Group Blog
All Blog
--- จ น ---















เมื่อกี๊นี้ ลูกค้ามาขอซื้อยาแก้เวียนหัวเพราะเมารถเป็นประจำจนกลัวที่จะเดินทางไปไหน เธอเล่าว่า ตอนเล็ก ๆ ใฝ่ฝันอยากเป็นกระเป๋ารถเมล์มาก เราก็นึกสงสัยในใจว่าอาการที่อยากเป็นนั้นเหมือนเราตอนเล็ก ๆ หรือเปล่า ฉันอยากได้กระบอกใส่เงินและฉีกตั๋วนั่นมาก ได้เขย่าเงินและฉีกตั๋ว น่าจะสนุก แต่ก่อนที่จะถามเธอว่า ทำไมถึงอยากเป็นกระเป๋ารถเมล์ เธอบอกเหตุผลง่าย ๆ ว่า เป็นกระเป๋ารถเมล์จะได้ไม่เวียนหัว เดินไปเดินมาบนรถได้ แล้วเธอก็เล่าต่อว่า

ตอนที่ไปสอนนักเรียนที่แม่ทะ (ลำปาง) ก็ถามนักเรียนว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร มีนักเรียนคนหนึ่งชื่อผ่องศรีที่จำติดอกติดใจในคำตอบ เพราะนักเรียนตอบครูว่า อยากรวยค่ะ รวยแล้วจะได้ซื้อปลาทูมากิน

ครูเล่าเองก็ตบอกเองว่า พี่นี่ใจหายเลยนะ คิดว่าความฝันของตัวเองนี่เป็นเรื่องตลกและไร้สาระมาก แต่ของผ่องศรีทำให้พี่คิดอะไรได้หลายอย่าง ฟังแล้วสะเทือนใจมากเพราะบ้านของนักเรียนลำบากมากไม่ค่อยได้กินอะไร พอพี่เข้ามาสอนในเมืองและย้ายมาที่นี่ ก็ไม่ได้เจอนักเรียนที่นี่เลยแต่ได้ข่าวว่าผ่องศรีแต่งงานมีลูกมีเต้าหลายคนแล้ว นี่ถ้าเจอจะถามว่า ตอนนี้ได้กินปลาทูแล้วหรือยัง

ฉันมานึกถึงเรื่องปลาทูของตัวเองเหมือนกัน ที่เคยแอบ ๆ ซ่อน ๆ ตอนซื้อปลาทูและซุกในกระเป๋านักเรียนเพียงแค่กลัวใครจะเห็นว่าเรากินปลาทูหรือซื้อปลาทูให้แมวเกือบทุกวัน ฉันไม่ค่อยอยากให้ใครรู้ว่าฉันกินปลาทู ข้าวผัดและไข่ทอดบ่อยกว่าอย่างอื่น ฉันอายอะไรก็ไม่รู้ แต่เดี๋ยวนี้ใครได้กินปลาทูดูมีตังค์นะ ปลาทูราคาแพงกว่าสมัยเราเป็นเด็กมาก

ฉันแยกแยะคำว่าจนหรือรวยตั้งแต่ตอนไหน จำไม่ค่อยได้ รู้แต่ว่าเราต่างก็ไม่อวดจนหรืออวดรวยกัน หรือเป็นเพราะฉันได้ยินเรื่องราวของเด็กนักเรียนยากจนจากแม่จนเป็นเรื่องปกติ เวลามีทุนการศึกษาสำหรับเด็กเรียนดีแต่ยากจนนั้นเป็นเรื่องพิเศษมาก ๆ พ่อฉันก็เคยให้พวกเราขอทุนนี้เหมือนกัน แต่ฉันไม่คิดว่าเราจนมากพอที่จะขอทุนนี้ หรือเพราะแม่นั่นแหละที่ไม่ทำให้เรารู้สึกว่าเราจน

แม่เคยเล่าว่า ที่โรงเรียนก็มีทุนให้นักเรียนดีแต่ยากจนนะ แม่มองไปทางไหนก็สมควรจะได้หมด ไปเยี่ยมบ้านนักเรียนมาก็แสนจะหดหู่ บางทีเห็นนักเรียนแต่งตัวไม่เรียบร้อยก็ไม่ดุว่าอะไร มีแค่ไหนก็ใส่มาแค่นั้น เสื้อผ้านักเรียนของพวกเราก็ขนมาให้เด็กนักเรียนแม่ มีชื่อพวกเราในชั้นเรียนของแม่เสมอ ส่วนเรื่องเงินที่ฉันคิดว่าเป็นเรื่องพิเศษกว่านั้นคือแม่ให้โหวตว่าเงินจำนวนนี้เราควรจะให้ใคร เพื่อนนักเรียนก็รู้ว่าใครควรได้ เขารู้ว่าใครยากจนกว่าเขา ซึ่งความจริงความยากจนในบ้านเรานั้นมีหลากหลายมิติ ยากจนเรื่องเงินทอง (ซึ่งอยากจะใช้คำว่าขัดสนเสียมากกว่า) จนโอกาส จนปัญญา จนเพราะไม่รู้จักพอ ฯลฯ แต่โชคดีที่นักเรียนของแม่ยังไม่จนน้ำใจ เราจึงยังพอได้ยินเรื่องดี ๆ จากแม่บ่อย ๆ แต่นั่นแหละ จนก็คือจน อยากให้พวกเขาได้รับโอกาสในการศึกษามากที่สุด มันเป็นบันไดต่อชีวิตเขาไปได้ไกล

จบ












Create Date : 03 ธันวาคม 2561
Last Update : 3 ธันวาคม 2561 14:10:05 น.
Counter : 540 Pageviews.

1 comment
--- P Y T 2 0 1 8 # R T C 2 3 ---




























หลังจาก DNF งานวิ่งเทรลมาสองงานติด ๆ กันในปีนี้ ดึงเอาความมั่นใจในตัวเองไปเกือบหมด ความรู้สึกที่ลงวิ่งแล้วจะไม่จบอีกยังหลอนอยู่ อาการแบบนี้บอกเล่าไปก็เท่านั้น มีแต่เราที่ต้องทบทวนและให้กำลังใจตัวเอง รู้จุดอ่อนและต้องเติมส่วนที่กะพร่องกะแพร่งให้ตื้นขึ้นมา เราต้องใช้เวลาและความพยายามมากกว่าคนอื่นอีกหลาย ๆ เท่า บอกตัวเองแบบนี้และก็ทำตามที่พูดด้วย

ฉันเรียกความมั่นใจขั้นแรกด้วยการวิ่งฮาล์ฟฯหลังจาก DNF ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ เหรียญจากการข้ามผ่านเส้นชัย เรียกขวัญกำลังใจให้ตัวเองและจากนั้นอีกหนึ่งสัปดาห์ เราซ้อมวิ่งยาวจนถึง 30 กิโลเพื่อจะลงฮาล์ฟเทรลที่โป่งแยง เลือกระยะสั้น ๆ ไว้ พอเห็นเส้นชัย พอได้สนุกระหว่างทางวิ่งบ้าง ระยะไม่ไกลแต่ก็ไม่ง่าย เพราะมีเวลาคัทออฟ

ระยะฮาล์ฟเทรลแต่คัทออฟ 7 ชั่วโมง ทำให้เราไม่ประมาทเรื่องเวลา เพราะตอนที่วิ่งขึ้นดอยหลวงพะเยาก็คิดว่าน่าจะรอดตอนทางดาวน์ฮิลล์ กลับกลายเป็นว่า ดาวน์ฮิลล์ที่คิดว่าจะวิ่งชิลล์ ๆ นั้นมันไม่ใช่ ขาลงยากกว่าขาขึ้น การบริหารเวลาผิดพลาดก็พลาดไปหมด คิดย้อนกลับไป เราเอ้อระเหยกับการนั่งกินถั่วเขียวต้มน้ำตาล โดยที่ไม่รู้ว่า ทางบนดอยน่ะ ไม่มีทางราบ ๆ ให้ทำเวลานอกจากวิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ ทางที่ลงพอให้หายใจได้ก็สั้นมาก ก่อนที่จะต้องไต่ขึ้นอีกแล้ว มองเห็นฟ้ารำไรผ่านใบไม้สูง แต่ก็ไปไม่ถึงสักที กระนั้นก็ยังแวะถ่ายรูปสนุกสนาน หอมหมอกหยอกดอกหญ้าป่าข้าวโพดนานเกินไป วิ่งสนุกตลอดเส้นทางได้ถือว่ากำไรที่สุด แม้ว่าจะต้องยอมรับผลของการวิ่งไม่จบแล้วก็ตาม ถามตอนนั้นก็บอกแค่ว่า ไม่มาอีกแล้ว แต่ตอนนี้กลับคิดถึง อยากหาโอกาสกลับไปวิ่งที่นั่นอีกซึ่งไม่รู้ว่าจะเมื่อไหร่

สนามเทรลโป่งแยงวันนี้ เราดูเส้นทางแล้ว วางแผนในใจว่าจะพยายามวิ่งให้จบ พี่ตุ้ย พี่ชายจากชมรมซอฟต์บอลก็ร่วมวิ่งด้วย ถามเราว่า วันนี้จะจบมั้ยครับ เป็นคำถามที่สะเทือนใจและไม่ค่อยมั่นใจ ได้แต่หัวเราะแบบไม่ค่อยมั่นใจ(อีกแล้ว มันหลอนอะนะ) พยักหน้าหงึกหงักว่า จะพยายามค่ะ

พี่ตุ้ยบอกว่า ปีที่แล้ว เขาประมาทกับสนามนี้ สามกิโลแรกวิ่งถนนลงดาวฮิลล์ ไม่เผื่อแรงเลย หลังจากนั้นเริ่มวิ่งเข้าป่า ทางชันขึ้นเรื่อย ๆ ตะคริวเริ่มตอดที่ต้นขาตั้งแต่กิโลที่หก แต่ยังสนุกสนานอยู่ ไม่รู้ชะตากรรมหลังกลับตัว ลงมาถึงกิโลที่ 14 ไปแทบไม่ได้ ตะคริวขึ้น สภาพแย่มากเพราะโผล่ออกจากป่ามาและแทบจะก้าวไม่ไหวบนทางถนน จบก่อนคัทออฟไปนิดเดียว รอดตายมาได้เลยอยากกลับมาแก้มืออีกสักครั้ง

ฉันนึกในใจว่า ตะคริวตอดตั้งแต่เริ่มนี่ ลำบากแล้ว ตั้งใจว่าจะค่อย ๆ ไป ใช้เวลาให้เต็มก็ไม่เป็นไรแต่จะพยายามวิ่งให้จบ วันนี้ฉันกับสามีต่างคนต่างไป ระยะไม่ไกลพอเอาตัวรอดได้ ไม่กลัวหลงทางและไม่ใช่ทางซิงเกิ้ล แทร็กแบบที่เคยประสบบนหลวงพะเยาและดอยภูคา

งานนี้เจอ ณ เดชน์และน้องญาญ่า หญิง ร่วมวิ่งด้วย เราไม่รู้ฝีเท้าพวกเขาหรอก แต่รู้ว่านักแสดงจะดูแลเรื่องสุขภาพกันอยู่แล้ว

แตรปล่อยตัวตอนเจ็ดโมง ตรงเวลา รู้สึกตื่นเต้นนิด ๆ กับเพื่อนร่วมทาง 650 กว่าชีวิต มองไปทางไหนมีแต่เด็ก ๆ และผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย สาว ๆ ตัวเล็ก ๆ กันทั้งนั้นและวิ่งดีอย่างเหลือเชื่อ คนสูงวัยไม่ค่อยมางานแบบนี้นะ อันนี้สังเกตจากประสบการณ์ส่วนตัวมาหลายสนามแล้ว

ฉันไม่ใช่ขาโหด ขาแรง ยังเป็นนักวิ่งแนวหลังเหมือนเดิม แต่มาวิ่งเทรลระยะไกลเพราะสามีชวนมาวิ่งและซ้อมมาด้วยกัน ฉันทำเขาช้าไปด้วยจนต้องทบทวนกันใหม่ว่า คราวหน้า เราจะไม่วิ่งด้วยกันแบบนี้อีกแล้ว ระยะไกลเกินไป ฉันคงต้องรออีกหน่อย ส่วนเขาจะไปก็ไป ฉันจะลงระยะกลาง ๆ ก็พอ บางทีก็ต้องลดเพดานบินของเราเหมือนกัน วิ่งระยะกลาง ๆ ให้ดีก่อนแล้วค่อยขยับขึ้นไปอีกที

ปล่อยตัวแล้วก็เริ่มวิ่งลงไปตามถนน แต่ก็เร็วไม่ได้อยู่ดีเพราะถนนลื่นเนื่องจากฝนเพิ่งตกอย่างหนักเย็นวานตอนมารับบิบ ตกแทบทั้งคืน อากาศค่อนข้างเย็น แต่อากาศเย็นดีกว่าร้อนนะ


ฉันเอาไม้เท้าเหน็บหลังมาด้วย มองคนอื่น ๆ แทบไม่มีใครพกไม้เท้ากันเลย เก่งจริง ๆ สำหรับฉันนั้น ไม้เท้าจำเป็น ไม่ลำบากในการถือ คิดว่าถือไปได้ สามีฉันเริ่มทิ้งห่างจนไม่เห็นหลังตอนกิโลที่สอง

ฉันเกาะกลุ่มนักวิ่งไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งตัดเข้าในป่า ตอนนี้เป็นทางดินแล้ว หลายคนยังวิ่งขึ้นไป แต่สักพักก็เริ่มเดิน เป็นการเดินที่ไม่มีใครหยุดหอบ หยุดหายใจ ฉันหยุดหอบเป็นระยะ ๆ เพราะดูในคลิปแล้ว รู้ล่วงหน้าว่าเส้นทางจากนี้ไปจนถึงเช็คพ้อยต์จะเป็นทางชันขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่สิ้นสุด แต่เส้นทางดี ดินลื่นบ้างก็ธรรมดา เพราะฝนเพิ่งหมาดฟ้าไปไม่นาน

การวิ่งตามลำพังก็ดีไปอย่าง ไม่ต้องกดดันตัวเอง ไม่ต้องวิ่งให้ทันสามี ไม่ต้องกังวลหรือเกรงใจเวลาที่เขาต้องรอ แรงเราไม่เท่ากัน

การวิ่งระยะสั้น ๆ ใช้เวลาไม่มากนัก ก็เหมือนเวลาส่วนตัวที่ใครอยากทำอะไรก็ได้ การวิ่งเพื่อสถิติ ก็เป็นเรื่องส่วนตัว เป็นความปรารถนาและความท้าทายส่วนตัว เรื่องนี้เราเข้าใจ ตัวเลขสร้างความภาคภูมิใจให้นักสู้ได้ เชื่อว่าใคร ๆ ก็มี มันเป็นเป้าหมายที่เราตั้งไว้ในใจ เป้าหมายใหญ่ก็ต้องพยายามให้มากยิ่งขึ้นเท่านั้นเอง ซึ่งฉันเองก็มี

แต่ระยะไกลกว่านี้ ต่างคนต่างไปก็ได้ แต่ไปด้วยกันมันอุ่นใจกว่า เป็นสถานการณ์ที่เราได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่าง ชีวิตคู่เราเดินมาด้วยกันไกลจนพอจะบอกว่าใครชอบหรือไม่ชอบอะไร เราพบอุปสรรคและวิกฤติหลากหลายระหว่างเส้นทาง การร่วมทุกข์ร่วมสุขร่วมฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ นานามากด้วยกันนั้นมันแน่นแฟ้น รู้ทางรู้ใจกันพอสมควร


เราเป็นคู่ชีวิตที่เดินทางร่วมกันมายาวนาน ความสามารถเราไม่เหมือนกันแต่เราต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดี บนเส้นทางวิ่งนั้น ก็มีความคล้ายกันอยู่คือเห็นพละกำลัง (ซึ่งเขาและฉันต่างกันมาก) ความมุ่งมั่น กล้าหาญและอยากเอาชนะตัวเองบนสนามวิ่งของเขา เลือดนักสู้ของเขามาเต็ม ๆ เขาเชื่อว่าเขาทำได้ ฉันอ่านสายตาและฟังเสียงหัวใจเขาออก ฉันก็เชื่อว่าเขาทำได้ถ้าไม่มีฉันเป็นตัวถ่วงอยู่ข้าง ๆ ความรู้สึกบางอย่างเก็บไม่ได้ ฉันรู้และแน่ใจว่า เราไม่จำเป็นต้องวิ่งด้วยกันถ้ากำลังเราไม่เท่ากัน แต่เราก็อยู่บนเส้นทางเดียวกัน ช้าหรือเร็วเราก็ไปถึงเส้นชัยได้เหมือนกัน ฉันสุขใจมากกว่าที่จะวิ่งเข้าเส้นชัยโดยเห็นเขามารอรับอยู่ตรงนั้น


วันนี้ก็เช่นกัน เห็นเขากลับตัวลงมาแล้วตอนที่ฉันวิ่งขึ้นไปกิโลที่ 9 เราทิ้งห่างกันสี่กิโล เขาบอกแต่ว่า อีกสองกิโลกว่า ๆ จะถึงจุดเช็คพ้อยต์ ขึ้นเขาอีกลูกก็ถึงแล้ว

ฉันสบาย ๆ นะ รู้ว่าวิ่งขึ้นเขายังไงก็เหนื่อย จะบ่นไปทำไม ค่อย ๆไปก็ถึงนั่นแหละ
ระหว่างทางมีน้องนักวิ่งเปิดเพลงเพราะ ๆ ให้ฟัง ดูเขาร่าเริงและพาเพื่อน ๆ มาวิ่ง ส่งเสียงให้กำลังใจเพื่อนนักวิ่งรอบข้าง ฉันก็มีความสุขกับเขาไปด้วย มีพลังของความเป็นมิตร โคตรจะมีความสุขเลย

กิโลสุดท้ายก่อนขึ้นไปเช็คพ้อยต์นั้น ดูยาวไกลเหมือนกัน คนทยอยกลับตัวลงมากันเกินครึ่งแล้ว งานนี้ฉันยังรั้งท้ายอยู่หรือนี่ แต่น้องผู้ชายคนหนึ่งที่เริ่มแซงขึ้นไปหันมาชมฉันว่า พี่เก่งมากนะครับเนี่ย มาได้ขนาดนี้ คิดไปก็น่าจะจริงเพราะแทบไม่มีคนสูงวัยมาวิ่งเทรล ฉันดีใจนะ แค่สมัครลงวิ่งได้ก็ดีใจแล้ว

ทางในป่าสนสวยมาก วันนี้อากาศไม่ร้อน ฉันจิบน้ำไปตลอด ไม่อยากฉี่เหลืองเข้มหลังการวิ่ง เป็นอีกวันที่วิ่งสนุกมาก หรือเพราะเป้าหมายไม่ไกลเกินไปก็เป็นได้ เป็นเส้นทางที่เห็นความหวังอยู่

ในที่สุดก็มาถึงจุดเช็คพ้อยต์ ทำเวลาไปสามชั่วโมงกับระยะทาง 12 กิโล ช้าจริง ๆ

ฉันกินถั่วเขียวต้มน้ำตาลและกินข้าวไข่พะโล้ น่องไก่ กินเสร็จก็เติมน้ำเตรียมตัววิ่งลง ไม่สนใจจุดชมวิวที่ม่อนล่องเลย อาจจะเพราะเห็นวิวอลังการที่ดอยเมี่ยง ดอยหลวงพะเยา ดอยภูคามาก่อนหน้านี้ก็เป็นได้ แต่ชอบบรรยากาศบนดอย มันสดชื่น แต่อยู่นานกว่านี้จะเย็นยะเยือกล่ะเพราะอากาศบนดอยเย็นแบบที่เราไม่ทันระวังตัว

ฉันเริ่มวิ่งลงแล้ว ไม่มีอาการตะคริวและไม่รู้สึกเหนื่อยมาก วิ่งประคองตัวลงไป วิ่งเกาะไหล่ใครสักคนไว้เพื่อจะไม่ช้าจนเกินไป เลือกคนที่วิ่งเพซเดียวกับเรา

ทางลงก็วิ่งได้ไม่เต็มที่เนื่องจากกล้ามเนื้อเราไม่แกร่งมากจนต้องก้าวยาว ๆ ลงไป แถมทางปูนที่เป็นเส้นทางคู่นั้นก็ลื่น จะวิ่งทางดินตรงกลาง ดินก็ลื่นกว่า แต่ไม่หนักใจอะไรแล้ว เทรลนี้ไม่มีเหว ทางวิ่งสะดวกและไม่น่ากลัว ไม่ต้องกลัวว่าจะหลงเลย

ขากลับลงมานั้น ฉันนับนักวิ่งที่กำลังเดินขึ้นไปเช็คพ้อยต์ได้ 89 คน และยังมีคนที่ยังไม่ลงมาจากดอยอีกจำนวนมากพอควร รวมกันแล้วสักสองร้อยคนน่าจะได้ ฉันก็อยู่ในแนวหลังที่ไม่หลังสุด

ฉันวิ่งเกาะน้องคนหนึ่งมาจนถึงปากทางซึ่งเป็นถนนแล้ว และอีกสามกิโลสุดท้ายนี่แหละคืองานหนักสุด โดยเฉพาะสองกิโลก่อนขึ้นบันไดไปเข้าเส้นชัย ฝนเริ่มตกและตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ นักวิ่งคนอื่นควักเสื้อกันฝนมาใส่กัน ฉันขี้เกียจปลดเป้หาเสื้อกันฝนที่ติดตัวมา คิดว่าสองกิโลเดี๋ยวก็ถึง ไหน ๆ ก็เปียกแล้ว เคยเจอฝนตกหนักในเทรลที่เขาใหญ่มาแล้ว หนักกว่านี้สองเท่าและเป็นทางดิน

แต่ทางถนนตอนฝนตกนี่ อาจเป็นตะคริวได้เพราะอากาศเย็นมาก ทำสมาธิเพื่อจะก้าวเดิน ถ้าใจไม่สู้ก็จะหยุดเลยเหมือนกัน เพื่อนนักวิ่งแทบไม่มีใครหยุดเดินเลยนะ เพราะพลังจากพวกเขานี่แหละทำให้ฉันไปได้เรื่อย ๆ ไม่น่าเชื่อว่าอยู่ใกล้คนมีพลังเราจะมีพลังไปด้วย เราผลัดกันแซงบ้าง ฉันเดินขึ้นได้ทีละสิบก้าว หยุด สิบก้าวหยุด และเตาะแตะขึ้นไปจนเห็นป้าย To Finish ใจชื้นขึ้นมาแม้จะเปียกโชกไปทั้งตัวแล้ว ยังมีแรงวิ่งขึ้นบันไดจนเข้าเส้นชัย สามียืนรอถ่ายรูปให้จริง ๆ ด้วย เขาบอกว่าดีใจมากกว่าตัวเองเข้าเส้นชัยเสียอีก รอฉันเป็นชั่วโมงโดยที่ยังไม่กินอะไร เขาพาไปกินข้าวและไปซื้อกาแฟมาให้กิน เราดีใจกันมากนะ แม้จะเหรียญฮาล์ฟก็เถอะ มันไม่ง่ายเลย เราต้องใช้กำลังกายและใจอย่างสุดความสามารถเหมือนกัน


จำความรู้สึกครั้งหนึ่ง วันที่วิ่งจบมินิมาราธอนงานเชียงใหม่มาราธอนได้ เราสองคนไปยืนใต้ป้ายเพจพี่ป๊อก ' 42.195 เราจะไปมาราธอนด้วยกัน' วันนั้นเราไม่คิดว่า เราจะวิ่งมาราธอนเต็มระยะได้ เราวิ่งด้วยกายและใจที่สมดุลกัน เราซ้อมหนักมากเพื่อจะผ่านเส้นชัยไปด้วยกัน

งานนี้เป็นบททบทวนใหม่ของเรา บทเรียนใหม่ มีบทเรียนเพิ่มขึ้นมาจากความพ่ายแพ้บนสนามเทรล เป็นเรื่องราวของการยอมรับการพ่ายแพ้นั้นให้ได้ ไม่อายที่เล่าความผิดพลาดของตัวเองให้คนอื่นฟัง ยิ้มพร้อมยอมรับความพ่ายแพ้และไตร่ตรองว่าเราขาดอะไร และสามารถลุกขึ้นสู้ หาประสบการณ์จากสนามต่อ ๆ ไป

เหรียญทุกเหรียญ ได้มาด้วยกำลังกายและใจที่ทุ่มเทของเรา เราภูมิใจที่ทำได้ ไม่ว่าจะระยะเท่าไหร่ เราขอแค่ทำให้เต็มที่ สนุกกับทุกสนาม คิดถึงเสน่ห์ของแต่ละสนามที่เราวิ่ง คิดถึงเพื่อนร่วมวิ่ง น้ำใจ รอยยิ้ม ความสุขจากคนที่เห็นคุณค่าในสิ่งที่ทำเหมือน ๆ กันและหวังจะได้พบกันอีกในสนามวิ่งต่อ ๆ ไป


ขอให้ทุกคนมีสุขภาพดีและมีความสุขนะคะ
ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย
10 พฤศจิกายน 2561



















Create Date : 14 พฤศจิกายน 2561
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2561 10:23:01 น.
Counter : 292 Pageviews.

0 comment
--- ล่ น ณ ฮ า ล์ ฟ ครบรอบ ๕๐ ปีสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ---




















หลังจาก DNF UTN 100 แล้ว ความมั่นใจ กำลังใจเหือดไปเหมือนกัน รู้ตัวเองว่าอยู่ในระยะฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ จะรู้สึกหลอน ๆ อยู่ว่า งานต่อไปอาจจะวิ่งไม่จบจนไม่พร้อมจะเผชิญหรือตอกย้ำอีกในช่วงเวลานี้ อยากใช้เวลาสักหน่อย

หลังจากวันอาทิตย์ที่แล้ว รู้สึกว่าร่างกายบอบช้ำจากการขึ้นเขา ลงเขา เพิ่งจะเดินได้ ก้าวบนลู่วิ่งได้วันพฤหัสฯ สามารถเดินบนลู่วิ่งได้ถึงหนึ่งชั่วโมง รู้สึกดีใจที่ฟื้นสภาพร่างกายได้ กิน ๆ นอน ๆ อ่านหนังสือได้ตามปกติ แต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าตัวเองจะวิ่งฮาล์ฟมาราธอน งานครบรอบ ๕๐ ปีสาธิตมอชอได้ เรื่องนี้ก็คุยกับคนที่บ้านอยู่ว่า กลัวตะคริวกินหน้าขาเพราะกล้ามเนื้อล้าอยู่ แต่เขาก็บอกว่า ได้แค่ไหนก็แค่นั้นแต่อย่าถึงขนาดไม่ลงวิ่งเพราะกลัววิ่งไม่จบเลย ไปเดินเล่นก็ได้

ฉันก็เบาใจไปล่ะว่า ช้าได้และคงไม่ทำให้ใครต้องเสียเวลารอ เดินสักสี่ชั่วโมงน่าจะไหวนะ งานของลูก จะได้เจอพี่ ๆ ลูก ๆ หลาน ๆ ด้วย

งานนี้น้องบุ๋นไม่ได้วิ่งเพราะมีสอบตอนเช้า กลัวจะกระหืดกระหอบกลับมาหอและไปสอบไม่ทัน เราก็เลยได้วิ่งสามคนพ่อแม่ลูก น้องบู๊ลงมินิมาราธอนไว้ ปกติเธอไม่ซ้อมวิ่ง แต่เข้าฟิตเนสยกเวทตลอด ลูกสาวบ้านนี้ไม่ชอบเล่นกีฬา ไม่ชอบการแข่งขัน เรื่องวิ่งเป็นเรื่องเกินความคาดหวังใด ๆ หากเธอไม่วิ่งก็ทำอะไรไม่ได้ ระยะทางสิบกิโลเมตร ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ไกลไม่ใช่เล่น ไม่ได้วิ่งกันง่าย ๆ เราดีใจที่เธออยากมาวิ่ง เท่านั้นจริง ๆ

ต่างกับเรา เราสองคนยังสนุกกับการวิ่งระยะไกล ชอบวิ่งเทรล และมีความฝันจะวิ่งเทรลกันอยู่ เราเป็นนักวิ่งแนวหลังที่วิ่งหนีคัทออฟกันอยู่แต่ไม่อายที่จะช้าสุด จะพยายามเข้าเส้นให้ทันเวลาที่เขากำหนด มันคือการเอาชนะใจตัวเองให้ผ่านจุดคัทออฟเท่านั้น ใครเคยวิ่งรั้งท้าย หนีรถพยาบาลหรือหนีเส้นตายจะพอเข้าใจ เป็นช่วงที่ต้องใช้กำลังใจและมีสมาธิอย่างมาก คุมสติให้ไปต่อจนจบถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุใด ๆ ก่อนหน้านั้น ไม่จำเป็นจะไม่ล้มเลิกกลางคัน มันเหมือนกับบางสิ่งบางอย่าง ที่ฉันหลงเข้าไปสัมผัส ฉันหลงใหลที่จะทำมัน แต่ฉันล้มเหลวจนเสียศูนย์ ฉันผิดหวังแต่แก้ไขอะไรไม่ได้ ต้องหล่อเลี้ยงกำลังใจในโลกโดดเดี่ยวที่เหมือนต่อสู้เพียงลำพัง บอกตัวเองว่า อย่าทิ้งความฝัน เพียงเพราะไม่มีใครไปเป็นเพื่อน ฉันไม่อยากให้การวิ่งของฉันเป็นแบบนั้น

เช้าวันอาทิตย์ ความรู้สึกที่จะวิ่งไม่จบก็ผ่านเข้ามาในความคิดอีกรอบ อีกไม่ถึงสองนาทีข้างหน้าจะมีการนับถอยหลังและปล่อยตัว ฉันรวบรวมกำลังใจ จะต้องล้มเหลวอีกกี่ครั้ง ก็ต้องลุกขึ้นมาเองอยู่ดี ถ้ายังรักที่จะวิ่งก็ต้องจัดการความรู้สึกนี้ด้วยตัวเอง เป้าหมายใหญ่ขึ้น อุปสรรคก็มากขึ้นตามขนาดของมัน อาจต้องใช้เวลามากกว่าปกติอีกหลาย ๆ เท่า ล้มอีกกี่ครั้งก็อย่าเพิ่งไปนับ แม้แต่เรื่องที่เคยทำได้ก็อย่าหลงคิดว่าจะทำได้อีก คิดตรงหน้า อยู่กับลมหายใจตัวเองตรงนี้ เคลื่อนตัวไปในจังหวะของเรา ค่อย ๆ ก้าวไปก็แล้วกัน

คนที่บ้านก็พอจะเข้าใจ เขาบอกว่า ค่อย ๆ ไป อย่าดันทุรัง อย่าปล่อยให้ตัวเองไม่ไหวแล้วจึงหยุด การหยุดและฟังเสียงของร่างกายก็คือการชนะเหมือนกัน ใช้สามัญสำนึกให้มาก ๆ หากจะวิ่งกันไปยาว ๆ รู้ตัวเองเร็ว ๆ แพ้ได้ ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องน่าอาย ฉันฟังนิ่ง ๆ ในใจก็คิดแบบนั้นแหละ

เสียงแตรลมดังขึ้น ต่างคนต่างวิ่ง คู่วิ่งฉันไปข้างหน้าโน่นแล้ว ฉันกลับมาอยู่ที่ตัวเองจริง ๆ อีกครั้ง ไปเรื่อย ๆ ดูทางเพราะมืด ฉันไม่มีเฮดแลมป์จึงต้องระวังเท้า อย่าเพิ่งสะดุดล้มเลยนะเพราะทางขรุขระพอควร

เส้นทางนี้เคยมาวิ่งแล้วครั้งหนึ่ง ทางจะชันอยู่หลายจุด เพียงแต่ครั้งนี้วิ่งออกไปทางแม่เหียะก่อนวกเข้ามาข้างอุทยานหลวงราชพฤกษ์ เพียงแต่รอบสองจึงจะตัดเข้าไปอุทยานหลวงเพื่อเข้าเส้นชัย

ฉันไปได้เรื่อย ๆ ผ่านสามกิโลแล้วจึงได้รอบขาและรู้สึกดีขึ้นเรื่อย ๆ ขาก้าวได้แล้ว คอยสังเกตอาการตัวเองตลอด ประคองการวิ่งเพราะกล้ามเนื้อขายังล้าอยู่ และไม่ลืมพกยาดม ของสำคัญของสอวอเลยเชียว ลืมไม่ได้ ขาดไม่ได้

หอมอากาศยามเช้า อากาศยังไม่เย็นมาก ลมหนาวในเมืองเชียงใหม่ยังไม่มาอย่างเป็นทางการ ฟังเสียงนักวิ่งคุยกันเพราะส่วนใหญ่เป็นศิษย์เก่าสาธิต ทักทายกันจนเรารู้สึกอบอุ่นไปด้วย

การวิ่งสิบกิโลแรกนั้น ฟ้าไม่แจ้ง แต่ใจฉันแจ้งกระจ่างแล้วกับก้าววิ่งวันนี้ มันก็แค่เริ่มใหม่อีกครั้ง ไม่ว่าจะวิ่งระยะไหน ตัดสินใจแล้วก็ทำให้สุดความสามารถ ไม่ต้องคิดถึงผลที่จะตามมา ฉันเริ่มคึกคักและขำความถึกทุยของตัวเอง อาทิตย์ที่แล้วยังบ้าระห่ำอยู่บนยอดดอยภูคาอยู่เลย เหนื่อย ท้อแทบขาดใจ แต่บนทางถนนดูสบายขึ้น หรือเราจะเหมาะกับทางแบบนี้แหละ แต่ก็..นะ มันก็มีวิถีบ้า ๆ พาตัวเองออกจากคอมฟอร์ตโซน บางอย่างที่พูดไปก็แค่นั้น ไม่เคยหวังให้ใครจะมาเข้าใจ

วิ่งสิบกิโลแรกผ่านไป แวะกินแตงโมไปหนึ่งชิ้น แตงโมหวานเจี๊ยบ ไม่มีเมล็ดเสียด้วย น้ำดื่มมีทุกสองกิโล ช่วงหลังถี่มาก มีเกือบทุกกิโลก่อนเข้าไปในอุทยานด้วยซ้ำ ไม่ต้องหาแหล่งโอเอซิส ชีวิตไม่ขาดน้ำแน่

พอเข้ารอบที่สอง ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว ได้ทักทายรุ่นพี่ที่เพิ่งเริ่มวิ่งมินิฯครั้งแรก กำลังเดินขึ้นทางชันอยู่ ได้แต่บอกว่า ไปกันป้า สู้ ๆ นะป้า เดี๋ยวเจอกันที่เส้นชัย ฉันกำลังเข้าที่แล้ว แต่ก็ไม่ประมาท ยังประคองเพซวิ่งไปเรื่อย ๆ

คิดถึงเมื่อเริ่มแรกวิ่งบนลู่วิ่งใหม่ ๆ ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือใด ๆ มากำกับการวิ่ง ไม่รู้จักเพซ ไม่รู้จักศัพท์เทคนิคใด ๆ เลย แต่เฝ้าจอรอดูการโพสต์การซ้อมของคุณคามินอย่างกระหาย แม้ไม่เข้าใจในสิ่งที่บรรดานักวิ่งคุยกันหรือถามไถ่ว่า พี่คามินวิ่งได้อย่างเหลือเชื่อ และถามการผ่านหนักผ่อนเบา ฉันไม่เคยจะเข้าใจ ปีแรกนั้น วิ่งไปเรื่อย ๆ ไม่รู้ว่าเร็วหรือช้า ไม่มีการจดสถิติการวิ่ง รู้แต่วิ่งจบ เข้าเส้นชัย ภูมิใจกับเหรียญที่ระลึก รอคอยสนามมินิต่อไป มีใจจะวิ่งมินิฯไปอีกร้อยสนาม มีความสุขกับการซ้อม ลองผิดมากกว่าลองถูกกันสองคน ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปมากมาย ตั้งแต่เริ่มซ้อมวิ่งเพื่อจะไปมาราธอน ก็ต้องวางแผนกัน นึกไม่ถึงว่าปูนนี้แล้วยังต้องมาวางแผนการซ้อมวิ่งอีก ยิ่งวิ่งระยะไกลขึ้นมากเท่าไหร่ การเตรียมตัวและการฝึกซ้อมสำคัญมากขึ้นเท่านั้น

เราลงสนามไม่กี่ชั่วโมง แต่การเตรียมตัวเพื่อลงสนามสำคัญกว่ามาก เหมือนคำที่นักเขียนชาวฝรั่งเศสว่าไว้

The end is nothing ; the road is all.

ฉันมีมินิแรก ฮาล์ฟแรกและมาราธอนแรกที่น่าจดจำ ฉันจำแต่ความรู้สึกเหล่านั้นไว้ แม้แต่จบมาราธอนไปแล้ว ก็ยังไม่เคยใส่นาฬิกาหรือถือมือถือ โหลดแอพฯเพื่อดูเวลาวิ่ง ด้วยความไม่รู้ ไม่สนใจเรื่องเวลา รู้แต่ว่า อยากจะผ่านเส้นชัยให้ได้ในระยะนี้เท่านั้น มันสนุกและมีความสุขมาก ผ่านไปสองปี เริ่มใช้นาฬิกา พอใช้ วิถีวิ่งก็เปลี่ยนไป เริ่มสนใจเรื่องเพซวิ่ง มันคืออะไร เฉลี่ยยังไงและต้องเกลี่ยกำลังยังไง และเริ่มเรียนรู้เรื่องการวิ่งที่ดูเหมือนไม่มีวันจบสิ้น ยิ่งเรียน ยิ่งรู้และยิ่งไม่รู้ เรายังมีสิ่งไม่รู้มากมายขนาดนี้เลยเหรอ วิ่งแบบที่ผ่าน ๆ มานี่คือไม่รู้เรื่องเลย แต่มันสนุกสุด ๆ มาตลอดเหมือนกัน

นาฬิกามีไว้ก็ดี เพราะเมื่อเป้าหมายใหญ่ขึ้น มีกำหนดเวลาเข้ามาตัดสินในสนามวิ่ง เรากระตุ้นตัวเองขึ้นระดับหนึ่ง ชีวิตที่ทำอะไรซ้ำ ๆ สม่ำเสมอจนเชิดชูจนได้ชื่อว่า วินัย พอมันเข้มแข็งและเริ่มซึมเข้าไปในวิถีชีวิตประจำวันจนคิดว่าวันหนึ่งถึงจุดอิ่มตัว วินัยยังคงอยู่แต่อาจไม่ลงวิ่งตามงาน เราจะวิ่งเรื่อย ๆ วันละห้าโล สิบโลเหมือนทุกวันนี้หรือเปล่า ใจจะเฉามั้ย ต้องลองถามคนที่วิ่งตามงานแล้วเลิกวิ่งตามงานแต่ยังวิ่งอยู่ วิ่งแบบไม่มีแผนใด ๆ มารองรับ ไม่มีวิ่งสั้น วิ่งยาว วิ่งเทมโป้ ฯลฯ ไม่สนโซนสอง โซนสาม ไม่ตามกระแส เป็นความสงสัยและความสนใจส่วนตัว เพราะฉันยังไม่อิสระที่หลุดจากกรอบของเป้าหมายขนาดนั้น

วกกลับเข้ามาที่งานล่น ณ ฮาล์ฟอีกครั้ง การวิ่งรอบที่สองนั้น ไม่ยากเย็นเหมือนตอนแรกแล้ว ฉันผ่านจุดอ่อนไหวกิโลที่ 15 ได้แล้ว ไม่มีทีท่าว่าจะเป็นลมหรือหน้ามืดเหมือนก่อน ด้วยสังขารและความไม่แข็งแรง คิดว่าความสม่ำเสมอในการซ้อมทำให้ฉันรอดภาวะนี้ได้ดีขึ้น ไม่กลัวกิโลที่ 15 เหมือนก่อน มีเข้ามาวอแวบ้างแต่ก็แว๊บมาและผ่านไป เพราะยังไปได้เรื่อย ๆ

วันนี้ก็มายางแตกกิโลที่ 20 เพราะแรงตกฮวบเลย แต่ก็พยายามจ๊อกกิ้งไปเรื่อย ๆ และสปีดได้ตอนเข้าเส้นชัย

วันนี้กล้องเยอะมาก แต่ฉันไม่ค่อยทันสักกล้อง เพราะข้างหน้าจะเจอเด็ก ๆ ที่มากันเป็นกลุ่ม ส่วนใหญ่ก็ลูก ๆ หลาน ๆ สาธิตมอชอนี่แหละ วิ่งไป คุยไป หัวเราะ ร่าเริงกัน เห็นกล้องก็นัดกันกระโดด ฉันตามมาข้างหลังก็ชะลอ ดูเด็ก ๆ แล้วสนุกดี กล้องมีทุกจุด แต่นักวิ่งบนถนนไม่บางตา ฉันวิ่งตามกลุ่มใหญ่ เปลี่ยนกลุ่มนี้ไปอีกกลุ่มหนึ่ง มีความสุขมาตลอดทางและเพิ่มพูนมากตอนเข้าเส้นชัยได้ เรียกขวัญกำลังใจให้ตัวเองได้เหมือนกันนะ

ขอบคุณวันดี ๆ วันนี้อีกวันในชีวิต ได้ตื่นเช้ามาวิ่ง กินข้าวกับลูก เจอพี่ ๆ และหลาน ๆ กินข้าวบ้านปิ่นและหอบหนังสืออีกกองกลับมาอ่านบ้าน ชีวิตก็เท่านี้จริง ๆ

ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย
28 ตุลาคม 2561














Create Date : 29 ตุลาคม 2561
Last Update : 30 ตุลาคม 2561 15:06:06 น.
Counter : 473 Pageviews.

2 comment
--- ๕ ๐ ปี โ ฮ ง ย า ส า ห ล ะ ปี มิ นิ ม า ร า ธ อ น ---






















งานวิ่งสารภีเป็นงานร่วมใจกันหาเงินเข้าโรงพยาบาลอีกงานหนึ่ง

ดูเหมือนว่า นักวิ่งกลายเป็นกลุ่มคนใจบุญไปแล้ว พูดแบบนี้ แทนที่จะดีอาจทำให้ถูกหมั่นไส้เพราะยกยอพวกเดียวกันเกินไป คนใจบุญทำบุญเยอะแยะไป ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแต่เขาไม่ต้องออกสื่อ เพียงแต่ว่า กระแสคนมาออกกำลังกายด้วยการวิ่งมากขึ้นและงานวิ่งก็มากขึ้นทุกที่ทุกอาทิตย์ สังคมเลยเห็นนักวิ่งตามงานในเช้าวันอาทิตย์มากขึ้นซึ่งมีทั้งคนที่พอใจและไม่พอใจ

แต่หากพิจารณากันดี ๆ ก็พอจะเห็นเองว่า คนส่วนใหญ่ที่หันมาออกกำลังกายด้วยการวิ่งจะเกาะขอบตามเพจวิ่ง ดูว่ามีงานวิ่งที่ไหนบ้าง งานวิ่งเกือบทุกงานจะมีการแบ่งรายได้ไปทำบุญทำทาน เป็นสาธารณกุศล โดยเฉพาะโรงพยาบาลบางโรงที่ขาดเครื่องมือทางการแพทย์ งานบางงานจัดขึ้นเองโดยการรวมใจของคนในชุมชนและเจ้าหน้าที่ที่เป็นนักวิ่ง มีเครือข่ายประสานงาน ร่วมแรงร่วมใจไม่ผ่านออแกไนเซอร์ เงินที่ได้ก็ได้ตรงตามจุดประสงค์ อย่างงานที่โรงพยาบาลสารภีจัด เราก็รู้มาแต่เนิ่น ๆ ดูตารางวัน ตารางปีแล้ว อาทิตย์นี้ว่างก็ลงสมัครกันไป ทั้งที่เราตั้งใจกันว่า งานวิ่งมินิมาราธอนนั้น เราอาจต้องข้ามไปเพราะเราซ้อมกันเป็นประจำอยู่แล้ว สะสมระยะการวิ่งของเราเป็นรายเดือน แต่ก็มีเหตุให้ต้องไปเพราะคนจัดงานเรารู้จักและคุ้นเคยกัน เราวิ่งต่างจังหวัดได้แต่งานใกล้ ๆ เรากลับไม่สนใจก็กระไรอยู่ การเข้าเมืองก็ทำให้เราได้ไปเยี่ยมลูก ๆ อีก ถือว่าได้กับได้ ถ้าไม่ไปเพราะไม่ว่างเท่านั้น

ไม่ว่าจะก้าวนี้เพื่ออะไร ฉันก็เต็มใจและตั้งใจไปร่วมงานวิ่ง

สองวันก่อนมาวิ่งเช้าวันอาทิตย์ ฉันนอนดึกมาก คืนวันศุกร์ คุยกับปิ่นจนเกือบเที่ยงคืน จนต้องเอ่ยปากขอตัวไปนอนเพราะคุยเท่าไหร่ก็ไม่จบ คืนวันเสาร์ ลูกสาวอ่านหนังสือกันจนถึงตีสี่ ไฟในห้องเล็ก ๆ ก็เปิดสว่าง ฉันรู้ล่วงหน้าแล้วว่าคงหลับไม่ได้เพราะไฟนี่แหละแต่ก็ไม่ออกไปนอนโรงแรมเหมือนตอนที่จะลงวิ่งมาราธอน เพราะก่อนลงมาราธอน ฉันไม่ค่อยนัดเพื่อนกินข้าวหรือสังสรรค์ก่อนวิ่ง ถึงนัดเจอแต่ก็รีบกินรีบกลับ ขอตัวไปพักผ่อน ฉันต้องสงบใจ ไม่คิดเรื่องอะไร กลับที่พัก เตรียมตัวเข้าโหมดการวิ่ง บอกลูกไว้ปิดมือถือและรีบเข้านอน คนอื่นเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ฉันเป็นแบบนี้ และเกือบจะเป็นทุกครั้งที่วิ่งตามงาน อยากพักให้มาก ๆ การนอนไม่พอมีส่วนสำคัญสำหรับการวิ่งของคนสูงวัย

เช้าวันอาทิตย์ เราไปที่จุดปล่อยตัวตอนตีห้า งานเล็ก ๆ แต่มีนักวิ่งมาร่วมงานพันหก ฉันไม่ได้คาดหวังอะไรกับพวกเขา ขอเพียงมีน้ำให้กินทุกสองกิโลเมตรเป็นใช้ได้

จำได้ว่าเมื่อแรกเริ่มวิ่งใหม่ ๆ นั้น ไม่เคยแวะรับน้ำระหว่างทางเลย ใจกังวลแต่ว่าจะเสียเวลา กินน้ำแล้วจะจุก วิ่งไม่ออกจนวิ่งไม่จบ ไม่รู้ว่าสมาธิคืออะไร ไม่รู้ว่าวิ่งสนุกเป็นอย่างไร รู้แต่ว่าแต่ละก้าวแต่ละกิโลมันยากลำบากมาก ระยะสิบกิโลนี่ไม่ง่ายเลย สนามมินิมาราธอนส่วนใหญ่จะมีจุดกลับตัวกิโลที่ 5 เราจะเห็นนักวิ่งแนวหน้าวิ่งสวนกลับมาแล้ว เราวิ่งช้าก็หวาดหวั่น ระทึกใจ อยู่ท้าย ๆ จนเกือบสุดท้าย อยากจะเร่งแต่ใจกับร่างกายไม่ไปด้วยกัน แรงตกหลังจุดกลับตัว เราแรงน้อยเหลือเกิน หลังกิโลที่ห้าคือความทรมาน กระนั้นก็ไม่เคยละความพยายาม ยังก้มหน้าก้มตาก้าวไปเรื่อย ๆ เป็นเพราะผีเหรียญเข้าสิงด้วยก็ได้ อยากได้เหรียญที่ระลึกมากจนลืมความปลอดภัย ไม่ได้ฟังเสียงของร่างกาย ใครจะไปรู้ล่ะ อ่านหนังสือมาว่าให้มีหัวใจใฝ่ฟังเสียงของร่างกาย แต่ตอนวิ่งจริง ๆ มีแต่ดันทุรัง วิ่งไม่จบคงน่าอายนะ

ฉันจำมินิมาราธอนแรกได้ ไม่เคยลองวิ่งถนนมาก่อนเพราะก่อนหน้านี้อยู่บนลู่วิ่งที่บ้าน วิ่งได้วันละ 5 กิโลในหนึ่งชั่วโมง บางวันก็เก่งมาก วิ่งได้หกกิโล ดีใจแทบตาย ชมตัวเองเสียยกใหญ่ ลูก ๆ ชวนพ่อแม่ลงวิ่งงานของพ่อเพื่อนรักของพวกเขา ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการวิ่งตามงานเลยก็ว่าได้ เป็นมินิมาราธอนที่ทุลักทุเลมาก ตื่นเต้นตอนเสียงแตรดัง แรก ๆ ก็วิ่งอยู่ในกลุ่มเขา แต่ผ่านหนึ่งกิโลไปก็เริ่มหร็อมแหร็ม ทำไมเขาวิ่งกันเร็วจัง เราก็หวดตามเขา ใจกระเจิดกระเจิง วิ่งไปได้สักหน่อยก็หมดแรง นักวิ่งเก่ง ๆ ก็วิ่งตามมาบอกให้ก้าวสั้น ๆ ค่อย ๆ ไป เหงื่อเค็ม ๆ เข้าตา ไม่มีน้ำให้ล้างหน้าระหว่างทาง เหงื่อเปียกจนถึงถุงเท้า เหนื่อยแทบขาดใจ

ลูก ๆ กับสามีชะเง้อคอรอที่เส้นชัยได้สักพักแล้ว ตอนนั้นสองสาววิ่งกันเป็นว่าเล่น พวกเขาก็ห่วงแต่ก็เชื่อว่าแม่คงมาถึงเส้นชัยแน่แต่ไม่รู้เมื่อไหร่ ตอนนั้นฉันไม่รู้จักเพซเลย วิ่งแบบไร้แอพฯ อยู่บนลู่วิ่งก็เห็นหน้าจอแค่นั้น รู้แค่นั้น รู้แต่ว่าวิ่งสิบกิโลนี่มันไกลนะ ไกลมาก ๆ

เมื่อพาร่างอันระทดระทวยเข้าเส้นชัยแล้ว น้ำตาจะไหล ดีใจมาก ๆ กินอะไรแทบไม่ลงและก็ไม่มีอะไรเหลือให้กินด้วยเพราะเข้าเส้นช้ามาก ใบหน้าเปื้อนยิ้ม อย่าว่าแต่หน้าเลย ตับ ปอด กระเพาะยาวไปจนไส้ติ่งก็คงยิ้มไปกับฉัน มันซ่อนรอยดีใจไว้ไม่อยู่ กลับมาที่หอลูกก็หลับสลบไสล กลับถึงบ้านดอยก็กินสุกี้ฉลองเหรียญแรกกัน ปลื้มกับเหรียญวิ่งจนบอกไม่ถูก ไม่คิดเลยว่าจะมีเหรียญต่อ ๆ ไป อยากวิ่งมินิมาราธอนอีก อยากวิ่งให้เป็นธรรมชาติมากขึ้นซึ่งมีทางเดียวคือต้องซ้อม

ฉันป่วยหลังจากมินิแรกเกือบปี มีมินิที่สองหลังจากนั้นเป็นปี เป็นมินิฯแรกที่ได้วิ่งคู่กับสามีจนเข้าเส้นชัย นึกสนุกจนบอกสามีว่าอยากมีมินิมาราธอนสักร้อยสนาม และเป็นครั้งแรกที่ไปยืนใต้รั้วและชี้ขึ้นบนป้ายเพจคุณป๊อกว่า ' 42.195 Club ... เราจะไปมาราธอนด้วยกัน ' ใช่ ฉันฝันจะไปมาราธอน ฝันแบบกล้า ๆ กลัว ๆ ไม่รู้เลยว่าจะไปได้ยังไง ไม่เคยแม้แต่จะวิ่งฮาล์ฟมาราธอนด้วยซ้ำ แต่ก็ฝันไปแล้ว

ฝันใหญ่ไฟแรงในวัยทองไม่รู้มาจากไหนกันนะ วัยที่ร่างกายไม่ค่อยเป็นดั่งใจ สังขารร่วงโรยและเพิ่งมาเริ่มวิ่ง ลงสนามในวัยที่มีแต่เด็ก ๆ ดีหน่อยเขาก็เรียกพี่ สนิทขึ้นมาหน่อยก็เรียกคุณป้า ตีสนิทแบบญาติก็เรียกคุณยาย จนอยากร้องไห้ ไม่ต้องสนิทกันมากก็ได้ ต้องทำใจยอมรับนะว่า เป็นป้าก่อนได้มั้ย ยายน่ะเอาไว้ก่อน ได้เป็นแน่ ๆ แต่เชื่อว่าเขาคงดูหน้าเราแน่ถึงประทับตราให้เราแบบนั้น

แต่ยังไง ฉันก็ดีใจที่ยังวิ่งมาได้เรื่อย ๆ จนวันนี้ ยังฝันเหมือนเดิมว่าจะมีมินิมาราธอนสัก 100 สนาม แต่อาจจะผสมกับระยะอื่นบ้างก็ได้ แต่เอามินิฯและฮาล์ฟเป็นหลัก เพราะระยะฮาล์ฟฯเป็นระยะกำลังดี เหมาะสมกับการออกนอกบ้านไปท่องเที่ยวต่างจังหวัดด้วย

แต่เช้าวันงานวิ่งครบรอบ ๕๐ ปีโฮงยาสารภีนั้น ฉันลืมยาดม ของสำคัญในการวิ่งที่ขาดไม่ได้เลย อีกอย่างคือฉันประมาทเกินไป คิดว่าวิ่งระยะนี้ ไปเรื่อย ๆ ไม่น่าจะมีอะไร แต่อากาศร้อนมาก ลมไม่กระดิก ทั้งที่วิ่งในเพซของตัวเอง ดูเด็ก ๆ วิ่งแซงป่ายซ้ายป่ายขวานำหน้าไป ไม่ตื่นเต้นตกใจอีกแล้ว ใครใคร่แซงแซง เราอยู่กับตัวเอง ไปในจังหวะของตัวเอง มันสบาย ไม่ต้องกดดันตัวเอง เพซนี้เป็นเพซที่เราวิ่งเป็นปกติอยู่แล้ว ส่วนสามีนำไปไกลจนไม่เห็นหลัง เราวิ่งคนละเพซแต่ไหนแต่ไร ทิ้งกันตั้งแต่ก้าวแรกหลังเสียงแตรปล่อยตัว รอเจอกันที่เส้นชัย

งานนี้มีน้ำให้เพียบ ทุกสองกิโล มีทั้งน้ำเย็นและน้ำธรรมดา ฉันกินน้ำเย็นไม่ค่อยได้ กินแล้วก็ปวดท้องจะวิ่งต่อไม่ไหว ดีใจที่มีน้ำไม่ใส่น้ำแข็งให้เลือกด้วย ฉันจิบน้ำทุกสองกิโล จะว่าจิบก็ไม่ใช่ เติมเข้าไปเกือบเต็มแก้วนั่นแหละ ที่เลอค่ามากคือจุดเช็คพอยต์ เราได้รับพระเครื่องแทนหนังยาง รู้สึกดีและอุ่นใจ แต่จุดที่สี่คือกิโลที่แปดนั้น กินน้ำแล้ว รู้สึกใจหวิว ๆ พอเข้ากิโลที่เก้า เหมือนตาพร่า อาการนี้ไม่มีมานาน เคยเจอหนัก ๆ เมื่อสองปีที่แล้ว ซ้อมอยู่ดี ๆ ก็วูบ ต้องหยุดเลย คิดว่าเป็นอาการวัยทอง นั่งดมยาดมก็ดีขึ้น เกิดวันนี้อีกก็เลยชะลอและค่อย ๆ ไปจนจบ เล่าให้สามีฟัง ก็งงเหมือนกันว่าเกิดขึ้นอีก เขาเองก็บอกว่า รู้สึกไม่ดีเหมือนกันอาจจะอากาศร้อนมาก

เราไปหาอะไรกินกันในงาน อาหารงานนี้อลังการมากเพราะมีคนมาร่วมช่วยโรงพยาบาล นำอาหารมาให้นักวิ่งกันเยอะ ตั้งแต่น้ำชา กาแฟ ชาเขียว เบเกอรี่ น้ำเงี้ยว ข้าวซอย ผัดไทย ข้าวหมูกระเทียม ขาดไม่ได้คือข้าวต้มหมู น้ำเต้าหู้ มีข้าวเหนียวสังขยาใส่กระทงใบตอง นี่ฉันยังสำรวจไม่หมดนะ ฉันกินข้าวต้ม ผัดไทยและข้าวหมูกระเทียม เป็นอาหารเช้าที่เจอพรรคพวก ตั้งวงกินมื้อเช้ากันในงาน

ฉันนั่งข้าง ๆ รุ่น 50 อัพ คนคุ้นหน้าคุ้นตากัน รอบนี้มีนักวิ่งรุ่น 50 อัพมากจริง ๆ เกือบห้าสิบคนแน่ะ เธอได้ที่สาม ทั้งที่หวังที่หนึ่ง เพราะเราต่างรู้ว่า งานนี้ขาแรงไม่มาสองคนคือ พี่จิ๋มกับพี่จิต สองคนนี้ขึ้นโพเดี้ยมรับถ้วยเวลาดีแทบทุกสนาม แต่เราสองคนก็ไม่รู้ว่า ใครได้ที่หนึ่งและสองของงาน พี่เขาพาดพิงถึงงานวิ่งที่ลำพูนที่ออแกไนเซอร์จัด ระยะฮาล์ฟมาราธอนมีน้ำให้กินเพียงสองจุด ปิดเส้นทางการวิ่งโดยไม่ขออนุญาตก่อน ทำให้นักวิ่งเป็นส่วนเกินของถนนและรบกวนการใช้รถใช้ถนนของคนอื่น เป็นงานวิ่งที่โดนตำหนิมาก ฉันได้แต่ฟังเงียบ ๆ เพราะแทบไม่มีงานไหนที่สมบูรณ์พร้อม

ถึงกระนั้น ผู้จัดงานงานวิ่งควรมีคุณธรรมด้วย ประสบการณ์การผิดพลาดหรือบกพร่องต้องแก้ไข เราไม่เรื่องมาก เรายังรู้สึกเลยว่า การเตรียมน้ำทุกสองกิโลเมตรนั้นจำเป็นมาก ไม่รวมถึงการดูแลทางการแพทย์ ซึ่งงานนี้มีหน่วยพยาบาลพร้อมมาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น นักวิ่งเองต้องฟังเสียงร่างกายให้เยอะ ๆ ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่า นักวิ่งจะฟังคำเตือนเหล่านี้หรือไม่ เพราะตัวเองก็เคยบุ่มบ่ามและดันทุรังมาแล้ว กว่าจะเข้าที่เข้าทางและเข้าใจก็ใช้เวลามาพอสมควร

ฉันถามพี่ว่า พี่วิ่งมินิฯจบเวลาเท่าไหร่ เธอว่าเธอไม่ได้ซ้อม ปกติ 58 นาทีนะ งานนี้ 1 ชั่วโมง 4 นาที เร่งไม่ได้เลย แล้วพี่ก็ถามเวลาวิ่งของฉัน ฉันก็ตอบไป พี่ก็ว่า ห่างกันไม่มากนะ แต่ฉันรู้ว่า เวลา 3-4 นาทีที่วิ่งห่างกันเนี่ย วิ่งตามอย่างไรก็ไม่มีทางทัน พูดง่าย ๆ คือไม่ต้องตามเลย ห่างกันเป็นกิโล ไม่เห็นหลังอยู่แล้ว ฉันรู้ว่า ฉันสปีดไม่ได้แล้ว พอแค่นั้น เคยฝันอยากได้ถ้วยบ้างนะระยะนี้แต่ไม่มีปัญญา และเวลาที่เหลือหลังจากนี้ก็คงไม่ได้เพราะวิ่งช้าลงมากกว่าเดิม

ด้วยวัยของฉัน จะสนใจเรื่อง DON'T มากกว่า DO

เพราะวัยหนุ่มสาว อาจจะนึกถึงเรื่อง PB : Personal Best หรือสถิติส่วนตัว อาจติดกับดักว่าฉันทำได้และจะต้องทำลายสถิติทุกสนาม อันนี้ก็เป็นเรื่องส่วนตัว ศักยภาพของคนเราไม่เหมือนกัน ต้นทุนชีวิตก็ไม่เหมือนกัน หวังว่าจะไม่มีใครเอาองุ่นเปรี้ยว ๆ มาให้ฉันกินสักกิโลนะคะ

แต่วัยเรา สนใจแต่เรื่องคำเตือน ระมัดระวัง ประมาณตัว ประเมินตน เท่าทันความคิดของตัวเอง ฉันเข้าใจตัวเองตอนที่อยากมีมาราธอนสักครั้งในชีวิต มันเป็นความห่ามระดับสิบ มันหนักแน่นอยู่ในใจว่าฉันจะทำให้ได้ มันเหมือนตอนสร้างบ้าน ต้องใช้ใจแรง ๆ ขณะที่มีเงินในมือแค่แสนเดียว ใจที่จะทำ ทำให้หาหนทางที่จะสร้าง ไม่คิดซ้ำ ไม่ทบทวน ไม่เคยคิดว่าทำไม่ได้ มันคล้าย ๆ กับตอนคิดจะลงมาราธอนแรกนั่นแหละ คำนวณเวลาในการซ้อมและใจพร้อมก็ซ้อม แม้จะรู้สึกท้อแท้ตอนซ้อมยาว ๆ ยาว ๆ บางทีถึงกับน้ำตาเล็ด ท้อแท้และอยากเลิกกลางคันเหมือนกัน มันไกลเกินไป ไหนจะต้องตื่นตีสองหน้าหนาวมาฝึกกินอาหารก่อนซ้อมตีสาม หนาวจนเหมือนจมูกหาย หนาวหู ปวดหัว มือเป็นเหน็บชา วิ่งจากฟ้ามืดจนเห็นรอยต่อของกลางคืนกับแสงเช้า วิ่งกันจนสว่างจึงเห็นเหงื่อ เหนื่อยแทบถอดใจ แต่ไม่ซ้อมก็ไปไม่ถึง

ฉันไม่มีทฤษฎีวิ่งดิบ ไม่มีทฤษฎีใจถึงก็ไปถึง มาราธอนไม่มีปาฏิหาริย์ ไม่งั้นจะทรมานมาก ขนาดว่าซ้อม หลังกิโล 25 ฉันยังรู้สึกแย่ เวลาท้อ ใจฟุ้งซ่าน อยากจะกลับไปขายบิบที่เหลือหรือจะทิ้งงานวิ่งทั้งหมด ใจไม่ไหวแล้ว กว่าจะรวบรวมกำลังใจออกวิ่งต่อและเข้าที่เข้าทางก็เกือบแย่ น้ำตาปริ่มโยงไปถึงเรื่องชีวิตและการงาน มันก็แบบนี้แหละ จะมีช่วงที่หนักหนาสาหัส มองไปทางไหนก็มืดหม่น ทุกข์อยู่ข้างใน จะผ่านพ้นสภาวะนี้ไปได้อย่างไร เราเคยเจอภาวะคับขันตอนสร้างเนื้อสร้างตัวใหม่ ๆ เส้นทางนี้ยากเหลือเกินเพราะมีกันสองคนสองแรง ทุนรอนก็น้อย ดีที่ใจเป็นหนึ่งเหมือนที่พ่อสอนไว้ รวมใจฝ่าความทุกข์ไปด้วยกัน กว่าจะคิดได้ว่า เรื่องทุกข์มีอยู่สองอย่าง คือเรื่องที่แก้ไขได้และเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ เรื่องที่แก้ไขไม่ได้ จะทุกข์ไปก็ไม่มีประโยชน์เพราะจริง ๆ แล้ว ไม่มีทางที่ไม่มีทาง ทุกเรื่องมีทางออก ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งเพียงแต่ตอนนั้นเราคิดไม่ออกและทุกข์ไปล่วงหน้า ทำได้แต่ทำใจให้สงบแต่ก็ยังไม่มีความสุข เพราะอะไร ๆ ยังไม่คลี่คลาย ทำได้แค่รักษาใจให้สงบนิ่งได้ก่อน เหมือนกับตอนวิ่ง เวลาท้อก็มืดมนไปหมด กว่าจะสู่ภาวะสงบนิ่งได้และไปต่อ ไปเรื่อย ๆ ไปช้า ๆ ก็ถึงที่หมายเหมือนกัน มาราธอนของแต่ละคนไม่เหมือนกันหรอก บางคนตั้งเป้าทำลายสถิติทุกครั้ง เราแค่ตอบตัวเองให้ได้ก็พอว่าต้องการอะไร

ฉันมีเป้าหมายวิ่งมาราธอนปีละครั้ง ไม่รู้จะทำได้หรือเปล่านะ แต่เมื่อคิดก็ลงมือซ้อมเท่านั้น

งานเล็ก ๆ นี้ ทำให้มีโอกาสทบทวนตัวเองบ้าง และย้อนถามตัวเองอีกครั้งว่ายังสนุกกับการวิ่งอยู่หรือเปล่า



ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย
7 ตุลาคม 2561













Create Date : 13 ตุลาคม 2561
Last Update : 13 ตุลาคม 2561 8:19:50 น.
Counter : 318 Pageviews.

0 comment
--- เ ข้ า ป่ า ห า ชี วิ ต ---













หลังจากอ่านหนังสือเรื่อง เข้าป่าหาชีวิตแล้ว มีความรู้สึกสองอย่างคือ

หนึ่ง กลับไปดูหนังเรื่องนี้อีกรอบ เพราะดูครั้งที่แล้ว มีความรู้สึกอย่างที่เคยเขียนออกมา ฉันอยากรู้ว่า ยังรู้สึกแบบนั้นอยู่หรือเปล่า ฉันเข้าใจสิ่งที่คริสกำลังทำอยู่แค่ไหน

สอง อยากอ่านหนังสือที่เป็นแรงบันดาลใจให้คริส เด็กหนุ่มอนาคตดีต้องออกตามล่าหาความฝัน แสวงหาความหมายของชีวิต ปลดเปลื้องทุกอย่างรอบกายเพื่อเข้าหาเสรีภาพที่แท้จริงจากแก่นแท้ของจิตวิญญาณของเขา

หนังสือที่คริสโตเฟอร์ แมคแคนด์เลสรักได้แก่

1. The Call of the Wild เสียงเพรียกจากพงไพร โดยแจ็ค ลอนดอน

ตัวเอกในเรื่องนี้เป็นหมาชื่อบั๊ก เรื่องราวเปิดฉากขึ้นที่ทุ่งเลี้ยงสัตว์ในหุบเขาซานตาคลารา แคลิฟฟอร์เนีย เมื่อบั๊กถูกขโมยไปจากบ้าน และขายไปเป็นหมาลากเลื่อนในอลาสก้า มันกลับไปสู่สภาพสัตว์ป่าในอากาศที่โหดร้าย ถูกบีบให้ต้องสู้หมาตัวอื่น ๆ ท้ายที่สุด มันสลัดความจอมปลอมของอารยธรรมทิ้งและอาศัยสัญชาติญาณดิบกับประสบการณ์การเรียนรู้จากการระหกระเหิน พาตัวเองขึ้นเป็นผู้นำในป่าดิบที่เรียกว่า เดอะไวลด์

2. The White Fang ไอ้เขี้ยวขาว

แต่ฉันปลื้มสำนวนแปลของคุณวิษณุฉัตร วิเศษสุวรรณภูมิมาก เขาเรียกไอ้เขี้ยวขาวว่า ไวท์แฟง เหตุผลง่าย ๆ คือ มันชื่อไวท์แฟง เหมือนกับเช็คสเปียร์ ที่เขาชื่อเช็คสเปียร์ ไม่ใช่นายเขย่าหอก
นิยายเล่มนี้เป็นนิยายที่คู่กับเรื่อง เสียงเพรียกจากพงไพร

หนังสือเป็นชื่อตัวละครซึ่งเป็นหมา หมาบ้านผสมหมาป่า เรื่องราวดำเนินในดินแดนยูคอน แคนาดา เขียนถึงการเดินทางของไวท์แฟง จากสัตว์ป่ากลายมาเป็นสัตว์เลี้ยง

เรื่องของไวท์แฟงนั้น ลอนดอนเขียนขึ้นจากมุมมองของสัตว์ ทำให้เขาได้สำรวจทัศนะของสัตว์ที่มันมองโลกและมองมนุษย์ ไวท์แฟงสำรวจโลกที่รุนแรงของสัตว์ป่าและโลกของมนุษย์ที่รุนแรงพอ ๆ กัน

3. วอลเดน งานชิ้นสำคัญของ เฮนรี่ เดวิด ธอโร

เขาเป็นนักธรรมชาตินิยม ผู้ต่อต้านการเสียภาษี เป็นนักประวัติศาสตร์ งานเล่มนี้เป็นการใช้ชีวิตเรียบง่ายในธรรมชาติ การประกาศความเป็นอิสระจากสังคม การเดินทางค้นหาจิตวิญญาณและเป็นคู่มือการพึ่งตนเอง

ด้วยการพึ่งตนเองและการใช้ชีวิตเรียบง่าย และที่จับใจของคริสโตเฟอร์ แมคเคนด์เลส คือการใช้ชีวิตแบบพึ่งตนเองได้ในป่า
(หากดูฉากแรกของหนังในอลาสก้า จะเห็นแต่หิมะขาว ๆ ฉันยังนึกไม่ออกว่าเราจะใช้ชีวิตแบบนี้ได้ยังไง ฉันในวัยเดียวกับคริสแต่มั่นใจว่าตัวเองไม่มีความกล้าหาญพอ)

4.สงครามและสันติภาพ วรรณกรรมอมตะของ ลีโอ ตอลสตอย
เป็นหนังสือที่คริสรักมากและบอกให้เวนย์ เวสเตอร์เบิร์กที่ได้ช่วยเหลือเขาก่อนเข้าป่าว่า เวย์น คุณต้องอ่านเพราะเชื่อว่าคุณจะเข้าใจ มีสิ่งที่คนส่วนใหญ่มองข้ามไป

5. ดร.ชิวาโก ของบอริส ปาสเตอร์แน็ก กวีนักเขียนชาวรัสเซีย
เราจะเห็นข้อความที่คริสอ่านและชอบ เขาขีดเน้นไว้ก่อนเสียชีวิต

6. ความสุขในครอบครัว ของลีโอ ตอลสตอย
เล่มนี้ ฉันไม่รู้จัก แต่เห็นประโยคสำคัญที่คริสทำเครื่องหมายในย่อหน้าที่เขาชอบไว้ว่า

เขาพูดถูกที่กล่าวว่า ความสุขที่แน่นอนประการเดียวในชีวิตคือการมีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่น

อ่านหนังสือจบ ก็พอทราบว่า คริสจมอยู่กับกองหนังสือวรรณกรรมเพื่อหาสิ่งทดแทนความรักจากครอบครัว ปัญหาครอบครัวเป็นแรงกระตุ้นสำคัญทำให้เขาต่อต้านกฎระเบียบ เขาอินไปกับความหมายของปรัชญาเหล่านั้น เขายกคำพูดของนักปรัชญามาปรับใช้กับการดำเนินชีวิตประจำวัน เหมือนกับที่เขาบอกหญิงสาวว่า ' ถ้าเธอต้องการอะไร จงออกไปหาและคว้ามัน '

ทั้งนี้ทั้งนั้น เขาไม่ได้ต้องการไปจบชีวิตในอลาสก้า เขาเพียงแต่จะไปใช้ชีวิต แต่อลาสก้าในอุดมคติของเขาช่างห่างไกลจากสิ่งที่เขาปรารถนา เขารู้สึกได้ชัดเจนว่า ธรรมชาติไม่เคยปรานีมนุษย์ มันเป็นสถานของความป่าเถื่อน เป็นที่อยู่ของพวกป่าเถื่อน ใจทมิฬและพวกสัตว์ป่า เขาเริ่มเรียนรู้แล้วว่าเขาไม่เหมาะกับสถานที่แห่งความป่าเถื่อน เขายังต้องการความเป็นมนุษย์ที่มีจิตวิญญาณเต็มห้องหัวใจ เขาเหมาะกับการใช้ความสัมพันธ์แห่งมนุษย์เพื่อค้ำจุนตัวเขาและโลกให้มีความหมายมากกว่าการสู้และหาอาหารเพื่อเอาตัวรอดไปวัน ๆ

ก่อนที่เขาจะตาย เขาพบประโยคหนึ่งของลีโอ ตอลสตอยที่ว่า

'ฉันผ่านอะไรมามากมาย ตอนนี้ฉันพบสิ่งที่ทำให้มีความสุขแล้ว ชีวิตสันโดษในชนบทที่มีโอกาสทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม เป็นการทำดีง่าย ๆ ทำดีกับคนที่ไม่ค่อยมีคนทำดีด้วย ทำงานด้วยความหวังนั้นมีประโยชน์ พักผ่อน ท่องเที่ยว อ่านหนังสือ ฟังเพลง รักเผื่อแผ่เพื่อนบ้าน นี่แหละความสุขในความคิดของฉัน และเหนือสิ่งอื่นใด การหาคู่ การมีลูก คนเรายังต้องการอะไรไปมากกว่านั้น'







Into the Wild
JON KRAKAUER : เขียน
ธิดารัตน์ เจริญชัยชนะ แปล




ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย














Create Date : 01 ตุลาคม 2561
Last Update : 1 ตุลาคม 2561 15:25:04 น.
Counter : 324 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  

ภูเพยีย
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]



  •  Bloggang.com