Group Blog
All Blog
|
--- เ ร า ไ ม่ เ ค ย รั ก กั น เ ล ย จ ริ ง ๆ --- 1. อกหัก รักษาใจด้วยการออกวิ่ง ความรู้สึกนี้ไม่อาจเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งเพราะไม่มีประสบการณ์ตรง อกหักตอนเป็นสาวก็ลืมไปแล้ว จำเนื้อหาหรือเรื่องราวไม่ได้ด้วยซ้ำ ที่แน่ ๆ ที่เกิดขึ้นคือเสียใจ ร้องไห้ บอกเล่าพี่ ๆ ที่รักทั้งหลาย แล้วก็ต้องไปซ้อมซอฟต์บอลต่อ ไม่ได้ซ้อมเพื่อลืมความอกหัก แต่ซ้อมเพราะต้องซ้อม จะแข่งอยู่แล้ว ในใจคิดอะไรก็จำไม่ได้ คนที่ทำให้เราอกหักก็เป็นนักกีฬาเหมือนกัน เขาเป็นรุ่นพี่รัฐศาสตร์ หล่อก็ไม่หล่อ นิสัยก็ไม่ดีเท่าไหร่ เป็นขี้เมา เถื่อน ๆ ไม่รู้ไปชอบเขาได้ยังไง ฉันเป็นคนชอบใครชอบจริง รักใครก็รักจริงหวังแต่งว่างั้นเถอะ อกหักจากพี่เขาแล้วก็นึกไม่ออกว่าเกิดเหตุอะไรอีก เขาก็ไปกับแฟนเขา เราก็ไปกับพวกเราหลังเลิกซ้อม มีแค่นั้น เราได้เบอร์พี่เขาอีกทีก็ตอนที่ต่างคนต่างมีครอบครัว พี่เขาทำงานอยู่ที่พิจิตร พี่ชายอีกคนฝากเบอร์ไว้ให้เพราะต้องติดต่อให้เขาเป็นธุระเรื่องแม่ของสามีเสีย น้ำเสียงเราต่างดีใจที่ได้คุยกัน ถามทุกข์สุขเรื่องราวปัจจุบัน คุยกันเพลินจนเกือบลืมเรื่องสำคัญไปซะนี่ ดีใจที่เขามีความสุขกับครอบครัว จากวันนั้นก็ไม่ได้โทรฯหาเขาอีก คุยกันจบแล้วไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกันอีก หากเจอกันครบทีมก็น่าจะดี แต่ DNF แรกนี่สิ ซาบซึ้งมาก จ๋อยและคิดไม่ถึง เสียดายที่เข้าไม่ทันเวลา คิดย้อนไปย้อนมาอยู่นั่นแหละ แรงก็เหลือ แต่ไปเสียเวลาตอนกินต้มถั่วเขียวและกินข้าว จิบกาแฟบนดอยหนอกอย่างชื่นมื่น หารู้ไม่ว่า ทางดาวฮิลล์นี่มันสาหัสนัก ถ้ากลิ้งลงไปได้ก็น่าจะทำอย่างนั้นไปเลย ไม่เคยเห็นดาวฮิลล์แบบนี้ที่ดินร่วนซุย ไม่มีแม้กิ่งอะไรให้จับยึด แต่ต้องใช้เทคนิคและการฝึกที่แข็งแรงมากเพื่อจะวิ่งลงและทรงตัวได้ ไม่เช่นนั้นก็จะพุ่งแบบลงเหวไปเลย จากวันที่ DNF แรก ก็นั่งกินข้าวแบบจ๋อย ๆ กินข้าวไม่อร่อย ลืมความเหนื่อยล้า แต่คิดวนไปวนมาว่าน่าจะจบ น่าจะทัน ซ้ำซาก อ่านหนังสืออะไรก็ไม่รู้เรื่อง ไม่อยากวิ่ง ไม่อยากเล่าอะไรให้ใครฟัง ทำใจไม่ได้ว่างั้นเถอะ เป็นเอามากจริง ๆ ตกเย็นอีกวัน เปลี่ยนชุดเพื่อจะออกไปยืดเหยียดร่างกายหลังแข่ง หิ้วรองเท้ามา ค่อย ๆ ร้อยรองเท้าจนถึงรู้สุดท้าย ผูกมัดเชือกรองเท้าจนกระชับ แต่ไม่มีกะจิตกะใจจะวิ่ง ใจห่อเหี่ยว ไร้ความสุข คนอื่นเขาเป็นเหมือนเราหรือเปล่าเนี่ย เรียนหนังสือก็ไม่เคยสอบตก เล่นกีฬาแพ้ก็ออกอาการบ้าบอไปตามประสา แต่ก็ฮึดสู้ แมทช์ต่อไปจะไม่แพ้อีกแล้ว นั่นเพราะแข่งกับคนอื่นและจิตใจเป็นนักสู้ด้วยหรือเปล่านะ อยากทำชื่อเสียงให้สถาบันนั่นคือข้ออ้างหนึ่ง ลึก ๆ คือคิดว่า เราน่าจะเอาชนะเขาได้ เพียงแต่ใครจะเออเรอร์น้อยกว่าเท่านั้น แต่กีฬาเป็นทีมนั้นพูดยาก มันต้องใจเดียวกัน สู้ด้วยกันอย่างสุดจิตสุดใจทุกคน ใครฝ่อก็มีผลต่อทีม แต่วิ่งเป็นเรื่องของเราคนเดียว เป็นการเอาชนะใจตัวเองล้วน ๆ ไม่ได้ไปแข่งกับใครนอกจากกติกาในเรื่องของเวลา ในเรซ ทุกคนคือเพื่อนร่วมทาง ไม่ได้แข่งกัน มีแต่เป็นกำลังใจให้กันและกัน เห็นหน้าเพื่อน ๆ ที่ลงสนามเดียวกันแล้วโคตรจะมีความสุข ยิ่งร่วมทางทรหดไปด้วยกันยิ่งมีแต่ความทรงจำดี ๆ เหนื่อยแต่หัวใจฟู ชอบตัวเอง ชื่นชมตัวเองว่าแกเจ๋งว่ะที่สมัครลงวิ่งกับเด็ก ๆ พวกนี้ได้ ไม่ว่าน้องคนไหนวิ่งผ่านหน้า ต่างก็ให้กำลังใจเรา เราล้ม เราเหนื่อย เขาก็เข้ามาไถ่ถาม ช่วยเหลือ คิดถึงบรรยากาศแบบนี้ ไอ้ที่หงอย ๆ จ๋อย ๆ ใจคอห่อเหี่ยวก็เริ่มจาง จ๋อยอยู่สองวันแล้วก็เขียนเล่าได้ ไปดูรูปในเทรลสนุกสนานไปอีก เล่าความเห่ยของตัวเองได้อย่างสนุกสนาน ใจฮึกเหิม บอกตัวเองซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ ว่า ปีหน้าเอาใหม่ ตอนนี้ก็ไปลุยสนามหน้า เรียกขวัญกำลังใจคืนมาหน่อย แต่หารู้ไม่ว่า สนามที่โหดถัดไปนั้นเป็นสนามอัลตร้าที่ฉันยอมแพ้แบบราบคาบ ยอม DQ เพราะไปต่อไม่ไหว สงสารตัวเอง คิดถึงหน้าลูก ๆ คือดันทุรังต่อไปไม่ได้ เราไม่แข็งแรงพอ ยังต้องซ้อมอีกสักสิบเท่าของวันนี้จึงจะผ่านได้ เราไม่ได้แข็งแรงเหมือนตอนเป็นสาว ๆ คือยอมแพ้อย่างราบคาบ นั่งกินข้าวไข่พะโล้และเป๊ปซี่สบายอารมณ์ นั่งรอเพื่อนร่วม DNF ที่ทยอยออกป่า นั่งคุยเล่นคุยหัวกับน้อง ๆ ที่ดีเอนเอฟเหมือนกัน ขำ ๆ มากกว่า เราซ้อมไม่พอ ซ้อมไม่ดีจริง ๆ ไม่ติดใจอะไร รอแค่ว่าพร้อมเมื่อไรก็อาจจะมาแก้มือ แต่ตอนนั้นคือยอมแล้วนะ ไม่คิดแก้แค้น กะลาแล้วลาเลย พูดคุยกันแบบจริงจังมาก หัวเราะกับความพ่ายแพ้ครั้งนี้ แต่ผ่านไปสักวันสองวัน เขาเปิดรับสมัครของปีหน้า ให้โควต้าพวก DNF สมัครได้เลยโดยไม่ต้องเข้าคิว แล้วก็เป็นจริงดังคาด คนที่บอกว่าจะไม่เอาแล้วสนามนี้ ยอมแล้ว ๆ ไม่คิดไม่แค้น ต่างทยอยกันลงชื่อเหมือนลืมหนังชีวิตในไร่อ้อยนั่น ลืมเหวทางซิงเกิ้ลแทร็ก ลืมเขา ลืมน้ำตกที่ตกลงไปทั้งตัวหรือนั่งจุก อัดยาดมไปสองรูจมูกตอนตะกายขึ้นจะการตกลงข้างทาง เนื้อตัวมีแต่แมลง ผึ้งต่อยก้นตอนนั่งทับเขา เราลืมหรือไม่ลืมกันแน่ แล้วเรามือลั่นหรือเปล่าที่จะไปลุยซ้ำเส้นทางนี้อีกครั้ง แปลกใจว่า แก่แล้วทำไมยังบ้าบอได้ขนาดนี้ มีวิญญาณอะไรสิงอยู่ในตัวเรานะ 2. วันอาทิตย์ตอนเช้า แม้จะตื่นสาย แต่เราก็ออกมาซ้อมวิ่งที่สระน้ำหน้าบ้าน ไม่เอาอะไรมาก แค่ขอตื่นมาและใส่รองเท้าออกวิ่งก็พอ เราตั้งใจจะซ้อมเช้าและเย็น แต่เน้นตอนเย็นเหมือนเดิม ฉันตั้งกล้องไว้ ตั้งใจว่าจะเก็บภาพกะเต็นน้อยของปีนี้ไว้เป็นบันทึกของปี ดูเหมือนจะไม่ยากแต่เก็บภาพเขาไม่ได้ ยังมีต้นไม้บังมุมที่เราถ่ายอยู่ แต่ไม่คิดมาก ไว้ตอนเย็นค่อยว่ากันใหม่ ตกเย็น เขาไม่มา ให้มันได้อย่างนี้สิ แต่คิดว่าสัปดาห์นี้จะรีบนอนแต่หัววันทุกวัน เพื่อจะวิ่งตอนเช้า เราเข้านอนกันตั้งแต่สองทุ่ม เพื่อจะซ้อมวิ่งตอนเช้า แต่มีสายเข้ามือถือของฉันราว ๆ สี่ทุ่ม เป็นเบอร์แปลก ๆ ครั้งแรกไม่อยากจะรับเลย ไม่รู้ใครโทรฯมา ไม่เคยให้เบอร์มือถือใคร แต่ก็รับอยู่ดี ปรากฏว่า พี่ที่เคยมาซื้อยากันประจำ ขอเบอร์ไว้นานแล้ว เคยขอคำปรึกษาเรื่องการใช้ยาหรืออะไรสักอย่างนี่แหละ ฉันลืมไปแล้ว เธอโทรฯมาบอกว่า ที่ร้านของฉันมีน้ำไหลออกมา หน้าบ้านน้ำนอง ไหลไปถึงถนน คาดว่าก๊อกน้ำแตกในบ้านแน่ ๆ ฉันสะดุ้งเลย สามีก็รอฟังอยู่ว่ามีอะไร ใครโทรฯมา เรารีบไปหน้าร้านด้วยกัน ฉันจำได้ว่า ก่อนหน้านี้บ้านเคยก๊อกน้ำแตกมาครั้งนึง แต่ตอนนั้นน้องแฝดยังไม่ถึงขวบ เพราะเราปิดห้องนอนชั้นบนไว้ ปล่อยลูกนอนและลงมาลุยน้ำกันสองคน แต่ครั้งนี้ ตอนเปิดบ้าน ฉันยืนตะลึงไปเลย ทำอะไรไม่ถูก เพราะตอนเปิดประตูร้านนั้น ได้ยินเสียงเหมือนน้ำตกดังซู่ ๆ ลงมาจากชั้นสาม ตึกแถวหน้ากว้างสี่เมตร ยาว ยี่สิบสามเมตร นั้น พื้นข้างบนน้ำนองถึงข้อเท้าและไหลลงมาข้างล่างที่พื้นก็นองถึงข้อเท้าเช่นกัน เสียงน้ำตกเป็นแนวยาวซึมลงมาเป็นสายและตกลงมาแบบทะลักทะลายลงตู้ยาทั้งสองฟากตลอดแนว และตู้จ่ายยาตรงกลาง น้ำที่ตกลงมาตรง ๆ ซึมเข้ากระจกและนองอยู่ในตู้ชั้นล่างสุด คือไม่ต้องพูดเลยว่า จะเกิดอะไรขึ้น ฉันยืนมองนิ่ง ๆ ตั้งสติ แต่ทำอะไรไม่ถูก สามีไปปิดวาวน้ำก่อนและขึ้นชั้นบน ขณะน้ำยังลงมาไม่หยุด พี่สร้อย ร้านขายลาบที่อยู่ข้างบ้านมาช่วยไล่น้ำออกจากร้าน จากนั้นลูก ๆ หลาน ๆ ของพี่สร้อยก็มาช่วยเราอีก ฉันหยิบจับอะไรไม่ถูก โต๊ะวางคอมฯ เปียกโชกลงจนไม่กล้ามองคอมฯและซีพียู โต๊ะทำงานใต้บันได น้ำซึมไปใต้กระจกที่มีรูปลูกและคนในครอบครัว ตู้สีสี่ตู้ใส่หนังสือที่อ่านบ่อย ๆ ที่ทำจากกระดาษอัดแข็งก็บวมน้ำ หนังสือที่เรียงอยู่ชั้นล่างสุดก็บวมน้ำ แต่ฉันยังไม่ทำอะไร เก็บไอแพดสองเครื่องที่น้ำตกใส่อยู่ อันนึงเปียกน้ำ อีกอันอยู่ในซองหนัง แค่ชื้น ๆ ซึม ๆ หนังสือที่เรียงอยู่สองแถว ๆ ละกว่าสี่สิบเล่ม มีน้ำไหลนองลงมา ฉันขนหนังสือไปวางตรงโซฟาหลังบ้านก่อน หยิบจับอะไรไม่ถูกเลย ฉันขึ้นไปดูสามีที่ชั้นสาม ไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นสามีกำลังหาไม้แยงท่อน้ำเพื่อให้น้ำไหลลงท่อปกติ แต่ท่ออุดตันเพราะเราไม่ได้อยู่บ้านนี้มาเกือบยี่สิบปีแล้ว แทบไม่ได้ขึ้นมาดูบนห้องนี้เลย นาน ๆ ทีขึ้นไปเพราะไม่ได้ใช้เป็นที่พักอาศัยเหมือนตอนมาแรก ๆ สาเหตุที่ท่อน้ำแตกคือ ปลวกค่ะปลวก ปลวกกัดวงกบประตูห้องน้ำ กัดจนประตูหลุดและฟาดมาที่ก๊อกน้ำพอดี๊ ก๊อกหัก น้ำพุ่ง ว้าวมาก คือเหมาะเจาะอะไรเช่นนี้ ปลวกมหาภัย กินเงียบเลยค่ะงานนี้ ฉวยโอกาสที่เราไม่อยู่ ไม่ดูแลเพราะข้างบนชั้นสามไม่มีข้าวของอะไร แต่มีประตูไม้ ซึ่งเป็นอาหารของปลวก พี่สร้อยแลยบอกว่า ห้องแถวสี่ห้องที่ถัดจากเราไป ผจญกับปลวกมาหมดแล้วทุกห้อง เราก็นึกว่าตรงท่อทิ้งน้ำจะมีแต่ปลวก เราก็ดูอยู่เพราะเขาบอกเราไว้แล้วว่า ไม้อัดที่ปิดท่อน้ำทิ้งนั้น เป็นที่อยู่ของปลวก และเป็นทุกบ้าน แต่เรานึกไม่ถึงว่า มันจะกินวงกบจนประตูพัง พี่สร้อยบอกว่า พี่สร้อยและเพื่อนบ้านเปลี่ยนวงกบกันไปแล้วคนละรอบ อ้อ.. ถึงคิวเราแล้วสินะ แต่ของเรามันเตือนแรงไปหน่อย ใครจะคิดว่ามันจะกินจนประตูหลุดและตกกระแทกก๊อกน้ำแตก อะเมซซิ่งจริง ๆ ทุกคนช่วยเหลือเราจนพอจะเดินในบ้านได้ เราได้แต่ขอบคุณ ตื้นตันจนน้ำตาไหล ซาบซึ้งใจที่เขามาช่วยเราสองคน จากนั้นพี่สร้อยและเด็ก ๆ ก็ขอตัวไปพัก เราก็ค่อย ๆ เก็บของลงถุงดำ เรื่องความเสียหายไม่ต้องพูดถึง พูดไม่ออก แต่มันเกิดขึ้นแล้ว สามีไลน์บอกคนฉีดปลวกตอนตีหนึ่ง เขาว่างเมื่อไรก็คงจะมาให้ เราเพิ่งรู้ว่า เราไล่เก็บของจนถึงตีหนึ่ง ทำเท่าที่ทำได้ก่อน ฉันรู้สึกแน่นหน้าอก คิดว่าอาจจะเครียดลงกระเพาะเพราะตกใจ และที่แย่หน่อยคือ กล้ามเนื้อหน้าขาซ้ายกระตุก ขาอ่อน ไม่มีแรงจะเดินไปเสียอย่างนั้น เข้าใจเองว่า ฉันต้องเครียดแน่เลย แม้จะมีสติ ไม่โวยวายอะไร แต่ลึก ๆ กังวล เครียดและเหนื่อยมาก สามีจัดการอุดท่อเสร็จ และจะขี่เจ้าฟีโน่กลับบ้าน ปรากฏว่า ยางแบนทั้งสองล้อ เราเลยเดินเข้าบ้าน ฉันแน่นอกมากและขาอ่อนแรง บอกสามีว่า ยังไม่หายตกใจเลย เขาก็ว่า ไม่เป็นไร รู้ตอนนี้ดีกว่าตอนที่เราไม่อยู่บ้าน ฉันก็อืม...ใช่ ดีกว่าไฟไหม้บ้านนะ เราอาบน้ำก่อนขึ้นนอนด้วยความเหนื่อยล้า ไม่ได้คุยอะไรกันอีก เสียงนาฬิกาปลุกตีห้า สามีลุกออกห้องไปแล้ว เขาไม่ได้เรียกเรา ฉันตามลงไป ถามว่าจะไปไหน เขาว่าจะไปเก็บของที่ร้าน ไม่ต้องไปหรอก นอนพักเถอะ ไม่เป็นไรหรอก ฉันไปไม่ไหวจริง ๆ เลยนอนต่ออีกหน่อยเพราะเพลียมาก หายแน่นอกแล้ว แต่กล้ามเนื้อขายังกระตุกอยู่ ไม่มีเรี่ยวมีแรง เรากินอาหารเช้าที่บ้านด้วยกัน ออกบ้านมาทำงานตอนเจ็ดโมงเช้า วันจันทร์ทั้งวันคือวันที่ไล่เก็บของที่เสียหายลงถุงดำ ไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องใช้ใจคัดแยกแบบที่เลือกของทิ้งแบบทุกครั้ง รูปถ่ายของทุกคนในครอบครัวบนโต๊ะทำงานโดนน้ำละลายจนเลือนไปหมด เสียดายมาก ๆ แต่ก็ต้องทิ้ง ใจสงบลงเยอะเพราะไม่ได้ยินเสียงน้ำตกเหมือนตอนที่เปิดประตูมาครั้งแรก ค่อย ๆ เก็บบ้านไปเรื่อย ๆ สามีบอกว่า วันนี้ลางานไม่ได้ ทำเท่าที่ทำได้ ตอนเย็นจะรีบกลับมาช่วย ฉันว่า ไม่ต้องรีบมา มีอะไรก็ทำไปเถอะ ไม่มีอะไรแล้ว จัดการเองได้ แล้วก็เป็นแบบนั้นคือ ทำไปเรื่อย ๆ ขายของไปด้วยแต่เหนื่อยจริง ๆ บ่าย ๆ คนฉีดปลวกมาบ้าน เขาตกใจที่สามีฉันไลน์ไปตอนตีหนึ่ง ฉันเล่าไปคร่าว ๆ ชี้จุดที่ปลวกเดิน ช่วยจัดการเรื่องปลวกให้ที มันกินมาถึงบันไดแล้ว ห้องน้ำนี่พรุนไปหมด ไม่กล้าดูความเสียหาย คนฉีดปลวกบอกว่า ปลวกกินมาถึงบันได ใต้พื้นห้องน้ำ ปลวกกัดโครงหมด ขอให้เราย้ายโต๊ะทำงานเผื่อว่ากระเบื้องที่ปิดใต้ห้องน้ำจะทะลุลงมา ปลวกกินคานไม้หมดแล้ว นี่แค่เรื่องเล็ก ๆ ที่เกิดในบ้านนะ นึกถึงคนที่เจอน้ำท่วมทุกปี และจมอยู่กับน้ำเน่าอีกหลายเดือน จะอยู่จะกินจะใช้ห้องน้ำกันยังไง ฉันตื่นตกใจเพราะตอนเห็นมันน่ากลัวมาก แต่ตอนเก็บข้าวของ เช็ดบ้าน เช็ดตู้ก็ไม่คิดอะไรมากแล้ว ของเสียหายก็ปล่อยไป อะไรต้องจ่ายก็ต้องจ่าย กินข้าวอร่อยอยู่นะ กินด้วยความระโหยโรยแรง สามีมาถึงบ้าน บ้านก็เข้าที่เข้าทางแล้ว เหม็นกลิ่นอับจากน้ำทั้งคืน สามีคงสงสารเพราะรู้ว่าต้องเหนื่อยแน่ อากาศถ่ายเทไม่สะดวกด้วย แต่ฉันดีใจที่ยังขายของไปได้ตามปกติ ไม่ได้แสดงอาการอะไรเพราะไม่รู้สึกหนักใจอะไรแล้ว ใจอยากจะไปวิ่งตามปกตินะ แต่ไม่มีแรงจริง ๆ เจ้าฟีโน่ยางแบน ฉันโทรฯให้ช่างมาเปลี่ยนยางให้แล้ว ขี่ฟีโน่เข้าบ้าน สมาชิกรอบสระเรียกให้มาวิ่งด้วยกัน ฉันคึกคักเลย แต่ขาไม่มีแรงเอาเสียเลย ออกไปเดินเล่นรับลมเย็น ๆ ดีกว่า ได้คุยกับลุงหนอง เรื่องความเจ็บไข้ได้ป่วยของคนบ้านเรา ล้มหายตายจากกันเรื่อย ๆ คนในซอยก็จากเราไปหลายคนแล้ว วันนี้ได้ถามส้มเรื่องสมาชิกของหมู่บ้าน จ่ายค่าสมาชิกเวลามีงานศพ มีกลุ่ม 5 บาท 10 บาท 25 บาท ฉันไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร เดี๋ยวค่อยเล่าอีกทีค่ะ สองคนนี้เดินสามสิบนาทีแล้วก็ไป เหลือรองฯสมชาย เขามาเดินเป็นเพื่อนฉัน ทุกทีฉันจะวิ่งอยู่คนเดียว ไม่ค่อยได้คุยกับใคร วันนี้เลยเดินคุยกับคนนั้นคนนี้ อากาศดีมาก ๆ ไม่ออกมาเดินคงเสียดายอากาศดีเป็นแน่ เป็นอีกวันที่ไม่มีแรงจะดูละคร ไม่ว่าจะภาตุฆาตหรือด้ายแดง ข้าเจ้าขอลาไปนอน แล้วก็หลับเป็นตาย ตื่นมาเช้านี้หายหมดแล้ว อาการที่กล้ามเนื้ออ่อนแรง กินข้าวกินกาแฟอร่อยแล้ว อยากมาร้าน มาทำงาน และอยากซ้อมวิ่งเหมือนเดิม บันทึกไว้ในวันที่ปลวกบุกร้านยา อีกยี่สิบปีข้างหน้าค่อยว่ากันใหม่นะ ตอนนี้พักรบกันก่อนนะเจ้าปลวก เราไม่เคยรักกันได้เลย จริง ๆ ให้ตายสิ ภูพเยีย 25-26 สิงหาคม 2562 มาอ่าน
โดย: จากเพื่อนถึงเพื่อน
![]() |
ภูเพยีย
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() Friends Blog
|