Group Blog
All Blog
|
--- ร อ ง เ ท้ า ---
![]() ตอนฉันเข้าฟิตเนสครั้งแรก ไม่มีรองเท้าผ้าใบใส่ไปสักคู่ จะหาซื้อแถวบ้านก็ไม่รู้จะไปซื้อที่ไหน ต้องถามกันจ้าละหวั่นว่า มีร้านไหนขายรองเท้ากีฬา อย่างน้อยในอำเภอก็ต้องมี นักเรียนต้องมาหาซื้อรองเท้าผ้าใบใส่เรียนกันบ้างล่ะ คนที่บ้านบอกชื่อร้านให้ ฉันก็พกเงินไป 500 บาทเพื่อไปซื้อรองเท้า นึกถึงสมัยใส่รองเท้านันยางคู่ละร้อยสองร้อย คือมันนานจนไม่รู้ราคารองเท้าผ้าใบว่าควรจะเท่าไรแล้ว น่าจะพอ ๆ กับที่หลายคนไม่รู้ว่าหนังสือคู่สร้างคู่สมปรับจาก 12 บาทไป 20 ตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือหนังสือพิมพ์รายวันจาก 8 ไปเป็น 10 กี่ปีมาแล้วรวมทั้งนิตยสารหลาย ๆ ปกที่ปรับราคาเป็นระยะ ๆ ก่อนทยอยปิดตัวอย่างน่าเสียดาย ฉันเองก็ห่างหายไปจากกีฬาจนไม่กล้าจะบอกใครว่าเคยเป็นนักกีฬาเก่า ครั้นมาถึงร้านขายเครื่องกีฬา ก็คุ้นหน้าคุ้นตาน้องเจ้าของร้านอีกนั่นแหละ ลูกค้าเราเอง มีแต่เราไม่เคยมาอุดหนุนสินค้าของเขา แจ้งความจำนงไปว่า อยากได้รองเท้าวิ่งสักคู่ ตอนนั้นคือจะเอาไปเดินบนลู่วิ่งในยิม ร้านนี้มีอาดิดาสยี่ห้อเดียว ไม่มียี่ห้อไหนให้เลือก เธอบอกว่า คู่นี้สั่งมาผิด ขนาดเล็กไป เลยค้างที่ร้านนาน พี่ลองดูมั้ยคะ แล้วฉันก็ดั๊นใส่ได้พอดี เธอดีใจ ฉันก็ดีใจ ความต้องการตรงกัน เธอได้ขาย ฉันได้รองเท้า เธอว่าลดราคาให้พี่นะคะเหลือ 1,500 ค่ะ อุ้ย คิดในใจ เอาเงินมา 500 ทำไงดี ทำไมรองเท้าแพงอย่างนี้ เลยว่า เก็บไว้ให้พี่ก่อนนะ เอาเงินมาไม่พอ 'ไม่เป็นไรค่ะพี่ เอาไปก่อนเลย เดี๋ยวไปเก็บเงินที่ร้านพี่ก็ได้ จะไปซื้อของพอดีค่ะ' นั่นล่ะ รองเท้าสีขาวคู่แรกที่ซื้อมาและใช้ใส่ไปฟิตเนสทุกวัน ใช้เดินบนลู่วิ่งจนถึง 6 กิโล (เริ่ดสุดแล้ว)ก่อนที่จะได้วิ่งมินิฯแรกบนถนนจริงก็เกือบปี เราไม่รู้หรอกว่า ควรใส่รองเท้ายี่ห้ออะไรไปวิ่ง รู้แต่ว่าต้องใส่รองเท้าจึงจะวิ่งได้ก่อนที่จะเห็นคนวิ่งเท้าเปล่ากัน แต่นั่นก็จำนวนน้อยนิด นับนิ้วมือได้เพราะโลกแห่งการวิ่งเป็นโลกใบใหม่ที่เพิ่งเข้าไปสัมผัส ไม่รู้อะไรมากไปกว่าหนังสือของคามินบอก เพราะเหรียญแรกแท้เชียวทำให้ผีเหรียญวิ่งเข้าสิง มีความกระตือรือร้นที่จะวิ่งต่อไป อาดิดาสขาวใช้ซ้อมวิ่งมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งไปเห็นสเก็ตเชอร์สีแดงลดครึ่งราคา จากราคาเต็ม สี่พันนิด ๆ เหลือสองพันถ้วน คนขายบอกว่า มันค้างสต็อก เหลือคู่เล็กสีนี้คู่นี้คู่เดียว ไซส์อื่นก็ไม่มีครับ ฉันขอลอง ก็ดั๊นใส่ได้พอดี รองเท้าเบามาก สีสวยถูกใจ แต่ตั้งสองพัน แพงไปมั้ยเนี่ย กะวิ่งเพื่อสุขภาพ ต้องลงทุนขนาดนี้เลยเหรอ สามีบอกว่า ถ้าใส่ได้พอดี ใส่สบายก็ซื้อเลย เท้าเล็กหารองเท้ายาก ถูกใจก็เอาไปเลยไว้ใส่สลับกับคู่เก่า ว่าตามจริง ฉันไม่รู้จักชื่อรองเท้ายี่ห้อนี้มาก่อน รู้จักแต่นันยาง อาดิดาส ไนกี้ มิซูโน่ เท่านี้จริง ๆ ได้สเก็ตเชอร์มาก็ดีนะ เบามาก พื้นนุ่ม วิ่งสนุกมาก ใช้ซ้อมใช้วิ่งเพื่อลงมินิฯเดือนละครั้งมาปีเต็ม ๆ และพอเริ่มคิดจะไปมาราธอนก็ต้องซ้อมฮาล์ฟให้ได้ก่อน พอซ้อมยาว พื้นรองเท้าไม่มีดอกยาง ส้นรองเท้าสึกทั้งสองข้าง จำเป็นต้องหาคู่ใหม่มาแทน พอไปวิ่งฟันรันทึ่ห้วยตึงเฒ่า ก็ได้มิตซูโน่ลดราคามาอีกคู่ ใส่สลับกัน แต่พื้นบาง วิ่งแล้วเจ็บฝ่าเท้า ใช้วิ่งสั้น ๆ พอไหว แต่วิ่งยาวคงไม่รอด เราเจ็บเท้าก่อน เพราะรักสเก็ตเชอร์คู่เก่า จึงไปหาซื้อยี่ห้อนี้สำหรับวิ่งยาว ๆ ฉันลองจนจะหมดหน้าร้าน ก็มาได้รุ่นอัลตร้า4 ตอนใส่ก็ดีนะแต่รู้สึกว่าพื้นสูง เด้งดึ๋ง ๆ เวลาวิ่ง รู้สึกสบายแต่ต้องลองใส่ซ้อมยาว ๆ ก่อนจึงจะบอกได้ว่าดีมั้ย เก็บคู่เก่าเข้ากรุ เจ้าอัลตร้า 4 สีน้ำเงินคู่นี้เป็นรองเท้าหน้าแคบ ซ้อมได้แปดกิโลก็วิ่งต่อไม่ได้ ปวดเท้า กระดูกตรงนิ้วโป้งปูด ยิ่งวิ่งยิ่งบีบหน้าเท้า ทรมานมาก ถามขายลดราคาให้ใครก็ไม่มีใครใส่ได้ รองเท้าคู่เล็กไป ความตั้งใจจะไปมาราธอนมีสูงมาก จึงต้องหาซื้อรองเท้าคู่ใหม่อีก ไม่ได้อยากเสียเงินนะแต่มันใส่วิ่งไม่ได้ ตอนนั้นเริ่มรู้จักยี่ห้อรองเท้าบ้างแล้ว พอมีโอกาสไปกรุงเทพฯ น้องสาวพาไปสยามพารากอน จะไปดูแอสิค ไคยาโน่ แต่ลองใส่แล้ววิ่งไม่ได้ ลองนิวบาลานซ์ ไนกี้ ก็ไม่ใช่ ไม่ได้ ไม่เข้าเท้า ไม่เข้าหน้า(เกี่ยวมั้ย) ลองนิวตั้นดูเพราะเห็นครูดินใส่ พื้นแข็งนะ รองเท้าอะไรไม่มีส้น แถมมีป๊อปอัพตรงฝ่าเท้าอีก คนขายบอกว่า สำหรับคนวิ่งลงส้น นักวิ่งเพซ 4 ใช้กัน ยิ่งวิ่งยิ่งดีด วิ่งสนุก พี่วิ่งเพซไหนครับ เวรกรรม ไม่เข้าใจว่าเขาพูดอะไร วิ่งมาเป็นปีก็วิ่งถึงเส้นชัยทุกครั้งน่ะ แต่ไม่รู้เวลาเท่าไร รู้มินิแรกครั้งเดียวว่าจบ 1:11 ชั่วโมง เพราะสามีบอกแต่ไม่รู้เพซอะไร ก็บอกน้องว่า วิ่งช้าใส่ได้มั้ย ได้ครับพี่ (แหงสิ เขาขายของนี่) ถึงบอกไม่ได้แต่ถ้าฉันใส่ได้ฉันจะใส่ล่ะ มันใส่พอดี รองเท้าหัวโต ใส่เดินสบาย น่าจะวิ่งได้ เพซไหนก็ช่างมันเถอะ แต่ราคานี่สิ โคตรแพง โอ๊ยยย ไม่ชอบราคาอย่างแรง คิดมากเลย เดินวนไปวนมา อยากได้มากแต่แพง แล้วจะเอาแอสิคสำหรับวิ่งเทรลด้วยนะ ตอนนั้นไม่รู้จักหรอกว่าวิ่งเทรลคืออะไร แต่ใส่เดินแล้วรู้สึกดี ซื้อมาก่อนเดี๋ยวค่อยหาสนามวิ่ง นั่งคิดตั้งนาน จะซื้อดีมั้ย มันแพงมาก เราลงทุนเกินไปหรือเปล่าเนี่ย สองคู่นี่หมื่นกว่า บ้าไปแล้ว น้องสาวพูดมาเรียบ ๆ เดี๋ยวรูดบัตรให้แล้วผ่อนชั้นสิบเดือน โอเคมั้ย เจอคู่ถูกใจก็ซื้อเลย กลับเชียงใหม่ก็ต้องไปหาซื้ออยู่ดี เดี๋ยวไม่มีก็เดือดร้อนให้ชั้นซื้อส่งให้อีก ซื้อแล้วใส่ยังไงก็คุ้ม ก็เลยได้เป็นเจ้าของนิวตั้นแต่นั้นมา มารู้ตัวทีหลัง ข้ามันนักวิ่งเพซแปดนี่หว่า สาบานได้ว่าวิ่ง แต่...ไม่เห็นต้องอายเลย ก็ไม่รู้ว่าแบรนด์นิวตั้นจะอายมั้ย ช่วยไม่ได้นะ เขาไม่ได้ห้ามนี่ว่าห้ามเพซเต่าใส่ นิวตั้นคู่นี้เป็นคู่รักเลย พาลุยมาราธอนแรกจนสำเร็จ ระหว่างทางก็ไม่ทำพิษ (มีแต่กางเกงรัดกล้ามนั่นแหละ รัดเราเหมือนข้าวต้มมัดจนหายใจไม่ทั่วท้อง) ฉันซื้อและใส่ซ้อมตั้งแต่ปลายปี 58 ราว ๆ สองเดือนเต็มก่อนลุยมาราธอนแรกเดือนกุมภา 59 และอีกหลายฮาล์ฟฯ ทั้งรักและไว้วางใจ เมื่อวานฉันใส่ ออน รันนิ่งคู่ที่ซื้อมาสลับซ้อมกับนิวตั้นอีกคู่ เลยเริ่มรู้ว่า ส้นนิวตั้นคู่เก่งเราเสียศูนย์ ใช่แล้ว ส้นสึก ทำให้ใส่แล้วยืนเอียง ๆ ใจไม่ดีเลยเพราะถ้าไม่เปลี่ยนคู่ใหม่ไปซ้อมก็จะไม่เห็นความผิดปกติของนิวตั้น ช่วงนี้เรากำลังเตรียมตัวเพื่อไปมาราธอนอีกสามเดือนข้างหน้า ก็คิดหนัก ถ้าเปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยนเลยเพราะจะต้องใส่ซ้อมจริงจัง ก็แอบหวังว่า อยากจะใส่วิ่งอีกสักมาราธอนนะ จะไหวมั้ยไม่รู้ รำพึงรำพันวันฝนตก รอฝนซาจะออกไปซ้อมวิ่ง ![]() รีบวิ่ง รีบมาดู ใบไม้ที่ปลิดปลิว ดูละครกันค่ะ ขอบคุณค่ะ 25 มิถุนายน 2562 ภูพเยีย --- วิ่ ง ---
![]() ![]() ![]() ![]() ช่วงนี้เป็นช่วงเก็บตัว ซ้อมวิ่งตามปกติแต่ไม่ลงงานวิ่งงานไหน ขณะซ้อมก็คิดนั่นคิดนี่ ไม่มีครั้งไหนที่เราวิ่งได้สมบูรณ์ สมกับที่ซ้อมมา จะมีข้อบกพร่องตรงนั้นตรงนี้หน่อยให้ต้องกลับมาทบทวนทุกครั้ง มีบทเรียนเกิดขึ้นใหม่เรื่อย ๆ แต่ช่วงนี้รู้สึกว่า ร่างกายและจิตใจไม่พร้อมจะลงแข่งขันตามกติกา นั่นหมายถึงวิ่งให้ทันเวลาคัทออฟของสนามนั้น ๆ นั่นเพราะเราลงระยะไกลไว้พอสมควร การซ้อมต่างกับการออกกำลังกายทั่วไป เราหวังผลนั่นคือ เราอยากจบรายการนั้น มันอาจจะยากและความท้าทายอยู่ในจุดที่เราพอจะทำได้หรืออาจไปไม่ถึง แต่บรรยากาศนี้กระตุ้นให้เรามีพลัง เป็นเป้าหมายที่ทำให้เกิดความมุ่งมั่นโดยไม่รู้ตัว เมื่อวิ่งไปสักระยะ จะทบทวนอารมณ์ความสนุกของตัวเองอยู่เรื่อย ๆ ว่ายังสนุกอยู่หรือเปล่า เราเคยตั้งเป้าหมายว่า อยากวิ่งมินิมาราธอนสักครั้ง อยากวิ่งฮาล์ฟมาราธอนอีกครั้ง อยากมีมาราธอนเป็นของตัวเองสักครั้ง แต่วิ่งจบ ก็จะมีสนามอื่นท้าทายรอเราอยู่เรื่อย ๆ เราติดวิ่งหรือติดกิเลสความท้าทาย ชักไม่แน่ใจ ทุกครั้งที่วิ่งระยะไกล รู้สึกท้อ เหนื่อย แต่ก็เรียกตัวเองกลับมาได้เพราะเราซ้อมเยอะกว่าวันวิ่งจริง เราเรียกอาการท้อ เหนื่อยเหล่านั้นว่าอุปสรรคของชีวิต เราจะค่อย ๆ ฝ่าฟันไป จุดหมายปลายทางนั้นหอมหวล จบแล้วภูมิใจในตัวเองทุกครั้ง ไม่ว่าจะจบลงเวลาเท่าไหร่ก็ตาม เราเริ่มมีกลุ่มก้อนมากขึ้น น้อง ๆ เริ่มวิ่งกัน และซ้อมดุดัน หวังผลเลิศ เขาก็ทำได้ตามนั้น ขณะที่เราถดถอยและอยากวิ่งชิลล์ ๆ สนุก ๆ อารมณ์สวนทางกัน ตอนนี้ก็อยู่ที่เราแล้วว่าจะเลือกไปทางไหน พอมาอยู่ในจังหวะของเรา เรามีความสุขมาก ประเด็นคือ เราต้องรู้จักตัวเองเร็ว ๆ เราสามารถชื่นชมคนอื่นได้อย่างจริงใจ มันไม่ได้ทำให้ตัวเองต่ำต้อยด้อยค่าเลย แต่เราต้องไม่กระโจนเข้าไปในวิถีของเขาหรือจังหวะของเขา มันจะทุกข์ ซ้อมก็ทุกข์เพราะหักโหมเกินไป การวิ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตเท่านั้น เราเห็นคุณค่าในเรื่องสุขภาพมากกว่าการแข่งขันกับคนอื่น เขาทำได้ เราก็ทำได้ ความคิดนี้ก็ดีแต่ต้องดูตัวเองด้วย ความเชื่อที่ว่า เราต้องเชื่อว่าเราทำได้ ก็เป็นแรงผลักอย่างหนึ่ง แต่อย่าติดกับดักจนเกินไป อะไรที่เกินพอดีก็ไม่ค่อยดี เรื่องความพอดีนี่ก็ยากที่จะบอกอีกว่า มันควรจะอยู่ตรงไหน แต่ละคนมีความพอดีในแบบของตัวเอง เราถามคนข้าง ๆ เสมอว่า ยังสนุกอยู่มั้ย เหนื่อยมั้ย เบื่อวิ่งหรือยัง เขามีเป้าหมายไม่เหมือนเรา เขาแข็งแรงกว่าเรา แต่เราก็เตือนเขาเสมอว่า อย่าไปแบกคำว่าฟินิชเชอร์หรือต้องเป็นผู้ประสบความสำเร็จทุกครั้งที่ทำอะไรหรือลงสนามนะ ความจริงมันก็ดีนั่นแหละ ทำได้ก็ภูมิใจ แต่ต้องฟังเสียงร่างกายให้มาก ๆ ฟังอย่างสัตย์ซื่อ และต้องยอมรับจริง ๆ สนามโหดก็เสี่ยงชีวิต มันสำคัญกับชีวิตขนาดนั้นเลยเหรอ คนที่เขาทำได้เพราะฝึกฝนหนักกว่าเราร้อยเท่า ร่างกายเขาเทรนมาดี แต่เราไม่ เราแบ่งเวลาจากหน้าที่การงานมาได้มากพอควรแล้ว บางทีก็นึกถึงพรสวรรค์เหมือนกันนะ แม้เราจะมานะบากบั่นฝึกฝน วินัยสม่ำเสมอแต่ก็ได้เท่านี้ ไม่เลิศไปกว่านี้ คงมีบทพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้แต่เราไม่รู้ หลายครั้งคิดถึงความอัจฉริยะที่คนเรามีต่างกัน น้อยคนที่จะมีหลาย ๆ อย่างในคน ๆ เดียวกัน หลายคนทำได้ดีในทุก ๆ อย่าง และอีกหลายล้านคนมีดีไปคนละอย่างสองอย่าง เราทำได้ก็ดีแล้ว ทำให้ดีขึ้นในแบบของเราก็พอ ระหว่างวัน ฉันจะนั่งดูรายการวิ่งที่นั่นที่ไหน ฟังเสียงของนักวิ่งทั้งแนวหน้าและแนวหลัง ทั้งมือใหม่ขาแรงและอยากลอง มีหลากหลายอารมณ์ ฉันชื่นชมทุกคนที่กล้าจะลองสิ่งใหม่ ๆ ฉันเคยเป็น ฉันเคยอยากลอง อยากไปให้ถึง อยากทำให้ดี อยากวิ่งให้สนุก อยากได้เหรียญ ภูมิใจจนอดที่จะอวดเพื่อนไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราเก่ง ฉันยังวิ่งช้าเหมือนเดิมเพียงแต่ร่างกายแน่นขึ้น ไม่เจ็บปวดรวดร้าวเหมือนตอนใหม่ ๆ ที่วิ่งจบสิบกิโลแต่พักเหนื่อยไปหลายวัน จากเคยวิ่งจบสิบกิโลได้แสนสาหัส แต่เดี๋ยวนี้ไม่ยากเหมือนก่อน แต่ดูไปมาก ๆ ก็เริ่มมองเห็นว่า การวิ่งจบมาราธอนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว เขาพูดกันเรื่อง 50 โล 60 โล 100 โล 166 โล 200 โล 300 โล หรือเทรลที่มีมนุษย์อัศจรรย์บนโลกนี้ ทำได้ ทำสำเร็จอย่างเยี่ยมยอด เราไม่ได้เลือกเขามาเป็นไอดอลเราหรอก เราเริ่มวิ่งเพราะหนังสือ เย็นวันเสาร์ เช้าวันอาทิตย์ หนังสือเล่มที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเรามากที่สุด ทุกครั้งที่ลงสนามวิ่ง จะหยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่านเป็นกำลังใจให้ตัวเอง หนังสือพาเรามาไกลเกินกว่าที่เราคิดไว้ตอนแรก จะไกลแค่ไหนไม่รู้แต่อยากวิ่งจนสิ้นอายุขัย เราเป็นมนุษย์ที่เกิดมาเพื่อชื่นชมคนอื่น ให้กำลังใจคนอื่นมากกว่าที่จะทำสิ่งเหล่านั้นเสียเอง ฉันเหมาะจะเป็นกองเชียร์ แต่เพราะมีเชื้อของความเป็นนักกีฬาและนักสู้ บางทีก็เผลอลืมเรื่องสังขารตัวเองไปได้เหมือนกัน 24 มิถุนายน 2562 --- ลุ ง ข า ย ผ้ า ไ ห ม ---
ลุงร่างเล็กแกร็น ผิวดำกร้าน ช่วงลำตัวยาวกว่าช่วงขา เดินกะโผลกกะเผลกมาหยุดที่หน้าร้านพร้อมเข็นรถที่มีผ้าไหมในลังพับไว้จำนวนไม่น้อย และที่พาดซ้อน ๆ โชว์ลายพอให้เห็น 'คุณนาย สนใจผ้าไหมมั้ยครับ' 'ขอนั่งพักหน้าร้านหน่อยครับ' แกค่อย ๆหย่อนก้นลงบนม้านั่ง มือก็ดึงผ้าไหม ตั้งใจจะคลี่ให้เราดูทั้งผืน แต่แขนแกสั้น ไม่สมส่วน เอื้อมไม่ค่อยจะถึงขณะที่นั่งลง ท่าทุลักทุเลพร้อมเหนื่อยล้า แดดเที่ยงก็ร้อนระอุ 'ไม่ซื้อก็มาดูได้ครับคุณนาย ผมทำหน้าที่ขาย ผ้าไหมสวย ๆ เผื่อคุณนายใส่ทำงานสวย ๆ ' 'ลุงมาจากไหนคะเนี่ย ไม่ใช่คนแถวนี้เนาะ มากันกี่วันแล้ว พักที่ไหนกัน เขาให้ค่าแรงลุงวันละเท่าไรคะ' ฉันยิงคำถามอุตลุต ไม่ใช่แค่ผ้าไหมหรอกที่มีคนแก่มาเดินขายของแบบนี้ มีทั้งไม้ขนไก่ ธูป กุนเชียง ปลาแห้ง กระปุกออมสินปูนพลาสเตอร์รูปสัตว์ต่าง ๆ รวมทั้งดอกไม้ปลอม ฯลฯ คือมีของขายสารพัดที่ฉันได้แต่ยิ้มแล้วก็ส่ายหน้า ของบางอย่างอุดหนุนครั้งนึงก็ทิ้งช่วงกันไป บางทีซื้อเพราะเห็นใจมากกว่าความจำเป็น ( แต่เราไม่จำเป็นต้องตั้งท่ารังเกียจหรือรำคาญ ไม่ใช่ขายประกันทางโทรศัพท์เป็นใช้ได้ หรือที่แย่สุดคือชายใจหญิงสองนางมาเซ้าซี้ขอใช้เครื่องนวดตัว เว้าวอนขอเวลาให้พวกเธอได้โชว์ผลิตภัณฑ์ เราบอกว่าไม่สะดวก เธอก็เซ้าซี้มาก คือไงดีล่ะ เป็นผู้หญิงขายของแบบนี้ เรายังต้องขอบอกปัดเพราะเราขายของคนเดียว ลูกค้าเข้าออกร้านทั้งวัน เราคงไม่สะดวกให้ใครมานวดแขนนวดขาเราหรอก แล้วคุณเธอก็เป็นผู้ชาย ถึงใจจะเป็นหญิง แต่เธอก็เป็นผู้ชาย คิดยังไงว่าแม่เฒ่าอย่างฉันจะยินยอมให้เธอมาบีบนวด ได้แต่ส่ายหน้า แต่ไม่บอกเหตุผลในใจเหล่านี้หรอก ) 'ผมมาจากขอนแก่น รวมกันมา เช่าบ้านรวมกันอยู่หลังวัดบ้านท่า นี่ข้าวสารหมดกระสอบแล้ว อยู่กันหลายคน ช่วยกันหุงหาอาหารมาทำกินรวมกัน ประหยัดหน่อย ' 'ลูก เมียมาด้วยหรือเปล่าคะ ' 'เขาอยู่ที่บ้าน ลูกอายุ 16 แล้ว' ' แล้วเมียทำอะไรคะ ลูกเรียนอยู่หรือเปล่า' ลุงเงียบ ไม่พูดอะไรต่อ ... 'ลุง...หนูไม่ค่อยได้ใส่ไปไหนนะคะ ที่ซื้อไว้และเขาซื้อมาฝากทั้งผ้าเมืองผ้าไหมก็ยังไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วนี่ลุงขายผืนเท่าไหร่ ' ' 350 ครับ ขายได้เขาก็ให้ค่าแรง' ฉันคิดในใจว่า ขายไม่ได้ก็คงไม่ได้ค่าแรงต่อวันหรอก ดูท่าทางแกเหนื่อยมาก ร้อนก็ร้อน การขายของแบบเคาะประตูหน้าบ้านมันก็ดีหรอก แต่เดี๋ยวนี้ เห็นเขาโพสต์ขายกันหน้าเฟซบุ๊กหรือไม่ก็ไลฟ์ขายกันเป็นว่าเล่น ใกล้ชิดสนิทสนม เป็นลูกค้ากันประจำ แต่ลุงเป็นคนรุ่นพ่อฉัน ไม่น่าจะรู้วิธีขายของแบบนี้ ถึงรู้ แกคงไม่ถนัดหรือกล้าพูดขายผ่านไลฟ์หรอกนะ แกต้องใช้แรงเข็นล้อขายของแบบนี้ไปตามบ้าน เป็นอาชีพสุจริตอย่างหนึ่ง แต่ของขายยากจริง ๆ หรือเพราะฉันไม่ได้ใช้ก็ไม่รู้สินะ 'ลุงกินข้าวหรือยังคะ นี่บ่ายโมงแล้ว' 'ยังครับ แต่ขอพักเหนื่อยก่อนนะครับ เข็นไปได้หน่อยก็ต้องหาเก้าอี้นั่งพัก ปวดขามาก' ฉันไม่อยากได้หรอกนะ แต่ดูแกแล้ว เห็นใจจริง ๆ ไม่อยากซื้อ ซื้อก็ไม่ได้ใช้ ซื้อฝากก็ไม่อยากอีกนั่นแหละ เลยเดินเข้ามาในบ้าน เอาเงินให้ลุงร้อยบาท มันไม่ใช่การแก้ปัญหาหรือการแจกเงินหรอก บอกแกตรง ๆ ว่า คงไม่ได้อุดหนุนลุงนะ เดี๋ยวข้างหน้ามีร้านข้าว ลุงไปนั่งกินข้าวก่อนละกัน ลุงมองลังเล ฉันพยักหน้าให้รับเถอะ แกดูเกรงใจแต่ก็รับ ไหว้ฉันด้วย ฉันต้องรีบรับไหว้ คือเอ็นดูแกจริง ๆ 'ขอบคุณครับคุณนาย ขอบคุณที่มีเมตตา ขอให้มั่งมี ขอให้อยู่เย็นเป็นสุข อย่าเจ็บอย่าจน ผมขอนั่งพักเหนื่อยก่อนนะครับ เดี๋ยวจะไปต่อแล้ว วันนี้เดินมาก ปวดขาไปหมด ข้อเท้าผมไม่ค่อยดี ปวดมาหลายปีแล้ว' ฉันเดินเข้ามาเอายาไดฟีลีนเจล ไปให้ลุงอีกหลอด 'เอาไว้ทาตรงที่ปวดนะคะลุง ทาเฉย ๆ ไม่ต้องนวดนะ พอบรรเทาปวดได้ ' 'ครับ ครับ ถ้าดีแล้วผมจะซื้อใช้บ้าง' 'ค่ะ หนูขอตัวทำงานต่อนะคะ หายเหนื่อยแล้วก็ค่อย ๆ ไป' ฉันดีใจที่ลุงรับเงินนะ อย่างน้อยก็ทำให้การให้ของฉันสมบูรณ์ ให้เพราะอยากให้ เราไม่สามารถให้ใครแบบนี้ได้บ่อย ๆ หรอก แม้แต่การซื้อของที่ไม่จำเป็นก็เหมือนกัน มองสภาพลุงแล้วสงสารจับใจ แก่แล้วยังตะลอน ๆ ไปขายของต่างบ้านอีก คนแก่แถวบ้านเรายังได้อยู่บ้าน เก็บผักเก็บไม้กิน ค่าครองชีพไม่สูงนักก็พออยู่ได้แม้จะไม่สบายนัก สังคมคนแก่บ้านเราเป็นอย่างไรบ้างนะ เขาอยู่กันยังไง เราจะแจกเงินให้ลุงขายผ้าไหมคนอื่น ๆ แบบนี้ทุกคนไม่ไหว เขาคงคิดหาอะไรทำพอกินพออยู่ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ฉันนั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงานตรงนี้ นั่งมองลุงค่อย ๆ ลุก จับผ้าไหมวางบนลัง ก่อนออกไปแกหันมายกมือท่วมหัว ขอบคุณนะครับคุณนาย 'โชคดีนะคะลุง' ภูพเยีย 17 มิถุนายน 2562 - - - ทำ บุ ญ ร ว ม ญ า ติ ที่ บ้ า น ปู่ ย่ า - - -
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() 1. เสาร์อาทิตย์นี้ได้กลับไปเจอญาติพี่น้องทางพ่อที่บางบาล เพราะมีการทำบุญรวมญาติประจำปีก่อนเปิดเทอม เราเห็นการทำบุญ เลี้ยงพระตั้งแต่เราเป็นเด็ก ย่าจะทำบุญก่อนลูกหลานเปิดเทอมราว ๆ กลางเดือนพฤษภาคมของทุกปี คำขอของย่าคือ ควรจะมาให้ได้ทุกครอบครัว อาจจะไม่ทุกคนแต่ต้องมีตัวแทนของครอบครัวมาทำบุญร่วมกันอย่างนี้ ปีนึงพี่ ๆ น้อง ๆ ควรมาเจอกันพร้อมหน้าพร้อมตากันสักครั้ง เป็นคำขอที่ทรงพลังมากเพราะเราจะได้เจอญาติเกือบทุกคนในวันนี้ ตอนเราเป็นเด็ก ฉันชอบงานบุญบ้านย่า นั่นคือการได้กินของอร่อย ๆ ทั้งนั้น โดยเฉพาะทองหยอดกับฝอยทองเพราะย่าจะทำเอง ลูกมือของย่าก็คืออาแหม่ม อาจี๊ดและลูกพี่ลูกน้องของฉัน ส่วนฉันนั้นแค่ไปจด ๆ จ้อง ๆ รอบ ๆ ครัว ดูเขาทำกับข้าว วนไปวนมาอยู่แถวนั้น คอยหยิบจับเพิ่มความวุ่นวายให้ดูเหมือนมีงานมีการกับเขา ที่ชอบที่สุดคือ ตอนที่อา ๆ ตอกไข่ใส่กาละมังขาวใบเขื่อง และแยกไข่แดงออกจากไข่ขาว เอาไข่แดงคนกับแป้งขนมซึ่งฉันไม่ค่อยรู้จัก ก่อนที่จะหยอดไข่แดงผสมแป้งนั้นในกรวยที่มีผ้าขาวบาง ๆ ก่อนที่จะหุ้มด้วยใบตองอีกชั้น ทำเป็นกรวยและหยอดไข่แดงนั้นลงในกระทะทองเหลืองที่ตั้งน้ำตาลจนเดือด ดูเหมือนไม่ยาก ฉันเคยขออาจี๊ดหยอด แต่มันเป็นหยดไข่ ไม่สวยเลย แต่อามีฝีมือมาก ทองหยอดของอาลูกกลมสวยก่อนจะใช้กระชอนตักขึ้นมาวางใส่ถาด แต่อย่าได้หวังว่าจะได้กินก่อนถวายพระ อย่าได้ทำตัวรุ่มร่ามหรือแอบหยิบกินเชียว อย่าทำแม้ว่าย่าไม่เห็น ย่าไม่ชอบคนรุ่มร่าม พูดไม่รู้เรื่อง บอกอะไรก็ต้องฟัง ถึงเราจะช่วยอะไรไม่ได้ การมานั่งดู ย่าไม่เคยว่าอะไร ดูย่ามีความสุขที่เป็นแม่งาน ทั้งสั่งและสอนไปพร้อม ๆ กัน บรรยากาศแบบนี้มีให้เห็นทุกปีแต่ฉันไม่เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญจนต้องมาเล่าให้เพื่อนฟัง การทำบุญของย่าเป็นปรากฎการณ์แสนจะธรรมดาของพวกเราในตอนนั้น พวกเราจะสนุกมากตอนพระมาสวดเต็มบ้าน ชาวบ้านจะแต่งตัวสวยพิเศษมาฟังพระ ส่วนใหญ่เขารักและนับถือย่ากัน เราจะช่วยกันจัดสำรับให้พระ พระฉันเสร็จ ก็ยกสำรับมาเลี้ยงแขก แขกกินเสร็จก็คอยเก็บถาดไปที่ท่าน้ำ มีแม่ครัวคอยล้างจานชามอยู่กลุ่มหนึ่ง ตอนนั้นเหมือนจะเป็นจานชามของวัด เพราะลูกพี่ลูกน้องจะพายเรือไปเอาของที่วัดกัน จานสังกะสี ช้อนสั้นสีเขียวกับสีน้ำเงิน คลาสสิกมาก แม่ครัวจะช่วยกันล้างจานชามดูสนุกสนาน ลูกหลานต้องคอยช่วยกันดูแลแขกเหรื่อซึ่งเป็นคนในตำบล พวกอา ๆ จะต้องแต่งตัวสวยและใส่ทองกัน อาแหม่ม อานงและอาจี๊ดดูเหมือนตู้ทองเคลื่อนที่เลยทีเดียว ลูกสาวต้องดูดีแบบนั้น แต่พวกเราเป็นหลาน ไม่ต้องก็ได้ แต่ต้องเรียบร้อยอยู่ดี ย่าจะนิมนต์พระมา 99 รูป พวกเราช่วยกันใส่ซองซึ่งจำไม่ได้ว่าซองละเท่าไหร่ แต่จำได้คราวหลัง ๆ ที่ย่าให้ใส่ซองละ 100 บาท และขอไม่ให้คนที่มาร่วมทำบุญขึ้นเรือนพร้อม ๆ กัน กลัวเสาเรือนหัก กลัวบ้านพัง ตอนนั้นคิดแล้วขำ นึกว่าพูดเล่น บ้านจะพังได้ยังไง เสาเรือนเป็นร้อยเสาขนาดนั้น เก็บไว้ในใจจนมาถามอาแหม่มทีหลัง 'มันจริงอย่างย่าเอ็งบอกนั่นแหละไอ้หนู' อาแหม่มพูดไป หัวเราะไป ลูกของย่าส่งมีเจ็ดคน มีอาทัย อาดำ อานง อาเปี๊ยก อาป้อม อาจี๊ด อาแหม่ม ส่วนพ่อกับอาสาลี่เป็นลูกของย่าอวม ฉันไม่เคยเห็นย่าอวม ตอนนั้นก็คิดว่าอาทุกคนคือน้องพ่อ ไม่รู้ว่าปู่มีสองย่า ลำดับญาติไม่ค่อยถูก นามสกุลเดียวกันคือญาติเราทั้งหมดว่างั้นเถอะ เราจะอยู่ในความดูแลของอาสาลี่มากกว่า อาหุงหาอาหารและดูแลพวกเรา แต่เราเป็นหลาน จะวิ่งไปบ้านไหนก็ได้ จะขลุกอยู่ตรงไหนซอกไหนของบ้านก็ได้ ยิ่งเล่นโป้งแปะหรือซ่อนแอบ จะพากันหาที่ซ่อนไปทุกห้องทุกที่ของบ้านแฝด หาตัวกันมั่วไปหมด ลูกพี่ลูกน้องนับสิบมารวมกันอยู่ที่นี่ เช้ามาก็ถือกระแป๋งคนละใบ ผ้าคนละผืน ซักน้ำ บีบน้ำไม่ค่อยแห้งดีหรอกก่อนวางพื้น ถูบ้านก้นโด่งดันผ้ากันไปมา ไม้ถูพื้นไม่มี บ้านย่ามีหลานเป็นสิบ บ้านเรามีหลานหกคน คนน้อยกว่าจึงเหมือนถูเสร็จช้ากว่า ถึงเราแบ่งส่วนกันถูแล้วก็เถอะ แต่ส่วนของฉันมักจะเป็นฉันคนเดียวเพราะน้องทำอะไรไม่ค่อยเป็น ตื่นยากจนปู่ส่ายหัว มีแต่อาสาลี่คนเดียวที่ไม่เคยดุว่าหลานเลย ปิดเทอมก็อยากให้สบายกัน อาใจดีที่สุดในโลก มีบ้างบางทีก็มากระซิบบอกฉันว่า ไปเรียกอีหนูมันตื่น เดี๋ยวปู่เห็น เขาจะว่าอาไม่สอน ฉันจะขำ ๆ มากกว่า อาไม่อยากว่าหรอก แต่ลูกหลานคนอื่นตื่นเช้ากันทุกคนนี่นา อาสาลี่ตื่นเช้าแค่ไหนเราไม่รู้เวลา รู้แต่ว่าอาลุกตั้งแต่มืด เดินถือตะเกียงเจ้าพายุเข้าครัว หุงข้าว ทำกับข้าวและตักบาตรที่ท่าน้ำทุกวัน ฉันตื่นทันบ้าง ไม่ทันบ้าง ตื่นมาเพื่อจะรอกินน้ำข้าวข้น ๆ ที่อาเทให้ไอ้เขียว น้ำข้าวของอาอร่อยมาก ข้นข้าวเหมือนนมสด โรยเกลือนิดหน่อยก็อร่อย กับข้าวที่ฉันชอบเป็นพิเศษคือยำปูเค็ม อาสาลี่ชอบกินข้าวกับมะม่วงหรือแตงโมลูกเล็ก ๆ ซึ่งฉันได้แต่มอง ไม่รู้อร่อยยังไง มองจนอาสาลี่ขำและถามว่า ลองบ้างมั้ยเล่า สาย ๆ อาสาลี่ใส่งอบ เข้าสวนไปแล้ว เราก็หาเรื่องเล่นกันแล้ว คอยไปเลียบ ๆ มอง ๆ บ้านย่าว่า เขาเสร็จการเสร็จงานกันหรือยัง จะได้ตามเขาไปยิงนกตกปลา เล่นตาหัวกะโหลก ทอยกอง ห่วงยาง เล่นกันไม่กี่อย่างแต่ต้องรอกัน เที่ยงมาก็มานั่งรอกินน้ำชาเย็นของตาทอน เขาจะบีบแตรเรียกที่ท่าน้ำ อาสาลี่ไม่ค่อยอยากให้กินน้ำชาเพราะกลัวหลานโง่ แต่เราก็แอบกินกัน หรือไม่ก็ก๋วยเตี๋ยวเรือยายน้ำค้าง รุ่นเรานี่ไม่มีใครไม่เคยกินหรอก นั่งเรียงกันสลอนบนบันไดกินก๋วยเตี๋ยวน้ำตกของยายน้ำค้าง กินเสร็จก็เข้าสวน ปีนต้นไม้ เด็ดมะม่วงย่ากินกัน ช่วงนี้จะเห็นอาแหม่ม มาตักน้ำจากคูน้ำรดมะม่วงช่วยย่าแล้ว ตอนเย็นจะได้เล่นน้ำคลองกัน เราสามพี่น้องจะมีห่วงยางที่พ่อซื้อให้เพราะว่ายน้ำไม่เป็น แต่พี่ชายก็หัดจนว่ายได้ทุกคน พอว่ายเป็นก้ได้เล่นโป้งแปะกันในน้ำ มุดใต้เรือ ว่ายไล่แปะแตะตัวกัน มีแต่เรื่องเล่นสนุกสนานจนไม่อยากกลับมาเรียน พ่อจะให้เราอยู่บ้านปู่เกือบสองเดือนก่อนรับกลับไปที่สุพรรณและส่งเราขึ้นรถไฟกลับบ้านไปเรียนหนังสือ อยู่กับแม่ เราจะอ้วนท้วนสมบูรณ์ ตัวดำกลับมาทุกเปิดเทอม ฉันเลยมีความทรงจำมากมายในช่วงปิดเทอมใหญ่ ฤดูร้อนอันแสนรื่นรมย์และยาวนาน ความทรงจำแสนดีในวัยเยาว์ 2. ก่อนนี้ พ่อจะเป็นตัวแทนของครอบครัวเราไปทำบุญรวมญาติที่บ้านย่าแทนเราสามคน พอเรามีครอบครัว ก็มีโอกาสสลับกันไปบ้านย่าบ้าง แต่ไม่สม่ำเสมอทุกปีเหมือนที่พ่อทำ พอไม่มีพ่อ ดูเหมือนจะห่างกันไปทุกที ปีที่แล้ว อาบอกวันทำบุญแล้ว แต่เราไม่ได้ไปเป็นตัวแทนพ่อสักคน ปีนี้ ฉันพอไปได้และอยากไป ทุกคนที่รู้ว่าฉันจะไป ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อยากมอบโล่ห์ให้เลยเพราะเป็นการเดินทางที่ไกลมาก แน่ล่ะ อา ๆ เคยมาบ้านฉันครั้งหนึ่ง เขายังเข็ดเส้นทางบ้านฉันไม่หาย หลาย ๆ อาถามว่า คิดยังไงถึงพากันมาอยู่ไกลขนาดนี้ คือต่อให้รักแค่ไหนก็เจอกันครั้งเดียว อาที่มาหาก็เล่าให้กันฟังว่า อย่าให้เราต้องลำบากมาร่วมงานบุญเลย เดินทางลำบากและไกลเกินไป ทั้งเห็นใจและเข้าใจ ถึงเราไม่ไป บรรดาญาติพี่น้องพ่อก็ทำบุญแผ่ส่วนกุศลให้พ่อหรือพี่ชายของพวกเขาอยู่แล้ว งานทำบุญก็ทำธรรมดาแบบที่เคยเห็นนั่นแหละ อานงบอกว่า ไม่มาวันนี้ก็มาวันอื่นได้ พวกหนูเป็นเนื้อแท้ของทางเรา แวะมากหาได้ตลอดแหละลูก ส่วนอาสาลี่บอกว่า แกมาวันอื่น แกก็ไม่เจอใคร มาวันนี้เจอครบทุกคนนะ แต่อาไม่ว่าอะไรถ้าไม่สะดวก อากลัวจะขาดกันไปเลย รุ่นหลาน ๆ นี่คงไม่รู้จักกันแล้ว มีแต่คนแก่และรุ่นเราที่มารวมตัวกัน เรื่องใกล้ ไกล ไม่ใช่ประเด็นสำคัญสักเท่าไหร่ อยู่ที่วันนั้นว่างและอยากไป สองปัจจัยเท่านั้นแหละ แล้วงานนี้ก็เหมือนเคย ฉันไม่เคยวาดหวังอะไรว่าญาติต้องดีด้วยแต่เขาดีและยินดีต้อนรับลูกหลานเสมอ มีแต่พ่อเท่านั้นที่รู้จักฉันดี และสะกิดฉันบ่อย ๆ ว่าฉันเป็นคนไม่ค่อยเอาญาติเลย จะว่าใช่ทั้งหมดก็ไม่ถูก เราต้องดิ้นรนทำมาหากิน สร้างเนื้อสร้างตัวมากกว่า ช่วงที่เราทำงานเป็นลูกน้องเขา วันหยุดน้อยเต็มที แทบจะกระดิกตัวไปไหนไม่ได้ กลับบ้านเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่ปีละครั้งเท่านั้น ฉันเคยนึกถึงช่วงวัยทีละสิบปีของฉัน ไหนจะทำงาน ไหนจะสร้างครอบครัว เลี้ยงลูก ไม่ง่ายเลยที่จะปลีกตัวไปไหนมาไหน ห่างญาติไปพอสมควร แต่ฉันไม่เคยไปรบกวนญาติคนไหนเลยนะ ไม่ว่าใครก็ตาม พึ่งตัวเองให้มากที่สุด อดทนให้มากที่สุด ตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด พอลืมตาอ้าปากได้จึงได้ไปเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่บ่อยขึ้น สามพี่น้องก็ดูแลพ่อแม่ด้วยการผลัดกันไป ทางพ่อเขามีครอบครัวของเขา จะห่วงสุดก็คือแม่ แม่อยู่คนเดียว ต้องใช้ไลน์ให้เป็นประโยชน์สูงสุด ฉันถึงบางบาลตอนเย็นวันเสาร์ ครั้งแรกจะเปิดห้องนอนในบางบาล เช้าค่อยเข้าบ้านย่า แต่โทรบอกอาเสร็จก็เปลี่ยนใจ ไปกินข้าวและนอนบ้านย่าดีกว่า ไปถึงก็กินข้าวปลาอาหารที่อาแหม่มเตรียมต้อนรับญาติพี่น้องมากมาย ฉันไม่รู้สึกแปลกแยกอะไร ถ้าไปแล้วไม่แฮปปี้ จะรู้สึกทันที แต่นี่ไม่มีเลย ดีใจที่เจออาทุกคน เขาทยอยมาถึงกันแต่เช้าแล้ว พักผ่อนกันตามอัธยาศัย รอพบอาสาลี่วันพรุ่งนี้เช้าก่อนพระฉันเพลนั่นแหละ เช้าตีสี่วันอาทิตย์ อาแหม่มออกไปตลาด ซื้อดอกไม้และข้าวปลาอาหารบางอย่าง เสียดายที่ไม่ได้ติดรถตามไปด้วย เราก็ตื่นเช้าแล้วนะ แต่เช้าไม่ทัน เลยมานั่งกินกาแฟ ข้าวต้มที่แม่ครัวทำไว้ต้อนรับคนมาช่วยงานและบ้านเรา เรามันคนห่างพิธีกรรมทุกชนิด อย่าว่าแต่เรื่องทำบุญเลย เรื่องของตัวเองก็ยังไม่ค่อยจะมีพิธีรีตอง เอาฤกษ์สะดวกอย่างเดียว แม้แต่งานแต่งงานของตัวเองยังไม่มีเลย ยังคิดเสมอมาว่า พ่อแม่เราใจดีนะ ปล่อยเราคิดเอง ตามใจเราทุกอย่าง ทั้งที่พ่อฉันเป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่าง ชอบพิธีรีตองและชอบความงามตามประเพณี แต่กับลูก พ่อตามใจ นั่นเป็นเพราะพ่อรักและไว้ใจในสิ่งที่เราเลือก เราต่างรับรู้กันดีแล้วว่า พิธีกรรมเป็นสิ่งสมมติ เป็นขั้นตอน มีระเบียบวิธีที่หาหนทางไปสู่ความสบายใจและมีกำลังใจในการดำเนินชีวิต จะกราบจะไหว้ก็เป็นสื่อหรือสัญลักษณ์ในการแสดงออกอย่างหนึ่งหมายถึงการนบน้อม เคารพนับถือ ทุกสิ่งทุกอย่างเน้นเรื่องจิตใจของเราเป็นหลัก การทำบุญวันนี้ก็เหมือนทำเพื่อบอกกล่าวถึงความเคารพนับถือที่เรามีต่อผู้ล่วงลับอันเป็นที่รักของเราทุกคน สำคัญที่สุดเพื่อความสบายใจและได้เห็นหมู่พี่น้องมารวมกันและรักกันอย่างที่ปู่ย่าตายายของเราอยากให้เป็น ฉันรู้แต่แก่น แต่เจอของจริงอย่างเช้านี้ก็งงสิ ฉันมันคนไม่ชอบพิธีรีตองเสียด้วย ไม่ชอบขั้นตอนเยอะ ๆ แต่งานนี้อาเขาตั้งใจ อย่างน้อยเราก็ต้องรู้จักกาละเทศะด้วย อาเตรียมอาหารคาวหวานอย่างดี ข้าวของ เครื่องใช้อย่างดี เห็นน้ำจิตน้ำใจเนื้อในของอาแหม่มเลย คือความงาม หลายคนคงปฏิเสธความสำคัญหรือคุณค่าของพิธีกรรมตามประเพณีเหล่านี้ไปบ้าง แต่อย่างไรก็ตาม แก่นแท้คือเรียบง่าย ตรงไปตรงมา ทำเพื่อให้เกิดกุศลภายในจิตใจ มีความรักใคร่ในการทำสิ่งดีให้กับคนที่เรารัก จุดมุ่งหมายของย่าน่าจะประมาณนี้นะ ฉันคิดเอง ไม่รู้หรอกว่าที่จริงคืออะไร ฉันดูอาเล็กจัดโต๊ะ จัดดอกไม้ พันสายสิญจน์บนโกฏิกระดูกย่าส่งกับย่าอวมและบรรดาญาติของเรา เตรียมสำรับอาหารคาวหวานไหว้พระพุทธ เตรียมจัดสำรับไหว้ศาลพระภูมิ แล้วจัดอาสนะของพระ 9 รูป ปีนี้มี 9 รูปเนื่องจากว่า แทบไม่ค่อยมีพระเล็กพระน้อยแถวบ้านเลย เหลือเพียงไม่กี่รูปเอง เหลือเชื่อมาก ๆ เราเตรียมถาด เตรียมถ้วยชาม 9 ชุด ทั้งคาวหวานไว้ รอพระสวดจะได้ตักอาหารถวายเพล บทสวดนานมาก คาดว่าจะครบทุกบท ทุกอย่าง อย่างจุใจ ทั้งนี้เพื่อสวดอุทิศส่วนกุศลและเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อยู่อาศัยทุกคน ฉันไม่เคยฟังพระสวดนานขนาดนี้ อันนี้อาแหม่มคงขอให้ท่านสวดจนครบทุกระบวน ไม่มีฉบับย่อ พิธีกรรมละเอียดยิบย่อยจนฉันจำไม่หมด เขาให้แตะพานดอก ข้าวของเครื่องใช้ จุดธูป นึกถึงผู้ล่วงลับ ฉันก็ทำตามไป กรวดน้ำให้พ่อและย่า คิดว่าพ่อคงมานั่งดูอยู่ในงานแน่ ๆ พ่อต้องเห็นความเงอะงะไม่เอาไหนของฉันแน่นอน แต่ฉันก็มาทำบุญให้พ่อนะ รู้ว่าพ่อสบายใจที่ฉันมาที่นี่วันนี้ ถ้ามาทำบุญเพื่อความสบายใจ ก็เชื่อว่าเราได้รับกันถ้วนหน้า ชื่นมื่น อิ่มท้อง อิ่มใจ อิ่มบุญกันถ้วนหน้า การพูดคุยในหมู่ญาติก็เป็นเรื่องทั่ว ๆ ไป ต่างอวยพรให้เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน กิจการรุ่งเรืองยิ่งขึ้น ๆ ไม่รู้เหมือนกันว่า รุ่นเราจะอยู่เห็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน รุ่นลูกเราดูจะเชื่อมโยงกันยาก ห่างกันไปทุกที ก็คิดเป็นปีต่อปีแหละนะ ทำอะไรที่สบายใจ ไม่ต้องคิดไปไกลมากนัก มีจิตใจที่คิดในทางกุศล ใจจะได้สบาย ขอให้ทุกท่านมีความสุขนะคะ ขอบคุณค่ะ ภูพเยีย 16 มิถุนายน 2562 --- เ พื่ อ น เ ก่ า ---
สะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะนอนหลับไม่ค่อยสนิท กดดูเวลาในมือถือ เป็นเวลาตีสามกว่า ๆ เห็นไลน์จากเพื่อนรัก คุยเข้ามายาว ๆ หลายข้อความ เปิดดูหน้าจอก็อ่านไม่ค่อยออกเพราะไม่ได้ใส่แว่น อดสงสัยไม่ได้เหมือนกันว่ามีอะไรด่วนหรือเปล่า ปกติไม่ค่อยมีอะไรคุยกัน ฉันพยายามเพ่งอ่านคร่าว ๆ ความว่า เพื่อนเก่าสมัยมัธยมปลายรวมกลุ่มกันได้เกือบ 20 คน แล้วเธอก็ส่งภาพเพื่อน ๆ รวมทั้งชื่อจริง นามสกุลเก่าและใหม่รวมทั้งชื่อเล่นแนบมาด้วย ทั้งตกใจและเบลอมาก นึกหน้าใครไม่ออกเลยสักคน เลยนอนต่อเพราะแน่ใจว่าเรื่องดี เอาไว้ดูอีกทีตอนเช้า ตื่นเช้ามาก็เข้าไลน์เลย ปกติก็ไม่ค่อยจะทำอะไรกับไลน์ มีกลุ่มครอบครัวของเรา กลุ่มคุยกับแม่และเพื่อนที่สนิทอีกสองสามคนที่แอดไลน์ไว้ อาจจะเพราะอายุมากแล้วก็จะเหลือคนที่คุยด้วยไม่มากนัก ไม่รู้จะคุยอะไรด้วย เราชอบที่จะอยู่ใกล้อะไรหรือใครที่มีพลังบวกมากกว่า คนไหนที่ตั้งอกตั้งใจจะข้ามเรา จงใจทำให้เรารับรู้ว่าชิงชังรังเกียจ เราก็ข้ามไป ไม่ได้พยายามจะทักถามหรืออยากคุยเพื่อคลี่คลายความสงสัย คิดเสียว่า ก่อนหน้านี้เราไม่รู้จักกัน เราก็อยู่กันได้ แต่มีช่วงเวลาดี ๆ ที่ทำให้เรารู้จักกัน เคยมีเวลาดี ๆ ร่วมกัน ช่วงนั้น ขณะนั้น เพียงแต่มันไม่มีอะไรจะเชื่อมต่อกันอีกต่อไปได้ รู้สึกงงนิดหน่อยแต่ก็เข้าใจได้ ปล่อยให้ความสัมพันธ์ล่องลอยโดยไม่เหนี่ยวรั้ง แค่รู้เท่านั้นก็พอ สำหรับเพื่อนเก่ากลุ่มนี้ เพื่อนรักส่งภาพพร้อมคำบรรยายว่าใครเป็นใคร ทำอะไร อยู่ที่ไหน เป็นเพื่อนที่อยู่ในแก๊งค์เดียวกันหลายคน ตกใจกับภาพปัจจุบันของเพื่อน ๆ ตรงหน้า แก๊งค์เจ็ดคนของเรานั้น ฉันเจอเพียงสองคนที่ได้พูดคุยกันจริง ๆ ทั้งในไลน์และเฟซบุ๊ก แต่อีกห้าคนนั้น เพิ่งเห็นหน้าเห็นตาวันนี้ ตื่นเต้นมาก ๆ โดยเฉพาะปาริ เธอเป็นคนน่ารัก สูงโปร่ง รอยยิ้มแววตาขี้เล่น คุยเก่งมาก เราเจอกันครั้งสุดท้ายตอนเธอมาฝึกงานที่เชียงใหม่ตอนเรียนผดุงครรภ์ปีสอง นับเป็นครั้งสุดท้ายที่เจอกัน คลับคล้ายคลับคลาว่าเธอเล่าถึงเพื่อนรุ่นพี่มีปัญหาเรื่องท้องตอนเรียน ผิดหวังและฆ่าตัวตาย รุ่นพี่คนนี้เป็นคนร่าเริงมาก แต่เราก็เด็กเกินกว่าจะเข้าใจความชอกช้ำหรือผิดหวังเรื่องความรักจนต้องประชดชีวิตแบบนั้น เราเข้าไม่ถึงหรือไม่ลึกซึ้งพอ และไม่สามารถตัดสินความรักของคนอื่นได้เพราะไม่ได้เกิดกับตัวเอง เพื่อนปาริก็พูดให้ฟังว่า ตอนที่มีปัญหาน่ะ ไปหาพวกเราทุกคนที่บ้าน แต่ไปแล้วก็ไม่เจอใครสักคน มันเคว้งคว้างมาก ไหนจะเรียน ไหนจะต้องรับผิดชอบอะไรต่อมิอะไร ชีวิตที่รับผิดชอบทั้งตนเองและในหน้าที่การงาน เธอว่ายังไงก็ต้องเป็นผู้ใหญ่ กลับไปเป็นเด็กเหมือนเดิมอีกไม่ได้ ทำไมฉันจะไม่เข้าใจ ฉันจบใหม่ ๆ ก็มีความฝันโก้หรูว่าอยากจะเรียนปริญญาโทต่อ แต่พ่อแม่ลำบากมาก ยังมีน้องที่กำลังเรียนอีกสองคน ฉันต้องทำงานแล้ว งานอะไรก็ต้องทำ อย่างน้อยก็แบ่งเบาภาระของพ่อได้บ้าง แม้ในความเป็นจริงแล้ว ฉันยังรบกวนเรื่องเงินทองจากพ่ออยู่อีกช่วงหนึ่งเมื่อเริ่มงานใหม่ ๆ มีแต่พ่อคนเดียวที่คอยหนุนหลัง ช่วยทั้งเงินและกำลังใจให้ฉันทุกเมื่อเชื่อยาม แต่ความที่ฉันเอาแต่ตัว ฉันมัวแต่น้อยอกน้อยใจที่พ่อทำอะไรเพื่อภรรยาใหม่มากกว่าลูก พ่อกำลังสร้างบ้านใหม่หลังใหญ่ ขณะที่ลูกยังยืนขาไม่แข็งและอยากมีทุนรอนบ้าง เป็นความคิดที่งี่เง่าและเห็นแก่ตัวของฉัน ถ้าพ่อไม่มีบ้าน พ่อจะอยู่อย่างไร พ่อมีครอบครัวพ่อก็ต้องทำหน้าที่สามีที่ดี แต่พ่อบอกว่า พ่อยุติธรรมกับลูกทุกคนเสมอ เพียงแต่ฉันไม่เคยเปิดใจยอมรับในเวลานั้น สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ เป็นคำพูดที่ใช่สำหรับฉัน การอดทน ขวนขวาย สร้างเนื้อสร้างตัวด้วยตัวเราเองได้มันน่าภูมิใจ พ่อให้ทั้งความรักและการศึกษา ให้รากฐานที่สำคัญแก่ลูกทุกคน กว่าจะรู้ก็ผ่านเวลามาไม่น้อย โชคดีที่เราต่างรับรู้และเข้าใจพ่อในเวลาปกติได้ พ่อยังรู้ตลอดเวลาว่าลูก ๆ รักพ่อเสมอ เราอาจไม่แสดงออกด้วยการกอดหรือพูด เพราะเราเติบโตมาแบบนั้น ไม่เหมือนเรากับลูกของเราที่กอดและบอกรักกันเป็นเรื่องปกติ แต่เพื่อนปาริของฉันสิ บอกว่า พ่อแม่เสียตั้งแต่ปี 2535 ฟังแล้วก็สะดุ้ง ชีวิตที่เพิ่งจะเริ่มต้นกับการทำงานหลังจากจบใหม่ ตอนนั้นต่างคนต่างดิ้นรน ช่วยเหลือตัวเอง เอาตัวให้รอดกันทั้งนั้น เป็นช่วงที่ยังไม่มั่นคงทั้งกาย ใจและการเงิน ยังบอกกับตัวเองไม่เต็มปากหรอกว่า ชีวิตคืออะไร เราไม่ได้ตะเกียกตะกายแสวงหาความสุขแบบเนิบช้าหรือนั่งจิบชา กาแฟ โก้เก๋ ดูชิลล์ ๆ เพราะต่างมีภาระทั้งต่อตัวเองและครอบครัว ว่าไปแล้ว เพื่อนในรุ่นจะมีสักกี่คนที่ครอบครัวสมบูรณ์พูนพร้อม ส่วนใหญ่มีฐานะปานกลาง ค่อนไปทางลำบากด้วยกันทั้งนั้น วันเวลาในช่วงอายุ 20-30 ปีนั้นคือการทำงานและเรียนรู้การอยู่ร่วมกับคนอื่น รับมือกับปัญหาต่าง ๆ นานา ปัญหาใหญ่ส่วนใหญ่อยู่ที่คน อยู่ที่เรา ความวุ่นวายในองค์กรก็มาจากคนในองค์กร อิจฉา ริษยา ไม่จริงใจ ไม่สามัคคีกัน ปัญหาชู้สาว ความรักผิดที่ผิดทาง มีให้เห็นตลอด กว่าจะเข้าที่เข้าทาง กว่าจะรู้ว่าชีวิตต้องการอะไร... ช่วง 30-40 ปีนี้ ยิ่งห่างเพื่อนเข้าไปใหญ่ ยิ่งมีครอบครัว ก็ยุ่งอยู่แต่เรื่องทำมาหากิน เลี้ยงลูก เฝ้าดูการเจริญเติบโตของพวกเขา หาที่เรียน เปลี่ยนโรงเรียน กิจกรรมต่าง ๆ เวลาผ่านไปเร็วที่สุดจนแทบจะไม่มีเวลาคิดถึงใครอย่าว่าแต่เพื่อนเก่าเลย ช่วง 40-50 ปี เป็นช่วงวัยที่เริ่มจะดีขึ้น ลูก ๆ โตกันบ้างแล้ว เริ่มมองตัวเอง เริ่มสนใจเรื่องสุขภาพ เริ่มมีโลกใบใหม่ มีเพื่อนใหม่ สังคมใหม่บนโลกโซเชี่ยล มีโอกาสเจอเพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยบ้างแล้ว แต่ฉันก็มีเพื่อนรักสมัยเรียนอยู่หนึ่งคนที่ไม่เคยคุยกันบนโซเชี่ยล เจอเมื่อไรเมื่อนั้น สนิทกันแบบไม่ต้องเท้าความ ก็ยังดีใจที่คบหากันมายาวนานจนวันนี้ แต่ที่เซอร์ไพร้ส์คือ เจอเพื่อนรักสมัยมัธยมปลาย ไม่น่าเชื่อว่าเราจะมีเรื่องราวสมัยนั้นมาพูดคุย และยังมีกิจกรรมใหม่ร่วมกันได้อีก มีโอกาสได้เจอกันบ้าง และได้เห็นกันทุกวันบนเฟซบุ๊ก ผ่านมาเกือบสิบปีแล้วที่จู่ ๆ เพื่อนในแก๊งค์มัธยมปลายอีกคนเป็นตัวเชื่อมเพื่อนเก่าและรวบรวมกันมาเจอกันในไลน์ คราวแรกฉันรู้สึกประหม่านิด ๆ แต่เห็นว่าเพื่อนรักก็เข้าร่วมด้วยและบอกว่าดีที่ได้เจอพวกเรา เลยคิดว่า ลองดูอีกสักครั้ง เพราะฉันเคยตื่นเต้นมากครั้งก่อนที่มีการรวมกลุ่มเพื่อน แต่เข้าไปแล้วรู้สึกแปลกแยกมาก ไม่รู้จะคุยกับใคร ไป ๆ มา ๆ ก็ถอยออกมาที่จุดเดิม เหมือนตอบตัวเองได้ว่า ไม่เจอก็ไม่เป็นไร คุยไม่ได้ก็เก็บความรู้สึกเก่า ๆ แช่แข็งไว้แบบนั้น เรามีกำแพงหรือเปล่าคงต้องพิจารณาวันเวลาและการใช้ชีวิตของเราแตกต่างกัน อาจต้องใช้เวลาสักนิดเพื่อเชื่อมโยงเรื่องราวในวันเก่า ถามไถ่ถึงชีวิตปัจจุบัน ครอบครัว การงาน สุข ทุกข์ คุยเรื่องราวเก่า ๆ บางเรื่องที่เพื่อนอาจจดจำไม่ได้เลย เราไม่เคยรู้ว่า เราในสายตาเพื่อนนั้นเป็นอย่างไร เพราะเราเองก็เปลี่ยนแปลงไป ทั้งรูปลักษณ์สังขาร ความคิดอ่านและน้ำเสียง ดีใจที่รู้ว่าเพื่อน ๆ ได้เรียนต่อ(เพราะหลังจากจบ ม.6 เราไม่ได้ข่าวคราวของใครเลย) มีฐานะทางการงานดีและมั่นคง ดูมีสง่าราศี เพียงแต่เราห่างเกินไปและเข้าไม่ถึง แต่กับเพื่อนม.6 ชุดนี้ ความรู้สึกต่างไป ดีใจและทำให้รู้สึกอบอุ่น ไม่หนาวยะเยือก ไม่เคว้งคว้างแบบที่เคยเป็น ไม่รู้สึกว่าพิมพ์อยู่คนเดียวหรือพูดอยู่คนเดียว ยังมีเรื่องราวอีกมากที่ยังไม่ได้คุยกับเพื่อน ยังคิดเลยว่า น่าจะได้มานอนนับดาว เล่าความหลังและเรื่องราวที่ห่างกันไปสามสิบปีว่าไปทำอะไรกันมาบ้างและปัจจุบันนี้เป็นยังไง สุขสบายดีกันหรือเปล่า สุขภาพเป็นอย่างไร มีความสุขกับชีวิตมั้ย อย่างน้อย การเปิดไลน์ดูตอนเช้าด้วยการสวัสดีวันอาทิตย์ถึงจันทร์ ส่งความสุข คำพร คำพระน่ารื่นรมย์ มีอะไรให้เรานั่งอมยิ้มและอ่านอย่างเพลิดเพลินอยู่เงียบ ๆ ขอบคุณค่ะ ภูพเยีย |
ภูเพยีย
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() Friends Blog
|