Group Blog
All Blog
|
--- ด อ ย เ วี ย ง เ ท ร ล --- เดือนกว่าแล้วที่เราไม่ได้ซ้อมวิ่งทุกวัน เราไม้ได้กลัวร้อนแต่กลัวฝุ่นจิ๋วที่เป็นภัยเงียบมากกว่า ครั้นอากาศพอจะดีขึ้น พ่อหลวงประกาศให้คนในพื้นที่เผาหญ้าแห้งได้ คนแก่แถวบ้านเราก็เผามันทุกวันเหมือนอัดอั้นตันใจ บางบ้านเผามันทุกเช้า ทำเป็นกิจวัตร บอกก็ทะเลาะกันอีก บอกก็ว่าเพราะใบไม้จากบ้านของเรานั่นแหละที่เป็นต้นเหตุ คนหนึ่งปลูก คนหนึ่งเผา ถ้าเราปลูกต้นไม้แล้วกลัวใบร่วงก็น่าร้องไห้ มีเพื่อนที่ไม่ชอบกวาดใบไม้ เขาเลือกที่จะโค่นทุกต้นและเทปูน ก็ถือว่าต่างได้เลือกแล้ว แต่ฉันกลับทนได้กับใบไม้ร่วง กวาดกองรวมไว้ รดน้ำทำเป็นปุ๋ยหมักต่อไป แต่พูดไปก็เท่านั้น เช้ามาก็เห็นควันรอบบ้าน ทั่วทุกทิศ เผาประชดเราบ้าง เผาเพราะถึงเวลาเผา เผาเพราะความเคยชิน เรื่องเศร้า ๆ ที่เรารับกรรมร่วมกัน หากใครเคยอ่านเรื่อง 'ณ ที่ซึ่งความจริงไม่อาจดํารงอยู่' จะเห็นภาพชนบท ความรู้สึกบางอย่างที่เราไม่เคยพูดออกมา เช้าวันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม ที่เรายังอยู่ในช่วงประวัติศาสตร์ของประเทศ มีพระราชพิธียิ่งใหญ่เหตุการณ์ประวัติศาสตร์พระราชพิธีบรมราชาภิเษก 4-6 พ.ค. 2562 พระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นการดำเนินการตามคตินิยมของศาสนาพราหมณ์ เพื่อป่าวประกาศให้เทวดารู้ว่าบัดนี้จะมีพระมหากษัตริย์ หรือพระผู้เป็นเจ้าเกิดขึ้นอีกพระองค์หนึ่งแล้ว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 ทรงเป็น 'พระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์' หลังเข้าพิธีสรงพระมุรธาภิเษก ทรงรับน้ำอภิเษก และทรงสวมพระมหาพิชัยมงกุฎ ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า 'พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว' ( เครดิตจาก https://www.bbc.com/thai/thailand-48177907) ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน นอกจากนี้ วันนี้ยังเป็นความทรงจำสวยงามส่วนตัวเพราะเป็นวันเกิดของพ่อ เราเคยไปหาพ่อ เคยซื้อของไปฝาก เคยนั่งกินอาหารด้วยกัน พูดคุยถึงหนังสือ ถามไถ่ทุกข์สุข เคยบอกรักพ่อให้พ่อได้ยิน วันนี้ได้แต่คิดถึง ความคิดถึงซึ่งบอกเป็นภาษาใดคงไม่ลึกซึ้งเท่าที่รู้สึกว่า คิดถึงพ่อเหลือเกิน จะมีใครคิดถึงใครได้ตลอดชีวิตไหม เราไม่รู้ รู้แต่เราจะเป็นแบบนั้น เช้านี้เราออกบ้านตีห้าครึ่ง รับน้องเภสัชซึ่งเป็นนักวิ่งวินัยสูงอีกคนไปกับเราด้วย ก่อนออกวิ่ง เราเช็คอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เรียบร้อย สำคัญสุดคือน้ำ เราต้องรับน้ำเยอะมากสำหรับการวิ่งครั้งนี้เพราะหน้าร้อนปีนี้ อากาศร้อนจัด อุณหภูมิขึ้นกว่า 40 องศาแทบทุกวัน เรากลัวแต่จะฮีทสโตรกเท่านั้น กังวลมากกับอาการนี้ ระมัดระวัง ฟังเสียงร่างกาย อย่าฝืน การวิ่งให้อะไรกับตัวเองมากมาย ไม่ใช่การป่าวประกาศหรืออวดเพซวิ่งหรู ๆ ไม่ใช่เรื่องตัวเลขให้คนทึ่ง ไม่ต้องกดดันตัวเองเกินความจำเป็น วิ่งช้าเร็วไม่สำคัญเท่ากับเราได้วิ่ง การวิ่งเป็นเรื่องส่วนตัว เราให้ความสำคัญสิ่งใด เราจะมีเหตุผลให้กับมันเสมอ เราทำได้แค่บันทึกการวิ่งของเราเท่านั้น เป็นเพราะสามีมาออกหน่วยบนดอยเวียงบ่อย เขาชวนไว้หลายครั้งแล้วว่า อยากให้ไปเห็นเส้นทางสวยงามนี้ สูง 1800 จากน้ำทะเล ไปดูดอยที่ปลูกกาแฟที่เรานิยมชมชอบ ก่อนนี้ การเดินทางไปยังหมู่บ้านดอยเวียงนั้นค่อนข้างลำบาก ใช้เวลาสองชั่วโมงกับระยะทาง 20กิโลเมตรจากปากทางจนถึงหมู่บ้าน ทางเป็นดินแดงปนกรวดเล็ก ๆ รถยนต์โฟวีลส์วิ่งได้ แต่คิดถึงหน้าฝน การสัญจรทางรถมอเตอร์ไซค์หรือรถยนต์ค่อนข้างลำบากเหมือนกัน แต่ความเคยชินและคุ้นเคยกับเส้นทางก็ทำให้ความยากดูยากน้อยลงบ้างมั้ยนะ วันนี้เราเริ่มต้นวิ่งที่บ้านพ่อหลวง จากบ้านพ่อหลวงไปยังหมู่บ้านดอยเวียง ระยะทาง 14 กิโลเมตร (รวมไปกลับก็ 28 กิโลเมตร) ทางสูง ๆ ต่ำ ๆ เหมือนทางดอยทั่ว ๆ ไป มีต้นลำไย ลิ้นจี่และต้นกาแฟ กาแฟดอยเวียงเป็นที่นิยมสำหรับแถวบ้านเรา ฉันคุ้นกับกาแฟดอยเวียง ซื้อเมล็ดกาแฟที่คั่วจนหอมใหม่ ๆ สด ๆ มาบดและต้มกินเป็นกิจวัตร คุ้นลิ้นมานานแล้ว เรื่องรสชาติกาแฟนั้นอยู่ที่คนชอบ เราได้แต่ขอแนะนำหากใครผ่านมาทางนี้ กาแฟรสชาติดีทีเดียว อากาศช่วงเช้ายังไม่ร้อนมาก การวิ่งเหยาะ ๆ บนทางสูงต่ำยังเป็นสุขอยู่ การวิ่งเทรลดูเหมือนจะสลับกับเดินได้ก็จริง หากเราเอาแต่เดินโดยเฉพาะทางชันขึ้นไป นอกจากจะทำให้ช้าแล้ว ยังรู้สึกว่าก้าวไม่ค่อยออก เราจึงค่อย ๆ จ๊อกกิ้งขึ้น ก้าวสั้น ๆ กลั้นใจขึ้นไปให้ถึงที่เราตั้งเป้าไว้ ไปทีละนิด ๆ หายใจลึก ๆ แต่พอจ๊อกขึ้นไปถึง ใจยังไม่หายสั่น ก็เห็นทางข้างหน้าที่จะต้องไปต่อ ยิ่งมองทางชันไปข้างหน้าทำให้ใจท้อได้เหมือนกัน ขาไป ยังสนุกอยู่เพราะแรงยังดี ผ่านสี่กิโลแรกเล่นเอาขาอ่อนได้เพราะก่อนหน้านี้ไม่ได้ซ้อมหนักหรือซ้อมยาวมาเลย พักซ้อมนานเกินจนต้องเริ่มใหม่ สามีบอกว่า ไปต่ออีกสิบกิโล ผ่านลำธารเล็ก ๆ อีกห้าครั้งก็ถึงแล้ว นึกในใจขึ้นมาแล้วว่า อยากซ้อมแค่สิบกิโลก่อนได้มั้ย แต่เขาก็ว่า ค่อย ๆ ไปก็ได้ เหมือนปิกนิกกัน ได้แต่บอกเขาว่า ไปล่วงหน้ากันเลย เดี๋ยวตามไป ฉันเดิน ๆ วิ่ง ๆ ไปจนกิโลที่ 12 รู้สึกแย่แล้ว หายใจไม่ทั่วท้อง ก้มหน้า เอามือยันไม้เท้าไว้ พอเงยหน้าขึ้นก็จะวูบ จนต้องนั่งลง หอบมาก ปกติก็ไม่ทนร้อนอยู่แล้ว จิบน้ำไปเยอะแล้วยังไม่รู้สึกดีขึ้น อมลูกอมไปเม็ดนึง อยากได้น้ำตาล เวลาเหนื่อยมาก ๆ มักจะกินเจลไม่ได้ ท้องว่างมากก็จะอ้วกเอา ครั้งหน้าจะพกเกลือแร่มากินดีกว่า มันเหมาะกับเรามากกว่า ฉันนั่งบนทางถนนปูนซึ่งทำเป็นทางล้อวิ่ง กะพักเหนื่อยแล้่วจะวิ่งลงแล้ว แต่สามีวืิ่งย้อนลงมาดูบอกว่า อีกนิดเดียว นิดเดียวคืออีกสองกิโล เป็นสองกิโลที่เหนื่อยและร้อนมาก ๆ ช่วงที่เดินเข้าหมู่บ้านนี่ดีใจจัง รวมทาง 14 กิโลกว่า ๆ เดี๋ยวกินอะไรรองท้องก็วิ่งลงแล้ว ชาวบ้านจำสามีฉันไม่ได้เพราะเขาไม่ได้มาชุดทำงานเหมือนทุกครั้ง พอถอดหมวก แว่นตาออกเท่านั้นแหละ ทุกคนก็ยิ้มทักทายเขา เขานึกไม่ถึงว่าจะมีคนวิ่งขึ้นดอยมาแบบนี้ อย่าว่าแต่พวกเขาเลย เราเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน แต่ฉันเริ่มกังวลตอนขากลับนี่แหละ ต้องต่อสู้กับร่างกายและจิตใจอีกหลายเฮือก แรงหมดจริง ๆ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() กว่าจะลงมาถึงที่จอดรถไว้ ใช้เวลาหกชั่วโมงกับทาง 28 กิโลเมตร สำหรับคนเก่งก็น่าจะเซฟไปสักสองชั่วโมงนะ แต่ฉันเหนื่อยจนแทบจะทนไม่ไหว ถึงข้างล่างก็ดีใจมากแล้ว ไม่เป็นลมกลางทาง ตอนนั้นใจอยากกินเป๊ปซี่มาก ๆ แต่ก็เกือบจะถึงบ้านแล้วล่ะ จึงได้จอดหาที่ซื้อเป๊ปซี่กิน เป็นเป๊ปซี่ซาบซ่าที่สุดเท่าที่เคยกินมา (ฮา) น้ำในเป้หลังเหลือเท่าเดิม แต่กินน้ำในขวดน้ำที่พกไปเพิ่มหมดทั้งสองขวด แถมน้องที่อนามัยคอยขับรถมาดูอาการเราว่า จะวิ่งถึงข้างล่างมั้ย เธอมีน้ำใจที่ขับมอเตอร์ไซค์เอาน้ำมาให้ ไม่อยากบอกเธอเลยว่า วันนี้อาจจะเข็ดเพราะร้อนจัด แต่เราชอบเส้นทางนี้จัง ดีใจที่แถวบ้านเรามีดอยให้เราซ้อมวิ่งได้ ดูปลอดภัยแม้เส้นทางจะโหดเกินไปสำหรับคนไม่ค่อยแข็งแรงอย่างฉัน หน้าหนาวค่อยว่ากันใหม่ จะกลับมาวิ่งที่นี่อีก ชอบมากค่ะ ขอให้ทุกท่านสุขภาพดีและมีความสุข ขอบคุณค่ะ ภูพเยีย 5 พฤษภาคม 2562
เส้นทางธรรมชาติ น่าไปวิ่งมากๆครับ
![]() โดย: สองแผ่นดิน
![]() ![]() |
ภูเพยีย
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() Friends Blog
|