Group Blog
All Blog
--- วั น ห ยุ ด ส า ม วั น กั บ ชั้ น ห นั ง สื อ ---















วันหยุดหลายวัน มีเวลาอยู่บ้าน จัดเก็บหนังสือที่อ่านแล้วขึ้นชั้น พยายามจะเลือกงานของนักเขียนคนเดียวกันไว้ใกล้ ๆ กัน แต่เมื่อดูช่องหนังสือที่จัดไว้ก่อนหน้านี้คือ แยกตามสำนักพิมพ์บ้าง แต่บางทีดูแล้วก็ไม่ใช่ บ้างจัดเก็บตามหมวดหมู่ เช่น หนังสือแนวท่องเที่ยวหรือรวมบทกวี ฉันรวมไว้ใกล้ ๆ กัน หนังสือนักเขียนหญิงที่เราชอบก็ไว้ตู้เดียวกัน แต่หนังสือบางเล่มที่นึกถึง รู้ว่ามี แต่จำไม่ได้ว่าเก็บไว้ช่องไหน จะเอามาอ่านก็หาไม่ค่อยเจอ ยิ่งหาก็ยิ่งหาย แต่ก็ปล่อย ๆ ไป เดี๋ยวก็คงเจอ

แต่ถ้าใครเคยจัดหนังสือก็คงนึกภาพออกนะคะว่า มันไม่ไปถึงไหนหรอก จับเล่มนั้นเล่มนี้มาเปิด หนังสือที่ฉันอ่านแล้วส่วนใหญ่จะมีโน้ตเล็ก ๆ คั่นไว้ในหนังสือ ชอบตรงไหนก็โน้ตไว้ อดที่จะอ่านทวนข้อความเหล่านั้นไม่ได้ พออ่านก็นึกออกเป็นฉาก ๆ ว่าทำไมถึงชอบ การจัดเก็บหนังสือก็เลยไม่เสร็จสักที

อีกทั้งต้องทำใจกับหนังสือที่ปลวกกินชุดใหญ่ มีหนังสือที่ขาดชุดไป แสนเสียดาย คาดว่า หากได้ไปงานหนังสือค่อยไปเลือกเก็บที่อยากเก็บอีกครั้ง

ในตู้หนังสือนั้น มีหนังสือที่ฉันชอบมาก ชอบน้อย ต่างกัน เป็นเรื่องธรรมดา หนังสือก็เหมือนเพื่อน มีลักษณะนิสัยหลายแบบ มีปัญหา สุข ทุกข์ ราวกับบอกเรากลาย ๆ ว่า ไม่ได้มีชีวิตใครน่าอิจฉากว่าใครหรอก เราทุกคนล้วนมีปัญหาที่ต้องเผชิญด้วยกันทั้งนั้น หรือบางทีหนังสือก็เหมือนขนมหรืออาหาร มีสารพัดรสชาติแล้วแต่ชอบ นักเขียนก็ปรุงรสมือตามที่ตนเองชอบเป็นหลักด้วยซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเอง หากคนกินชอบด้วยก็ดีใจ

ฉันซื้อหนังสืออยู่เรื่อย ๆ บางครั้งก็อ่านจนครบ บางครั้งก็ไม่ แต่ขอซื้อไว้ก่อน คิดว่าว่าง ๆ ค่อยมาอ่านก็ได้ เดี๋ยวนี้อ่านหนังสือช้ามากไม่ว่าเล่มไหน เฉลี่ยอาทิตย์ละเล่มเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็รู้สึกคุ้มค่าทุกที เจอแต่หนังสือที่ทำให้อิ่มเหมือนกินอาหารชั้นเลิศอยู่เรื่อย ๆ

ฉันหยิบชุดหนังสือของคุณอัศศิริ ธรรมโชติออกมาวางรวมกัน กะจะรวมไว้ช่องเดียวกันในตู้ แต่คลับคล้ายคลับคลาว่า หนึ่งในสามเล่มนี้ ยังไม่เคยเปิดอ่านเลย (ขอบฟ้าทะเลกว้าง /ทะเลร่ำลมโศก /ทะเลและกาลเวลา) เปิดอ่านนวนิยายเรื่อง ทะเลและกาลเวลา แล้วก็ไม่อยากวาง หนังสือที่ขนมากองไว้ตรงหน้าก็ไม่อยากจัดต่อ ถึงจัดก็ไม่เสร็จลงง่าย ๆ ตัดสินใจอ่านให้จบเลยดีกว่า

ฉันเป็นคนรุ่นเก่าที่เติบโตมากับหนังสือของนักเขียนรุ่นใหญ่หลายท่าน หลับตานึกถึงชื่อนักเขียนที่ชื่นชอบและนักเขียนในดวงใจก็จะมีชื่อผุดขึ้นมาเหมือนดาวระยิบพริบพราย สำหรับคุณอัศศิริ นักเขียนท่านนี้ ฉันยังคงประทับใจในสำนวนสำเนียงการเขียน การเล่าเรื่อง เป็นความเรียงร้อยแก้วที่งดงามราวบทกวี

ครั้งหนึ่ง สมัยหัดเขียนบล็อกใหม่ ๆ เคยบันทึกเรื่องมหกรรมในท้องทุ่ง เป็นหนังสือที่ทำให้ย้อนวัยเยาว์ได้ดีที่สุด เป็นวัยสนุกสนานและมีชีวิตชีวาที่สุด เด็กบ้านนอกกับเรื่องเล่นในท้องทุ่งนั้น ฉันรู้สึกมีส่วนร่วมกับตอนนั้นตอนนี้จนเผลอแอบเป็นตัวละครในนั้นที่กำลังเล่นซนกับพรรคพวก

แต่กับท้องทะเลไทย ฉันกลับไม่รู้จักสักนิด

เปิดเรื่อง 'ท ะ เ ล แ ล ะ ก า ลเ ว ล า ' ด้วยตัวละครสองสามคน รวมถึง 'ผม' ผู้กลับมาบ้านและค่อย ๆ เล่าเรื่องราวของผู้คนที่นี่

ฉันอ่านจนจบไปหนึ่งรอบและย้อนกลับมาอ่านตัวละครตอนเปิดหนังสืออีกครั้ง ภาพของตัวละครแต่ละตัวชัดขึ้น ไม่ว่าจะน้อย หญิงสามผัวที่ประสบกับกับโศกนาฏกรรมต่าง ๆ นานาท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่ต้องรับมือ คนอ่านเหมือนจมทะเลโศกไปด้วย อัดอั้นตันใจเหลือเกินกับเรื่องราวของสามีแต่ละคน ต่างอาชีพ ต่างดิ้นรนทำมาหากิน วิ่งวนบนความเปลี่ยนแปลงและตกเป็นเป็นเหยื่อของความเข้าใจผิดอีกนานัปการ อย่างพร สามีนักมวยคนแรกของเธอผู้ซึ่งผิดหวังกับอาชีพบนผืนผ้าใบ ต้องฝืนใจไปหากินกับผืนทะเล จนกระทั่งสมหมาย สามีตำรวจของน้อย / สิ่ว ซึ่งเป็นเสมือนพี่และเพื่อนของผู้เล่า เขาเป็นนักเลงหัวไม้ กำพร้าแม่ โตมาอย่างที่ต้องช่วยเหลือตัวเองทุกอย่าง ไม่รู้จักหนังสือ ไม่รู้จักโรงเรียน เขาคล้ายปลาหลายน้ำที่เวียนว่ายไม่สิ้นสุดกับการเป็นนักเลงพนัน เหล้า กัญชา ผู้หญิงหากิน และตกเป็นผู้ต้องสงสัยกับคดีของสมหมาย / คำปุน(คนจากที่ราบสูง) ผู้ทำให้คำว่า 'ลูกทะเลโดยกำเนิด' นั้นไม่จำเป็นอีกต่อไป และใครต่อใครที่เป็นญาติพี่น้อง ครอบครัว-ชุมชนชาวประมง

แต่ละชีวิตมีลมหายใจบนท้องทะเลไทยที่เปลี่ยนโฉมหน้าจากยุคเรือตังเกสู่ยุคเรืออวนลาก ทะเลยุคใหม่ที่ทุกอย่างเป็นเงินเป็นทอง ฉันค่อย ๆ เห็นภาพสงครามค้าสัตว์น้ำจากทะเลผ่านกลุ่ม จปล (จองปลาลัง) ฉงนใจและอดยิ้มไม่ได้กับเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมาของเขาตาม่องล่าย เขาเต่า เกาะสิงโต เขาช่องกระจก เขาตะเกียบและคำสาป การระเบิดปลาจนปะการังเสียหาย ปลาไร้ที่อยู่ เรื่องของคุณมหา ออนซี โรงน้ำเค็ม ฯลฯ สารพัดที่อย่างเรา ๆ ไม่เคยเห็นหรือรู้จักและยังจินตนาการไปไม่ถึงเสียด้วย

หนังสือเล่มเล็ก ๆ เล่มนี้มีทุกอย่างทั้งความเป็นสารคดี เป็นบันทึกความเปลี่ยนแปลงของท้องทะเลไทย มีนิทานพื้นบ้าน ร้อยเรียงด้วยภาษาประณีต ภาพชัด ได้กลิ่น สั่นสะเทือนใจ ลึกซึ้ง ละเอียดอ่อน คืออ่านจบแล้วเหมือนเรื่องราวยังกรุ่นอยู่ในใจ

ขอบคุณมากค่ะ
ภูพเยีย




Create Date : 31 กรกฎาคม 2562
Last Update : 31 กรกฎาคม 2562 7:40:02 น.
Counter : 683 Pageviews.

1 comment
--- ดู ห นั ง แ ล้ ว ย้ อ น ดู ตั ว เ อ ง ---
















เมื่อวานไล่ดูละครย้อนหลังสองเรื่องคือ ใบไม้ที่ปลิดปลิวกับกลิ่นกาสะลอง
หลังจากจบกลิ่นกาสะลอง มีคลิปต่อจากละครเป็นหนังไทยเรื่อง นาคปรก

ไม่ได้คิดมาก่อนหรือตั้งใจว่าจะดูหนังเรื่องนี้ ไม่รู้จักด้วยซ้ำ แต่ดูรายชื่อนักแสดง มีเรย์ แมคโดนัล เต้ ปิติศักดิ์ เต๋า สมชาย และทราย เจริญปุระ ฯลฯ แค่สี่คนนี้ก็ทำให้เราอยากดูหนังไทยเรื่องนี้แล้ว นึกไม่ออกหรอกว่าหนังจะเสนอแนวไหน มีพระนาคปรกก็ต้องเป็นหนังเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ไม่รู้จะเหมือนคนทรงเจ้า หรือเรื่องงูซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระ ของคุณวิมล ไทรนิ่มนวลหรือเปล่า แต่คิดว่า ถ้าผ่านเซ็นเซอร์มาได้ ความแรงของหนังน่าจะลดดีกรีลง หรือไม่ก็สื่อแนวทางคำสั่งสอนดีงามและของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นจริงและทันสมัยอยู่เสมอ

ดูไปเรื่อย ๆ ก็น่าสนใจดี เนื้อหาคร่าว ๆ คือ สามโจร ปอ(เต้ ปิติศักดิ์) ป่าน(เต๋า สมชาย) และสิงห์(เรย์ แมคโดนัล) ปล้นเงินมา

ปออุ้มกระเป๋าเงินหนีตำรวจมาทางวัดป่าล้อมและบังเอิญทำถุงเงินตกลงไปในหลุมลูกนิมิตร เขาหนีรอดจากการจับกุมครั้งนี้ไปได้

แล้วสามโจรก็กลับมาที่วัดป่าล้อมเพื่อเอาเงินมาแบ่งกัน หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ แต่ปอบอกว่า วัดก่อสร้างพระนาคปรกทับหลุมลูกนิมิตรที่ทำถุงเงินหล่นลงไปนั่นแล้ว ต้องหาวิธีเข้ามาในวัดและขุดเอง

สามโจรก็เอาปืนจ่อหัวหลวงตาให้โกนผมให้ ขอนุ่งเหลืองห่มเหลืองในวัดนี้ชั่วคราว ได้ของที่ต้องการแล้วจะไป ปรากฏว่า ป่านกับสิงห์บวชเพียงสองคน ปอไม่เอาด้วย เพราะคิดว่าการใช้ชีวิตในผ้าเหลืองคงลำบาก ถึงแม้จะไม่จริง โจรอย่างปอรู้สึกกระดากใจว่างั้นเถอะ

ตัวร้ายสุดที่เราเห็นมาตลอดเรื่องจนจบคือ สิงห์ อย่างเหี้ยม ไม่รู้ร้อนรู้หนาว อยู่ใกล้ความดี คนดีก็ใช่ว่าจะดีไปด้วยได้ เพื่อเงิน เขาทำได้ทุกอย่าง หน้ามืดตามัว ยิงคนเป็นผักเป็นปลา ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ใครพูดไม่เข้าหูก็ยิงทิ้งได้ ไม่สำนึกคุณงามความดีอะไรทั้งนั้น ขณะห่มเหลืองอยู่ก็ยังกิน สูบ ใช้ชีวิตเหมือนปกติ ไม่ทำกิจของสงฆ์เหมือนป่าน รอเวลาเพื่อขุดเอาเงินแล้วจะรีบไป

หนังแนวนี้หนีไม่พ้นอุปมาอุปมัยเรื่องบัวสี่เหล่า ก็มีบัวใต้ตมอย่างสิงห์ อีกทั้งในเครื่องแบบสีกากีและผ้าเหลือง...
บัวใต้น้ำอย่างปอกับป่าน แต่ป่านยังติดอยู่กับกิเลสคือเงิน ด้วยความที่สงสารแม่ อยากได้เงินเพื่อพาแม่ไปรักษา เปลี่ยนตา แม่ที่ตาบอดของปอกับป่านนั้นอยู่บ้านตามลำพัง ได้แต่หวังจะให้ลูกกลับบ้าน อยากเกาะชายผ้าเหลืองของลูกขึ้นสวรรค์

ช่วงชุลมุลขุดหาเงินกันในโบสถ์ ตำรวจโจรก็มาถึงพอดี กลายเป็นว่า ตำรวจโจรสมคบคิดกับสามโจรให้ไปปล้นเงินแล้วมาแบ่งกันคนละครึ่ง ข้อตกลงประสาโจรค่อย ๆ ปรากฏชัดขึ้น แต่ขุดหาเงินเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ต่างระแวง สงสัยกันเอง ทะเลาะกันเอง หลวงตาก็ดันสมรู้ร่วมคิด รู้เห็นเป็นใจมาแต่แรก สิงห์ยิงใครต่อใครตายไปหลายคนก่อนจะถูกตำรวจยิงตายทีหลัง คนที่รอดคือ หลวงตาและปอ

ปอนั้นดูมีแววจะเป็นบัวพ้นน้ำได้ รู้สึกผิดชอบชั่วดีกว่าคนอื่น แต่คนที่ห่มผ้าเหลืองอย่างหลวงตาต่างหากสะท้อนอะไรต่อมิอะไรหลาย ๆ อย่าง (ตรงนี้สินะที่น่าจะถูกแบน )คำว่าปล้นผ้าเหลืองในคราวแรก เชิงรูปธรรมก็น่าจะเป็นตอนที่สามโจรเอาปืนจี้ให้หลวงตาบวชให้ กับโจรปล้นผ้าเหลืองก็อาจจะเป็นหลวงตาที่รู้ดีรู้ชั่วแต่ก็เป็นแค่คำสั่งสอนที่พรั่งพรูออกจากปาก สอนใครต่อใครแต่ไม่ใช่ตัวเอง รู้ธรรมแต่ไม่ทำ คำสอนของพระพุทธเจ้าเข้าไม่ถึงใจ ห่มเหลืองแต่กิเลสหนา เรามาบิงโกตอนที่ตำรวจโจรถามหลวงตาว่า โบสถ์นี่ไม่สร้างเสร็จเร็วไปหน่อยหรือ

เอาล่ะ คงพอเห็นภาพนะคะว่า หนังอยากสื่ออะไร โดยส่วนตัว ชอบค่ะ ฉากสวย นักแสดงเล่นดี มีอะไรให้แตกประเด็นได้เยอะ ว่ากันไปตามประสบการณ์ของแต่ละคนนะคะ เราดูรู้เรื่องก็ดีใจแล้ว หนังไม่ได้แรงอะไร อาจจะกระทบวงการพระสงฆ์และตำรวจซึ่งว่าตามจริงก็น่าจะเห็น ๆ กันอยู่ จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่ประเด็นศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แตะต้องไม่ได้ ตีแผ่ในทางลบก็ไม่ดี คำสอนของพระพุทธเจ้าก็ให้เฝ้าดูตัวเอง เปลี่ยนตัวเอง อย่าตำหนิผู้อื่น

บางสนทนาในหนัง ที่น่าสนใจก็มี เช่น ชีวิตของการเป็นพระก็เหมือนกับคนที่พายเรือทวนกระแสน้ำ ถ้าไม่อาจต้านแรงน้ำได้ ก็คงต้องปล่อยให้ไหลไป .... การทำดีทวนกระแสชั่วนี่ยากจนถอดใจหรือไงนะ ?? จะเหมือนการคอร์รัปชั่นในทุกสถาบันการเมือง การศึกษา ทุกวงการ ทุกหนทุกแห่งที่เราได้ยินมาหรือเปล่า

แต่ไม่ว่าวงการไหนก็มีดีเลวปะปนกันอยู่ พระก็คน มีด้านมืดที่ยังข้ามไม่พ้นก็เยอะ ยิ่งบริจาคทรัพย์สิน เงินทองเป็นจำนวนมาก บางทีก็ข้ามกิเลสตัวนี้ไปได้ยาก อยากได้ อยากมี อยากรวย อยากสบาย ไม่มีที่สิ้นสุด มึงเอากูเอา กินตามน้ำกันไปเรื่อย ๆ จนเป็นกิจปกติ เราไม่ได้กล่าวร้ายพระหรือหาบาปใส่ตัวนะ แต่ก็พูดทั่ว ๆ ไป

เนื้อหาหลักของหนังเรื่องนาคปรกน่าจะอยู่ตรงนี้ค่ะว่า พุทธศาสนาถือว่าเงินเป็นดั่งอสรพิษ ทรัพย์สินเงินทองใช่สาระสำคัญของความสุข ขอเพียงรู้จักคำว่าพอ ชีวิตของเราก็จะไม่ร้อนรนด้วยกิเลสตัณหา ความอยากไม่มีที่สิ้นสุด มีแต่หยุดเท่านั้นจึงจะเป็นไปได้ ความสุขไม่ได้อยู่ไกลจากตัวเราเลย แท้จริงแล้วอยู่ที่ใจ นี่คือธรรมะที่พระพุทธศาสนาสอน ดังนั้นไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติ ก็ขอให้เกิดเป็นมนุษย์ในพระพุทธศาสนา มีโอกาสได้ฟังธรรมอันประเสริฐภายใต้ร่มกาสาวพัตรตลอดไป

ใครทำดีอยู่แล้วก็ทำดีต่อไปค่ะ
ดูหนังแล้วก็ดูตัว ดี ๆ ชั่ว ๆ ก็มี
เสียแต่ยังไม่เคยปล้นแบงก์เท่านั้นเอง ^^

ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย
24 กรกฎาคม 2562


















Create Date : 25 กรกฎาคม 2562
Last Update : 25 กรกฎาคม 2562 8:47:41 น.
Counter : 971 Pageviews.

0 comment
--- ข อ ใ ห้ ทุ ก วั น เ ป็ น วั น ดี ---













1.

เมื่อวานเป็นวันเกิดเจ้าคนโต ลืมไปเลย เราก็มัวแต่ทำโน่นทำนี่สารพัด ไม่ได้โผล่เข้าไปดูหน้าเฟซบุ๊กของเขา เพิ่งมาเห็นตอนเช้า มีแต่คนในครอบครัวและเพื่อนสนิทของเธออวยพร ก็งงอยู่ว่า เธอมาส่ง LOVE LOVE อะไรเต็มหน้าวอลล์เราไปหมด เลยกดดู กดไลค์ให้ แต่ไม่คิดอะไรมาก

เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า วันเกิดของเธอ ดูสิตอนนี้ เธอ 24 ปีแล้ว เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเสียจริง ยังนึกถึงภาพที่ป้อนข้าวสามพี่น้องตอนเธอสิบขวบที่หน้าแบงค์กสิกรไทย สามคนชอบกินข้าวคลุกปลาทูมาก เจ้าแฝดยังเดินไม่เก่ง แม่ต้องเอานั่งบนล้อวงให้เขาแตาะแตะไปและป้อนข้าวไปด้วย มีเชือกผูกล้อวงไว้เพราะเคยมีประสบการณ์ที่เจ้าแฝดวิ่งไปคนละทาง แม่วิ่งจับล้อวงไม่ทัน ลูกแอบโตกันเวลาไหน ตอนกลางคืนหรือตอนกลางวัน แม่แทบไม่รู้เลย นึกถึงเสียงเจี๊ยวจ๊าว ทะเลาะแบ่งข้าง งอนกันทู้กกกกวัน บ้านไม่เคยเงียบเสียงลงเลย นึกถึงที่ต้องตื่นมาเปียผมให้สามพี่น้องทุกเช้าก่อนไปโรงเรียน เจ้าแฝดเริ่มไม่ยอมให้พี่สาวเปียให้ ต้องแม่เท่านั้น บางวันก็งอนแม่อีกว่าแม่เปียผมไม่สวย แบ่งผมไม่เท่ากัน ไปโรงเรียนสายนิดหน่อยไม่เป็นไรแต่ไม่ยอมไปโรงเรียนถ้าเปียผมไม่สวย ทำให้แม่แอบปลื้มใจนะเพราะเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของแม่ที่แบ่งเบาภาระจากพ่อมาได้


นึกย้อนไปเมื่อเจ้าคนโตเรียนที่เชียงราย ก็อุตส่าห์พากเพียรเรียนจบจนได้ พื้นฐานภาษาอังกฤษของเด็กบ้านนอกก็ไม่ค่อยดี แต่โชคดีที่เธอต่อสู้ในคลาสภาษาอังกฤษผ่านพ้นมาได้

ทุกครั้งที่เธอตั้งชื่อภาษาอังกฤษ เธอบอกว่าเธอใช้ชื่อ ลูน่า La Lune หรือ Luna ที่มีความหมายว่าพระจันทร์เสมอ เธอบอกว่าคิดถึงแม่ คิดถึงแม่ก็มองฟ้ายามค่ำคืน แม่เป็นพระจันทร์ดวงเดียวทีสงบและเย็น

กิจกรรมหลักของเธอคือเป็นแดนเซอร์ ออกตระเวนไปเต้นทุกงาน เธอชอบแบบนั้น พ่อแม่ไม่ได้ห้าม เลี้ยงแมวเต็มห้อง น้องเวอร์ น้องวัว ในหอพัก แมวแสนรักที่คอยมาปลุกเขาไปเรียนทุกเช้านั่นแหละ มีเพื่อนรักอยู่หนึ่งคน นอกนั้นเธอบอกแค่เพื่อนสนิท และที่ประหลาดที่สุดคือเธอเลี้ยงรักยม สมกับเป็นเด็กแนวเสียจริง แต่ไม่รู้ว่าจะแนวไหนดี มีซิกส์เซ้นส์เสียด้วยสิ เธอเลี้ยงสองปีสุดท้ายก่อนพาพี่รักยมไปไว้ที่วัด ฉันยอมรับว่างงมากกับเรื่องนี้ แต่ไม่ได้ตำหนิอะไรเลยนะ ถามว่าไม่กลัวเหรอ เธอบอกว่าไม่กลัว รู้สึกมีเพื่อน ไม่เหงา (ทำเอาฉันสะเทือนใจอยู่ไม่น้อย) อ้าว..แล้วไม่อ่านหนังสือล่ะ เธอบอกว่าเล่นเกมสนุกกว่า โอเค ไม่ว่ากัน

แต่...เธอเล่นก็ไม่เหมือนใคร เล่นหามรุ่งหามค่ำ อดหลับอดนอน ได้แต่ปราม ๆ ว่า ระวังจะเสียสุขภาพ แทนที่จะผ่อนคลายกลับกลายเป็นเครียดเกินไป เธอก็ยอมรับ บางเทอมเกรดตกเพราะเล่นเกมก็มีมาแล้ว พ่อแม่ได้แต่มองอย่างเป็นห่วงอยู่ห่าง ๆ เพราะไม่เคยกำกับชีวิตกันขนาดนั้น ได้แต่บอกให้ตั้งใจเรียนนะ ทำอะไรก็ได้อันนั้น แม่เรียนแทนไม่ได้ เธอพยักหน้าเข้าใจ ถามว่ามีแฟนหรือเปล่า เธอบอกว่ามี มีแต่บ้า ๆ บอ ๆ เราก็พยักหน้า มันก็ต้องเจออะไรเหมือน ๆ กันอยู่ ได้แต่บอกว่า รู้ใช่มั้ยว่าห่วง เธอพยักหน้าและบอกว่าไม่ต้องห่วง จะเรียนจบให้ดู

ตอนนี้เธอทำงานแล้ว ดูสนุกสนานดี มีความใฝ่ฝันจะเป็นแอร์โฮสเตสสายการบินแห่งหนึ่ง เพียรสอบแล้วสอบเล่าแต่สอบไม่ได้สักที เธอฝันมาตั้งแต่ฝึกงาน เราไม่ได้ว่าอะไร ตามใจทุกอย่าง เลี้ยงลูกให้โตก็เป็นแบบนี้ ต้องดูแลตัวเองให้ได้ ต้องเจอะเจอผู้คนอีกมาก มีทุกอย่างทั้งจริงใจและไม่จริงใจ ปัญหาจากคนก็มากมาย หวังแต่ให้แต่ปรับตัวให้ได้กับโลกใบใหญ่ที่ต้องไปเผชิญ

เธอเป็นเด็กที่ไม่ค่อยพอดี มีขาดกับเกิน ขี้หลงขี้ลืม และชอบทำกระเป๋าเงินหาย ตอนที่ยังไม่ไปเรียนที่แม่ฟ้าหลวง มีประวัติทำกระเป๋าเงินหายถึง 15 ครั้ง บางครั้งเพิ่งทำบัตรประชาชนสด ๆ ร้อน ๆ ออกจากอำเภอแท้ ๆ แต่ต้องกลับไปทำใหม่จนเจ้าหน้าที่ถามว่า รูปในบัตรประชาชนไม่สวยเหรอ ถึงต้องมาทำใหม่อีกครั้ง เราก็ได้แต่เฮ้ออออ

เราเลี้ยงสามสาวมา มีอะไรที่แตกต่างกันอย่างมาก แต่ดีใจและเป็นกำลังใจให้เสมอ คอยให้คำปรึกษายามเมื่อเธอต้องการ บางอย่างผิดพลาดเพราะไม่รอบคอบ ก็ต้องคอยสอน ให้กล้ายอมรับผิดและแก้ไข อย่าโกหก ไม่ได้ประโยชน์อะไร บางเรื่องก็ผ่านได้ บางเรื่องก็ต้องเรียนรู้เองเพราะเราไม่ได้อยู่ดูแลและแก้ไขอะไรให้ได้ตลอดเวลา ปรัชญาเล็ก ๆ ของบ้านคือเลี้ยงลูกให้โต ดูแลตัวเองให้ได้และต้องอยู่กับสังคมได้ ไม่สร้างภาระต่อตัวเองและคนอื่น

ถามเจ้าแฝดเมื่อวานนี้ว่า พี่เธอมีแฟนหรือยัง แฝดบอกว่า มีแล้วแม่ มีมาจีบหลายคน แต่คนที่เป็นแฟน เขาเจอกันในห้าง พี่มันเดินบ่นช้อนส้อมหมด ว่าที่แฟนพี่เลยเอาช้อนส้อมลวกน้ำร้อนมาให้ เขาเป็นผู้ชายเล่นเวทตัวเตี้ย ๆ นิสัยดี ฉันได้แต่พยักหน้า มันเป็นชีวิตของเขานะ ใครก็อยากให้ลูกเจอกับคนดีทั้งนั้นแหละ แต่เราไม่รู้หรอกว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แค่เขารับผิดชอบตัวเองได้ดีและมีความสุขกับชีวิตการงาน เราก็มีความสุขแล้ว

แม่ลืมวันเกิดไปซะงั้น เขียนช้าไปหนึ่งวัน ไม่เป็นไรนะ ^^

2.

ข้างบนนั้นคือบันทึกเก่าที่เขียนให้ลูกเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ปีนี้ก็ 29 แล้วล่ะ และไม่ลืมวันเกิดเขา

เจ้าคนโตมาเที่ยวหาน้องที่เชียงใหม่ตั้งแต่พฤหัสที่แล้ว แต่ไม่มีใครว่าง พี่บุ๋นมีเรียน น้องบู๊อยู่บ้านกับแม่ ถามว่าจะไปหาพี่หรือเปล่า เขาไม่ไป บอกว่าขี้เกียจเดินทาง ไว้เจอกันที่กรุงเทพฯก็ได้

เราชวนเขามาบ้าน เขาก็ไม่อยากมาเพราะอยากเดินเล่นที่เชียงใหม่ อยากไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพ ไปห้วยตึงเฒ่า เดินเล่นที่นิมมานห์ฯ ไปถนนคนเดินคืนวันอาทิตย์ เดินเล่นหลังมอ ไปทำบุญที่วัดพระสิงห์ ฯลฯ ทั้งหมดนี้คือเธอเล่ามาเรื่อย ๆ ตั้งแต่เธอมาถึง เพราะน้องก็กินข้าวด้วยตอนเย็น มีเรียนและอ่านหนังสือตลอดเวลา พี่บุ๋นมีสอบทุกอาทิตย์ ได้แต่บอกว่า เป็นเรื่องปกติ พ่อแม่ไปที่ห้องก็นอนแบบเปิดไฟทั้งคืน หลับไม่ค่อยได้เพราะเขาอ่านหนังสือกัน ทำใจหน่อย นอนที่หอไม่สะดวกเท่าไหร่ แต่เธอก็ว่า สบาย ๆ ไม่เป็นไร อยู่ก็ช่วยน้องขัดห้องน้ำจนสะอาดกริ๊บ

ถึงวันนี้เธอก็ได้เป็นแอร์โฮสเตสสมดังที่หวังและตั้งใจ ทำงานมาสี่ปีแล้ว แต่ป่วยบ่อยจนคิดจะลงดินมาหาทำงานอื่น เห็นช่วงนี้เข้ายิม ส่งคลิปที่ไปต่อยมวยมาให้ดูอยู่เรื่อย ๆ เคยแนะนำไปว่า ลองวิ่งออกกำลังกายดูสิ ดีต่อสุขภาพตั้งหลายอย่าง เธอว่าเธอไม่ชอบ ไม่เหมือนคู่แฝด ชอบวิ่ง ชอบอออกกำลังกายแต่ไม่ค่อยได้ไปสนามแข่งขันเพราะต้องอ่านหนังสือสอบ นาน ๆ ทีจะได้วิ่งออกงานพร้อมพ่อแม่

ครอบครัวเราเจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาน้อยมาก งานไหนที่เจอลูกมาวิ่งด้วย จะดีใจเป็นพิเศษ แต่วันเกิดของเขาก็ดูไม่น้อยใจอะไร เป็นลูกบ้านนี้ต้องเข้าใจระดับหนึ่งว่า ไม่ค่อยมีวันพิเศษ ตอนอยู่ด้วยกัน ทุกวันเป็นวันของลูก ๆ อยู่แล้ว รอแต่อยากมาหาพ่อแม่ที่บ้านพร้อม ๆ กันเท่านั้นเอง นี่ขนาดน้องบู๊อยู่บ้านตอนปิดเทอม สามีฉันยังทำกับข้าวมากมายไว้ให้ลูกกิน อย่างน้อยก็พิเศษกว่าตอนที่เราอยู่กันสองคน

ฉันก็เหมือนแม่ทั่ว ๆ ไป ที่ได้แต่อวยพรให้ลูกสุขภาพดี คิดดี จิตใจดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือกันและกัน ขอให้เป็นคนนอบน้อมถ่อมตนอยู่เสมอ ขอให้ลูก ๆ พบเจอแต่เรื่องดี ๆ คนดี ๆ หากเจอเรื่องที่เป็นปัญหาก็ขอให้ผ่านไปได้ ใช้ชีวิตให้สนุก มีเพื่อน อ่านหนังสือบ้างแทนความเหงาหรือว่าง แต่ควรดูแลสุขภาพสม่ำเสมอและมีความสุขทุกวัน ความสุขของลูก ๆ คือความสุขของพ่อแม่

ขอให้ทุกวันเป็นวันดี
ขอให้มีความสุขทุกท่านนะคะ
ภูพเยีย
23 กรกฎาคม 2562





















Create Date : 23 กรกฎาคม 2562
Last Update : 23 กรกฎาคม 2562 10:59:00 น.
Counter : 495 Pageviews.

0 comment
--- ไ ป แ ห ล่ น เ ชี ย ง ค า น นำ เ ด้ อ ---


































1.

เ รื่ อ ง เ ล่ า ริ ม ช า ย โ ข ง ที่ เ ชี ย ง ค า น

หยุดสามวันนี้ มีโปรแกรมหลวม ๆ ในใจกันไว้ว่า จะไปเชียงคานหากว่าได้ที่พักแล้วแน่นอน หลังจากที่จองไว้ที่ สุเนต์ตา โฮสเทลแล้วปรากฏว่าเต็ม โฮมสเตย์ริมโขงก็เต็มอีก จนกระทั่งน้องรักโทรฯกลับมาว่าได้ที่พักเป็นบ้านหนึ่งหลัง เจ้าของบ้านจะบินกลับสวีเดนวันจันทร์ ยิ้มแป้นเลยพวกเรา เดินทางกันคืนวันศุกร์ ครอบครัวเรา 4 ชีวิต พร้อมแล้วก็ไปเลยยยยย

ใคร ๆ มักบอกว่า หากกำลังมองหาความสุขเล็ก ๆ ความสุขง่าย ๆ กับสถานที่ให้นึกถึงที่นี่ แต่มันถึงเวลาออกบ้านของฉันมากกว่า ไม่ได้คิดจะไปหาความสุข เพราะความสุขมันต้องเกิดจากข้างใน เพียงแต่รู้ว่าเวลาไปไหน ไปกับใครแล้วมีความสุข สถานที่เป็นเรื่องรองเสมอ

แล้วความสุขเล็ก ๆ ที่ว่ามันก็เดินทางไปพร้อม ๆ กับเรา ทุกคนเก็บเสื้อผ้าลงเป้ แต่งตัวเหมือนกับยังอยู่ที่บ้านและจะกลับไปเที่ยวบ้าน ฉันมีกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืด 2 ตัว กะไปหาซื้อใส่เอาข้างหน้า ชอบที่จะเป็นแบบนั้น ซื้อแล้วใส่ถ่ายรูปกันทั้งแก๊งค์

สำหรับเชียงคาน ในความรู้สึกที่ใครต่อใครพูดถึงนั้นคือ เมืองเล็ก ๆ ริมฝั่งโขงบนสายน้ำเงียบสงบกลางอ้อมกอดอันอบอุ่นด้วยอัธยาศัยไมตรีของผู้คน ความงดงามของเรือนแถวไม้หลังสวย ไม่มีตึกสูง ๆ ผู้คนใช้ชีวิตอย่างพอเพียง มีผู้เฒ่าผู้แก่ทอผ้าฝ้าย ผ้าห่มนวม หวงแหนวิถีชีวิตดั้งเดิมท่ามกลางความเจริญที่รายรอบที่พยายามจะรุกล้ำเข้ามา

ฉันอยากมองพระอาทิตย์ตกริมชายโขงปลายฤดูหนาวท่ามกลางบรรยากาศที่เจือด้วยความบริสุทธิ์ มองสายน้ำระเรื่อยไหลยามเย็นและเหล่านกกระยางเริงร่าโผบิน วันเวลาของการพักผ่อนของเราคงเหมือนเข็มนาฬิกาที่ค่อย ๆ ขยับไปอย่างเชื่องช้ามีเวลาเหลือเฟือที่จะตักตวงความสุขให้เต็มที่




2.

There is a river called THE RIVER OF NO RETURN
Sometimes it's peaceful and sometimes wild and free!


Love is a trav'ler on THE RIVER OF NO RETURN
Swept on for ever to be lost in the stormy sea Wail-a-ree
I can hear the river call [ no return, no return ]
Where the roarin' waters fall wail-a-ree
I can hear my lover call come to me [ no return, no return ]
I lost my love on the river and for ever my heart will yearn
Gone gone for ever down THE RIVER OF NO RETURN
Wail-a-ree wail-a-re-e-ee
She'll/He'll never return to me!
[ no return, no return, no return ]


แรกจะเล่าเรื่องราวริมสายน้ำ ก็นึกไปถึงเพลงนี้ ไม่ได้คิดถึงมาริลีน มอนโรมากขนาดนั้นหรอกนะ แต่มันมีที่มาคือ เราเคยร้องกับแม่ตอนเราเรียนมัธยมฯต้น เนื้อเพลงสั้น ๆ พอจำได้ เสมือนสายน้ำในความทรงจำ สายน้ำอะไรหนอ ที่ร่ำร้องย้ำ ๆ แต่คำว่า no return, no return และเราก็เด็กเกินกว่าจะเข้าใจ

เคยเห็นสายน้ำแห่งชีวิตของคนสองฝั่งนี้ที่เชียงของทั้งหน้าแล้งและหน้าฝน แต่มาเห็นที่เชียงคานปลายฤดูหนาว ที่แตกต่างแน่นอนก็คือ หน้าฝนเป็นฤดูน้ำหลาก น้ำไหลเชี่ยวกรากน่าสะพรึงกลัว เห็นชาวบ้านริมฝั่งโขงไล่ล่าปลาบึกกันมากตอนนั้น เรานั่งริมฝั่งโขงที่ร้านนางนวล เราเองก็เป็นส่วนหนึ่งของผู้ไล่ล่าเพราะเราสั่งอาหารทุกอย่างที่ทำมาจากปลาบึก ถ้าถามตอนนี้ จะไม่สั่ง ไม่อยากชิมแล้ว ปลาไหน ๆ ก็คงจะเหมือนกัน แล้วปลาบึกก็ไม่มีเหลือพอจะให้เราสั่งด้วย

ช่วงเวลาที่เราไปนั้น คนเชียงคานบอกเราว่า น้ำโขงลดลงมาก แทบจะเดินเรือไม่ได้ เราเห็นจริงกับตาตอนที่เราขับรถออกนอกเมืองไปปากชมและแวะกินอาหารที่คกไผ่ ถ่ายรูปสายน้ำยามเข้าหน้าแล้ง บ้างก็ว่าเป็นเพราะรัฐบาลจีนปิดเขื่อนเก็บกักน้ำ ทำให้เดือดร้อนเป็นลูกโซ่ นึกสงสัยเลยว่า ก่อนหน้านี้หน้าแล้งเป็นเช่นนี้หรือไม่

แม่น้ำสายหลักแห่งนี้เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของการแบ่งพรมแดนจังหวัดเลย ประเทศไทยกับเมืองสานะคาม แขวงเวียงจันทน์และเมืองแก่นท้าว ไชยบุรี ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวออกจากกัน

ปลายทางแห่งนี้ยังมีประวัติศาสตร์ร่วมกันในการสู้รบแย่งชิงดินแดนกับจีนฮ่อและฝรั่งเศสมาเป็นเวลานาน เพราะยุคหนึ่งก็ยังเป็นเมืองท่าค้าขายของชาวลาว จีนแผ่นดินใหญ่และประเทศไทย จึงไม่น่าแปลกใจนักที่แถบลุ่มน้ำสายนี้จึงขนาบไปด้วยร้านค้าและบ้านเรือน ไปจนโรงเรียนสอนภาษาจีน จนกระทั่งปัจจุบันเราต่างเป็นบ้านพี่เมืองน้อง ต่างพึ่งพาอาศัยกัน ผู้คนจากสองฟากฝั่งยังข้ามฟากและมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมความเจริญอย่างกลมกลืนบนแม่น้ำสายนี้ แน่นอนล่ะ..แม่น้ำแห่งนี้คือสายน้ำแห่งชีวิตของผู้คน


หากแต่ฉันคิดไปถึงเพลงนี้ท่อนนี้อีกแล้ว
Love is a trav'ler on THE RIVER OF NO RETURN
แน่ล่ะ..ฉันอาจจะโตขึ้นและพอจะเข้าใจมากขึ้นว่า
ทำไมแม่น้ำสายนี้จึงร่ำร้องแต่คำว่า no return , no return
ก็เพียงเพราะว่า.. ความรักบนเส้นทางมันสวยงามกว่าเส้นทางของความรักเสมอ!!




3.

วันที่ออกจากบ้านจะไปเลย เราไม่กลัวเลย แต่เราเกือบจะไปไม่ถึง!!

ปกติเราจะเติมน้ำมันที่แพร่ กะน้ำมันลิตรสุดท้ายที่ปั๊มนี้พอดี วันนี้เหลือติดมากกว่าทุกครั้ง และตั้งใจมาเติมที่นี่แหละก่อนไปต่อ ปรากฏว่า ถึงปั๊มแล้ว แต่ปั๊มปิด โอ๊ย..จะบ้าตาย ขับย้อนกลับไปเพื่อหาน้ำมันเติม โทรฯเข้ามือถือเพื่อนที่เมืองแพร่ถามหาปั๊มอื่น ปั๊มปิด มือถือเพื่อนปิด ต้องจอดและตั้งสติ เพราะเสี่ยงมากไม่ได้ เหลือน้ำมันไม่มาก จะได้ไปมั้ยเนี่ย..ตัดสินใจเข้าเมืองจอดถามร้านก๋วยเตี๋ยว ต้องคำนวณและย้อนไปสามแยกใหญ่ เห็นปั๊มเหมือนเห็นความฝันที่จับต้องได้

นี่อาจจะเป็นอีกเรื่องที่ถือว่าเรา ป ร ะ ม า ท ครั้งที่แล้วก็ที่กำแพงเพชร ยางระเบิดตอนตีสอง กำลังจะเปลี่ยนล้อ ปรากฏว่าไขควงกับน็อตเข้ากันไม่ได้ เพราะเราเปลี่ยนล้อแม็กซ์ อ๊ากส์!! ถ้าไม่ได้อู่ 24 ชั่วโมง เห็นจะไม่ถึงสุพรรณเป็นแน่แท้

ครั้งนี้ก็ถือว่าโชคยังช่วย ได้เห็นเมืองเชียงคานอยู่ ไม่ถึงกับต้องคลานกลับบ้านเพราะถอดใจ




4.

เราถึงเชียงคานตี 5 ของเช้าวันเสาร์ นึกออกเลยนะคะว่าโชเฟอร์ของฉันยี่ห้อม้าห้อจริง ๆ เขาขับรถเร็วแต่ไม่น่ากลัว ทำให้เราเห็นพระอาทิตย์ขึ้นหลังวัดป่ากลางขณะที่เรากำลังกินมื้อเช้าอยู่ ชงกาแฟเอง ดื่มน้ำมะตูม แล้วจึงโทรฯบอกน้องว่ามาถึงแล้ว ยังไม่เห็นที่ที่จะพัก
คิดในใจถึงบ้านที่จะพักว่าคงจะเป็นบ้านไม้หลังโดด ๆ ในซอย แต่ยังไงก็รู้ว่ามีที่พัก ตอนเลี้ยวเข้าซอยแคบ ๆ แล้วโผล่หัวรถออกมาเจอร้านเฮือนหลวงพะบาง ย้อนคิดกลับไปเลยว่า นายแน่มากที่สามารถเอารถเลาะออกไปได้ เพราะทางแคบมาก สำหรับทางคนเดินและจักรยาน
เราได้บ้านพักเป็นเหมือนบ้านจัดสรรชั้นเดียว สามห้องนอน สองห้องน้ำ สะดวกสบายเกินคาด อยู่ในซอย 18 ซึ่งสามารถเดินเล่นในเมืองเล็ก ๆ นี้ได้ เชื่อเถอะว่าเพียงสองวันสำหรับการเดินเที่ยวก็ครบทุกซอกทุกมุมแล้ว ที่เหลือเผื่อไว้อีกวันที่ออกนอกเส้นทางจะขับรถแบบชิลล์ ๆ จากเชียงคานไปท่าลี่ก็ได้ เพราะหลังจากที่เราเดินกันขาขวิด เราก็อยากนั่งรถชมวิวแม่น้ำโขงเพลิน ๆ เหมือนกัน เราไม่ได้ไปฤดูเก็บเกี่ยวจึงมองไม่เห็นทุ่งนาเขียว ๆ นอกจากเกาะแก่งยามน้ำงวดจนเหมือนเราจะเดินข้ามไปยังอีกฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน




5.

อ ะ ไ ร จ ะ เ กิ ด ก็ ต้ อ ง เ กิ ด . .

มันไม่ใช่คาถาปลง ๆ สำหรับเมืองท่องเที่ยวหรอก แต่มันเป็นเรื่องธรรมดาของโลกเลยก็ว่าได้
ระหว่างที่รอกาแฟอเมริกาโน่รสเข้มข้นจากร้านกาแฟเก๋ ๆ แห่งหนึ่งในเชียงคาน ฉันนั่งมองบ้านเรือนไม้หลังเก่า ๆ นึกสงสัยในใจว่า มีนายทุนกว้านซื้อไปทำเป็นเมืองเก่าแล้วหรือยัง บ้านเก่าที่ดูราวกับกำลังหายใจรวยระรินเหล่านี้ถูกปัดฝุ่นชุบชีวิตขึ้นมาด้วยน้ำมือของใครกันแน่

เจ้าของเดิมส่วนใหญ่เป็นใคร ให้เช่าหรือขายไปบ้างแล้ว ?

ฉันยกกาแฟมากินที่ร้านน้องข้าง ๆ เธอเป็นเภสัชกร ทำงานในพื้นที่นี้มานาน พื้นเพก็เป็นคนมหาสารคาม ไม่เปิดร้านขายยาแต่อยากทำธุรกิจเสริมที่เธอรัก เพราะเธอชอบถ่ายรูป ชอบทำโปสการ์ด อยากทำเสื้อและของที่ระลึกจากที่ที่เธออยู่ เริ่มจากรับมาขายจนกระทั่งเลิกยืมจมูกคนอื่นหายใจ เหตุที่เจอลูกเล่นกระบิดกระบวนท่ามากของร้านที่เธอรับมาขายนั่นด้วยร้านที่เธอเช่าทำธุรกิจอยู่ก็เป็นร้านของคนเชียงคาน ไม่ขายนอกจากให้เช่า เพราะเจ้าของเก่าส่วนใหญ่เป็นข้าราชการ ลูก ๆ มีการมีงานทำแล้ว ไม่ได้เดือดร้อนมากจนต้องขายที่ อาจจะเป็นเพราะวิถีชีวิตที่เป็นมาแต่ดั้งเดิมด้วยก็ได้ และที่ทางเหล่านี้ล้วนเป็นที่อยู่อาศัยไม่ใช่เรือกสวนไร่นาแบบทางเหนือ เพราะบางสวนก็ไม่ก่อให้เกิดรายได้ เมื่อถูกกว้านซื้อด้วยเม็ดเงินก้อนโตก็ยกที่ให้เขาไปทำรีสอร์ตสร้างเมืองใหม่ ร้านกาแฟใหญ่ ๆ เป็นแหล่งท่องเที่ยวตามไอเดียเจเนอเรชั่นใหม่กันหมด ครั้นพอคิดขึ้นได้ ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตาจนคนพื้นที่เองปรับตัวแทบไม่ทัน

ฉันถามน้องเจ้าของร้านว่า..หน้าโลว์ซีซั่นที่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยว ที่นี่เป็นยังไง รายได้ของร้านพออยู่ได้ไหม

เขาบอกว่า..เขามีอาชีพอยู่แล้ว มีอะไรที่ทำกันอยู่ ที่นี่ไม่ใช่งานหลักแต่เป็นงานเสริมที่ทำแล้วมีความสุข ช่วงโลว์ซีซั่น เมืองจะน่าอยู่มาก มีนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งที่ผลัดเวียนมาอยู่กันนาน ๆ เพื่อทำงาน เขียนรูปหรือใช้เวลาพักผ่อนที่นี่

[ที่นี่เงียบจริง ๆ ความเงียบสงบสงัดนี่ ฉันเองยังยอมซูฮกเลย ทั้ง ๆ ที่บ้านฉันก็ขึ้นชื่อแล้วว่าเงียบ แต่วิถีคนทางเหนือกับทางอีสานไม่เหมือนกันค่ะ ไว้จะเล่าให้ฟังอีกที]


ใจหนึ่ง..อดเป็นห่วงไม่ได้ว่า หากทำอะไร ๆ เหมือนกันหมด ไม่ว่าจะแต่งร้านในคอนเส็ปเดียวกันคือ เป็นร้านกาแฟ อาหารเช้าเบา ๆ ราคาเบา ๆ เอารถจักรยานเก่า ๆ พิงหน้าร้านเชิญชวนให้ถ่ายรูปโดยที่เราไม่ต้องกระมิดกระเมี้ยนขอถ่าย มีตุ๊กตาหมีคู่ มีเสื้อยืดสกรีนชื่อเมืองเพื่อให้เราเป็นที่ระลึก โปสการ์ดหลากหลายและโต๊ะน่ารัก ๆ ให้นั่งเขียนและบริการหย่อนทางไปรษณีย์ หรือมีตู้แดง ๆ หน้าร้านทุกร้าน ไม่มีใครแตกแถว หากเราเท่านั้นแหละที่จะมองหาความแตกต่างในความเหมือนเหล่านั้นเอง

อีกใจหนึ่ง..ฉันยังเชื่อในรากฐานของชุมชนนี้อยู่ว่าจะเผชิญร้อนเผชิญหนาวไปได้อีกนาน เพราะคำว่า พ อ เ พี ย ง มีพลังมากพอสำหรับวิถีชีวิตของพวกเขา








6.

มันไม่ใช่ความสำคัญยิ่งยวดหรือยึดถือเป็นธรรมเนียมของการเดินทางในต่างสถานที่หรอกที่เราจะต้องกระเสือกกระสนขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่เราก็ไป!!

ขอบคุณทุกเช้าขณะลืมตา มันเท่ากับว่าวันนี้มีลมหายใจอยู่ พระอาทิตย์ดวงเดียวดวงเดิมกำลังจะขึ้นแล้ว ความคิดใหม่ ๆ ความหวังใหม่ ๆ ที่เราเพิ่งฝันและท้าทายให้เราลองทำรอเราอยู่ ใช่แล้ว..ทุกเช้าของวันใหม่ มีอะไรให้เราอยากทำทุกวัน เราทำหัวใจดวงเดิมให้เป็นดวงใหม่ได้ทุกวันเช่นกันนี่นา
เช้าที่เราขึ้นไปที่ภูทอกนั้น เราขับรถวนอยู่เพราะป้ายบอกแต่ว่ามีที่กางเต็นท์ 24 ชั่วโมง แต่ไม่มีป้ายบอกทางขึ้นไปดูพระอาทิตย์ ทำให้นึกถึงบนดอยอ่างขางเช่นกัน มีป้ายบอกทางไปทิวลิปตลอดทาง แล้วจู่ ๆ ป้ายบอกทางก็ขาดหายไปเสียเฉย ๆ คนที่อื่นก็ต้องวนเล่นบนดอยอยู่สักพักจึงจะเจอ แต่ที่ภูทอกเราจอด รอถามมอเตอร์ไซค์ดีกว่า เราไปผิดทางจริง ๆ ต้องไปตั้งต้นใหม่และไปอีกเส้นทางนึง

ทางขึ้นก็ตลกดี มีราวกั้นขาว-แดงพาดอยู่ ประมาณว่าห้ามขึ้น แต่ด้านข้างเป็นรอยล้อรถเบี่ยงขึ้นไป เออนะ..แล้วจะทำทางกั้นไว้ทำไม รถตู้ที่ตามหลังเรามาก็โขยกล้อบดตามรอยเราขึ้นไป ก็คิดเองว่า น่าจะทางนี้แหละ เดา ๆ กันไป ถึงไม่ได้ดูในจุดชมวิว แต่ขึ้นภูเขาไป ก็ต้องเห็นพระอาทิตย์อยู่ดี เลือกมุมที่อยากดูตามความพอใจของเรา

เราไปถึงจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น มุมเดียวกับที่ใคร ๆ ก็เห็นทั่วไป หรือเราไม่ชอบความแตกต่าง?? เขาไปไหน เราก็ไปด้วย โชคดีที่ไม่ลากชุดนอนออกมา เพราะเจอแต่นักท่องเที่ยวแต่งตัวสวย ๆ กัน
จุดที่เราชมมันเป็นป่าโข่ คนเมืองเรียกแบบนี้นะ มันเป็นป่าไร้ใบ วิวภูเขาก็สวยสู้บ้านเราไม่ได้ (แน่ะ..ปากไม่ดีอีก) แต่เราก็เงียบ ไม่ได้พูดออกไปหรอก จะให้สวยได้อย่างไรล่ะ ก็นี่มันร้อนแล้ว จะเอาหมอกที่ไหนมาเป็นฉากให้เราเห็น ทะเลหมอกสวย ๆ ยังกับเตียงนอนนุ่ม ๆ อย่างที่ใครบอกเราไว้น่ะ

แต่เราก็ไม่เป็นปัญหา ขึ้นไปแล้วนี่ อย่างน้อยก็หายใจเอาอากาศยามเช้าเข้าไป สบายดีจะตาย ตื่นเช้านี่ได้กำไรนะ มีเวลาคิดทำอะไรได้อีกเยอะ หากว่าไม่รีบกลับไปนอนต่อ
เก็บภาพได้เป็นที่ระลึกและเราก็ลงก่อน มาถ่ายภาพพระอาทิตย์ที่ริมถนนอีกรอบ ชอบสีท้องฟ้ายามเช้า เห็นว่าสวยดี ชอบเงาในน้ำด้วย หอมสายลมเย็น ๆ สมองโปร่งรับกลิ่นบริสุทธิ์
ฉันมันบ้าเขียนบันทึกทุกวัน เขียนเองอ่านเองก็มีความสุข บางทีเคยอยากแบ่งปันความสุขจากบันทึกของตัวเองให้คนอื่นอ่าน แต่ก็เดา ๆ เอาว่าเขาคงไม่สนุก ..
นี่ก็เดือนกรกฎาคมแล้ว ฉันบอกตัวเองว่า ทุกเดือนเป็นเดือนดีที่สุด เวลาจะไปที่ไหน เวลานั้นเป็นเวลาที่ดีที่สุด เหมือนกับเห็นพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูทอกก็เช่นกัน เป็นพระอาทิตย์ที่สวยที่สุด ไม่มีใครบอกเราได้หรอกว่า พระอาทิตย์ขึ้นวันไหนสีสวยที่สุด โลกมันก็สวยทุกวัน พูดให้ถูกโลกสวยงามทุกฤดูต่างหาก


สียามเช้าเจือสายหมอกจาง ๆ บอกถึงความไม่ซับซ้อนของชีวิต โลกมีความเปลี่ยนแปลงทุกวัน สีของฟ้าก็คงแตกต่างกันไปทุกวัน
สำหรับฉัน
สีสันของชีวิตในแต่ละวัน
เป็นความงาม ...








7.

ช่วงที่เราใช้เวลาที่เชียงคานนั้น ฉันตื่นเช้ากว่าปกติ อาจจะเสียดายเวลาก็เป็นได้อยากออกไปหาอะไรกินในแต่ละซอย ข้าวปุ้นน้ำแจ่วเป็นขนมจีนเวอร์ชั่นเชียงคานนั้นอยู่ในลิสต์ที่ตั้งใจจะกินให้ได้ อร่อยหลายร้าน แต่ที่เราประทับใจมากก็ที่ร้านป้าบัวหวาน ขายแต่เช้าเลย เราก็สงสัยเหมือนกันว่า น้ำแจ่วน่ะ มันเป็นแบบไหน ดูน้ำใส ๆ รสชาติดีมาก เหมือนเกาเหลาเลือดหมู เครื่องในทุกชิ้นที่ใส่มากับข้าวปุ้นนั้นสด สะอาด ไม่มีกลิ่นคาว มีพริกสดตำหยาบ ๆ เป็นเครื่องปรุง อร่อยมาก ตกชามละ 30 บาท คุ้มค่าจริง ๆ คนมารอกินแต่เช้าเหมือนเราก็เยอะ วันที่ไป มีป้า ๆ สูงอายุเยอะ เข้าใจว่าคงมาทำบุญกันนะ ออกจากที่นี่ ก็ยังตะลอน ๆ เข้าไปในตลาด ซื้อปาท่องโก๋ยัดไส้ระเบิดมากินที่บ้าน ผ่านข้าวทอดแหนมคลุก ก็อดซื้ออีกไม่ได้ ราคากล่องละ 20 บาท ข้าวทอดลูกใหญ่มาก ขยำ ๆ ปรุงรสจนหนำใจ โรยพริกแห้ง เออแน่ะ..ผักสด ๆ ป้าก็ให้มาซะเยอะ


ก่อนเข้าบ้านจริง ๆ ก็ใช้ชีวิตแบบคุ้นเคยคือ กินอาหารอะไรแล้วก็ช่าง แต่ต้องตบด้วยกาแฟอยู่ดี หากเช้า ๆ ไม่มีสารคาเฟอีนในกระแสเลือด หัวใจอาจเต้นไม่เป็นจังหวะ อยากบอกเลยว่า หากาแฟกินได้ง่ายมาก ร้านนี้ก็ไม่ได้หมายตาแต่แรก แต่ก็ไปโฉบดู Open &Close ร้านไม่หรู รั้วไม้เตี้ย ๆ โต๊ะไม้เล็ก ๆ ต่อให้ฉันกินแบบคอฟฟีมาเนียแล้ว ก็ยังสามารถกินกาแฟโบราณแก้วล่ะ 10 บาทต่อได้อีก แต่ร้านกาแฟโบราณนี่ เจ้าหนุ่มสองคนดูเก้ ๆ กัง ๆ ยังไม่ใช่มืออาชีพเท่าไหร่ แต่ก็ชงดี สงสัยฉันจะอารมณ์ดี..

วันนี้ตั้งใจจะขับรถไปเส้นเชียงคาน-ปากชม ดูวิวทิวทัศน์ของเมืองเลย จะต้องผ่านบ้านหาดเบี้ย แก่งฟ้า สวาลีร้านขายของแปลก ๆ เราแวะร้านอาหารซุ้มคกไผ่ ใกล้ ๆ กับจุดผ่านแดนระหว่างประเทศที่บ้านคกไผ่ ชวนน้อง ๆ ไปกินปลาน้ำโขงด้วยกัน


ร้านก็เป็นซุ้ม ๆ นั่งรับลมริมโขงซึ่งกำลังน้ำแห้ง แต่ลมโกรกเย็นสบาย อาหารเด็ดสุดที่เขาแนะนำก็คือ ปลานิลแม่น้ำโขงเผาเกลือ อาหารรองท้องง่าย ๆ ก็ส้มตำ ตำซั่ว ตำลาว ตำปู สั่งกุ้งเต้นมาให้ได้เฮฮาซาดิสม์กัน อาหารเป็นกับแกล้มสำหรับการคุยของเรามากกว่า คุยกันสัพเพเหระ ลูกสาวก็งง ๆ กับน้า ๆ ที่เธอติด BB - Blackberry หรือแบล็คเบอร์รี่ กัน เครื่องมือสื่อสารที่มากกว่าการพูดคุย เด็กดอยสองคนยังไม่เข้าใจ แต่เกิดอยากได้ เพราะน้า ๆ ติดกันมาก เออนะ..เขาตั้งชุมชนบีบีกันสามคน เรียกง่าย ๆ ว่า ชมรมขาแช็ท ไอ้เจ้าคนล่าสุดเพิ่งถอยเครื่องออกมาเมื่อวานเพราะอีกสองคน(หลอก)ว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้ โชคดีที่ฉันไม่ค่อยคุ้นเคยกับอุปกรณ์พวกนี้ ไม่นึกสนุก แค่ยกหูโทรศัพท์คุยนาน ๆ ก็เป็นเรื่องแปลกประหลาดแล้วสำหรับคนที่บ้าน


ของอย่างนี้ไม่ว่ากัน ชอบใครชอบมัน ไม่ออกความเห็น เพราะความจำเป็นของเราไม่เหมือนกัน เธอ ๆ ก็ว่า --เวลาขึ้นรถไฟฟ้าไม่มีอะไรทำก็แช็ทดีกว่า ไม่ต้องสร้างบทสนทนากับใคร--ฉันก็ได้แต่ยิ้ม ๆ ไม่มีใครคุยกับเธอซะมากกว่ามั้ง แล้วเราก็คุยเรื่องลูก ๆ ชีวิตในเมืองหลวง และเที่ยวยามว่าง ก็ยังรู้สึกดีที่ว่าเด็กสามคนนี้ไม่บ้าทำงานเก็บเงินจนไม่เหลือเวลาหาความสุขใส่ตัว พูดไปแล้วเป้าหมายและการดำเนินชีวิตเราแตกต่างกันสิ้นเชิงด้วยอะไรหลาย ๆ อย่าง มันคงต่างวิธีคิดในเรื่องความสุขในชีวิตคืออะไรน่ะนะ






8. บ้ า น ไ ม้ เ ฮี ย ะ

มาถึงที่นี่ ก็ยังคิดในใจว่า บ้านหลังนี้ยังอนุรักษ์กันอยู่ไหม
ไม้เฮียะหรืบางทีก็เรียกไผ่เฮียะ เป็นที่รู้จักดีกันในภาคเหนือ ขึ้นทั่วไปในบริเวณป่าดงดิบหรือป่าผสมผลัดใบที่มีไม้สักเฉพาะตามริมห้วยต่างๆ ลักษณะเด่นของไผ่ชนิดนี้คือ เนื้อลำบางมากตั้งแต่โคนถึงยอด มี ขนาดปล้องยาวมากประมาณ 50-70 เซนติเมตร สูงประมาณ 18 เมตร ไม้เฮี้ยะเป็นไม้ขนาดย่อมลำเรียวเปลา
ชาวบ้านในภาคเหนือนิยมนำมาทำฝาบ้าน เครื่องมือจับปลา กระบอกใส่น้ำ และเครื่องจักสาน
บ้านไม้เฮียะที่เห็น เป็นบ้านแบบโบราณใช้ไผ่เฮียะขัดแตะก่อนโบกทับด้วยปูนอีกชั้นหนึ่งเพื่อความแข็งแรง แต่ชั้นล่างของบ้านไม้เฮียะก่อด้วยอิฐ แต่สภาพที่เห็นดูโทรมมาก แต่มันก็เป็นสีเก่าตามธรรมชาติที่จะดูให้เป็นศิลป์ มันก็ใช่เลย..









9. เย็นวันเสาร์ เช้าวันอาทิตย์

ชีวิตเราเริ่มเปลี่ยนไปอย่างแท้จริงเพราะหนังสือวิ่งเล่มนี้ของคามิน คมนีย์
พรุ่งนี้เช้า เราต้องตื่นเช้าไปวิ่ง เป็นวิถีชีวิตใหม่ที่คิดไม่ถึงว่า จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตเราไปแล้ว ในเมื่อต้องตื่นเช้า ก็ต้องรีบกลับบ้านไปพักผ่อน
















10.


ไปแหล่นเชียงคานนำเด้อ

ตีสามครึ่งเช้าวันอาทิตย์ ตื่นอาบน้ำ กินแป้งจี่ชุบไข่ที่ซื้อไว้ตั้งแต่เย็นวาน พยายามกินให้หมดอัน เดี๋ยวจะต้องวิ่งเกือบสามชั่วโมง ปล่อยให้ท้องว่างและหิวจะวิ่งไม่สนุก

ที่พักเราห่างจากสนามปล่อยตัว 800 เมตร โชคดีมากที่ไม่ต้องกระหืดกระหอบออกบ้านแต่เช้าเพื่อไปหาที่จอดรถ เกือบจะทุกสนามแข่งที่เราต้องออกบ้านตั้งแต่ตีสองตีสามเพื่อไปหาที่จอดรถ มีเพียงไม่กี่งานที่ตื่นนอนแล้วเดินไปสนามได้ ถ้าไม่นับซ้อมวิ่งที่บ้าน

ครั้งแรกนั้น เราตั้งใจจะมาวิ่งเทรลที่ชัยภูมิ ระยะ 35 k เพราะตั้งใจมาเยี่ยมน้องชายด้วย แต่ในที่สุด เราก็เปลี่ยนมาลงวิ่งฮาล์ฟมาราธอนอีกงานที่เชียงคานแทน ด้วยว่า ซ้อมไม่ดี ซ้อมไม่ถึง วิ่งไปก็ทุรนทุราย ทรมานตัวเองจนเกินไป ยังนึกถึงแม่กำปองเทรลอยู่เลย อาการร่อแร่มากเนื่องจากคืนก่อนวิ่งนอนไม่หลับ นอนกระสับกระส่ายหายใจไม่สะดวกเพราะนอนในรีสอร์ต อากาศอึดอัดมาก แต่ทว่าคืนนั้น น้องที่มาด้วยหลับสนิท ฉันนอนไปสักวูบราว ๆ ตีสอง เพราะตีสามครึ่งนาฬิกาปลุก เป็นสนามที่ต้องบันทึกไว้อย่างละเอียดเพราะนอนไม่พอ ระโหยโรยแรง ทั้งที่อาทิตย์ที่แล้ววิ่งฮาล์ฟได้ไม่ยากนัก

เป็นบทเรียนที่ไม่ใหม่ เรามักเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิดแบบนี้ แต่เพราะวิ่งสั้น ๆ อาการไม่ออก การวิ่งยาวคือต้องพร้อมทั้งหมด กินและพักผ่อนให้พอ สำหรับเรื่องการเตรียมตัวนั้นไม่ต้องพูดถึง ทุกคนเตรียมตัวมาอยู่แล้ว

แต่เช้านี้ เราไม่วิตกกังวลมาก ยังวิ่งวอร์มร่างกายเรื่อย ๆ ยืดเหยียดให้พร้อม อากาศค่อนข้างร้อนแต่ไม่ร้อนจัด เรื่องอากาศนั้นทำใจได้

นักวิ่งมาราธอนปล่อยตัวตีสี่สิบนาที แต่มีนักวิ่งมาไม่ทันปล่อยตัวอีกจำนวนหนึ่ง เห็นแล้วใจไม่ดีแทน คนสุดท้ายที่มาช้า ช้าไปเกือบสี่สิบนาที แต่เจ้าหน้าที่ก็ให้วิ่งอยู่ ไม่แน่ใจว่าเขาเพิ่งมาจากกรุงเทพฯเช้านี้หรือเปล่า เราตะโกนให้กำลังใจเขานะ เป็นเรา เราจะไม่วิ่ง ไหนจะทางมืด ๆ ที่ต้องฝ่าความมืดไปตามลำพัง ไหนจะกลัวหลงทาง คือใจเสียแล้วคงเริ่มไม่ได้ เรื่องนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะ ไม่มีผิดหรือถูก แต่เราจะไม่ดันทุรังไป เรากลัว

ใกล้ปล่อยตัวนักวิ่งระยะฮาล์ฟมาราธอนแล้ว นี่เป็นฮาล์ฟในสนามแข่งที่เท่าไรแล้ว จำไม่ค่อยได้ น่าจะกว่ายี่สิบสนามนะ แต่ซ้อมนี่มากกว่าแน่นอน

ไม่ว่าจะสนามที่เท่าไหร่ แต่ก็ตื่นเต้นอยู่ดี

เสียงแตรปล่อยตัวแล้ว ฉันกับสามีก็ต่างคนต่างไป วิ่งด้วยกันก็จริงแต่ไม่ต้องลากกันแล้ว จังหวะใครจังหวะมัน เดี๋ยวเจอกันที่เส้นชัย

นึกถึงฮาล์ฟแรกที่สามีเป็นหัวลากให้ งอแงตั้งแต่กิโลที่ 16 คือขาเริ่มตึงและเจ็บข้างขาข้างขวา ด้วยว่ายังวิ่งไม่ค่อยอยู่ตัว ตอนนั้นกลัวว่าสามีจะทิ้งให้วิ่งคนเดียว กังวลใจไปสารพัด

เขาก็ใจดีเหลือหลาย รำคาญแค่ไหนก็รอ เป็นความทรงจำส่วนตัวที่ดี สำหรับการวิ่งฮาล์ฟแรก มาราธอนแรก อัลตร้าฯแรก หรือหลายสนามที่เขาบอกว่าไปด้วยกัน อย่างน้อยก็อุ่นใจ จะเข้าที่โหล่ก็แฮปปี้ เพียงแต่ช่วงหลัง ๆ ที่เราต่างมีเพซวิ่งเป็นของตัวเอง ไม่ต้องลากกัน คนถูกลากจะทรมานและรู้สึกไม่สนุกเอาเสียเลย ไม่รู้จะวิ่งแบบนั้นไปทำไม ต่างคนต่างวิ่งให้สนุกในจังหวะของตัวเองน่ะดีที่สุดแล้ว

งานนี้ฉันวิ่งเหมือนที่ซ้อมมา คือออกตัวช้าและไปเรื่อย ๆ นักวิ่งฮาล์ฟวันนี้เกือบพันคน เยอะใช่เล่น มีคนแซงฉันไปคนแล้วคนเล่า แต่ฉันไม่ตื่นตระหนกเหมือนก่อน ใครซ้อมมาแบบไหนก็ไปแบบนั้น

วันนี้ถือว่าวิ่งดีนะ ไปเรื่อย ๆ ไม่เหนื่อย เพราะเมื่อคืนหลับสนิท นอนหลับรวดเดียวจนนาฬิกาปลุกเลย อาหารก็พอท้อง ครั้งแรกจะเอาน้ำเกลือพกใส่ขวดมาและถือไป แต่ก็ไม่เอา เขาบอกว่า มีน้ำทุกสองกิโล ความจริงไม่น่าเชื่อทีมงานจนหมดใจขนาดนั้น เพราะแทบทุกงานก็บอกแบบนี้ แต่ใช่ว่าจะทำได้เหมือนที่บอก เอาล่ะ ถือว่าเราประมาทเองงานนี้ อาจจะขี้เกียจถือก็ได้ คิดว่าวิ่งไม่นานและไม่ใช่มาราธอน แต่ที่ไม่ลืมคือยาดม อันนี้ของสำคัญ

ปรากฏว่า มีน้ำดื่มให้กินทุกสองกิโลไม่ขาด แถมมีน้ำเย็นด้วย ฉันดูวิวข้างทางไปเรื่อย ๆ เพราะหลังกิโลที่สิบ ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว ฉันวิ่งอยู่ตรงไหนของผู้คนนะวันนี้ เชื่อว่าไม่รั้งท้ายแน่นอน

ตอนวิ่งฮาล์ฟใหม่ ๆ นี่น่ากลัวมาก กำลังก็น้อย วิ่งก็ช้า แถมวิ่งงานในเชียงใหม่ ก็รู้ ๆ อยู่ว่าเชียงใหม่มีหลายชมรมวิ่งที่รวมนักวิ่งชั้นดีไว้ ฝีเท้าดีมาก ๆ แต่เราไม่เจียมตัว อยากวิ่งก็วิ่ง ถ้าไม่กล้าขึ้นฮาล์ฟ เมื่อไรก็ไปไม่ถึงมาราธอน

ฉันจำสภาพตัวเองตอนวิ่งฮาล์ฟที่ดอยสามหงก ทางชัน ยาวและโหดมาก ไหนจะวิ่งช้า ไหนจะหลงทาง ไหนจะวิ่งหนีรถพยาบาล ครบรสจริง ๆ เข้าเส้นชัยเป็นคนสุดท้าย ได้เหรียญก็หน้าบาน นั่งดูเหรียญไปมาระหว่างเดินทางกลับบ้านดอย ชอบอารมณ์แบบนั้น และเป็นแบบนั้นอยู่เกือบทุกสนามเลยก็ว่าได้

จะมีสักกี่อย่างที่เรานึกถึงแล้วยิ้มได้


สามีฉันกลับตัวล่วงหน้าไปตั้งนานแล้ว เขาเรียกฉันเบา ๆ พอได้เงยหน้ายิ้มให้กัน

แต่ตอนฉันกลับตัว เห็นคนรู้จักอีกเยอะเลย เรายกนิ้วให้และยิ้มให้กัน
เวลาเห็นว่ามีคนอื่นอยู่ข้างหลังเรา ก็เป็นกำลังใจเหมือนกันนะว่า เรายังไม่ใช่คนสุดท้ายของสนามนี้ เรารู้รสชาติแบบนั้นมาแล้วตอนที่ใครต่อใครกลับตัวไปหมด


หลังกิโลที่ 12 ฉันถามหาเกลือแร่จากทีมงาน เขาบอกว่าข้างหน้าค่ะพี่ นั่นหมายถึงว่า อีกสองกิโลสินะ

ฉันรับน้ำเกลือแร่แก้วแรกกิโลที่ 14 ทางยังเป็นเนินยาว ๆ แต่วันนี้ยังไม่เดินสักก้าว ตั้งใจไว้แต่แรกว่าจะวิ่งตลอดระยะฮาล์ฟให้ได้

วิ่งมาถึงกิโลที่ 16 เห็นคนรู้จักวิ่ง ๆ หยุด ๆ ขาปัดแล้ว รู้ล่ะอาการแบบนี้คือเหนื่อย ถ้าเหนื่อยก็ต้องเดินเหมือนกันนะ หากไม่มีข้อแม้กับตัวเองมากนัก ตอนฉันวิ่งผ่านเธอไป เรายิ้มให้กันนิดนึงแต่ฉันก้มหน้าก้มตาไปต่อ

อากาศเริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะไม่มีดวงอาทิตย์ให้เห็นจัดจ้า

เข้ากิโลที่ 18 ฉันเทน้ำเย็นราดตัวลงมาเลยเพราะร้อนมาก คิดว่าอีกสามกิโลเท่านั้น ใกล้จบแล้ว แรงก็เริ่มร่อยหรอลงแล้ว

แต่พอกิโลที่ 20 นี่สิ หมดท่าเลย ก้าวไม่ไหว ฝืนใจไม่เดินแต่ไม่ไหวจริง ๆ

วิ่ง ๆ เดิน ๆ มาบนทางจักรยานสีฟ้าเลาะริมโขง รู้สึกเหนื่อยมาก อีกกิโลเดียวเอง แต่ทำไมไกลอย่างนี้ เห็นตากล้องก่อนลอดซุ้มไม้เลื้อย 500 เมตรสุดท้าย คงต้องเก๊กไม่เหนื่อยแล้วสินะ

ถึงตอนนี้ คุณลุงวัย 74 คนที่เจอกันเมื่อวิ่งเทรลเขาใหญ่สองปีที่แล้วแซงหน้าเราเฉยเลย ยอมใจจริง ๆ เลยค่ะ คือเป็น 500 เมตรสุดท้ายที่เดิน เพียงแต่ตอนจะขึ้นพรมสีฟ้าก่อนเข้าเส้นชัย ก็วิ่งเอาฤกษ์เสียหน่อย

สามีรอถ่ายรูปที่เส้นชัยให้เหมือนเดิม เขาดีใจทุกทีเวลาเราวิ่งจบและบอกว่า ดีแล้ว ๆ นึกว่าจะเข้าเส้นสักสามชั่วโมงกว่า ทางไม่ง่ายเลย แต่วันนี้มีแต่คนวิ่งดี ๆ ทั้งนั้น แทบไม่มีใครมาเดินเล่นกินลมชมวิวเหมือนก่อน

เราคิดเหมือนกันเลยว่า นี่แค่ฮาล์ฟนะ นึกไม่ออกเลยว่าจะไปยังไงถ้าต้องวิ่งมาราธอน ฮาล์ฟครึ่งหลังนี่สิหนังชีวิต

เอาน่ะ วันนี้จบแบบไม่เจ็บและอยู่ในเวลาสามชั่วโมงอย่างที่ตั้งใจไว้ก็เก่งแล้ว เสียแต่เดินกิโลสุดท้ายนี่แหละ มันไม่ไหวจริง ๆ


งานนี้จัดดีค่ะ ทางสวยงาม แต่ไม่รู้ว่าจะมาวิ่งมาราธอนที่นี่อีกเมื่อไหร่ เดี๋ยวนี้รู้สึกว่ามาราธอนนี่ไกลเหลือเกิน ใจไม่ค่อยสู้เสียแล้ว













ขอให้สุขภาพดีและมีความสุขทุกท่านนะคะ
ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย



































Create Date : 18 กรกฎาคม 2562
Last Update : 18 กรกฎาคม 2562 9:04:50 น.
Counter : 678 Pageviews.

3 comment
--- ไ ป เ ค า ร พ ศ พ แ ม่ เ พื่ อ น ---



























เมื่อคืนไปเคารพศพแม่เพื่อนที่วัดพระสิงห์ เพื่อนคนนี้คือเพื่อนรักอีกคนที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันตั้งแต่สมัยทำงานด้วยกันมาเกือบสิบปี ฉันได้กินกับข้าวเมืองอร่อย ๆ บ่อย ๆ เพราะแม่ทำฝากมาให้ที่ทำงาน บางทีเราสองคนก็ไปฝากท้องบ้านเพื่อนมื้อเย็น และทุกปีใหม่ แม่ก็ชวนไปกินเลี้ยงที่บ้านไม่เคยขาด พอเราออกจากงานมาอยู่ไชยปราการ ก็ยังไปมาหาสู่กันแต่ไม่ถี่เหมือนก่อน อย่างน้อยก็แวะฝากส้มหรือผลไม้ตามฤดูกาลเมื่อเข้าเมือง รู้ความเป็นไปของครอบครัวเราทุกช่วงตอน ส่วนเพื่อนก็ยังทำงานที่เดิม เป็นผู้จัดการร้าน รับผิดชอบสูงขึ้นและยังมีความสุขกับการทำงาน

ฉันทราบข่าวจากหน้าเฟซบุ๊ก ก่อนที่แม่จะเสีย เรายังคุยกันเลยว่า ต้องหาเวลาไปเยี่ยมแล้ว เพราะตกใจที่เห็นแม่อยู่โรงพยาบาล โดยรวมดูท่านอิดโรยเหมือนคนป่วยทั่วไปแต่ใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่เสมอ ท่านเป็นผู้ใหญ่ใจดีที่อยู่ใกล้แล้วรู้สึกเย็น แต่ยังไม่ทันไร เช้ามา เพื่อนแจ้งว่าแม่จากไปอย่างสงบตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว

ทราบข่าวตอนเช้าก็เข้าไปแสดงความเสียใจกับเพื่อน ยังไม่อยากโทรฯหรือถามอะไร เธอคงวุ่นวายกับการจัดการอะไรต่อมิอะไรหลังจากนี้ รอดูกำหนดการบำเพ็ญกุศลศพแม่เมื่อไร และเสียศพเมื่อไร หากไปเคารพศพก่อนได้ก็จะรีบไป

ด้วยวัยของเรา เป็นช่วงเวลาที่พ่อแม่เข้าสู่บั้นปลายชีวิตอย่างแท้จริง เพื่อนแต่ละคนต่างดูแลพ่อแม่กำลังป่วย เป็นช่วงเวลาที่ยุ่งยากในช่วงแรก เหนื่อยสาหัสกันกรณีที่ต้องดูแลพ่อแม่และต้องทำงาน กว่าจะจัดสรรเวลาลงตัวในการดูแลช่วงที่วางมือให้ผู้ช่วย เพราะเรายังต้องทำงานกันเป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่เรื่องง่ายและเป็นหน้าที่ที่ต้องดูแลท่านยามนี้ เราได้แต่ให้กำลังใจกันและกัน คนดูแลก็ต้องรักษาสุขภาพกายและใจให้ดีด้วย

ฉันเข้าเมืองแต่บ่าย อยากไปหาเพื่อน อยากไปอยู่ใกล้ ๆ แม้รู้ว่าเธอรับมือกับความเศร้าโศกครั้งนี้ได้ ฉันรู้ว่าจัดงานศพนี่ยุ่งใช่ย่อย ยุ่งมากจนไม่มีเวลาจะเศร้าหรือฟูมฟาย เข้าใจภาวะเวิ้งว้างนี้ ยังมึนงง สมองชา และอุ่นใจเมื่อเห็นคนใกล้ชิดมา


เมื่อวานตอนเพื่อนเจอหน้าเราสองคน เธอตกใจและถามว่า ผ่านมาหรือตั้งใจมางานนี้โดยเฉพาะ ก็ตั้งใจมาน่ะสิ ถามได้ ก็หัวเราะกัน ขอบคุณมาก ๆ ไหว้ศพแม่ก่อน เดี๋ยวกินข้าวกินปลานะ มีแต่หมู่เฮาทั้งนั้น

เราไม่ร้องไห้ให้กันเมื่อเจอหน้า ยิ้มแย้มแจ่มใส บีบมือให้กำลังใจและกอดกัน ไม่ได้ถามไถ่อะไรกันดี แขกเหรื่อเธอเยอะแยะ เราสบาย ๆ แยกไปทักทายเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ สมัยทำงาน เป็นลูกหม้อกันมายาวนาน หลายคนก็เพิ่งได้เจอเรา ต่างก็แซวขำ ๆ ไม่ได้เจอกันยี่สิบกว่าปีเอ๊ง ก็ใช่นะ เราติดต่อเพื่อนคนเดียว เจอกัน คุยกันที่บ้าน ก็จบตรงนั้น เพื่อนที่ทำงานเก่าไม่มีใครรู้เรื่องราวของฉันเลย ไม่รู้ว่าฉันทำอะไรตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา รู้แต่ว่ายังมีลมหายใจ เพื่อนก็ไม่เคยเอาเรื่องทุกเรื่องของฉันเล่าให้คนที่ทำงานฟัง รักษาความเป็นส่วนตัวฉันได้ทั้งหมดทุกเรื่อง คงรู้นิสัยแหละว่า อยากรู้อะไรก็ถามฉันเอง อะไรที่คุยกับเธอก็คือคุยกับเธอ แต่ก็บอกทุกคนว่าฉันสบายดี

วันนี้เลยได้คุยกับพี่ ๆ น้อง ๆ สนุกสนานกันไปเลย อัพเดทกันพอหอมปากหอมคอพอหายคิดถึง

เพื่อนแว๊บมานั่งคุยด้วยแป๊บนึง เธอถามว่า ลุงขายผ้าไหม มาบ้านอีกหรือเปล่า

ฉันถึงกับ ฮ้าาาาา อ่านด้วยเหรอเนี่ย

อ่านสิ เธอเขียนอะไร ฉันก็ตามอ่านหมดแหละ ทั้งหน้าเฟซ หน้าบล็อกแต่ไม่ได้เขียนคอมเม้นต์อะไร เธอมันขี้สงสาร ฉันว่าแล้วว่าไม่ซื้อผ้าไหมก็ต้องทำบุญแหง ๆ

เลยหัวเราะกันอีกรอบ 'เอ็นดูแต๊ กลับขอนแก่นไปหรือยังไม่รู้'



เรากินข้าวเสร็จ ก็เข้าไปฟังพระอภิธรรมด้านใน เป็นห้องแอร์เย็น ๆ เพื่อนจะไล่กลับเพราะเดี๋ยวกลับบ้านดึก แต่ฉันว่าไม่เป็นไร ตั้งใจมาก็ตั้งใจฟังพระเทศน์ด้วย ได้แผ่อุทิศส่วนกุศลให้แม่ด้วย

ฉันฟังเทศน์ฟังธรรม ฟังบาลีไม่รู้เรื่องหรอก แต่ก็สำรวม รู้กาละเทศะเท่านั้น คำแปลบาลีก็น่าจะเป็นคำที่มีความหมายดี ๆ เคยดูคำแปลแต่ไม่เคยจำอะไรได้เลย ฟังสักชั่วโมง เขากราบเรากราบ พระเทศน์ไพเราะดี สงบใจ

แต่หลังจากนี้สิ มีการเทศน์แบบสองธรรมาสน์ เป็นการเทศน์แบบมีฝ่ายถามและฝ่ายตอบ พระสองรูปเป็นพระชื่อดังจากลำพูนและป่าซาง ฉันลืมชื่อพระอาจารย์ แต่ท่านรูปงาม สำเนียงไพเราะ ปฏิภาณฉับไว โต้ตอบทันกันไม่มีการเตี๊ยมมาก่อน (ท่านว่าอย่างนั้นนะ) ท่านถามตอบกันไปมา ไขความ ขยายความให้เข้าใจ ฟังเพลิดเพลินและได้ความรู้ แก่นแท้จะคืออะไรนอกจากทำดี ทำจิตใจให้เบิกบานและอยู่กับปัจจุบันขณะ ไขคำความเพื่อให้เข้าถึงหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ฟังง่าย ๆ แต่ทำไม่ได้สักที ฉันชอบคิดถึงอดีต ชอบเพ้อถึงอนาคต นิวรณ์ 5 มารบกวนระหว่างวันบ้าง คนมันบ้าอ่านนิยายก็ฟุ้งซ่านไป อยากเกิดเป็นลูกลุงจอร์จ อาร์ อาร์ มาร์ติน เพราะเขาเชื่อกันว่าอาจจะได้สายเลือดนักเขียนมาเขียนนิยายบ้าง

คนบ้ากลัวพระกลัวผีอย่างฉันตื่นเต้นมาก ไม่เคยฟังพระเทศน์สองธรรมาสน์แบบนี้ ฟังรู้เรื่องและมีความสุขมาก เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว กว่าท่านจะลงจากธรรมมาสน์ก็สี่ทุ่มกว่า แต่เป็นคืนที่ฟังเทศน์ได้จับใจ

ชอบท่านว่าตรงนี้นะ หลับเมื่อคืน มืนตาเมื่อเช้า เป็นกำไรชีวิต มืนตาหมายถึง ตื่นลืมตานั่นแหละ ก็จริงนะ เพราะเราไม่รู้หรอกว่า หลังจากหลับไปแล้ว เราจะมีชีวิตอยู่จนถึงรุ่งเช้าของอีกวันมั้ย รู้ทั้งรู้ว่าเกิดมาแล้วต้องตาย แต่เราไม่รู้หรอกว่าความตายอยู่ใกล้ตัว เรามักจะมีสติขึ้นมาเมื่อเห็นความตายของคนอื่น ตื่นมาเช้านี้ถือเป็นโชคดีของชีวิต คิด เขียนหรือทำอะไรดี ๆ ได้ก็ทำซะนะ

แต่ฉันตื่นมาแบบงัวเงียมาก นอนห้าทุ่มก็ตื่นยากแล้ว นี่นอนตีหนึ่งกว่า ๆ ต้องหากาแฟขม ๆ มาถ่างตาอีกสักสองช็อต แฮ่ ๆ


ขอให้ทุกท่านสุขภาพดี มีความสุขนะคะ
ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย

















Create Date : 27 มิถุนายน 2562
Last Update : 27 มิถุนายน 2562 10:18:23 น.
Counter : 669 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  

ภูเพยีย
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]



  •  Bloggang.com