอำนาจ ตัวร้ายอย่างเซอร์ซี ที่ฉันเกลียดเธอไม่ลง ทั้ง ๆที่เธอโคตรจะร้าย เธอเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ปรับ เปลี่ยนทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตัว เธอทำได้ทุกอย่าง


เจมี แลนนิสเตอร์ น้องชายฝาแฝดที่ฉันก็กรี๊ดสุด ๆ เช่นกัน ตัวร้ายที่เกลียดไม่ได้ รักไม่ลง (แต่ก็แอบรักตัวตนในชีวิตจริงเขานะ 555) อาจจะช็อคตอนที่เขาผลักแบรนตกหอคอย ความเข้มและการเป็นมือขวาของกษัตริย์และมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเซอร์ซีพี่น้องฝาแฝดของตนจนมีลูกสามคน ชีวิตเจมีอยู่ใต้คำบัญชาราชินีเซอร์ซีที่เขารักและเทิดทูนจนหมดหัวใจ ดูจากสายตาของเขา รักเธอไม่ว่าเธอจะร้ายแค่ไหนก็ตาม แต่ได้ข่าวสปอยล์ออกมาเช่นกันว่า เขามีอะไรกับเลดี้บริเอนน์(ของฉัน) ฮือ ๆ ไม่รักก็อย่าทำร้ายเธอแบบนี้ แอบเศร้านะ รู้ทั้งรู้ว่าเจมี่รักใครไม่ได้อีกแล้วนอกจากเซอร์ซี

ขณะที่่ฉันอ่านหนังสือเล่มแรกอยู่ ตัวละครตัวนี้ยังไม่มีอะไรเด่นชัด เพียงแต่เห็นตัวเขาผ่านสายตาคนอื่น ใช่ เขาดูร้ายมาก ๆ ร้ายแต่บุคลิกน่าเป็นพระราชามากที่สุดในสายตาของจอน สโนว์ผู้ซึ่งเก็บรายละเอียดของราชวงศ์แต่ละคน เจมีไม่เก่งในเรื่องการเรียน ไทวินผู่้พอ่เคี่ยวเข็ญอย่างหนัก แต่เขากลับมีความอัฉริยภาพในเรื่องการต่อสู้และใช้ดาบ เขาผู้ซึ่งปวารณาตัวเป็นราชองครักษ์ของกษัตริย์เพื่อจะได้อยู่ใกล้ชิดเซอร์ซี พี่สาวฝาแฝด ทั้งที่เขาเป็นลูกรักของ ไทวิน แลนนิสเตอร์ ตระกูลราชสีห์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งคาสเตอร์ลีร็อก เขาควรจะได้ครองบัลลังก์แทนพ่อ แต่งงานและสร้างอาณาจักรสืบต่อ แต่ก็นั่นแหละ เขารักเซอร์ซีจนยอมทุกอย่าง เอาไว้ค่อยลงรายละเอียดอีกที อะไรหรือที่ทำให้เรามองเห็นว่าเจมีไม่ใช่คนโหดร้าย เขาเป็นพ่อของลูกสามคนแต่เปิดเผยกับลูกไม่ได้ อย่างน้อย ทอมเมนและไมเซลล่า สองพี่น้องนี้มีความอ่อนโยน น่ารักและจิตใจดี คิดว่าน่าจะได้มาจากเจมีมากกว่าเซอร์ซี


ส่วน จอฟฟรีย์นี่ ร้ายกาจสุด ๆ ได้ยีนชั่วร้ายสุด ๆ จากแม่มาทั้งหมดก็ว่าได้ ว่ากันตามนิยายนะ จอฟฟรีย์นี่เด็กเปรต เด็กนรก เพี้ยน ควบคุมยาก ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี รู้แต่อำนาจคืออำนาจ เหมือนแม่ไม่ผิดเพี้ยน ยิ่งมาเป็นกษัตริย์หลังจากกษัตริย์โรเบิร์ตสิ้น โอ๊ย สุดจะบรรยาย ถ้าไม่อ่านสปอยล์ เราก็ลุ้นให้ใครมาเอาจอฟฟรีย์ลงจากบัลลังก์ทีเถอะ โลกปั่นป่วนมากเกินไปแล้ว ไม่ว่าจะราชินี ท่านน้า ท่านลุงกำราบเขาไม่ได้สักคน เป็นคนที่น่าเกลียดน่ากลัวที่สุดพอ ๆ กับแรมซีย์ สโนว์(ลูกนอกสมรสของโบลตัน) สองคนนี้จิตป่วยที่สุดในนวนิยายเรื่องนี้


ทีเรี่ยน แลนนิสเตอร์ เป็นคนแคระ อัปลักษณ์มาตั้งแต่เกิด แม่เสียชีวิตวันที่เขาเกิด เป็นความอัปยศอดสูของพ่อผู้รักหน้าตาและศักดิ์ศรีอันยิ่งใหญ่ของตระกูล ไม่อยากจะยอมรับว่าเขาเป็นลูก แต่ทีเรี่ยนก็เป็นแลนนิสเตอร์โดยสายเลือด เขาเป็นตัวละครที่เราเอาใจช่วยตลอดเวลา มีปัญญาเป็นอาวุธ มีไหวพริบ สุกกับการชิงไหวชิงพริบในราชสำนัก เป็นคนที่กล้าตบสั่งสอนจอฟฟรีย์ กล้าหักหน้าและสั่งสอนจอฟฟรีย์ตรง ๆ ขณะที่ใครไม่กล้าแตะจอฟฟรีย์สักคน นั่นเท่ากับเพิ่มพูนความแค้นและความเกลียดชัง หลายต่อหลายครั้งเขาโดนใส่ร้ายป้ายสี แต่ก็เอาตัวรอดไปได้ทุกที เราลุ้นเอาใจช่วยตลอด ยิ่งในหนังสือ จะมีวาจาบาดจิตบาดใจเรายิ่งนัก แสดงความเป็นนักอ่านของเขาได้เยี่ยมยอด แล้วในซีรี่ส์ก็ดูกวนโอ๊ยเป็นที่สุด แต่ก็นะ เขามีปม ใครจะอยากเกิดมาให้คนล้อเลียนหรือดูถูกความไม่สมประกอบของตัวเอง แถมพ่อและพี่สาวชิงชัง อยากจะฆ่าให้ตายซะทุกวัน แต่อย่างน้อย เจมีก็รักน้องชายและคอยเข้าข้าง คอยช่วยเหลือเขาตลอด เอาน่ะ ทีเรี่ยนก็เอาตัวรอดมาได้จนมาถึงซีซั่นที่ 8 แล้ว จะเสียท่าตอนไหนก็ไม่รู้สินะ


จอน สโนว์ ในซีรี่ส์ เราไม่ค่อยเห็นสตาร์ ไม่รู้สึกรักเขา แต่ในหนังสือ จอนอ่อนโยนกับน้อง ๆ และเจียมเนื้อเจียมตัวกับท่านหญิงซึ่งไม่ได้เป็นแม่ เน็ดหรือเอ็ดดาร์ด สตาร์ก พาเขามาอยู่ด้วยในวันที่รอบบ์ ลูกคนแรกของเขากับแคทลินเกิด ในความเป็นจริงแล้ว แคทลินควรทำใจยากกับเด็กที่เกิดกับเน็ดและหญิงอื่น ทำให้แคทลินไม่ยินดียินร้ายกับจอน ออกจะชิงชังด้วยซ้ำ ต่แจอนสุขภาพจิตดีนะ เขาโตมากับลูก ๆ ของแคทลินกับเน็ดอีกห้าคน รวมทั้งเชลยที่เน็ดพามาอยู่ด้วย คือ ธีออน เกรย์จอย

ภาพที่น่ารักสุดในหนังสือคือจอนกับอาร์ยา สาวน้อยตัวผอม กร้องแกร้ง ซนและไม่เหมือนกุลสตรีตามขนบนิยมของสมัยนั้น ต่างกับซานซ่า พี่สาวของเธอที่สง่างาม สมเป็นกุลสตรีอย่างยิ่ง สองพี่น้องนี้เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่เด็กจนเป็นสาว ขัดคอ เห็นต่างกันทุกเรื่อง เหมือนดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ สำหรับเราเป็นเรื่องปกตินะ พี่น้องทะเลาะกัน ต่างคิด ต่างวิถีที่เลือก คิดอย่างไรใช้ชีวิตแบบนั้น แต่อาร์ยาในหนังสือนี่ เรารักเธอ นักฆ่าหญิงรุ่นจิ๋วเลย คนที่เธอรัก ๆ ถูกฆ่าตายอย่างทารุณทั้งนั้น เอาเรื่องศีลธรรม ความถูกผิดออกหมด เราก็เจ้าคิดเจ้าแค้นแบบอาร์ยานี่แหละ 555 แต่ในชีวิตจริงนั้น ทำไม่ได้ ปล่อยไปตามกฎแห่งกรรม นอกนั้นต้องทำใจและอโหสิกรรมให้ได้ไว ๆ เพราะความเกลียดชังและเจ้าคิดเจ้าแค้นไม่ได้ทำร้ายใครนอกจากตัวเราเอง

เล่าเลื้อยไปเรื่อย กลับมาที่จอนอีกครั้ง เขาดูเป็นพระเอกมากในหนังสือ จนกระทั่งเน็ดต้องไปเป็นพระราชหัตถ์ของกษัตริย์โรเบิร์ต เขาก็ขอพ่อไปที่ผากำแพง ที่นี่เป็นกองมูลสำหรับคนนอกคอกทั่วราชอาณาจักร จอนคิดเอาเองว่า คงมีสักที่ที่เป็นที่ของเขาจริง ๆ

แต่จอนก็ยังไม่อยู่ในหัวใจเราเท่าไหร่ จะน่ารักสุดก็ตอนที่จอนกับน้อง ๆ ต่างมารดาโดยเฉาพะกับอาร์ยาที่ปราสาทวินเทอร์เฟล ตอนนั้นก็คิดในใจว่า ลุงมาร์ตินจะให้พี่น้องคู่นี้รักกันหรือเปล่าหนอ เพราะจอนที่แท้จริงคือใคร แฟน GOT คงทราบกันหมดแล้ว เขาธรรมดาซะที่ไหน


มาถึงตัวละครอย่าง แดเนอรีส แม่มังกรที่ตอนแรก ๆ เราก็โอเคกับเธอ หญิงแกร่งที่เด็ดขาดหลายเรื่อง แต่ก็เริ่มรำคาญช่วงหลัง ๆ ที่มีการปลดปล่อยทาส ในโลกของความเป็นจริงคงยากน่าดูที่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ทำการใหญ่ให้ลุล่วงได้ ต้องใช้เวลา คือเข้าใจนะว่าเป็นเรื่องดี แต่แค่รำคาญ บางซีซั่่นชอบเธอมาก บางซีซั่นก็กร่อย ๆ (ฉันเป็นคนไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย) ซึ่งสุดท้าย อาหลานจะชิงบัลลังก์กันยังไง ไม่น่าจะครองบัลลังก์ร่วมกันหรอกนะ ตรงนี้เดาไม่ออกจริง ๆ

แต่ในหนังสือ ปูพื้น เห็นแดนี่หรือแดเนอรีสตอนหนีสงครามชิงราชบัลลังก์แล้วสงสาร เรการ์โดนฆ่าตาย ริเวอรีสพี่ชายของเธอพาเธอหนีและต้องการหาทัพไปร่วมรบชิงบัลลังก์คืน ต้องใช้เธอนี่แหละเป็นตัวเชื่อม ขายเธอให้กับเผ่าดรอธากี ป่าเถื่อนและแข็งแกร่ง เป็นชนเผ่าที่มีจำนวนมหาศาลและสู้รบเก่ง


ซานซ่า นกน้อยในกรงทอง นึกภาพเธอในหนังสือน่าจะโลกสวย หน่อมแน้ม แต่ผู้หญิงในสมัยโน้นก็ถูกวางหมากไว้ประมาณนี้ โตมาก็เป็นราชินีแต่งงานเพื่อดองสองอาณาจักร แต่เธอก็อยู่ในเกมการเมืองอันโหดร้ายถูกกระทำอย่างโหดร้ายและบอบช้ำทางกายและใจมาไม่น้อย น่าสงสารมาก ยิ่งตอนที่ต้องดองญาติกับตระกูลที่ฆ่าพี่ชายและแม่ยิ่งน่าหดหู่ แถมเจอแรมซีย์ ตัวจิตป่วยอีก ยิ่งโคตรจะเห็นใจ แต่ก็รอดเงื้อมมือมาได้แม้จะฝังใจ ฉันแอบหวั่นใจว่า ในท้องของเธอจะมีทารกเชื้อซาดิสม์ของแรมซีย์ แค่คิดก็ขนลุกขนชัน



อาร์ยาคือความหวังของฉัน เอาใจช่วยเธอตลอด สมัยนั้นหญิงแกร่งและเป็นตัวของตัวเองแบบนี้มีไม่มากนัก เธอกับเซอร์ซีย์มีความเป็นตัวของตัวเองสูงทั้งคู่แต่คนละแนว ไม่คิดว่าอาร์ยาจะเป็นคนฆ่าเซอร์ซีย์นะ และก็คงไม่มารักกับจอน สโนว์ได้ ขอให้เป็นแบบพี่น้องแบบนี้ไปจนจบนั่นแหละดีแล้ว


ธีออน เกรย์จอย เป็นคนที่น่าสงสารและน่าโมโหอีกคน คือเราโมโหนะที่อกกตัญญูแบบโง่ ๆ คนที่ไม่มีความเป็นตัวของตัวเองที่สุด กว่าจะกอบกู้และชดใช้สิ่งที่ทำไป ก็โดนทรมานทรกรรมจนน่าสงสาร ผู้เขียนสร้างตัวละครเก่งมาก แต่ละตัวมีบทบาทและเข้ามาอยู่ในใจเรา รักไม่ได้ เกลียดไม่ลง เราคนดูไม่สามารถพิพากษาได้ แค่เห็นชีวิตที่ผิดพลาดก็เศร้าใจ บอกไม่ถูก ก็เสียศูนย์ไป แต่ก็ เออนะ เราก็ไม่ถึงกับเกลียด คนที่ฉันเกลียดมากก็น่าจะแรมซียื โบลตันนี่แหละ เสียดายที่ตายธรรมดาไปหน่อย


อ่อ อีกคนที่เกลียดมากคือ จอฟฟรีย์ 555 นี่ก็ตายแบบยังไม่สาใจฉัน (ขำ ๆ นะ อย่าซีเรียส ) เท่าที่สังเกต ตัวละครที่โหดเหี้ยม ผิดปกติ ดูตายง่ายอย่างกับตัวประกอบทั่ว ๆ ไป ไม่สมศักดิ์ศรีที่พวกเขาทำ แต่ตัวละครดี ๆ ตายแบบที่ทรมานหัวใจ จบตอน ฟังเพลงตบท้าย หดหู่ กินข้าวไม่อร่อย อารมณ์ฉันเพี้ยนตั้งแต่ เน็ดตาย โฮลดอร์ หมาป่าเลดี้ คนดี ๆ ที่วินเทอร์เฟล ฯลฯ คืออินจัดนั่นแหละ


มีตัวละครที่ร้ายเงียบและน่าชิงชังอย่างนิ้วก้อยหรือลิตเติ้ล ฟิงเกอร์ ดีนะที่โดนซ้อนแผนของพี่น้องสตาร์ก ไม่งั้นคงมาลุยกับไนท์คิงส์ในซีซั่น 8 แน่ ๆ


เราคงได้เห็นการตายของเดอะฮาวน์และเดอะเมาเท่นแล้วล่ะ เดอะเมาเท่นมันผีดิบ น่าจะตายด้วยน้ำมือน้องชายนี่แหละนะ


งานนี้ไม่มีแบรน สตาร์ก ก็ไม่มีใครรู้ว่าจอน สโนว์กำเนิดมาอย่างไรสินะเพราะเน็ต สตาร์กตายไปตั้งแต่แรก ตอนเน็ตตายนี่ ข้าพเจ้ากินข้าวไม่อร่อยเลย โคตรจะสงสาร ฉันรักผู้ชายแบบนี้แหละ รักได้หมดใจเลยเชียว


เน็ด หรือเอ็ดดาร์ด สตาร์ก คือพ่อของลูกห้าคนกับแคทลิน ได้แก่รอบบ์ ซานซา แบรน อาร์ยา รอทดิก เขาถูกเทียบเชิญจากพระราชาโรเบิร์ต บาราเธียนซึ่งครั้งหนึ่งเคยร่วมรบ ชิงดินแดนกันมา เป็นเพื่อนรักกัน โรเบิร์ตรักน้องสาวของเน็ต และศัตรูของโรเบิร์ตก็รักน้องสาวของเน็ตเช่นกัน คนที่ดูซีรี่ส์ก็คงรู้แล้วล่ะว่า ทำไมเน็ดถึงไม่เคยปริปากถึงชาติกำเนิดของจอน สโนว์ ลูกนอกสมรสคนนี้ ไม่บอกว่าใครคือพ่อแม่ที่แท้จริงของจอน สโนว์ เขาไม่บอกแม้แต่โรเบิร์ต เพื่อนรักและแคทลิน ภรรยาที่เขารักยิ่ง ตอนแรกเราดูหนังก็อึดอัดมาก ผู้เขียนทิ้งให้เราคิดเองจนจบซีซั่นเจ็ด

ในหนังสือ ทำให้เรารักเน็ดมาก เขาเป็นผู้ปกครองที่ดี มีเมตตาและคุณธรรมสูง รักครอบครัวที่หนึ่ง การที่เขารับเป็นพระราชหัตถ์ของกษัตริย์ครั้งนี้เปลี่ยนแปลงทุกชีวิต ครอบครัวระส่ำระสาย ทุกคนดิ้นรนเอาตัวรอด ซานซ่าตกอยู่ในเงื้อมมือราชสำนัก พวกปลิ้นปล้อน ปากหวานใจคด หน้าไหว้หลังหลอก หน้ากากซ้อนหน้ากากจนไม่รู้ไหนควรเชื่อไม่ควรเชื่อ

สงครามไม่ใช่แค่เรื่องรบราฆ่าฟัน แต่หมายถึงการเมือง การคอร์รัปชั่น ชิงไหวชิงพริบ และไม่รู้ใครจะเป็นเพื่อนกับเราอย่างแท้จริง อยู่แบบหวาดระแวง เน็ดตกอยู่ในสภาพนั้นเมื่ออยู่คิงส์แลนดิ้ง แน่นอน ที่นี่ไม่ใช่บ้านที่เขาปกครองทางเหนือคือวินเทอร์เฟล เน็ดรู้ความจริงหลายอย่างในราชสำนัก เขากล้าหาญและตรงไปตรงมา ความยืดหยุ่นบางอย่างทำเราเจ็บปวดหัวใจเช่นกัน แต่เน็ตในหนังสือ เราสัมผัสหัวใจของเขาได้มากกว่า เราถึงกับสะอื้น ร้องไห้ตอนที่เขากอดอาร์ยาและสอนลูก เขาเป็นผู้ชายที่กล้าหาญ เข้มแข็ง อบอุ่นและเป็นพ่อที่ดีมาก ในสงคราม มีสองทางเลือก ความรักกับหน้าที่ เขาเลือกในสิ่งที่เขาเป็นและเราถึงกับเสียน้ำตา


จากการที่ดูครบทุกซีซั่นในซีรี่ส์นี้ รู้สึกชีวิตมีชีวิตชีวามากขึ้น อ่านโน่นนี่เกี่ยวกับเกม ออฟ โทรนส์สนุกมากขึ้น ไปฟอลโล่ว์นักแสดงที่ตัวเองชื่นชอบอีกหลายต่อหลายคน ไม่ว่าจะเจมี เซอร์ซี ทีเรี่ยน อาร์ย่า บริเอนน์ แล้วก็ตามอ่าน กูรู ออฟ โทรนส์ อ่านวิเคราะห์เรื่อง ตัวละคร เหตุผล ความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน อ่านช่องโหว่ของนิยาย ความน่าจะเป็นและความบกพร่องของบท คือความสนุก ความสุขในการเป็นผู้เสพซีรี่ส์ นี่ถ้าได้อ่านหนังสือน่าจะอินกว่านี้อีกหลายเท่า

แอบคิดเหมือนกันว่า เพชรพระอุมาน่าจะทำเป็นมหากาพย์ได้นะ ใช้ cg เยอะ ๆ ทำให้ยิ่งใหญ่ไปเลย แต่กลัวอย่างเดียว กลัวเชย กลัวทำอภินิหาร เวทมนตร์แล้วเชย เพราะเรื่องอาถรรพณ์เหล่านี้ เราเชื่อนะ กลัวแต่ตอนเป็นภาพแล้วไม่สวยงามเหมือนที่เราจินตนาการ การไม่สร้างเป็นภาพยนตร์มันก็ดีไปอย่าง เราอยากมีภาพเหล่านั้นเอง เพราะเพชรพระอุมานี่เป็นนิยายสองภาคที่เราโปรดที่สุดแล้ว มีเก็บสะสมทั้ง 48 เล่มบนชั้นหนังสือส่วนตัว

เรายังเล่าไม่ถึงเซอร์ซี แลนนิสเตอร์ ราชินีใจร้ายและเธอทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างหมุนรอบตัวเธอ เธอเป็นศูนย์กลางจักรวาลและเจ้าของคำว่า อำนาจก็คืออำนาจ (ไม่ใช่ความรู้คืออำนาจในแบบของทีเรี่ยน แลนนิสเตอร์ )เธอใช้มันอย่างไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม นิยายเรื่องนี้จะขาดเซอร์ซีได้อย่างไร ไม่มีเซอร์ซีก็ไม่ใช่ GOT เอาไว้ว่าง ๆ จะมาเล่าต่อนะคะ ไม่รู้ว่าเราจะเปรียบเทียบเธอเหมือนพระนางซูซีไทเฮาได้หรือเปล่านะ และเรื่องราวจะเหมือนสามก๊กตรงไหนบ้าง

ขอบคุณค่ะ

หมายเหตุ :
ขอขอบคุณภาพทุกภาพจากอินเทอร์เน็ตที่เรานำมาใช้ในเอนทรี่นี้นะคะ
ขอบคุณมากค่ะ

ภูพเยีย
9 พฤษภาคม 2562
























Create Date : 09 พฤษภาคม 2562
Last Update : 17 พฤษภาคม 2562 9:57:18 น.
Counter : 766 Pageviews.

3 comment
--- ด อ ก ไ ม้ ไ ช ย ป ร า ก า ร ---


















คนที่โชคดี
คือคนที่รู้ว่าอะไรคือความสุข
เมื่อเจอมัน






























































































































































































































































































































































ฝนตกก็ดีใจ
แดดออกก็ยิ้มได้
ชีวิตก็เหมือนต้นไม้




ขอให้ทุกท่านมีความสุข
ภูพเยีย

























Create Date : 08 พฤษภาคม 2562
Last Update : 8 พฤษภาคม 2562 15:46:06 น.
Counter : 554 Pageviews.

0 comment
--- ด อ ย เ วี ย ง เ ท ร ล ---























เดือนกว่าแล้วที่เราไม่ได้ซ้อมวิ่งทุกวัน เราไม้ได้กลัวร้อนแต่กลัวฝุ่นจิ๋วที่เป็นภัยเงียบมากกว่า
ครั้นอากาศพอจะดีขึ้น พ่อหลวงประกาศให้คนในพื้นที่เผาหญ้าแห้งได้ คนแก่แถวบ้านเราก็เผามันทุกวันเหมือนอัดอั้นตันใจ บางบ้านเผามันทุกเช้า ทำเป็นกิจวัตร บอกก็ทะเลาะกันอีก บอกก็ว่าเพราะใบไม้จากบ้านของเรานั่นแหละที่เป็นต้นเหตุ คนหนึ่งปลูก คนหนึ่งเผา ถ้าเราปลูกต้นไม้แล้วกลัวใบร่วงก็น่าร้องไห้ มีเพื่อนที่ไม่ชอบกวาดใบไม้ เขาเลือกที่จะโค่นทุกต้นและเทปูน ก็ถือว่าต่างได้เลือกแล้ว แต่ฉันกลับทนได้กับใบไม้ร่วง กวาดกองรวมไว้ รดน้ำทำเป็นปุ๋ยหมักต่อไป


แต่พูดไปก็เท่านั้น เช้ามาก็เห็นควันรอบบ้าน ทั่วทุกทิศ เผาประชดเราบ้าง เผาเพราะถึงเวลาเผา เผาเพราะความเคยชิน เรื่องเศร้า ๆ ที่เรารับกรรมร่วมกัน

หากใครเคยอ่านเรื่อง 'ณ ที่ซึ่งความจริงไม่อาจดํารงอยู่' จะเห็นภาพชนบท ความรู้สึกบางอย่างที่เราไม่เคยพูดออกมา


เช้าวันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม ที่เรายังอยู่ในช่วงประวัติศาสตร์ของประเทศ มีพระราชพิธียิ่งใหญ่เหตุการณ์ประวัติศาสตร์พระราชพิธีบรมราชาภิเษก 4-6 พ.ค. 2562

พระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นการดำเนินการตามคตินิยมของศาสนาพราหมณ์ เพื่อป่าวประกาศให้เทวดารู้ว่าบัดนี้จะมีพระมหากษัตริย์ หรือพระผู้เป็นเจ้าเกิดขึ้นอีกพระองค์หนึ่งแล้ว

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 ทรงเป็น 'พระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์' หลังเข้าพิธีสรงพระมุรธาภิเษก ทรงรับน้ำอภิเษก และทรงสวมพระมหาพิชัยมงกุฎ ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า 'พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว' ( เครดิตจาก https://www.bbc.com/thai/thailand-48177907) ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน


นอกจากนี้ วันนี้ยังเป็นความทรงจำสวยงามส่วนตัวเพราะเป็นวันเกิดของพ่อ เราเคยไปหาพ่อ เคยซื้อของไปฝาก เคยนั่งกินอาหารด้วยกัน พูดคุยถึงหนังสือ ถามไถ่ทุกข์สุข เคยบอกรักพ่อให้พ่อได้ยิน วันนี้ได้แต่คิดถึง ความคิดถึงซึ่งบอกเป็นภาษาใดคงไม่ลึกซึ้งเท่าที่รู้สึกว่า คิดถึงพ่อเหลือเกิน

จะมีใครคิดถึงใครได้ตลอดชีวิตไหม เราไม่รู้ รู้แต่เราจะเป็นแบบนั้น



เช้านี้เราออกบ้านตีห้าครึ่ง รับน้องเภสัชซึ่งเป็นนักวิ่งวินัยสูงอีกคนไปกับเราด้วย

ก่อนออกวิ่ง เราเช็คอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เรียบร้อย สำคัญสุดคือน้ำ เราต้องรับน้ำเยอะมากสำหรับการวิ่งครั้งนี้เพราะหน้าร้อนปีนี้ อากาศร้อนจัด อุณหภูมิขึ้นกว่า 40 องศาแทบทุกวัน เรากลัวแต่จะฮีทสโตรกเท่านั้น กังวลมากกับอาการนี้ ระมัดระวัง ฟังเสียงร่างกาย อย่าฝืน การวิ่งให้อะไรกับตัวเองมากมาย ไม่ใช่การป่าวประกาศหรืออวดเพซวิ่งหรู ๆ ไม่ใช่เรื่องตัวเลขให้คนทึ่ง ไม่ต้องกดดันตัวเองเกินความจำเป็น วิ่งช้าเร็วไม่สำคัญเท่ากับเราได้วิ่ง

การวิ่งเป็นเรื่องส่วนตัว เราให้ความสำคัญสิ่งใด เราจะมีเหตุผลให้กับมันเสมอ เราทำได้แค่บันทึกการวิ่งของเราเท่านั้น


เป็นเพราะสามีมาออกหน่วยบนดอยเวียงบ่อย เขาชวนไว้หลายครั้งแล้วว่า อยากให้ไปเห็นเส้นทางสวยงามนี้ สูง 1800 จากน้ำทะเล ไปดูดอยที่ปลูกกาแฟที่เรานิยมชมชอบ

ก่อนนี้ การเดินทางไปยังหมู่บ้านดอยเวียงนั้นค่อนข้างลำบาก ใช้เวลาสองชั่วโมงกับระยะทาง 20กิโลเมตรจากปากทางจนถึงหมู่บ้าน ทางเป็นดินแดงปนกรวดเล็ก ๆ รถยนต์โฟวีลส์วิ่งได้ แต่คิดถึงหน้าฝน การสัญจรทางรถมอเตอร์ไซค์หรือรถยนต์ค่อนข้างลำบากเหมือนกัน แต่ความเคยชินและคุ้นเคยกับเส้นทางก็ทำให้ความยากดูยากน้อยลงบ้างมั้ยนะ

วันนี้เราเริ่มต้นวิ่งที่บ้านพ่อหลวง จากบ้านพ่อหลวงไปยังหมู่บ้านดอยเวียง ระยะทาง 14 กิโลเมตร (รวมไปกลับก็ 28 กิโลเมตร)

ทางสูง ๆ ต่ำ ๆ เหมือนทางดอยทั่ว ๆ ไป มีต้นลำไย ลิ้นจี่และต้นกาแฟ กาแฟดอยเวียงเป็นที่นิยมสำหรับแถวบ้านเรา ฉันคุ้นกับกาแฟดอยเวียง ซื้อเมล็ดกาแฟที่คั่วจนหอมใหม่ ๆ สด ๆ มาบดและต้มกินเป็นกิจวัตร คุ้นลิ้นมานานแล้ว เรื่องรสชาติกาแฟนั้นอยู่ที่คนชอบ เราได้แต่ขอแนะนำหากใครผ่านมาทางนี้ กาแฟรสชาติดีทีเดียว

อากาศช่วงเช้ายังไม่ร้อนมาก การวิ่งเหยาะ ๆ บนทางสูงต่ำยังเป็นสุขอยู่ การวิ่งเทรลดูเหมือนจะสลับกับเดินได้ก็จริง หากเราเอาแต่เดินโดยเฉพาะทางชันขึ้นไป นอกจากจะทำให้ช้าแล้ว ยังรู้สึกว่าก้าวไม่ค่อยออก เราจึงค่อย ๆ จ๊อกกิ้งขึ้น ก้าวสั้น ๆ กลั้นใจขึ้นไปให้ถึงที่เราตั้งเป้าไว้ ไปทีละนิด ๆ หายใจลึก ๆ แต่พอจ๊อกขึ้นไปถึง ใจยังไม่หายสั่น ก็เห็นทางข้างหน้าที่จะต้องไปต่อ ยิ่งมองทางชันไปข้างหน้าทำให้ใจท้อได้เหมือนกัน

ขาไป ยังสนุกอยู่เพราะแรงยังดี ผ่านสี่กิโลแรกเล่นเอาขาอ่อนได้เพราะก่อนหน้านี้ไม่ได้ซ้อมหนักหรือซ้อมยาวมาเลย พักซ้อมนานเกินจนต้องเริ่มใหม่

สามีบอกว่า ไปต่ออีกสิบกิโล ผ่านลำธารเล็ก ๆ อีกห้าครั้งก็ถึงแล้ว

นึกในใจขึ้นมาแล้วว่า อยากซ้อมแค่สิบกิโลก่อนได้มั้ย แต่เขาก็ว่า ค่อย ๆ ไปก็ได้ เหมือนปิกนิกกัน

ได้แต่บอกเขาว่า ไปล่วงหน้ากันเลย เดี๋ยวตามไป

ฉันเดิน ๆ วิ่ง ๆ ไปจนกิโลที่ 12 รู้สึกแย่แล้ว หายใจไม่ทั่วท้อง ก้มหน้า เอามือยันไม้เท้าไว้ พอเงยหน้าขึ้นก็จะวูบ จนต้องนั่งลง หอบมาก ปกติก็ไม่ทนร้อนอยู่แล้ว จิบน้ำไปเยอะแล้วยังไม่รู้สึกดีขึ้น อมลูกอมไปเม็ดนึง อยากได้น้ำตาล

เวลาเหนื่อยมาก ๆ มักจะกินเจลไม่ได้ ท้องว่างมากก็จะอ้วกเอา ครั้งหน้าจะพกเกลือแร่มากินดีกว่า มันเหมาะกับเรามากกว่า

ฉันนั่งบนทางถนนปูนซึ่งทำเป็นทางล้อวิ่ง กะพักเหนื่อยแล้่วจะวิ่งลงแล้ว แต่สามีวืิ่งย้อนลงมาดูบอกว่า อีกนิดเดียว นิดเดียวคืออีกสองกิโล เป็นสองกิโลที่เหนื่อยและร้อนมาก ๆ


ช่วงที่เดินเข้าหมู่บ้านนี่ดีใจจัง รวมทาง 14 กิโลกว่า ๆ เดี๋ยวกินอะไรรองท้องก็วิ่งลงแล้ว

ชาวบ้านจำสามีฉันไม่ได้เพราะเขาไม่ได้มาชุดทำงานเหมือนทุกครั้ง พอถอดหมวก แว่นตาออกเท่านั้นแหละ ทุกคนก็ยิ้มทักทายเขา เขานึกไม่ถึงว่าจะมีคนวิ่งขึ้นดอยมาแบบนี้ อย่าว่าแต่พวกเขาเลย เราเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน

แต่ฉันเริ่มกังวลตอนขากลับนี่แหละ ต้องต่อสู้กับร่างกายและจิตใจอีกหลายเฮือก แรงหมดจริง ๆ













































































































































































































































































































































































































































































































กว่าจะลงมาถึงที่จอดรถไว้ ใช้เวลาหกชั่วโมงกับทาง 28 กิโลเมตร สำหรับคนเก่งก็น่าจะเซฟไปสักสองชั่วโมงนะ แต่ฉันเหนื่อยจนแทบจะทนไม่ไหว ถึงข้างล่างก็ดีใจมากแล้ว ไม่เป็นลมกลางทาง ตอนนั้นใจอยากกินเป๊ปซี่มาก ๆ แต่ก็เกือบจะถึงบ้านแล้วล่ะ จึงได้จอดหาที่ซื้อเป๊ปซี่กิน เป็นเป๊ปซี่ซาบซ่าที่สุดเท่าที่เคยกินมา (ฮา)

น้ำในเป้หลังเหลือเท่าเดิม แต่กินน้ำในขวดน้ำที่พกไปเพิ่มหมดทั้งสองขวด แถมน้องที่อนามัยคอยขับรถมาดูอาการเราว่า จะวิ่งถึงข้างล่างมั้ย เธอมีน้ำใจที่ขับมอเตอร์ไซค์เอาน้ำมาให้

ไม่อยากบอกเธอเลยว่า วันนี้อาจจะเข็ดเพราะร้อนจัด แต่เราชอบเส้นทางนี้จัง ดีใจที่แถวบ้านเรามีดอยให้เราซ้อมวิ่งได้ ดูปลอดภัยแม้เส้นทางจะโหดเกินไปสำหรับคนไม่ค่อยแข็งแรงอย่างฉัน

หน้าหนาวค่อยว่ากันใหม่ จะกลับมาวิ่งที่นี่อีก ชอบมากค่ะ



ขอให้ทุกท่านสุขภาพดีและมีความสุข
ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย
5 พฤษภาคม 2562






















Create Date : 07 พฤษภาคม 2562
Last Update : 7 พฤษภาคม 2562 12:47:53 น.
Counter : 657 Pageviews.

2 comment
--- ก ลั บ บ้ า น ---



























วันหยุดสงกรานต์ปีนี้ ครอบครัวเราไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหน ไม่มีโปรแกรมล่วงหน้าด้วย ดีไปกว่านั้นที่ลูกสาวมาบ้าน เนื่องจากไม่มีสอบ ไม่มีเรียนในช่วงวันหยุดยาวนี้ พ่อเด็ก ๆ ดีใจกว่าใครเพราะได้โชว์ฝีไม้ลายมือในการทำอาหารให้ลูก ๆ กินเหมือนเคย

ปีนี้ก็ร้อนร้ายเหมือนทุกปี นี่สรุปรวมจากการเห็นบันทึกย้อนหลังในแต่ละปีที่มีการซ้อมวิ่งอยู่นั่นแหละ แต่ปีนี้ที่ไม่ได้ซ้อมเพราะซ้อมไม่ได้ต่างหาก เพราะเราเพิ่งมาใส่ใจเรื่องค่าฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ที่อันตรายต่อสุขภาพ ( มันคงเป็นแบบนี้มานานหลายปีแต่เราไม่รู้ ที่รู้เพราะคนกรุงฯเขาเดือดร้อนและใส่ใจ เราจึงหันมามองบ้านเราบ้าง )ในเมื่อเราสนใจเรื่องการดูแลสุขภาพด้วยการออกกำลังกายแล้ว จะดันทุรังให้ร่างกายพังก็ใช่เรื่อง แต่ก็ต้องยอมรับเหมือนกันว่า จากที่ไม่ได้กังวลเรื่องร้อนหรือบ่นถึงความร้อนก็มีวิตกกังวลและรอฝนเพราะเราซ้อมวิ่งไม่ได้นี่เอง เป็นบทเรียนใหม่ว่า อย่าลงวิ่งช่วงเดือนนี้เท่านั้น ไม่งั้นจะต้องทิ้งทุกรายการแบบปีนี้

หลังจากที่ส่งลูกกลับหอไป เย็นวันศุกร์เราเดินทางไปต่างจังหวัด พาลูกไปเยี่ยมปู่กับย่า เพราะท่านทั้งสองเพิ่งไปเลเซอร์ตา หมอสั่งห้ามทำงานหนัก ห้ามยกของหนักและต้องใส่แว่นตาดำเพื่อปกป้องดวงตา งดกิจกรรมที่ต้องใช้สายตามาก ๆ โดยเฉพาะการจ้องบนจอมือถือ (ซึ่งปู่กับย่าเล่นมือถือไม่เป็นอยู่แล้ว ท่านใช้โทรฯออกและรับเท่านั้น ) ต้องหยอดตาและไม่ควรขยี้ตา

ระหว่างการเดินทางก็เจอเหตุการณ์ไม่คาดคิดทั้งที่ตรวจเช็ครถจนเรียบร้อยแล้ว นั่นคือ ไดชาร์จดับระหว่างทางโค้งบนถนนสายอำเภอลองตอนตีสี่ ไดชาร์จดับนี่เรื่องใหญ่เพราะเป็นตัวจ่ายไฟทั้งรถ ทำให้ไฟทุกดวงในรถดับหมด โชคดีที่พระจันทร์เดือนหงายพอเห็นแสงสว่างอยู่บ้าง ไม่มืดจนน่ากลัว แต่ที่เรากลัวกว่านั้นคือทางโค้งนี่แหละ สามคนพ่อลูกช่วยกันเข็นรถเข้าข้างทางและหากิ่งไม้ไปวาง จากนั้นก็เข้ามาค้นหาเฮดแลมป์ที่เราติดรถตลอดเพราะซ้อมวิ่งกลางคืนประจำ เอามาติดหลังรถพอที่จะเป็นสัญญาณเตือนให้คนใช้รถใช้ถนนได้รู้บ้างว่ามีรถเสียตรงนี้

สามีก็ให้ฉันกับลูกนั่งรอในรถ รอเช้าเพราะร้านที่ไหนก็เปิดแปดโมง ยิ่งช่วงสงกรานต์ เขาจะอยู่บ้านกันหรือเปล่าหนอ ก็ทำใจรอต่อไป แต่ฉันกลัวรถแหกโค้งมามากกว่า ไม่กล้านั่งรอในรถ ออกมาเดินเล่นถือไฟสัญญาณเผื่อรถคันอื่นจะได้ระมัดระวังน่าจะดีกว่า

ตรงโค้งที่รถเสียก็ไม่มีสัญญาณมือถือ แต่สักพักก็มีกระบะมาจอด เขาลงมาถามอาการรถเรา เผื่อจะพอช่วยเหลือได้ แต่อาการไดชาร์จดับนี่เกินกว่าจะช่วย ต้องรอสว่างและรอรถยกมายกส่งอู่อย่างเดียวเลย สิ่งที่เขาช่วยได้คือ โทรแจ้ง 191 ให้ สักพักก็มีรถตำรวจมาช่วยวางกรวยให้ก่อนกลับไป เขาติดต่อรถยกให้เราแล้ว นอกนั้นก็ต้องรอว่า รถยกเขาจะพร้อมมารับเรา เมื่อไรก็เมื่อนั้น ดีที่เราไม่รีบ แต่ต้องโทรฯบอกคนรอว่าจะไปถึงช้าหน่อย ไม่อยากให้เขากังวล โชคดีที่การเดินทางครั้งนี้ไม่มีโปรแกรมลงวิ่งสนามไหน คิดถึงต้นปีที่แล้ว ก็เจออาการแบตตารี่หมดและสตาร์ทไม่ติด โชคดีที่เกิดก่อนการวิ่งที่เขาค้อ เพราะถ้าสตาร์ทไม่ติดกลางรีสอร์ท ก็คงไม่ได้ไปงานวิ่งและคงต้องรอช่างจนสายแน่นอน

ครั้งนี้เรารอกว่าชั่วโมง รถยกจึงมา เพิ่งเคยมีประสบการณ์นั่งรถตัวเองบนหลังรถยก กว่าจะเข้าถึงตัวเมืองแพร่ ระยะทาง 16 กิโล ไกลไม่ใช่น้อย รถเกียร์ออโต้ปล่อยไหลไปตามทางโค้งของถนนไม่ได้ นับว่าเรายังโชคดีมากที่ไม่มีใครได้รับอันตราย รถก็รับใช้เรา 11 ปีเต็มแล้ว รถแก่ก็มีอาการบ้างล่ะนะ

หลังจากเปลี่ยนไดชาร์จเรียบร้อยแล้ว เราก็ดิ่งไปบ้านปู่ย่าของเด็ก ๆ ต่อ

ปีนี้ปู่ย่าต้องพักหลังเลเซอร์ตา เลยไม่ได้ทำขนมจีนน้ำยาปลาช่อน แกงหนูและเตรียมสำรับอาหารมากมายให้เราเหมือนทุกครั้ง นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก เราอยากมาเยี่ยมและมาขอพรพ่อแม่เป็นสิริมงคลกับชีวิตของพวกเรามากกว่า ครอบครัวทางฉันก็มีแต่แม่คนเดียว เรายังติดต่อกันทุกวัน ย้ำว่าทุกวัน เพราะหายไปเพียงครึ่งวันยังต้องตามหากันจ้าละหวั่น บังเอิญปีนี้แม่ไปเยี่ยมไข้เพื่อน ๆ กับป้า ๆ ทั้งหลาย และอยู่ในช่วงไปทะเลกับเพื่อนเขา เอาไว้ไปหาแม่ช่วงเวลาอื่น อย่างน้อยปีนี้ เราก็เจอแม่แล้วเมื่อต้นปี

ปู่ของเด็ก ๆ เล่าว่า เกือบจะไม่ไปเพราะกลัว แต่ลงชื่อไว้แล้วก็ต้องไป

โครงการนี้เป็นโครงการดูแลรักษาดวงตาของ รพ.เอกชน คือ รพ. รวมชัยประชารักษ์
เรื่องของเรื่อง เขามาหาลูกค้า(คนไข้โรคดวงตา)ข้าราชการครู น้า ๆ ของสามีได้ยินข่าวก็รีบไปแจ้งให้พ่อทราบว่า รักษาตาให้และเบิกได้เพราะลูกเป็นข้าราชการ ที่สำคัญเราไม่ต้องไปเอง มีรถตู้รับส่ง สะดวกมาก อาหารการกินก็ไม่ต้องเตรียมไปเพราะมีบริการฟรีตลอดการรักษา ความจริงก็ไม่ฟรีหรอก เขาคิดรวมไปกับการรักษาและเบิกจ่ายภายหลังกับหลวงอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม คนแก่ไม่ต้องเงอะงะเข้าเมืองหลวง ไม่ต้องตื่นกับการหาห้องรอการรักษา หาที่กินและต้องเดินทางกลับบ้าน เราว่าดีสำหรับคนไข้สูงวัยมาก คนมีลูกก็พอให้ลูกพาไปได้ แต่คนที่ลูกทำงานไกล ๆ และกลับบ้านลำบากก็จะไม่สะดวกสักเท่าไหร่

งานนี้ก็ไปกันเกือบทั้งตำบล ดูเหมือนกับพาไปเที่ยวยังไงยังงั้น ใช้เวลารักษาไม่นาน พ่อบอกว่า นอนนับ 1 ถึง 416 ก็เสร็จแล้ว แว่นตาดำ เขาก็ให้มาใส่ไว้ จากที่มองอะไรแทบไม่เห็น ตอนนี้มองเห็นถึงเชียงใหม่แล้ว แต่เหมือนต้องหัดเดินใหม่เพราะตาอีกข้างแค่พอมองเห็น ยังปรับตัวไม่ค่อยได้ ตาดีข้าง ส่วนอีกข้างยังไม่ร้ายแรงถึงขนาดต้องไปรักษา แค่ดวงตาเสื่อมตามวัยเท่านั้น

พ่อบอกว่า ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งได้พักจริง ๆ ก็คราวนี้ เนื้อตัวเกลี้ยงเกลาขึ้นเพราะได้พักจากการทำนา สามีก็บอกแล้วบอกอีกว่า นาน่ะ ไม่ต้องทำแล้ว ให้เขาเช่าไปเถอะ พ่อเขาทำนาแก้เหงา ปีนี้พ่อก็เตรียมข้าวไว้ให้เราอีกสองกระสอบ ของเก่าเรายังกินไม่หมด เราก็ให้คนใกล้ของเรานี่แหละ กินกันไม่ทันหรอกขนาดว่าหุงข้าวกินทุกวัน แต่ที่สนุกกว่านั้นคือ เราสอยมะม่วงเขียวเสวย มะม่วงบุญบันดาล มะม่วงแก้วจนเพลิน ได้มาหลายถัง อารมณ์เหมือนตอนอยู่บ้านปู่ที่อยุธยาเลย ถือกระแป๋งวิ่งตามอาสาลี่เก็บมะม่วง สนุกกว่ากิน เพราะเราไม่ได้ชอบกินมะม่วงมากขนาดนั้น มะม่วงบ้านอามากเสียจนรอสุกเพื่อนำมาเคี่ยวทำมะม่วงกวน เรื่องสนุกของเราตอนเด็ก ๆ เลยก็ว่าได้ ชอบหยอดมะม่วงบนใบตองวางกลางลานบ้าน และลอกเก็บ จะให้ใครได้นอกจากหลานอย่างเราสามคนนี่แหละ ที่ต้องแบกมะม่วงกลับมากินตอนเปิดเทอม จำได้แค่ว่าไม่อยากแบก เยอะเหลือเกินและต้องแบกลังที่พ่อห่อให้ก่อนมาส่งขึ้นรถไฟกลับบ้าน

เดี๋ยวนี้ไม่มีใครทำแบบนั้นแล้ว มีแต่บ้านเรือนไทยที่ไม่มีคนอยู่ ลูกหลานเข้าเมืองหลวง เรียน ทำงานและตั้งรกรากกันในเมืองหลวง จะรวมตัวรวมญาติกันทุกพฤษภาก่อนเปิดเทอมใหญ่ แต่คงเป็นความหลังความทรงจำแสนงดงามของเราไปแล้ว เมื่อไม่มีพ่อ เราก็เหมือนไม่สามารถเชื่อมโยงกับญาติคนไหนได้ มันเหมือนห่างไกลไปเรื่อย ๆ เหลืออาสาลี่ที่เรารักและรักเราที่สุด ลูก ๆ ของเราเลยเป็นเด็กไม่ค่อยมีญาติมากมายเหมือนเราตอนเด็ก โชคดีที่ญาติทางพ่อยังมีให้ไปเยี่ยมหา

ปู่ของเด็ก ๆ บอกว่า ปีนี้ปู่ก็ 80 แล้ว จะทันได้เห็นบู๊บุ๋นรับปริญญาหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ
ปู่ถามถึงเจ้าคนโตของเราว่ามีครอบครัวหรือยัง ไม่ได้เห็นเขานาน ตั้งแต่ทำงาน เขาก็ไม่ค่อยได้กลับบ้านนอกจากไปบ้านยาย

นึกถึงพ่อฉันเลย พ่อก็จากไปตอนแปดสิบ นับว่าแต่ละคนอายุยืน ทันได้อยู่เห็นลูกหลานอยู่ดีมีสุขทุกคน ปู่ขอถ่ายรูปกับหลาน 'ขอปู่กอดหน่อยนะ' ปู่เกรงใจหลานเหลือเกินคงเห็นว่าเป็นสาวแล้ว อวยพรให้หลานและยื่นเงินค่าเช่านาให้หลานเป็นขวัญถุงด้วย เราก็ได้แต่ขอให้ปู่กับย่าของเด็ก ๆ มีความสุขทุกวันและจะหาเวลาว่างมาเยี่ยมบ่อยขึ้น



ขอให้ทุกท่านมีความสุข
ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย
พิจิตร
19 เมษายน 2562

















Create Date : 22 เมษายน 2562
Last Update : 23 เมษายน 2562 8:00:05 น.
Counter : 727 Pageviews.

0 comment
--- ด า ว เ ด่ น เ มื อ ง ค อ ง ---























































ในที่สุด เราก็ได้เจอกันสักที
นกกะเต็นขาวดำใหญ่แห่งเมืองคอง


8 เมษายน 2562
















Create Date : 10 เมษายน 2562
Last Update : 10 เมษายน 2562 16:23:07 น.
Counter : 704 Pageviews.

1 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  

ภูเพยีย
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]



  •  Bloggang.com