Group Blog
All Blog
--- บั น ทึ ก แ ม่ แ จ่ ม เ ท ร ล :: U T C M 2 0 1 9 ---



























วิ่งจบงานแม่แจ่มเทรลมาเกือบอาทิตย์แล้ว เพิ่งมีเวลาพิมพ์ลงจอ แต่เราเขียนลงสมุดบันทึกประจำวัน ตอนเขียนบันทึก ก็ไม่มีอะไรมาก เทรลนี้ไม่หนักใจอะไรมาก เป็นระยะที่พอไปได้ ไม่โหดร้าย ไม่เกินกำลัง แต่อยากจะพัก กินและนอนให้มาก ๆ เท่านั้น

ก่อนวิ่งเทรลหนึ่งอาทิตย์ เราอยู่ในช่วง taper จึงวิ่งเหยาะ ๆ เอากำลังวันละ 5-6 กิโล วิ่งเบา ๆ และหยุดสนิทก่อนวันลงสนาม 4 วันเต็ม ๆ

งานนี้เราลงระยะไม่เยอะเพราะจะไปดูแลสามีลงระยะอัลตร้า ไกลกว่าทุกครั้งที่เขาเคยวิ่ง ดูเขาไม่ตื่นเต้นมากเท่ากองเชียร์สามคนเรา

เรื่องที่เรากังวลสุดคือ พยากรณ์อากาศบอกว่า มีพายุโพดุลเข้าทางอิสาน และทางเหนือบ้านเราจะเจอแบบหาง ๆ และที่แน่ ๆ คือ ฝนตกทั้งสามวันช่วงที่เราลงวิ่ง ระยะหลังกรมอุตุฯทำนายแม่นยำจนอยากจะให้มันผิดพลาดบ้างก็ได้ ทางเทรลมีฝนนี่ไม่อยากจะนึกถึงเส้นทางเลย เละตุ้มเป๊ะแน่

ฉันเปิดมือถือดูช่วงบ่ายของวันศุกร์ที่เราเดินทางถึงแม่แจ่มแล้ว บ้านเพื่อนที่ร้อยเอ็ดโดนโพดุลถล่ม น้ำล้อมรอบบ้าน น้ำท่วมบนทางถนน รถสัญจรไปมาคงกระเพื่อมเข้าบ้าน ได้แต่ส่งใจ ภาวนาให้น้ำลดเร็ว ๆ และขอให้ทุกคนปลอดภัยจากอุทกภัยครั้งนี้

แต่เราต้องมีสมาธิกับตัวเอง ไม่ได้นัดพบใครเพราะใคร ๆ ก็ไม่มาด้วย งานของทีละก้าวเป็นที่เลื่องลือในด้านการจัดการ พอพูดถึงผู้จัด เราหิวข้าวขึ้นมาทันใด แต่ก็นะ..ใกล้บ้านที่สุดแล้ว เราไม่อยากเดินทางไกลกว่านี้เพราะจะเสียเวลาเดินทางจนการพักไม่พอ

เราไปรับบิบของสามีกันช่วงบ่าย ฝาก Drop bag ไว้กับทีมงานเลย ฝนตกปรอย ๆ ไม่สนุกกับการถ่ายรูปเป็นที่ระลึกมากมายเหมือนทุกสนามที่ผ่านมา ต้องรีบเข้าที่พักที่รีสอร์ต หาอะไรกินกัน

ฉันเคยมาแม่แจ่มเป็นครั้งแรก แต่ฟังจากสามีเล่าอยู่บ่อย ๆ ว่าเป็นเมืองน่าอยู่และมีน้ำปูอร่อยที่สุด ก่อนหน้านี้ เพื่อนเคยจะมาซื้อบ้านที่นี่เพื่อปล่อยให้นักท่องเที่ยวมาพัก ทำแบบ BNB ให้เราดูแล เราติดว่ามันไกลเหลือเกินถ้าคิดจากบ้านดอยของเรา ถ้าไกลแบบนี้ รู้สึกเป็นภาระมากกว่า ไม่อยากตกปากรับคำเพื่อนในสิ่งที่ทำได้ไม่ดี มีแล้วเป็นภาระก็บอกเพื่อนว่า เอาที่อื่นดีกว่า จะดูแลให้

ที่นี่เพิ่งมีการจัดวิ่งเทรลเป็นครั้งแรก ไม่รู้เหมือนกันว่าฉุกละหุกหรือเปล่า ไม่ว่าจะเรื่องที่พักและอาหารการกิน เมืองเล็ก ๆ แบบนี้ ต้องขอความร่วมมือกับชุมชนให้มาก แต่ตอนเราขับรถวนดูเมืองไปเรื่อย ๆ ก็รับรู้ได้ว่าเป็นเมืองสงบแม้จะไม่เท่าที่วัดจันทร์ก็ตาม น่าอยู่เหมือนบ้านฉันนี่แหละ มีร้านสะดวกซื้อสองแห่ง มีกาแฟอะเมซอนในปั๊ม ปตท.ที่เปิดตั้งแต่ตี 4 บริการนักท่องเที่ยวซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนักวิ่งรายการนี้ทั้งนั้นที่วิ่งรถกันขวักไขว่ยามนี้ ก็เป็นสีสันของเมืองดีนะ

เราวนหาที่กินข้าวเพราะเที่ยงคืนนี้ จะต้องปล่อยตัวนักวิ่งระยะอัลตร้าก่อน อยากให้เขากินให้อิ่มท้อง จะได้เตรียมตัวพักแต่หัววัน ฝนยังตกไม่ขาดสาย สงสารเขาและนักวิ่งที่จะปล่อยตัวคืนนี้ พยากรณ์ไม่ยอมเปลี่ยนใจ ยังย้ำหนักแน่นว่า ฝนจะตกข้ามคืนและอีกวันเต็ม ๆ


เราเข้าที่พัก เป็นรีสอร์ตที่เพื่อนของสามีจองไว้ให้ หาที่ไหนไม่ได้แล้ว เต็มทุกที่ ถ้าไม่ได้จริง ๆ จึงจะกางเต็นท์นอน

ฉันยอมรับว่า ไม่ชอบนอนที่รีสอร์ตเลย เข็ดตั้งแต่นอนรีสอร์ตที่แม่กำปองแล้ว บ้านหลังใหญ่ สะดวกสบาย ลูก ๆ และสามีชอบ ต้นไม้เยอะมาก ปกคลุมหนาแน่น มีแต่ฉันที่รู้สึกว่าอากาศอับทึบในตอนกลางคืน หายใจไม่สะดวก ห้องที่พักไม่มีแอร์ เป็นบ้านไม้เปิดโล่ง ใส่มุ้งลวด อากาศธรรมชาติ

ที่แม่แจ่ม ต้นไม้รอบบ้านพักน้อยกว่า แต่บ้านไม้ในหน้าฝนจะมีกลิ่นชื้น ที่นอนไม่แห้ง เหม็นอับ เปิดโล่งก็ไม่ได้ แมลงและยุงเยอะ ปกติฉันเป็นคนหัวถึงหมอนก็เข้าเฝ้าพระอินทร์เลย แต่นอนที่รีสอร์ตกลับตรงกันข้าม ผิดกลิ่น เป็นลมผิดเดือนขึ้นมา กระวนกระวาย เพื่อนแนะนำว่า กินยานอนหลับไปเลย แต่ฉันไม่เคยใช้ยานอนหลับเวลาเดินทางหรือก่อนวิ่ง นอกจากป่วย...

การนอนพักไม่ดีมีผลต่อฉันมาก ๆ ถ้าไม่ได้วิ่งก็แล้วไป แต่ถ้าต้องลงวิ่งก็ทำให้ไม่เต็มร้อย ไม่สดชื่นและทรมานเพราะเหมือนคนอดหลับอดนอนและฝืนไปวิ่ง ประสบการณ์นี้เจอกับตัวใหม่หมาดเมื่องานวิ่งที่แม่กำปอง วิ่งไม่ได้ตั้งแต่กิโลที่ 6 ดมยาดมยังไม่เข้า หายใจไม่ทั่วท้อง ปกติเหนื่อยก็เดินแล้วรีบไปต่อให้เร็วที่สุด งานแม่กำปองนั้น อย่าว่าแต่เดินเลย พอทิ้งตัวลงนั่งก็อยากนอนและอยากออกจากการแข่งขันทุกนาทีที่ท้อแท้ ซ้อมน้อยก็เรื่องหนึ่งเพราะก่อนมาเทรลนี้เป็นช่วงฝุ่นควันคลุมเมืองเชียงใหม่ เราไม่พ้นวิกฤตินี้เช่นกัน ซ้อมน้อยไม่พอ นอนยังไม่พออีกต่างหาก คืนนั้นงีบไปสักชั่วโมงเท่านั้น ผ่านงานแม่กำปองมาอย่างทุลักทุเลและไม่สนุกเอาเสียเลย

สามีรู้อยู่ แต่เราไม่บ่น การบ่นไม่เป็นผลกับคนฟัง ไม่สบายใจกันเปล่า ๆ เราก็ต้องทำใจ

เราออกไปกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ไม่ห่วงตัวเองสักเท่าไหร่ เราสามคนคอยควบคุมการกินของสามีฉันมาก ห้ามสั่งต้มยำ ห้ามเติมเครื่องปรุงโดยเฉพาะน้ำส้ม ห้ามกินหน่อกับน้ำปูของแม่แจ่มก่อนวิ่ง อย่ากินผักเยอะเดี๋ยวจะถ่ายท้องตลอด หมูทอดที่ไม่ได้ทอดใหม่ก็อย่ากิน ไม่ค่อยมั่นใจ กาแฟก็งดก่อนเพราะเดี๋ยวนอนไม่หลับ กินกาแฟก่อนนอนทำให้การหลับไม่ดีเท่าที่ควร

เราสั่งหมูทอดแดดเดียวให้สามีใส่เป้ไปกินกลางทางด้วย หนักก็ต้องแบกไป อย่าเชื่อที่ผู้จัดบอกให้มากนัก เข็ดตั้งแต่งานเทรลที่แม่ฮ่องสอนแล้ว หุงข้าวด้วยฟืนทีละหม้อเล็ก ๆ นักวิ่งทยอยขึ้นมา ข้าวไข่เจียวที่ว่าไม่มีจริง ยังหลอนไม่หาย งานนี้จึงไม่หวังน้ำบ่อหน้า อยากกินอะไร แบกไป

พวกเราถามเขาว่า กังวลบ้างมั้ย กลัวมั้ยสำหรับอัลตร้าแรกเนี่ย เขาว่า ไม่ และคำนวณผลการวิ่งของตัวเองไว้แล้วว่า จะวิ่งจบตอนตีสามวันที่ 1 กันยายน ก่อนเราลงวิ่ง ประมาณว่าวิ่งกันข้ามเดือนเลยทีเดียว

นักวิ่งอัลตร้าครั้งนี้มี 200 กว่านิด ๆ คือ 237 คน แต่รุ่นอายุเขาหรือ 50 ปีขึ้นไปมีไม่ถึงสิบคน งานนี้เขาซ้อมยาวตอนกลางวันแดดร้อนถึง 34 องศา แต่ไม่มีเวลาที่จะซ้อมทั้งคืนอย่างที่ตั้งใจ แต่กระนั้น ก่อนวิ่งหนึ่งอาทิตย์ เขานอนอย่างเดียว เลิกงานก็รีบเข้านอนตั้งแต่สองทุ่ม เราเชื่อเรื่องการพักผ่อนให้พอ ยิ่งแก่ยิ่งต้องการเวลานอนมากกว่าคนหนุ่มคนสาว เขาบอกแต่ว่า จะพยายาม ไม่อยากเป็นภาระเด็ก ๆ อายเด็กเปล่า ๆ และแก่กว่านี้อาจจะไปไม่ไหวแล้ว

เราสามคนมานอนรวมกันอีกห้องหนึ่ง ดูโทรทัศน์ รอไปส่งเขาตอนเที่ยงคืน ปล่อยเขานอนอีกห้อง

ฝนยังตกลงมาไม่ขาดสาย ตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ นึกถึงเส้นทางวิ่งของเขาคืนนี้

ห้าทุ่มกว่า เราออกจากที่พัก ไปรอส่งสามีที่จุดสตาร์ท ฝนพรำ ๆ

คู่ของเราไม่โรแมนติก ไม่ค่อยพูดอะไรกันเยอะ ต่างก็รู้ว่าห่วงนั่นแหละ จะแข่งอยู่แล้วก็ไม่พูดอะไรที่บั่นทอนกำลังใจ เพราะเขารู้ตัวอยู่แล้ว แต่ก็บอกกันเสมอว่า วิ่งให้สนุก วิ่งให้รู้ด้วยตัวเองเสียที ให้สมกับความตั้งใจของเขา

ฉันรู้นิสัย รู้ใจ รู้ถึงความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างมากของเขา ไม่เหลือวิสัย ไม่น่าจะเลิกรา และเชื่อว่าเขารักตัวเองมากกว่าสิ่งใด

หลังจากเสียงแตรปล่อยตัวดังขึ้น (ก็เป็นเช้าวันเสาร์ที่ 1 กันยายน ไปแล้วสินะ)
ไม่พร้อมก็ต้องพร้อมแล้ว เราส่งนักกีฬาจนคนสุดท้ายวิ่งออกจากเส้นสตาร์ทไป จากนั้นเราก็ไปนอนลุ้นกันที่ที่พักต่อ รอฟังข่าวจากเขา ไม่รู้จะส่งข่าวได้หรือเปล่า บนดอยจะมีคลื่นไหม มีที่หลบฝนช่วงไหน อย่างไร แต่ละ CP เป็นอย่างไร นึกไม่ออก แต่คอยเช็คแต่ละ CP ว่าผ่านจุดคัทออฟทันมั้ย

เรากึ่งหลับกึ่งตื่น ได้ยินเสียงไลน์ดัง



ตี 3.46 :: เขาส่งภาพนาฬิกาบนข้อมือที่เปียกน้ำฝน หน้าปัดบอกว่า 16.84 กิโล 3:43 ชม. พร้อมบอกว่า CP2 16 K สบายดี

ตี 5:42 ไลน์ดังขึ้น ส่งภาพนาฬิกาบนข้อมือมา 24 k 5:51 ชม. CP 3 แล้ว
เราตื่นกันหมดแล้ว นั่งเฝ้ามือถือและผลการแข่งขัน ดูแต่ละจุดเช็คพ้อยต์ไปเลย
เขาบอกมาสั้น ๆ ว่า โ ห ด ม า ก

ฝนยังตกพรำ ๆ ไม่ขาดสาย คิดในใจว่า เขาชอบอากาศเย็นมากกว่าร้อน เราเคยวิ่งแบบร้อน ๆ ด้วยกัน ใจจะขาด วิ่งยากกว่าฝนและหนาวอย่างเทียบกันไม่ได้

ครั้งแรกจะตื่นไปรอตรงจุดที่เขาแยกออกมาที่ถนนก่อนเจ็ดโมงเช้า แต่จากจุดนี้ เขาตัดเข้าป่าข้าวโพดไปแล้วก่อนเวลาคัทออฟ ซึ่งทำเวลาได้ดีกว่าที่คาดไว้ เขาบอกว่า ไม่ต้องออกมากัน ดูเขาเป็นห่วงเรามากกว่าที่เราเป็นห่วงเขาเสียอีก

จากนี้ เราก็เช็คผลการแข่งขัน นักวิ่งอีลิททยอยผ่าน CP5 กันไปจำนวนหนึ่ง แต่คนของเรายังไม่ผ่านจุดนี้จนกระทั่งเวลา 11.27 เขาไลน์มาบอกว่า ไม่มีคลื่นเลย เละสุด ๆ ส่งภาพข้าวต้มกับไข่เจียวให้ดูพร้อมเวลาบนหน้าปัดนาฬิกา 44.43 k pace 23.29 ความชันสะสม 1013 จากนั้นเราก็ส่งภาพก๋วยเตี๋ยวของเราให้ดูเหมือนกัน

ดีใจนะว่าเขาผ่านครึ่งทางมาแล้ว

14.21 น. เขารับดร็อปแบ็คและเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ไลน์มาบอกว่า หล่อแล้ว
พวกเราหัวเราะกัน บอกกลับไปว่า ไม่เชื่อ ต้องถ่ายรูปมาให้ดูด้วย เขาก็ถ่ายมาให้ดู จากนั้นเราก็ถ่ายรูปข้าวกล่อง ไข่เจียวและหมูทอดแดดเดียวให้เขาดู บอกไปว่า รอกินข้าวเย็นพร้อมกันนะ



ไลน์ขาดหายไปช่วงนึงคือช่วงจาก CP5 ไป CP9
ข่าวน้ำป่าตั้งแต่เมื่อคืน บอกว่าทางขาด ดินสไลด์
แต่นักวิ่งปลอดภัยกันทุกคน เรารู้สึกกังวลนะ
แต่ก็รอเขาส่งข่าวอยู่

ตอน CP5 มีชื่อเขาผ่านไปแล้วเป็นลำดับที่ 171
และมีรายชื่อนักวิ่งที่ NO STARTED ถึง 29 คน

เอาเถอะ เขาผ่านจุดนี้ไปแล้ว ได้ที่สุดท้ายก็ไม่เป็นไร ไม่จบหรือ DNF ก็ไม่เป็นไร ขอให้กลับมาถึงเส้นชัยอย่างปลอดภัยก็พอแล้ว


ช่วง CP 9 เราเห็นรายชื่อนักวิ่งทยอยมาเช็คพ้อยต์กันตลอด แต่ยังไม่เห็นชื่อเขา คนเข้าสุดท้ายที่จุดนี้มา 139 คนแล้ว เราเช็คมือถืออยู่เรื่อย ๆ จนมาถึงคนที่ 151

เราไปนับดูรายชื่อนักวิ่งที่เหลืออยู่ ก็ไม่เห็นชื่อสามีสักที งงว่า รายชื่อหายไปไหน ป่านนี้ยังไม่มา
แต่พอเช็คชื่อคนที่ 151 อีกครั้งก็เฮกันดังอีกรอบ ชื่อเขาขึ้นมาแล้วนี่ เมื่อกี๊ไม่ทันดูชื่อ สนใจแต่ลำดับที่เข้าสุดท้าย


18.24 น. เขาไลน์มาว่า อีก 10 กิโลจะเข้าแล้ว มาส่งนักวิ่ง 65 k ขอมารอรับด้วย
ใกล้ถึงแล้วจะไลน์มาบอก

เราเริ่มใจชื้นขึ้นเยอะ น้ำตาจะไหลทั้งที่เขายังไม่เข้าเส้นชัยเลย นี่มาเกินครึ่งแล้ว มาไกลกว่าทุกสนามที่เคยลงวิ่งด้วยกัน

19.54 น. เขาไลน์มาอีกรอบว่า อีก 7 กิโลนะ ถึงประมาณสามทุ่ม ทางยากมากเพราะต้องวนเข้าไปในลูป 4 อีกรอบ เขาบอกว่ามืดมาก ไม่รู้หลงทางหรือเปล่า

20.27 ไลน์เข้ามาว่า อีก 1 ชม. จะถึง

22.00 พวกเราเริ่มรอดูตรงทางถนนแล้ว รอรับนักวิ่งเข้าเส้นชัยไปหลายคนแล้ว เสียงของเราสามคนปลุกคนในสนามให้รู้ว่าจะมีนักวิ่งวิ่งเข้าเส้นชัย ช่วงเวลานี้ สนามเงียบมาก ๆ เพราะทุกคนมาส่งนักกีฬาแล้วก็กลับที่พัก พวกมารอรับนักวิ่งก็นับคนได้ มันยังไม่ถึงเวลานั่นเอง

ตากล้องได้ยินเสียงพวกเราก็รีบออกมารอถ่ายรูปให้ เราก็ช่วยกันบิ้วท์นักวิ่งให้ทำท่าสวย ๆ ยิ้มสวย ๆ เป็นฟินิชเชอร์แล้ว ยินดีด้วย ตบมือกันยาว ๆ มีกันสามคนก็เหมือนมีกันสักสามสิบ

น้องตากล้องดีใจที่พวกเรามาอยู่เป็นเพื่อน ฝนพรำ ๆ ทำให้กองเชียร์หายหมด แต่ขณะที่เรารอสามีเข้าเส้นชัยก็มีเพื่อนของนักวิ่งสักคนสองคนมารอรับนักวิ่งเช่นกัน

ทุกครั้งที่ผู้หญิงวิ่งเข้ามา ฉันจะตื่นเต้นและยินดีเป็นพิเศษ เธอไปเอาแรงมาจากไหน ต้องซ้อมขนาดไหนกันถึงลงระยะนี้ได้ ทึ่งมาก ๆ

ในที่สุด สามีฉันก็มาถึง พอเขาเลี้ยวเข้าประตูโรงเรียนเท่านั้นแหละ เสียงกรี๊ดสามคนเราดังที่สุดในสามโลก โคตรจะดีใจเลย ในที่สุดเขาก็ทำได้ เจ้าตัวดูระโหย แต่ก็ยิ้มเข้าเส้นชัยนะ รู้ว่าเขาดีใจแต่ไม่มีแรงจะพูดอะไร
เขาใช้เวลาไป 21:38:56.1 ชั่วโมง ได้ที่ 113 จาก 154 คน ชาย
ได้ที่ 141 จาก 190 คนที่เข้าเส้นชัย โดยมีนักวิ่ง DNF 47 คน

แต่ละคนที่วิ่งไม่จบในวันนี้มีเหตุผลต่างกันไป เราเชื่อหมดใจว่าไม่มีใครอยากวิ่งไม่จบ ต้องมีเหตุที่เจ้าตัวบอกได้ แต่ที่เราอยากบอกกับนักวิ่งระยะนี้ทุกคนคือ เก่งมาก ๆ แค่ตัดสินใจลงระยะนี้ก็ใจเกินร้อยแล้ว ไหนจะต้องวางแผนเตรียมตัวซ้อม ไม่ใช่เรื่องง่าย เราต่างไม่ใช่นักวิ่งอาชีพ ทุกคนมีการมีงาน มีครอบครัวที่ต้องดูแลและมีสิ่งสำคัญที่ต้องรับผิดชอบมากมาย แต่ก็แบ่งเวลามาทำกิจกรรมที่ชอบนี้ได้ ขอแสดงความยินดีให้กับนักวิ่งทุกท่านนะคะ

เรากลับที่พักกันเกือบห้าทุ่ม เพราะต้องไปรับดร็อปแบ็กอีก จะพาเขาไปกินอาหาร และกาแฟ แต่เขาว่าไม่อยากกินอะไรแล้วเพราะเพิ่งกินก๋วยเตี๋ยวก่อนมาเข้าเส้นชัย ตอนนี้อยากอาบน้ำและนอน

สามีดิฉันเน่าไปทั้งตัว ชื้นเหงื่อชื้นฝนมาทั้งวันเต็ม ๆ ไม่บาดเจ็บลื่นล้มอะไร ไม่ได้นอนมาหนึ่งคืน แต่นับว่าสภาพดี ขับรถกลับที่พักได้ ใจก็อยากฟังเขาเล่าแต่ไม่ใช่เวลานี้ กลับมาได้ก็ดีใจสุด ๆ แล้ว

ส่วนเราสามคนก็รีบนอน ต้องตื่นตีห้า ลงระยะวิ่งกรุบกริบกันไว้ ดูจากเส้นทางแล้ว มีชันช่วงกิโลที่ 7 ไป 15 และจากนั้นก็ขึ้น ๆ ลง ๆ ไปจนกิโลที่ 24 หลังกิโลที่ 24ก็วิ่งบนถนนอีก 7 กิโลก่อนตัดเข้าป่าและเข้าเส้นชัย คิดว่าน่าจะไปได้เพราะตั้งใจจะไปเรื่อย ๆ มาซ้อมวิ่งยาวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนลงสนามมาราธอนที่จะมีต่อจากนี้

ระยะ 33 k ที่ฉันวิ่ง ไม่ไกลและไม่ใกล้ สามีบอกว่าให้เอาไม้เท้าไปด้วยและถือไปเลยตั้งแต่ออกจากจุดปล่อยตัว เพราะเริ่มก็เป็นทางขึ้นเขาไปจนกิโลที่ 5 ทางค่อนข้างลื่น แต่แฉะและเละแน่นอน อย่าวิ่งตามไหล่ทางเพราะทางเป็นหลุมลึกเยอะ เมื่อคืนน้ำป่าทำให้ดินสไลด์หลายช่วง ระมัดระวังอย่าล้ม ระวังข้อพลิก มีสติตลอดเวลา อย่าประมาทเส้นทาง เรื่องอื่นก็ไม่มีอะไร น่าจะทันคัทออฟเพราะให้เวลาเหลือเฟือ

สำหรับสนามเทรลแม่แจ่มนี้ ถือว่าไม่ยาก ไม่ง่าย คนที่อยากจะอัพเกรดจากระยะฮาล์ฟมาราธอนก็ลองมาวิ่งได้สบาย ๆ ไม่มีทางซิงเกิ้ลแทร็ก ไม่น่ากลัว ทางสวยงาม มีนาขั้นบันไดตรงจุดสูงสุดของเรซที่บ้านป่าปงเปียง อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องแบกเป้น้ำเต็มเป้ก็ได้ มีน้ำเย็นให้เติมเต็มเป้ทุกจุดให้น้ำ มีน้ำเกลือแร่และน้ำอัดลมทุกยี่ห้อ ใครที่กินเจลก็เตรียมเอาเองค่ะ เจลไม่มีให้อย่างเดียว

สำหรับฉัน เป็นนักวิ่งไม่กินเจล แต่พกน้ำเกลือแร่ที่ผสมใส่ขวดไปเอง กันเหนียว กลัวผู้จัดไม่มีให้ และยังเตรียมเกลือแร่ผงติดเป้ไปด้วย ส่วนเจลนั้น ได้ให้น้อง ๆ ที่ซ้อมกันเกือบหมดแล้ว ไม่ได้ร่ำรวยขยันแจกเจลอะไรนะ แต่เป็นเจลที่ได้มาฟรีจากงานวิ่งงานหนึ่ง ได้ส่วนแบ่งมาคนละเกือบสามสิบซอง จะหมดอายุสิ้นปีนี้แล้ว ก็ต้องถามให้คนอื่นไป แต่ก่อนหน้านี้ ตอนวิ่งมาราธอนก็อุตส่าห์ซื้อ เพราะใคร ๆ ก็บอกว่าต้องกินเจล มันเพิ่มพลังงาน อย่างน้อง ๆ ในทีมนี่กินเจลทุก 5 กิโลและกินก่อนปล่อยตัวอีกหนึ่งซอง เขาจะพกเจลกันคนละแปดซองสำหรับมาราะอน

แต่ตอนนั้น ฉันพกเจลเป็นเหมือนยาวิเศษ ป้องกันการวิ่งไม่จบ เหมือนเครื่องรางช่วยชีวิตประมาณนั้น ซองละ 60 บาท ไม่ใช่ของถูก ๆ อร่อยก็ไม่อร่อย เคยกินตอนวิ่งมาราธอนแรกไปหนึ่งซองกิโลที่ 17 ไม่คิดว่าจะเจอเหตุการณ์แรงตกกะทันหัน ทั้งที่จริงมันไม่ใช่แต่ที่แน่นจนหายใจไม่ออกเพราะดันใส่กางเกงรัดกล้ามจนหายใจไม่ออกนั่นแหละ จากวันนั้นก็ไม่เคยใส่กางเกงรัดกล้ามอีก อึดอัดมาก

งานนี้วิ่งสนุกค่ะ กินอิ่ม นอนหลับดี ไม่ท้องเสีย ไม่ป่วย ไม่ได้ดมยาดมสักปื้ดจนน้องที่ตามมาด้วยแซวว่า งานนี้พี่ไม่ได้ดมยาดมเหมือนทุกครั้ง ก็จริงนะ เพราะอากาศดี เย็นสบายและหอมลมฝน ไปเรื่อย ๆ ถ่ายรูปให้น้องไปตลอดทาง เขาชอบถ่ายรูป ระหว่างทางวิ่งมีฝนพรำ ๆ เย็นดี ตกแรงบางช่วงแต่ไม่ถึงกับต้องใส่เสื้อกันฝน หากเพิ่งเริ่มเทรลก็อาจจะเตรียมเสื้อกันฝนไปด้วย มีน้อง ๆ ใส่เสื้อกันฝนสวย ๆ หลายคน

เจอน้องที่วิ่งเทรลหลวงพะเยามาทัก เขาจำเราได้ ดีใจมาก ๆ เราก็จำเขาได้เพราะเขาแบ่งกาแฟซองให้เราตอนนั่งพักกินข้าวเหนียวหมูปิ้งบนดอยหนอก เธอว่าเธอโดนเท เพื่อนสมัครงานนี้ไว้แต่มาไม่ได้ เลยขอวิ่งตามฉันไปด้วย

พวกเราวิ่งจบก่อนเวลาคัทออฟสามชั่วโมง เป็นงานแรกที่คุยกันไปตลอดทาง มันง่ายเกินไปหรือเปล่า ไม่หรอกนะ แต่มีคนบอกว่า งานนี้มาเดินก็จบ แต่เราของเสริมนิดนึงสำหรับมือใหม่ที่ไม่เคยลงเทรลระยะนี้ จะมาเดินก็เดินอย่าต่ำกว่าเพซ 10 เอ้อระเหยมากจะไม่ทันเวลาน ฝึกสควอทให้มาก ๆ ยังไงก็ต้องซ้อมยาวไว้อยู่ดี

สำหรับคนที่เคยผ่านแม่กำปองเทรล โป่งแยงหรือ CM6 มาแล้ว ก็ไม่น่าห่วงค่ะ ระยะนี้อาจจะเด็กเกินไปด้วยซ้ำ

ขอบคุณผู้จัดนะคะ งานเทรลนี้พลิกความคาดหมาย
ดูแลดี อาหารดีงาม เหลือเฟือ ดีก็ต้องชมและบอกต่อค่ะ
ขอให้เป็นแบบนี้ไปทุก ๆ งาน เราจะตามไปวิ่งอีก

ขอขอบคุณช่างภาพทุกท่านค่ะ

ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย
UTCM 2019


















Create Date : 07 กันยายน 2562
Last Update : 7 กันยายน 2562 13:38:58 น.
Counter : 760 Pageviews.

0 comment
--- เ ร า ไ ม่ เ ค ย รั ก กั น เ ล ย จ ริ ง ๆ ---













1.

อกหัก รักษาใจด้วยการออกวิ่ง

ความรู้สึกนี้ไม่อาจเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งเพราะไม่มีประสบการณ์ตรง
อกหักตอนเป็นสาวก็ลืมไปแล้ว จำเนื้อหาหรือเรื่องราวไม่ได้ด้วยซ้ำ
ที่แน่ ๆ ที่เกิดขึ้นคือเสียใจ ร้องไห้ บอกเล่าพี่ ๆ ที่รักทั้งหลาย แล้วก็ต้องไปซ้อมซอฟต์บอลต่อ ไม่ได้ซ้อมเพื่อลืมความอกหัก แต่ซ้อมเพราะต้องซ้อม จะแข่งอยู่แล้ว ในใจคิดอะไรก็จำไม่ได้ คนที่ทำให้เราอกหักก็เป็นนักกีฬาเหมือนกัน เขาเป็นรุ่นพี่รัฐศาสตร์ หล่อก็ไม่หล่อ นิสัยก็ไม่ดีเท่าไหร่ เป็นขี้เมา เถื่อน ๆ ไม่รู้ไปชอบเขาได้ยังไง ฉันเป็นคนชอบใครชอบจริง รักใครก็รักจริงหวังแต่งว่างั้นเถอะ อกหักจากพี่เขาแล้วก็นึกไม่ออกว่าเกิดเหตุอะไรอีก เขาก็ไปกับแฟนเขา เราก็ไปกับพวกเราหลังเลิกซ้อม มีแค่นั้น

เราได้เบอร์พี่เขาอีกทีก็ตอนที่ต่างคนต่างมีครอบครัว พี่เขาทำงานอยู่ที่พิจิตร พี่ชายอีกคนฝากเบอร์ไว้ให้เพราะต้องติดต่อให้เขาเป็นธุระเรื่องแม่ของสามีเสีย น้ำเสียงเราต่างดีใจที่ได้คุยกัน ถามทุกข์สุขเรื่องราวปัจจุบัน คุยกันเพลินจนเกือบลืมเรื่องสำคัญไปซะนี่ ดีใจที่เขามีความสุขกับครอบครัว จากวันนั้นก็ไม่ได้โทรฯหาเขาอีก คุยกันจบแล้วไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกันอีก หากเจอกันครบทีมก็น่าจะดี

แต่ DNF แรกนี่สิ ซาบซึ้งมาก จ๋อยและคิดไม่ถึง เสียดายที่เข้าไม่ทันเวลา คิดย้อนไปย้อนมาอยู่นั่นแหละ แรงก็เหลือ แต่ไปเสียเวลาตอนกินต้มถั่วเขียวและกินข้าว จิบกาแฟบนดอยหนอกอย่างชื่นมื่น หารู้ไม่ว่า ทางดาวฮิลล์นี่มันสาหัสนัก ถ้ากลิ้งลงไปได้ก็น่าจะทำอย่างนั้นไปเลย ไม่เคยเห็นดาวฮิลล์แบบนี้ที่ดินร่วนซุย ไม่มีแม้กิ่งอะไรให้จับยึด แต่ต้องใช้เทคนิคและการฝึกที่แข็งแรงมากเพื่อจะวิ่งลงและทรงตัวได้ ไม่เช่นนั้นก็จะพุ่งแบบลงเหวไปเลย

จากวันที่ DNF แรก ก็นั่งกินข้าวแบบจ๋อย ๆ กินข้าวไม่อร่อย ลืมความเหนื่อยล้า แต่คิดวนไปวนมาว่าน่าจะจบ น่าจะทัน ซ้ำซาก อ่านหนังสืออะไรก็ไม่รู้เรื่อง ไม่อยากวิ่ง ไม่อยากเล่าอะไรให้ใครฟัง ทำใจไม่ได้ว่างั้นเถอะ เป็นเอามากจริง ๆ

ตกเย็นอีกวัน เปลี่ยนชุดเพื่อจะออกไปยืดเหยียดร่างกายหลังแข่ง หิ้วรองเท้ามา ค่อย ๆ ร้อยรองเท้าจนถึงรู้สุดท้าย ผูกมัดเชือกรองเท้าจนกระชับ แต่ไม่มีกะจิตกะใจจะวิ่ง ใจห่อเหี่ยว ไร้ความสุข

คนอื่นเขาเป็นเหมือนเราหรือเปล่าเนี่ย เรียนหนังสือก็ไม่เคยสอบตก เล่นกีฬาแพ้ก็ออกอาการบ้าบอไปตามประสา แต่ก็ฮึดสู้ แมทช์ต่อไปจะไม่แพ้อีกแล้ว นั่นเพราะแข่งกับคนอื่นและจิตใจเป็นนักสู้ด้วยหรือเปล่านะ อยากทำชื่อเสียงให้สถาบันนั่นคือข้ออ้างหนึ่ง ลึก ๆ คือคิดว่า เราน่าจะเอาชนะเขาได้ เพียงแต่ใครจะเออเรอร์น้อยกว่าเท่านั้น แต่กีฬาเป็นทีมนั้นพูดยาก มันต้องใจเดียวกัน สู้ด้วยกันอย่างสุดจิตสุดใจทุกคน ใครฝ่อก็มีผลต่อทีม

แต่วิ่งเป็นเรื่องของเราคนเดียว เป็นการเอาชนะใจตัวเองล้วน ๆ ไม่ได้ไปแข่งกับใครนอกจากกติกาในเรื่องของเวลา ในเรซ ทุกคนคือเพื่อนร่วมทาง ไม่ได้แข่งกัน มีแต่เป็นกำลังใจให้กันและกัน เห็นหน้าเพื่อน ๆ ที่ลงสนามเดียวกันแล้วโคตรจะมีความสุข ยิ่งร่วมทางทรหดไปด้วยกันยิ่งมีแต่ความทรงจำดี ๆ เหนื่อยแต่หัวใจฟู ชอบตัวเอง ชื่นชมตัวเองว่าแกเจ๋งว่ะที่สมัครลงวิ่งกับเด็ก ๆ พวกนี้ได้ ไม่ว่าน้องคนไหนวิ่งผ่านหน้า ต่างก็ให้กำลังใจเรา เราล้ม เราเหนื่อย เขาก็เข้ามาไถ่ถาม ช่วยเหลือ คิดถึงบรรยากาศแบบนี้ ไอ้ที่หงอย ๆ จ๋อย ๆ ใจคอห่อเหี่ยวก็เริ่มจาง จ๋อยอยู่สองวันแล้วก็เขียนเล่าได้ ไปดูรูปในเทรลสนุกสนานไปอีก เล่าความเห่ยของตัวเองได้อย่างสนุกสนาน ใจฮึกเหิม บอกตัวเองซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ ว่า ปีหน้าเอาใหม่ ตอนนี้ก็ไปลุยสนามหน้า เรียกขวัญกำลังใจคืนมาหน่อย

แต่หารู้ไม่ว่า สนามที่โหดถัดไปนั้นเป็นสนามอัลตร้าที่ฉันยอมแพ้แบบราบคาบ ยอม DQ เพราะไปต่อไม่ไหว สงสารตัวเอง คิดถึงหน้าลูก ๆ คือดันทุรังต่อไปไม่ได้ เราไม่แข็งแรงพอ ยังต้องซ้อมอีกสักสิบเท่าของวันนี้จึงจะผ่านได้ เราไม่ได้แข็งแรงเหมือนตอนเป็นสาว ๆ คือยอมแพ้อย่างราบคาบ นั่งกินข้าวไข่พะโล้และเป๊ปซี่สบายอารมณ์ นั่งรอเพื่อนร่วม DNF ที่ทยอยออกป่า นั่งคุยเล่นคุยหัวกับน้อง ๆ ที่ดีเอนเอฟเหมือนกัน ขำ ๆ มากกว่า เราซ้อมไม่พอ ซ้อมไม่ดีจริง ๆ ไม่ติดใจอะไร รอแค่ว่าพร้อมเมื่อไรก็อาจจะมาแก้มือ แต่ตอนนั้นคือยอมแล้วนะ ไม่คิดแก้แค้น กะลาแล้วลาเลย พูดคุยกันแบบจริงจังมาก หัวเราะกับความพ่ายแพ้ครั้งนี้ แต่ผ่านไปสักวันสองวัน เขาเปิดรับสมัครของปีหน้า ให้โควต้าพวก DNF สมัครได้เลยโดยไม่ต้องเข้าคิว แล้วก็เป็นจริงดังคาด คนที่บอกว่าจะไม่เอาแล้วสนามนี้ ยอมแล้ว ๆ ไม่คิดไม่แค้น ต่างทยอยกันลงชื่อเหมือนลืมหนังชีวิตในไร่อ้อยนั่น ลืมเหวทางซิงเกิ้ลแทร็ก ลืมเขา ลืมน้ำตกที่ตกลงไปทั้งตัวหรือนั่งจุก อัดยาดมไปสองรูจมูกตอนตะกายขึ้นจะการตกลงข้างทาง เนื้อตัวมีแต่แมลง ผึ้งต่อยก้นตอนนั่งทับเขา เราลืมหรือไม่ลืมกันแน่ แล้วเรามือลั่นหรือเปล่าที่จะไปลุยซ้ำเส้นทางนี้อีกครั้ง

แปลกใจว่า แก่แล้วทำไมยังบ้าบอได้ขนาดนี้ มีวิญญาณอะไรสิงอยู่ในตัวเรานะ










2.

วันอาทิตย์ตอนเช้า แม้จะตื่นสาย แต่เราก็ออกมาซ้อมวิ่งที่สระน้ำหน้าบ้าน ไม่เอาอะไรมาก แค่ขอตื่นมาและใส่รองเท้าออกวิ่งก็พอ เราตั้งใจจะซ้อมเช้าและเย็น แต่เน้นตอนเย็นเหมือนเดิม

ฉันตั้งกล้องไว้ ตั้งใจว่าจะเก็บภาพกะเต็นน้อยของปีนี้ไว้เป็นบันทึกของปี ดูเหมือนจะไม่ยากแต่เก็บภาพเขาไม่ได้ ยังมีต้นไม้บังมุมที่เราถ่ายอยู่ แต่ไม่คิดมาก ไว้ตอนเย็นค่อยว่ากันใหม่

ตกเย็น เขาไม่มา ให้มันได้อย่างนี้สิ แต่คิดว่าสัปดาห์นี้จะรีบนอนแต่หัววันทุกวัน เพื่อจะวิ่งตอนเช้า

เราเข้านอนกันตั้งแต่สองทุ่ม เพื่อจะซ้อมวิ่งตอนเช้า แต่มีสายเข้ามือถือของฉันราว ๆ สี่ทุ่ม เป็นเบอร์แปลก ๆ ครั้งแรกไม่อยากจะรับเลย ไม่รู้ใครโทรฯมา ไม่เคยให้เบอร์มือถือใคร แต่ก็รับอยู่ดี ปรากฏว่า พี่ที่เคยมาซื้อยากันประจำ ขอเบอร์ไว้นานแล้ว เคยขอคำปรึกษาเรื่องการใช้ยาหรืออะไรสักอย่างนี่แหละ ฉันลืมไปแล้ว เธอโทรฯมาบอกว่า ที่ร้านของฉันมีน้ำไหลออกมา หน้าบ้านน้ำนอง ไหลไปถึงถนน คาดว่าก๊อกน้ำแตกในบ้านแน่ ๆ

ฉันสะดุ้งเลย สามีก็รอฟังอยู่ว่ามีอะไร ใครโทรฯมา

เรารีบไปหน้าร้านด้วยกัน ฉันจำได้ว่า ก่อนหน้านี้บ้านเคยก๊อกน้ำแตกมาครั้งนึง แต่ตอนนั้นน้องแฝดยังไม่ถึงขวบ เพราะเราปิดห้องนอนชั้นบนไว้ ปล่อยลูกนอนและลงมาลุยน้ำกันสองคน

แต่ครั้งนี้ ตอนเปิดบ้าน ฉันยืนตะลึงไปเลย ทำอะไรไม่ถูก เพราะตอนเปิดประตูร้านนั้น ได้ยินเสียงเหมือนน้ำตกดังซู่ ๆ ลงมาจากชั้นสาม ตึกแถวหน้ากว้างสี่เมตร ยาว ยี่สิบสามเมตร นั้น พื้นข้างบนน้ำนองถึงข้อเท้าและไหลลงมาข้างล่างที่พื้นก็นองถึงข้อเท้าเช่นกัน เสียงน้ำตกเป็นแนวยาวซึมลงมาเป็นสายและตกลงมาแบบทะลักทะลายลงตู้ยาทั้งสองฟากตลอดแนว และตู้จ่ายยาตรงกลาง น้ำที่ตกลงมาตรง ๆ ซึมเข้ากระจกและนองอยู่ในตู้ชั้นล่างสุด คือไม่ต้องพูดเลยว่า จะเกิดอะไรขึ้น

ฉันยืนมองนิ่ง ๆ ตั้งสติ แต่ทำอะไรไม่ถูก สามีไปปิดวาวน้ำก่อนและขึ้นชั้นบน ขณะน้ำยังลงมาไม่หยุด

พี่สร้อย ร้านขายลาบที่อยู่ข้างบ้านมาช่วยไล่น้ำออกจากร้าน จากนั้นลูก ๆ หลาน ๆ ของพี่สร้อยก็มาช่วยเราอีก ฉันหยิบจับอะไรไม่ถูก โต๊ะวางคอมฯ เปียกโชกลงจนไม่กล้ามองคอมฯและซีพียู โต๊ะทำงานใต้บันได น้ำซึมไปใต้กระจกที่มีรูปลูกและคนในครอบครัว ตู้สีสี่ตู้ใส่หนังสือที่อ่านบ่อย ๆ ที่ทำจากกระดาษอัดแข็งก็บวมน้ำ หนังสือที่เรียงอยู่ชั้นล่างสุดก็บวมน้ำ แต่ฉันยังไม่ทำอะไร เก็บไอแพดสองเครื่องที่น้ำตกใส่อยู่ อันนึงเปียกน้ำ อีกอันอยู่ในซองหนัง แค่ชื้น ๆ ซึม ๆ หนังสือที่เรียงอยู่สองแถว ๆ ละกว่าสี่สิบเล่ม มีน้ำไหลนองลงมา ฉันขนหนังสือไปวางตรงโซฟาหลังบ้านก่อน หยิบจับอะไรไม่ถูกเลย

ฉันขึ้นไปดูสามีที่ชั้นสาม ไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นสามีกำลังหาไม้แยงท่อน้ำเพื่อให้น้ำไหลลงท่อปกติ แต่ท่ออุดตันเพราะเราไม่ได้อยู่บ้านนี้มาเกือบยี่สิบปีแล้ว แทบไม่ได้ขึ้นมาดูบนห้องนี้เลย นาน ๆ ทีขึ้นไปเพราะไม่ได้ใช้เป็นที่พักอาศัยเหมือนตอนมาแรก ๆ

สาเหตุที่ท่อน้ำแตกคือ ปลวกค่ะปลวก

ปลวกกัดวงกบประตูห้องน้ำ กัดจนประตูหลุดและฟาดมาที่ก๊อกน้ำพอดี๊ ก๊อกหัก น้ำพุ่ง ว้าวมาก คือเหมาะเจาะอะไรเช่นนี้

ปลวกมหาภัย กินเงียบเลยค่ะงานนี้ ฉวยโอกาสที่เราไม่อยู่ ไม่ดูแลเพราะข้างบนชั้นสามไม่มีข้าวของอะไร แต่มีประตูไม้ ซึ่งเป็นอาหารของปลวก

พี่สร้อยแลยบอกว่า ห้องแถวสี่ห้องที่ถัดจากเราไป ผจญกับปลวกมาหมดแล้วทุกห้อง เราก็นึกว่าตรงท่อทิ้งน้ำจะมีแต่ปลวก เราก็ดูอยู่เพราะเขาบอกเราไว้แล้วว่า ไม้อัดที่ปิดท่อน้ำทิ้งนั้น เป็นที่อยู่ของปลวก และเป็นทุกบ้าน แต่เรานึกไม่ถึงว่า มันจะกินวงกบจนประตูพัง

พี่สร้อยบอกว่า พี่สร้อยและเพื่อนบ้านเปลี่ยนวงกบกันไปแล้วคนละรอบ อ้อ.. ถึงคิวเราแล้วสินะ แต่ของเรามันเตือนแรงไปหน่อย ใครจะคิดว่ามันจะกินจนประตูหลุดและตกกระแทกก๊อกน้ำแตก อะเมซซิ่งจริง ๆ

ทุกคนช่วยเหลือเราจนพอจะเดินในบ้านได้ เราได้แต่ขอบคุณ ตื้นตันจนน้ำตาไหล ซาบซึ้งใจที่เขามาช่วยเราสองคน

จากนั้นพี่สร้อยและเด็ก ๆ ก็ขอตัวไปพัก เราก็ค่อย ๆ เก็บของลงถุงดำ เรื่องความเสียหายไม่ต้องพูดถึง พูดไม่ออก แต่มันเกิดขึ้นแล้ว สามีไลน์บอกคนฉีดปลวกตอนตีหนึ่ง เขาว่างเมื่อไรก็คงจะมาให้

เราเพิ่งรู้ว่า เราไล่เก็บของจนถึงตีหนึ่ง ทำเท่าที่ทำได้ก่อน ฉันรู้สึกแน่นหน้าอก คิดว่าอาจจะเครียดลงกระเพาะเพราะตกใจ และที่แย่หน่อยคือ กล้ามเนื้อหน้าขาซ้ายกระตุก ขาอ่อน ไม่มีแรงจะเดินไปเสียอย่างนั้น เข้าใจเองว่า ฉันต้องเครียดแน่เลย แม้จะมีสติ ไม่โวยวายอะไร แต่ลึก ๆ กังวล เครียดและเหนื่อยมาก

สามีจัดการอุดท่อเสร็จ และจะขี่เจ้าฟีโน่กลับบ้าน ปรากฏว่า ยางแบนทั้งสองล้อ เราเลยเดินเข้าบ้าน ฉันแน่นอกมากและขาอ่อนแรง บอกสามีว่า ยังไม่หายตกใจเลย เขาก็ว่า ไม่เป็นไร รู้ตอนนี้ดีกว่าตอนที่เราไม่อยู่บ้าน ฉันก็อืม...ใช่ ดีกว่าไฟไหม้บ้านนะ

เราอาบน้ำก่อนขึ้นนอนด้วยความเหนื่อยล้า ไม่ได้คุยอะไรกันอีก

เสียงนาฬิกาปลุกตีห้า สามีลุกออกห้องไปแล้ว เขาไม่ได้เรียกเรา ฉันตามลงไป ถามว่าจะไปไหน เขาว่าจะไปเก็บของที่ร้าน ไม่ต้องไปหรอก นอนพักเถอะ ไม่เป็นไรหรอก

ฉันไปไม่ไหวจริง ๆ เลยนอนต่ออีกหน่อยเพราะเพลียมาก หายแน่นอกแล้ว แต่กล้ามเนื้อขายังกระตุกอยู่ ไม่มีเรี่ยวมีแรง

เรากินอาหารเช้าที่บ้านด้วยกัน ออกบ้านมาทำงานตอนเจ็ดโมงเช้า

วันจันทร์ทั้งวันคือวันที่ไล่เก็บของที่เสียหายลงถุงดำ ไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องใช้ใจคัดแยกแบบที่เลือกของทิ้งแบบทุกครั้ง รูปถ่ายของทุกคนในครอบครัวบนโต๊ะทำงานโดนน้ำละลายจนเลือนไปหมด เสียดายมาก ๆ แต่ก็ต้องทิ้ง ใจสงบลงเยอะเพราะไม่ได้ยินเสียงน้ำตกเหมือนตอนที่เปิดประตูมาครั้งแรก

ค่อย ๆ เก็บบ้านไปเรื่อย ๆ สามีบอกว่า วันนี้ลางานไม่ได้ ทำเท่าที่ทำได้ ตอนเย็นจะรีบกลับมาช่วย ฉันว่า ไม่ต้องรีบมา มีอะไรก็ทำไปเถอะ ไม่มีอะไรแล้ว จัดการเองได้ แล้วก็เป็นแบบนั้นคือ ทำไปเรื่อย ๆ ขายของไปด้วยแต่เหนื่อยจริง ๆ

บ่าย ๆ คนฉีดปลวกมาบ้าน เขาตกใจที่สามีฉันไลน์ไปตอนตีหนึ่ง ฉันเล่าไปคร่าว ๆ ชี้จุดที่ปลวกเดิน ช่วยจัดการเรื่องปลวกให้ที มันกินมาถึงบันไดแล้ว ห้องน้ำนี่พรุนไปหมด ไม่กล้าดูความเสียหาย คนฉีดปลวกบอกว่า ปลวกกินมาถึงบันได ใต้พื้นห้องน้ำ ปลวกกัดโครงหมด ขอให้เราย้ายโต๊ะทำงานเผื่อว่ากระเบื้องที่ปิดใต้ห้องน้ำจะทะลุลงมา ปลวกกินคานไม้หมดแล้ว

นี่แค่เรื่องเล็ก ๆ ที่เกิดในบ้านนะ นึกถึงคนที่เจอน้ำท่วมทุกปี และจมอยู่กับน้ำเน่าอีกหลายเดือน จะอยู่จะกินจะใช้ห้องน้ำกันยังไง

ฉันตื่นตกใจเพราะตอนเห็นมันน่ากลัวมาก แต่ตอนเก็บข้าวของ เช็ดบ้าน เช็ดตู้ก็ไม่คิดอะไรมากแล้ว ของเสียหายก็ปล่อยไป อะไรต้องจ่ายก็ต้องจ่าย กินข้าวอร่อยอยู่นะ กินด้วยความระโหยโรยแรง สามีมาถึงบ้าน บ้านก็เข้าที่เข้าทางแล้ว เหม็นกลิ่นอับจากน้ำทั้งคืน สามีคงสงสารเพราะรู้ว่าต้องเหนื่อยแน่ อากาศถ่ายเทไม่สะดวกด้วย แต่ฉันดีใจที่ยังขายของไปได้ตามปกติ ไม่ได้แสดงอาการอะไรเพราะไม่รู้สึกหนักใจอะไรแล้ว

ใจอยากจะไปวิ่งตามปกตินะ แต่ไม่มีแรงจริง ๆ

เจ้าฟีโน่ยางแบน ฉันโทรฯให้ช่างมาเปลี่ยนยางให้แล้ว ขี่ฟีโน่เข้าบ้าน สมาชิกรอบสระเรียกให้มาวิ่งด้วยกัน ฉันคึกคักเลย แต่ขาไม่มีแรงเอาเสียเลย ออกไปเดินเล่นรับลมเย็น ๆ ดีกว่า ได้คุยกับลุงหนอง เรื่องความเจ็บไข้ได้ป่วยของคนบ้านเรา ล้มหายตายจากกันเรื่อย ๆ คนในซอยก็จากเราไปหลายคนแล้ว วันนี้ได้ถามส้มเรื่องสมาชิกของหมู่บ้าน จ่ายค่าสมาชิกเวลามีงานศพ มีกลุ่ม 5 บาท 10 บาท 25 บาท ฉันไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร เดี๋ยวค่อยเล่าอีกทีค่ะ สองคนนี้เดินสามสิบนาทีแล้วก็ไป เหลือรองฯสมชาย เขามาเดินเป็นเพื่อนฉัน ทุกทีฉันจะวิ่งอยู่คนเดียว ไม่ค่อยได้คุยกับใคร วันนี้เลยเดินคุยกับคนนั้นคนนี้ อากาศดีมาก ๆ ไม่ออกมาเดินคงเสียดายอากาศดีเป็นแน่

เป็นอีกวันที่ไม่มีแรงจะดูละคร ไม่ว่าจะภาตุฆาตหรือด้ายแดง ข้าเจ้าขอลาไปนอน แล้วก็หลับเป็นตาย ตื่นมาเช้านี้หายหมดแล้ว อาการที่กล้ามเนื้ออ่อนแรง กินข้าวกินกาแฟอร่อยแล้ว อยากมาร้าน มาทำงาน และอยากซ้อมวิ่งเหมือนเดิม

บันทึกไว้ในวันที่ปลวกบุกร้านยา
อีกยี่สิบปีข้างหน้าค่อยว่ากันใหม่นะ
ตอนนี้พักรบกันก่อนนะเจ้าปลวก
เราไม่เคยรักกันได้เลย จริง ๆ ให้ตายสิ


ภูพเยีย
25-26 สิงหาคม 2562














Create Date : 27 สิงหาคม 2562
Last Update : 27 สิงหาคม 2562 13:53:45 น.
Counter : 545 Pageviews.

1 comment
--- ส ว น ด อ ก ไ ม้ บ้ า น แ ม่ ---




























ฉันซื้อบัวดินส่งไปให้น้องชายกับแม่เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา บ้านน้องชายเพิ่งทำรั้วมีรางใส่ดินไว้รอบรั้วเพื่อปลูกดอกไม้โดยเฉพาะ ฉันถามเขาว่าอยากได้บัวดินมั้ย หน้าฝน บัวดินสวยดี หน้าอื่น ๆ ก็ปลูกดอกไม้อื่นไว้ดูสลับกัน เขาอยากได้แต่เกรงใจที่เราต้องเป็นธุระจัดส่งให้ ถ้าเหตุผลนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ที่ต้องถามก่อนเพราะตอนนั้นไม่เห็นว่าบ้านน้องชายมีที่สำหรับปลูกต้นไม้

ฉันไปขอซื้อบัวดินที่ไร่เคียงรุ้ง ไม่รู้หรอกว่าพี่เขาขายต้นละเท่าไร ยังไง บอกแต่ขอช่วยจัดบัวดินให้สองกล่อง กล่องใหญ่ให้แม่กับกล่องเล็กให้น้องชาย

พี่ถามว่าจะเอาอะไรบ้าง ฉันไม่รู้หรอกว่าบัวดินจริง ๆ มีกี่สี เคยเห็นสีพื้น ๆ สีขาว เหลือง ชมพู แต่สวนพี่เขามีหลากสี เขาเพาะเองด้วยสิ เห็นสีสวย ๆ เยอะเลยแต่เรียกไม่ถูก จึงบอกพี่ไปว่า แล้วแต่พี่เลยค่ะ น้องชายกับแม่มีฝีมือในการปลูกดอกไม้พอตัว ยิ่งแม่ยิ่งไม่ห่วง เพราะแม่อยู่กับสวนน้อยของเขาทุกวัน ปลูกดอกอะไรก็สวยงาม แต่แม่ก็บอกเหมือนกันว่า ไม่ต้องส่งมาให้แม่หรอก ค่าส่งคงแพงมาก ฉันก็อือ ๆ ออ ๆ ไป ถามแต่ว่า อยู่หรือเปล่าช่วงนั้น เดี๋ยวไม่อยู่บ้าน บัวดินเน่าตายในกล่องจะเสียดายเปล่า ๆ

การส่งบัวดินไม่ยากอย่างที่คิดเพราะเราไม่ได้จัดลงกล่องเอง แต่พี่จัดลงกล่องให้เราเลย ถามแต่ว่า ผู้รับอยู่ที่ไหน จะได้รู้ว่าตรงไหนควรส่งเคอรี่หรืออีเอ็มเอส ก่อนปิดกล่องบัวดินควรพรมน้ำให้ชุ่มก่อน ต่อให้เขาโยนกล่องอิเหระเขระขระก็ไม่ตาย นี่พูดเผื่อไว้เพราะคาดหวังอะไรกับใครไม่ได้

บัวดินได้ลงดินที่ชัยภูมิและโคราชเรียบร้อยแล้ว เดือนที่ผ่านมาดูเหมือนจะยังไม่สะพรั่งเพราะฝนน้อย แต่บัวดินที่ลงบ้านแม่ดูสดชื่น อยากอวดความงามจากเมืองเหนือเสียเต็มประดา แต่ละชุดที่พี่จัดให้ จะแนบชื่อบัวดินให้ด้วย เป็นบัวดินกลีบซ้อนสีสวย ละมุน ท่าจะเป็นดาราของไร่เคียงรุ้ง

แม่ขึ้นแปลงดินเล็ก ๆ และลงบัวดินเป็นแนวถนนในสวน บางส่วนลงตะกร้าสีน้ำเงิน แม่มีความสุขกับการถ่ายดอกไม้ของแม่และบัวดินให้ลูก ๆ ดูในไลน์ ฉันอิจฉาแต่กุหลาบบ้านแม่ โดยเฉพาะสีชมพู ออกมาทีนับร้อยดอกเพราะลำต้นใหญ่ และกุหลาบสีอื่น ๆ ในสวนก็ดูสมบูรณ์ดี และแมวก็รักแม่เหลือเกิน มาสวนกับแม่ทุกวัน

เพิ่งสังเกตเมื่อไม่กี่วันมานี้ว่า แม่ไม่โพสต์บัวดินเหมือนเคยทั้งที่ฝนตกติดต่อกันหลายวัน ได้แต่แปลกใจแต่ไม่ได้ถาม มัวแต่ชมดอกไม้และแมวของแม่ที่แม่เล่าให้ฟังจนเพลิน แม้ความเป็นจริงของแมวไม่น่าเพลิดเพลินสักเท่าไหร่ เจ้าคาสโนว่า แมวเกเรมาปู้ยี่ปู้ยำแมวเล็ก ๆ ของแม่จนน่าเวทนาไปหลายตัว แม่จับแมวได้ทุกตัวยกเว้นเจ้าคาสโนว่าที่แม่บอกว่า มันเป็นเจ้าพ่อแมวในหมู่บ้าน นี่ก็ลูกหลานคาสโนว่าแทบจะทุกตัว จะจับมาทำหมันก็จับไม่เคยได้ ความจริงถ้าเอาจริงก็น่าจะได้นะ ฉันคิดแต่ไม่ได้พูดให้แม่ไม่สบายใจ

จนกระทั่งฉันส่งรูปบัวดินของฉันให้แม่ดูว่า บ้านฉันออกทุกสีแล้ว บัวดินแม่สบายดีอยู่หรือเปล่า

'หอยทากกินหมดแล้ว แม่เสียใจอยู่นี่ เลยไม่อยากเล่าให้ฟัง มันกินจนกุดถึงรากเลย'
แล้วแม่ก็ถ่ายดินว่าง ๆ และตะกร้าที่มีแต่ดินให้ดู
ยิ่งไปกว่านั้น แม่ว่า ต้นมะละกอของแม่ หอยทากก็กิน

แม่ต้องใช้ยาโรยฆ่าหอยทากแล้วมั้ง ตอนที่บ้านดอยปลูกดาวเรืองมันก็กินเรียบ กินจนไม่เห็นซากเลยเหมือนกัน

น้องสาวฉันเห็นว่าจะต้องฆาตกรรมหอย เธอรีบพิมพ์เข้ามาในไลน์อย่างรวดเร็ว อย่าไปฆ่ามันเล้ย ปลูกดอกไม้สวย ๆ แต่ต้องฆ่าหอยเนี่ยนะ บาปกรรมเปล่า ๆ

อ้าว แล้วจะให้ทำยังไง

ไปถามเจ้าของไร่บัวดินสิ เขาทำยังไงกับหอยพวกนี้ มันน่าจะมีวิธีอื่นที่ไม่ต้องฆ่าหอย

ฉันคิดในใจว่า เวรกรรม เพราะฉันโรยยานะตอนปลูกดอกดาวเรืองครั้งใหม่ อยากบอกน้องสาวฉันว่า ฉันนี่ฆาตกรตัวแม่ ฆ่าปลวกมาหลายยกแล้ว อยากจะโกยปลวกออกมาเผาหมู่ด้วยซ้ำ ฉันมันโหดดดดด

ฉันบอกแม่ว่า ไม่เป็นไรแม่ เดี๋ยวถามพี่เค้าให้ ค่อยส่งบัวดินมาให้แม่ปลูกใหม่ได้ ตอนเราเอาดอกไม้พี่เขามาปลูกแล้วตาย เรารู้สึกไม่ดีมาก ๆ เวลาเขาถามว่าอยากได้ต้นไม้นี้ไปปลูกมั้ย ดอกนั้นมั้ย จะได้ถ่ายผีเสื้อสวย ๆ กับดอกไม้ เราไม่อยากเอาอะไรมาแล้ว พี่ให้มาเท่าไหร่ก็ตาย แต่พี่ก็บอกว่า ของเขาก็ตายไปเยอะแต่ไม่ได้เล่า เล่าแต่เรื่องที่เห็นสวย ๆ งาม ๆ ตรงหน้า ต้นไม้ตายก็ปลูกใหม่สิ จะเป็นไรไป

ฉันเล่าพี่ไปตามจริงว่า แม่กับน้องคงไม่อยากใช้ยาฆ่าหอยแบบที่พี่แนะนำหรอก มีวิธีอื่นมั้ย วิธีที่เป็นมิตรกับสวนและต้นไม้อื่น ๆ ออร์แกนิกก็ได้พี่

ก็มีอยู่นะ นึกออกมั้ยว่า ท้องหอยทากจะนุ่ม ๆ เขาไม่ชอบที่ขรุขระ คลานลำบาก เราก็เอาทรายผสมกรวดหยาบ ๆ หรือไม่ก็เศษแก้ว แต่เศษแก้วไม่น่าจะดีเพราะจะบาดมือคนทำ โรยไว้รอบแปลงบัวดินหรือรอบกระถาง มันมาออกันอยู่ก็หยิบไปปล่อย อย่าปล่อยแถวใบไม้แห้งที่กองถมกันอยู่นะ หอยทากซุกหลับอยู่ตามนั้นแหละ มันชอบวางไข่ตามเศษซากใบไม้ที่กองหมักหมม ดินชื้น อ่อ หอยทากชอบนอนกลางวัน จะออกหากินตอนเย็น ๆ หรือหัวค่ำ ถ้าแม่มีเวลามาก ตอนเย็นก็ให้แม่มาจับหอยทากออกเองก็ได้ หรือไม่ก็โรยปูนขาว หอยทากแพ้กรดและความเค็ม อันนี้ก็ง่ายหน่อยแต่ต้องมาเก็บหอยทากที่มาออรอบปูนด้วยนะ

ฉันเขียนเล่าให้แม่อ่าน ไม่ค่อยโทรฯคุยกัน เพราะแม่ไม่ค่อยได้ยินที่ฉันพูด การรับฟังของแม่แย่มาก แล้วแม่ก็ไม่ยอมใส่เครื่องช่วยหูฟังด้วย เขาว่าเสียงมันก้องอยู่ในหู ไม่มีความสุข

แต่ฉันช้ากว่าน้องสาวเสมอ เธอจัดการค้นคว้าส่งข้อมูลการกำจัดหอยทากแบบเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่สุดให้แม่ไปแล้ว







ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย












Create Date : 14 สิงหาคม 2562
Last Update : 14 สิงหาคม 2562 14:14:22 น.
Counter : 498 Pageviews.

1 comment
--- รู้ สึ ก ส ง บ แ ล ะ ป ล อ ด ภั ย ---
















หลายวันก่อน เขียนจดหมายไปบอกความคิดถึงถึงน้องคนหนึ่ง เธอหายไปจากเฟซบุ๊กได้สักระยะใหญ่ ๆ เธอบอกกล่าวก่อนเงียบหายไป ถึงไม่เห็นสเตตัสพูดคุยอยู่บนโลกออนไลน์แต่เรารู้สึกว่าเธอไม่ได้หายไปไหน มีบางอย่างเกี่ยวกับคำพูดของเธอที่กระทบใจเราเมื่อถามถึงความสุข ฉันแค่อยากรู้ว่าเธอมีความสุขกายสบายใจดีหรือเปล่า เธอเงียบไปสักพักก่อนตอบกลับมาว่า ไม่รู้จะเรียกว่ามีความสุขหรือเปล่า แต่เธอรู้สึกสงบและปลอดภัย ใช่ สองคำนี้แหละที่ยังติดค้างอยู่ในใจ

เมื่อวานเป็นวันพิเศษวันหนึ่ง อาจจะไม่แตกต่างจากวันอื่น ๆ ทั่วไปที่ใครต่อใครไม่ได้ให้ความสำคัญ เนื่องจากหลายคนยังมีแม่อยู่ให้คอยปรนนิบัติ ได้ดูแล พูดคุยและเห็นความเป็นไปในแต่ละวัน แต่บางบ้าน บางครอบครัว แม่อยู่บนสวรรค์ แต่แม่ยังอยู่ในบ้าน คงอยู่ในเรือนใจเสมอ มีไหมที่ใครจะคิดถึงใครได้ทุกวัน มีสิ ความผูกพันบางอย่างที่เราเข้าไม่ถึง เขาอาจจะไม่ได้เขียนบอกเราได้ทั้งหมด แต่เรารู้สึกยินดีที่เขาได้บอกเล่า เป็นตัวหนังสือก็ดี เป็นภาพเก่า เป็นความทรงจำผ่านบางสิ่งบางอย่างที่เรารับรู้ได้

หลายคนมีโอกาสได้เป็นแม่ จะเป็นแม่แบบไหนนั้น ขึ้นอยู่กับความคิด ความคิดมีผลต่อการดำเนินชีวิต หลายคนไม่ได้เป็นแม่แต่ต้องมีแม่ และมีความเป็นแม่ในแบบของเขา เป็นความละเอียดอ่อนและพิเศษที่เราสัมผัสได้ หรือนั่นเพราะเราต่างมีความรู้สึกเหล่านี้ตรงกัน

ฉันถามน้องสาวว่า แม่จะน้อยใจหรือเปล่าที่ฉันไม่ได้เขียนกลอนหรือวาดรูปไปโพสต์ให้แม่เหมือนทุกปี ปีนี้ขี้เกียจตัวเป็นขน วันหยุดยาว ได้แต่นอนอ่านหนังสือ ไม่อยากทำอะไรสักอย่าง

เธอว่า ไม่หรอก แม่ไม่ใช่คนขี้ใจน้อย สิ่งที่เราทำทุกวันกับแม่สำคัญกว่า คุยกับแม่ทุกวันแบบนี้แหละ แม่จะได้ไม่เหงา

แต่ถึงกระนั้น ฉันก็ยังอวยพรให้แม่บนเฟซบุ๊กอยู่ดี ทำแล้วสบายใจ แม้ว่าได้ให้เงินพิเศษเล็ก ๆ น้อย ๆ กับแม่แล้ว บอกแม่ว่า ให้น้อยจะได้ซื้อหวยน้อย ๆ ที่เหลือจะได้ซื้ออาหารเลี้ยงแมว แม่หัวเราะใหญ่เพราะรู้ดีว่าลูกต้องมามุกเดิม ๆ ไม่หวยก็แมว

สำหรับลูก ๆ ของฉัน ฉันไม่ได้ขออะไรจากพวกเธอ อยากทำอะไรให้ก็ทำ ไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ ไม่อยากให้อึดอัด กดดันอะไรกันมากมาย เขาชอบอยู่กันเงียบ ๆ สบาย ๆ เป็นธรรมชาติของเขา แต่เขาก็อวยพรให้แม่ง่าย ๆ ไม่กี่คำนะ ซื้อสติ๊กเกอร์ไลน์ให้พ่อกับแม่คนละชุด ขำ ๆ ดี ส่งสติ๊กเกอร์เล่นกันทั้งวัน รู้สึกพ่อแม่อย่างเราสองคนจะเห่อมากเป็นปกติกับสิ่งที่ลูกทำให้ คิดแบบนี้ได้ จึงต้องทำอะไรให้แม่อย่างนี้บ้าง ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ยังรู้สึกดีได้ขนาดนี้

เราสองคนดูภาพวาดและคำอวยพรของลูกสมัยเด็ก ๆ แล้วขำ ๆ กัน ถ้าครูไม่ให้ทำการ์ดวันแม่เพื่อเอาคะแนน เราคงไม่ได้อ่านอะไรแบบนี้หรอก พวกเขาขี้อายและเก้อเขินที่จะบอกอะไรเราเยอะ ๆ นอกจากแพทเทิร์นเดิม ๆ 'รักแม่ที่สุดในโลกกกกกกก' หรือการได้กอดกันทุกวัน

ปีนี้ลูกไม่ได้มาบ้านเพราะมีสอบ แต่พ่อของเขาจะเข้าไปประชุมทั้งอาทิตย์ เธอน่าจะดีใจกับเรื่องนี้มากกว่าเยอะ

ก่อนออกบ้าน สามีฉันถามถึงหนังสือแนวสืบสวนสอบสวนที่ฉันอ่าน เพราะอ่านจบเรื่องนึง ฉันก็เล่าให้เขาฟัง ประเภทไซโคกันสุดฤทธิ์ว่างั้นเถอะ เพราะคนที่เขียนหนังสืออสามัญฆาตกรรมนี้เป็นกวี นักวิ่งและนักเขียนที่ฉันไม่เคยรับรู้มาก่อนว่าเขาเขียนแนวนี้ด้วย

ฉันดีใจนะ ที่เขาอยากอ่าน 'อสามัญฆาตกรรม'ด้วย เล่มนี้เลยได้อ่านสองคน ฉันจะได้มีเพื่อนคุยถึงเนื้อหาในหนังสือ เพราะทุกวันนี้ ฉันชวนเขาดูละครหลายเรื่อง ดูเพื่อจะได้มีเพื่อนคุย วิเคราะห์ตัวละครอย่าง นิราในใบไม้ปลิดปลิว และแม่อย่างสินจัยในบริบทแม่ในละครเรื่องด้ายแดง

แต่สองสามวันนี้ฉันอ่านเล่มนี้ค่ะ ' มายด์ฮันเตอร์ ล่าปมวิปลาส ยอดฆาตกร'

เล่มนี้เพื่อนนักเขียนคนนึงฝากมาให้ บอกมาบาง ๆ ว่า เขามีส่วนช่วยแปลเล่มนี้ครึ่งเล่ม แต่ไม่ได้ออกชื่อในหนังสือ เขาถามก่อนว่า ชอบดูหนังแนวทริลเลอร์หรือเปล่า ฉันตอบว่า ชอบสิ ไม่ได้ตอบไปงั้น ๆ เพื่ออยากได้หนังสือหรอกนะ

หนังแนวทริลเลอร์ฆาตกรรม ไม่ว่าจะ The Silence of the Lambs , The Cell, Zodiac , Mystic River, Sleepers, Insomnia, หรือซีรีย์อย่าง Hannibal (เรื่องนี้ฉันได้อ่านหนังสือและดูมากกว่าสองรอบในแต่ละภาค ชอบกำเนิดฮันนิบาลมากที่สุดหลังจากที่ได้ดูอำมหิตไม่เงียบเป็นตอนแรก )

ตอนดูหนังที่มีตัวละครผู้ร้ายเป็นฆาตกรต่อเนื่อง เราจะรู้สึกว่าพวกเขาเป็นโรคจิต น่ากลัว เลวทรามสุดขีด อะไรที่ทำให้คน ๆ หนึ่งกลายเป็นอาชญากรผู้โหดร้ายได้เพียงนี้

ในหนังสือ ' มายด์ฮันเตอร์ ล่าปมวิปลาส ยอดฆาตกร' เป็นเรื่องจริงซึ่งเขียนโดยอดีตเจ้าหน้าที่หน่วยสนับสนุนการสืบสวนของเอฟบีไอ จอห์น ดักลาส บอกเล่าถึงเบื้องลึกคดีตลอดชีวิตการทำงาน 25 ปีของเขา ได้ทำการวิเคราะห์เชิงจิตวิทยาของผู้ต้องหา จำแนกทั้งบุคลิกลักษณะ คาดการณ์พฤติกรรมและสาเหตุอันเป็นแรงจูงใจให้เกิดการฆ่า แต่ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ซึ่งเป็นนักวิเคราะห์พฤติกรรมอาชญากรของเอฟบีไอตัวจริง พาเราเจาะลึกลงไปในจิตใจของฆาตกร ทำให้ฆาตกรเหล่านั้นกลายเป็นเด็กยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมไปเลย

อ่านตอนแรก ๆ ดูจะเป็นวิชาการไปหน่อย แต่พอเข้าที่เข้าทาง หนังสือเชิงสารคดีผสมอัตชีวประวัติจริงเล่มนี้ ทั้งโหด ทั้งมันและตื่นเต้นไม่แพ้การอ่านนิยายและภาพยนตร์ที่เคยดูมาค่ะ

ฉันนึกถึงคำของน้องที่พูดว่า รู้สึกสงบและปลอดภัยขึ้นมา ภาวะอารมณ์ขณะอ่านหนังสือแนวทริลเลอร์ฆาตกรรมที่ทำให้ฉันตื่นเต้น สะพรึงกลัว แต่ยังรู้สึกสงบและปลอดภัยไปพร้อม ๆ กัน นั่นเป็นเพราะฉันจมดิ่งและถูกกลืนไปกับการอ่านหนังสือที่ถูกใจด้วยก็เป็นได้ เป็นช่วงเวลาที่ดีเหมือนกับการวิ่งระยะยาวนั่นแหละ เกิดสมาธิ ได้อยู่กับความรู้สึกของตัวเองและจังหวะที่ตัวเองชอบ บอกใครก็ไม่ลึกซึ้งเท่าเขาจะรู้สึกได้ด้วยตัวเอง

ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย


















Create Date : 13 สิงหาคม 2562
Last Update : 13 สิงหาคม 2562 9:23:22 น.
Counter : 558 Pageviews.

0 comment
--- อี ก ค รั้ ง กั บ คว า ม รั ก ร ะ ห ว่ า ง แ ม่ กั บ ผ ม แ ล ะ พ่ อ ใ น บ า ง ค รั้ ง ---















คนจนที่รู้จักพอถือว่าเป็นคนรวยและรวยมากด้วย
แต่คนรวยที่หวาดกลัวการมาเยือนของความจนนั้น
เปรียบเสมือนคนที่อยู่ในฤดูหนาวอันรกร้างว่างเปล่า

นั่นคือบทละครตอนหนึ่งในเรื่อง โอเธลโล
หากได้ฟังในโรงละครที่โตเกียวคงรู้สึกว่าเป็นคำพูดที่เป็นนามธรรม
และแสนจะราบเรียบ

ผู้คนที่อาศัยอยู่ในโตเกียวมีสิ่งของเกินความจำเป็น
แต่ยังหลงคิดว่าตัวเองยากจน

โตเกียวทาวเวอร์
แม่กับผมและพ่อในบางครั้ง

ลิลี่ แฟรงกี้ : เขียน
ทิพย์วรรณ ยามาโมโตะ : แปล

เราให้คะแนนที่หนึ่งหนังสือดีสำหรับวันหยุดยาวที่ผ่านมาค่ะ อ่านรอบที่สองเพราะคิดถึงและจำได้ว่าชอบมาก ๆ ทั้งที่ซื้อหนังสือใหม่เข้ามาและรอการเปิดอ่านอยู่หลายเล่ม

สำหรับเรา เล่มนี้เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่เขียนดีมาก ละเอียด นุ่มนวล เล่าเรียบง่าย ถ่ายทอดช่วงวัยอันบริสุทธิ์ได้น่าประทับใจ ช่วงวัยรุ่น ช่วงต่อต้านและเป็นผู้ใหญ่ มีอารมณ์เปรียบเปรยที่อ่านเข้าใจง่าย มีอารมณ์ร่วมกับแต่ละสถานการณ์ของชีวิตเขาและแม่ (อ่านแล้วคิดถึงความรัก ความห่วงใยของแม่เราเลย )ที่สำคัญคืออารมณ์ขันน่ารักมาก ๆ

'ผมต้องเป็นเด็กเรียบร้อยและเป็นเด็กดีเมื่ออยู่ต่อหน้าแม่ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ผมจึงไม่ควรโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ควรเป็นเด็กอย่างนี้ตลอดไป และคิดว่าแม่จะเสียใจถ้าหากผมโตขึ้น '

ครั้งนี้ เราอ่านเล่มนี้ช้ามาก ดื่มด่ำกับฉาก บรรยากาศ การเปลี่ยนแปลงทุกช่วงวัยของเขากับแม่และพ่อในบางครั้งคราว จนเพื่อน ๆ อาจจะว่าเราเวอร์ก็ได้ นาน ๆ ทีจะรู้สึกแบบนี้ ค่อย ๆ ละเลียดอ่านจนจบ ลิสต์เรื่องราวดี ๆ ออกมาเต็มไปหมด ซาบซึ้งใจในความรักระหว่างแม่กับลูก ดีใจที่ได้อ่านนะคะแม้จะช้าจนตีพิมพ์ครั้งที่ 7 แล้วก็ตาม

'ตอนที่เรากำลังค้นหาความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ เราไม่รู้จักคุณค่าความรักของพ่อแม่ ต่อเมื่อได้เป็นผู้ให้แล้วจึงเข้าใจ ในอดีตพ่อแม่เคยรู้สึกกับเราอย่างไร ในวันนี้เมื่อเราได้รู้ เราก็จะตั้งใจทำอย่างที่พ่อแม่เคยให้เราในวันก่อน'

ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย
31 กรกฎาคม 2562














Create Date : 01 สิงหาคม 2562
Last Update : 1 สิงหาคม 2562 8:59:26 น.
Counter : 438 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  

ภูเพยีย
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]



  •  Bloggang.com