'หัวใจ๋ข้า หัวใจ๋เจ้า ห้อยอยู่เก๊าเดียวกั๋น' *
*คลิกเพื่ออ่านคำแปลเจ้า :)

~'เปลี่ยนความทุกข์ให้เป็นพลัง' บทความโดย พระไพศาล วิสาโล~




'เปลี่ยนความทุกข์ให้เป็นพลัง'
บทความโดย พระไพศาล วิสาโล





ความทุกข์มิได้เกิดขึ้นเพื่อบั่นทอนชีวิตจิตใจของเราอย่างเดียว
หากยังช่วยให้เราเข้มแข็งมั่นคงและเจริญงอกงามได้ด้วย
จะว่าไปแล้วความทุกข์เป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนสำคัญ
ให้เกิดการพัฒนาของมนุษย์ในทุก ๆ ด้าน
หากไม่มีความทุกข์ ก็ไม่มีพระพุทธเจ้า
หากไม่มีภัยคุกคามจากธรรมชาติ ก็ไม่มีเทคโนโลยี
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ถ้าไม่มีความทุกข์ ปัญญาก็ไม่เกิด

แต่ความทุกข์จะเป็นพลังในทางบวกได้
ต่อเมื่อเราไม่ยอมปล่อยให้ความทุกข์มากระทำย่ำยีอย่างเดียว
แต่เข้าไปจัดการความทุกข์นั้นอย่างถูกต้อง
ดังมีผู้กล่าวว่า “ทุกข์มิได้มีไว้กลุ้ม แต่มีไว้แก้”
การเข้าไปจัดการกับความทุกข์นั้นต้องเริ่มต้นจากการตั้งสติ
และใช้ปัญญาพิจารณาหาสาเหตุและทางแก้
กล่าวอีกนัยหนึ่ง “ทุกข์มิได้มีไว้ให้คร่ำครวญ แต่มีไว้ให้ใคร่ครวญ”






การดำเนินชีวิตในโลกนี้เหมือนกับการล่องแพในกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก
เราจะทวนกระแสน้ำก็ไม่ได้
จะลอยไปตามกระแสน้ำอย่างเดียวก็อาจชนหินหรือเกาะแก่ง
สิ่งที่ควรทำก็คือ รู้จักล่องน้ำโดยระมัดระวัง
คัดท้ายแพไม่ให้ชนหินหรือเกาะแก่ง
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องรู้จักธรรมชาติของกระแสน้ำ
ขณะเดียวกันก็ต้องรู้จักคัดท้ายแพด้วย
ถ้าทำเช่นนั้นได้กระแสน้ำก็จะเป็นประโยชน์สามารถพาเราไปถึงที่หมายได้





*บทความคัดจาก //www.visalo.org/
**ภาพประกอบจาก internet ขอขอบคุณผู้สร้างสรรค์มาณ ที่นี้ค่ะ









 

Create Date : 17 กรกฎาคม 2556    
Last Update : 3 ตุลาคม 2556 16:13:06 น.
Counter : 1645 Pageviews.  

~สุขมีที่กลางใจ & จิตแจ่มใส ดอกไม้บาน โดย พระไพศาล วิสาโล~




สุขมีที่กลางใจ
จิตแจ่มใส ดอกไม้บาน
ข้อเขียน โดย พระไพศาล วิสาโล




ใคร ๆ ย่อมปรารถนาความสุข ทำทุกอย่างเพื่อหาความสุขมาเป็นของตน
แต่ส่วนใหญ่แล้วมักคิดว่าสิ่งที่จะให้ความสุขนั้นอยู่นอกตัว
และต้องมีให้ได้มาก ๆ ยิ่งหามาได้มากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น
ดังนั้นจึงพยายามดิ้นรนไขว่คว้าหาเข้าตัวอย่างเต็มที่
โดยหารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วความสุขนั้นอยู่ที่ใจ
หากแต่ถูกบดบังด้วยความทะยานอยากและความหลง
ต่อเมื่อคลายจากความทะยานอยากและมีสติรู้ตัว
ก็จะพบกับความสงบเย็นและโปร่งเบาในใจ
ถึงตอนนั้นจึงจะพบว่าความสุขนั้นอยู่กับตัวเรามาตลอด
เป็นแต่เรามองไม่เห็น





ความสุขนั้นหาได้ที่กลางใจ
ขอเพียงแต่มีเวลาอยู่กับตัวเองให้มากจนเป็นมิตรกับตัวเอง
ไม่มัวแต่ชะเง้อมองไปนอกตัว หรือจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ตนเองยังไม่มี
ถ้าไม่ลืมตัว ปล่อยจิตให้หลงอยู่ในโลกแห่งความคิด
หรือจมอยู่กับอดีตและอนาคต ก็จะพบความสุขกลางใจได้ไม่ยาก

อันที่จริงเพียงแค่พอใจสิ่งที่มี ยินดีสิ่งที่ได้
ความสุขก็จะปรากฏแก่เราในทันที






ดอกไม้ไม่ได้มีอยู่แต่ภายนอกเท่านั้น หากยังอยู่ในใจด้วย
เมื่อใดที่ผู้คนมีน้ำใจ เมตตาอารีต่อกัน
นั่นเป็นสัญญาณว่าดอกไม้ได้บานในใจเขาแล้ว
ดอกไม้ในใจนี้แหละที่สามารถชุบชูใจเราให้หายท้อแท้ได้อย่างชะงัด
และดอกไม้ชนิดนี้แหละที่สามารถแลเห็นได้ไม่ยากนัก
เราอาจเห็นได้จากแท็กซี่ที่หยุดรถเพื่อจูงคนตาบอดข้ามถนน
จากคนที่พยายามตามหาเจ้าของกระเป๋าเงินที่เขาเก็บได้
จากเด็กที่ลุกให้ที่นั่งแก่ผู้เฒ่า
เหล่านี้คือความงามที่เหนือกว่าดอกไม้ภายนอกเสียอีก

แต่อย่าเฝ้าชื่นชมดอกไม้ภายในใจของผู้อื่นอย่างเดียว
ขอให้น้อมนำดอกไม้นั้นมาบานในใจเราด้วย
ชีวิตเราจะมีความสุขอย่างยิ่ง






**บทความและภาพประกอบบล็อกได้รับแบ่งปันจากหน้าเฟซบุ้ก
ขอขอบคุณและอนุโมทนาแด่ท่านผู้เขียนและผู้เผยแพร่มา ณ ที่นี้ค่ะ








 

Create Date : 11 กรกฎาคม 2556    
Last Update : 11 กรกฎาคม 2556 10:47:20 น.
Counter : 1684 Pageviews.  

~ "ถอยหลังจึงก้าวหน้าได้" บทความโดย พระไพศาล วิสาโล ~





ถอยหลังจึงก้าวหน้าได้
โดย พระไพศาล วิสาโล





ชีวิตคนเราเปรียบได้กับลูกธนูซึ่งจะพุ่งไปข้างหน้าได้ก็ต้องง้างมาข้างหลังก่อน
ยิ่งง้างมาข้างหลังไกลเท่าไรมันก็จะพุ่งไปข้างหน้าได้ไกลมากเท่านั้น
จะเปรียบกับต้นไม้ก็ได้ ต้นไม้จะสูงได้ก็ต้องอาศัยราก ต้นไม้ยิ่งสูงใหญ่เท่าไร
ก็ต้องยิ่งอาศัยรากที่หยั่งลึกลงไปในดินมากเท่านั้น ถ้าหากว่ารากไม่แข็งแรง
หยั่งลงไปในดินไม่ลึก ก็สูงได้ไม่นาน ยิ่งสูงเท่าไรก็ยิ่งโค่นลงมาได้ง่ายเพราะว่าเจอแรงลม
ต้นไม้หลายต้นที่ภูหลงซึ่งอาตมาอยู่ตอนนี้ไม่สามารถจะหยั่งรากลึกลงไปในดินได้
เพราะว่าข้างล่างเป็นหิน รากมันตื้น แต่ก็ยังพออยู่กันได้
เพราะว่ามีต้นไม้หลาย ๆ ต้นขึ้นมาเป็นหมู่กัน แต่ถ้าเกิดว่าต้นไม้รอบ ๆ ถูกตัด ถูกโค่น
มันก็จะอยู่โด่เด่ พอลมพายุพัดมามันก็โค่นทันทีเพราะว่ารากมันตื้น

คนเราทุกคนย่อมปรารถนาความเจริญ ความก้าวหน้า อยากจะก้าวหน้าไปได้ไกล
อยากจะมีหน้าที่การงานที่สูงขึ้น ก็คงเหมือนกับลูกธนูที่ต้องการจะพุ่งไปไกล ๆ
ก็ต้องรู้จักง้างมาข้างหลัง ต้นไม้ที่อยากจะแทงยอดสูงก็ต้องหยั่งรากลงไปในดินให้ลึก
เมล็ดพันธุ์หลายชนิดจะงอกรากออกมาก่อนแล้วถึงค่อยมีใบโผล่มา
หรือไม่ก็แตกใบออกมาพร้อม ๆ กับหยั่งราก เราลองสังเกตถั่วงอก ไม่ใช่ว่ามันจะผลิใบออกมาแค่นั้น
มันต้องแตกรากออกมาด้วย เพราะมันจะเติบโตได้ต้องมีรากที่แข็งแรง





เหมือนกับตึกหรืออาคารซึ่งสร้างสูงกี่ชั้นก็แล้วแต่ ก็ต้องเริ่มต้นจากการสร้างฐานก่อน
แล้วก็ตอกเสาเข็มให้ลึก ยิ่งสูงเสาเข็มก็ต้องยิ่งลึก ฐานต้องมั่นคง ถ้าฐานมั่นคงแล้วจะสร้างกี่ชั้นก็ได้
แต่ก็ต้องมีข้อจำกัดเหมือนกัน คือถ้าฐานเท่าเดิมแต่ว่าสร้างสูงขึ้น
ต่อเติมไปเรื่อย ๆ บางทีก็พังได้ โค่นลงมาได้

คนจำนวนไม่น้อยก็เป็นแบบนี้ คือพอมีชีวิตที่เจริญก้าวหน้ามากขึ้น มีทรัพย์สมบัติมากขึ้น
มีฐานะการงานสูงขึ้น ๆ เรียกได้ว่าแบกรับภาระเยอะ มันไม่ใช่แค่สบายอย่างเดียว มันเป็นภาระด้วย
ยศ ทรัพย์ อำนาจ ชื่อเสียง พวกนี้เป็นภาระทั้งนั้น ถ้าภาระมากขึ้น ๆ แต่ฐานใจไม่เข้มแข็งก็พังลงมาได้ง่าย
บางคนก็เป็นโรคประสาท บางคนถึงกับเจ็บป่วย อาจจะป่วยทางกาย แต่ว่าเป็นเพราะใจแบกรับภาระต่าง ๆ ไม่ไหว
เจอความผันผวนของโลกธรรมโดยเฉพาะขาลง เจอคำตำหนิ เจอคำนินทา เจอคนเลื่อยขาเก้าอี้ เจอคนต่อต้าน
เลยเครียดมากถึงกับป่วย ที่ผิดหวังมากจนฆ่าตัวตายก็เยอะ
คนที่มีหน้าที่การงานสูง ๆ มีเงินมาก ๆ แต่ว่าฆ่าตัวตายก็มาก ก็เพราะว่าเขาขาดฐานที่มั่นคง
เพราะเขาคิดแต่จะพัฒนาชีวิตให้สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป เหมือนกับการต่อเติมอาคารให้สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ
แต่ว่าลืมการเสริมฐานสร้างรากให้เข้มแข็งมั่นคงไปพร้อมกัน

ฐานที่ว่านี้ก็คือฐานใจ ฐานใจนั้นสำคัญมาก พวกเราล้วนมีอนาคตและความเจริญก้าวหน้ารออยู่
บางคนก็มีแล้ว แต่ว่าอาจจะละเลยเรื่องฐานใจ ฐานใจนั้นไม่มีใครมองเห็น
ก็เหมือนกับรากที่อยู่ในดิน ไม่มีใครเห็น ใคร ๆ ก็เห็นแต่ลำต้นที่สูงชะลูด
พูดแต่ว่าต้นไม้ต้นนี้สูงมาก แต่ไม่เคยมีใครบอกว่าต้นไม้ต้นนี้รากลึกเพราะมองไม่เห็น
คนก็ไปเชิดชูต้นไม้ที่สูงใหญ่ แผ่กิ่งก้านได้เยอะ แต่ไม่ค่อยได้สังเกตว่า
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะมันมีรากที่แข็งแรงและรากที่หยั่งลึก






ฐานใจนั้นสำคัญมาก ความเจริญก้าวหน้าในชีวิตและความผาสุกทั้งปวงนั้นอยู่ที่ใจ ไม่ใช่อยู่ที่สิ่งภายนอก
ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติ ไม่ใช่ฐานะ ชื่อเสียง สถานภาพ หรือแม้กระทั่งหมู่มิตร บริษัท บริวาร ทั้งหมดนี้เป็นส่วนภายนอก
คนที่มีสิ่งภายนอกเหล่านี้ครบถ้วนแต่ว่าเป็นทุกข์ มีมากมาย ต่อเมื่อกลับมาหาฐานใจ
กลับมาเอาใจใส่ดูแลจิตใจของตน จึงจะพบกับความสุขที่แท้จริง

ในสมัยพุทธกาลมีพระรูปหนึ่งนามว่าพระภัททิยะ พื้นเพเดิมเป็นกษัตริย์ เป็นพระญาติกับพระพุทธเจ้า
พระภัททิยะเป็นพระราชาซึ่งมีบริษัท บริวาร มีอำนาจพอสมควร แต่มาบวชเพราะว่าเหตุการณ์พาไป
ก็คือว่าเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อว่าอนุรุทธกุมารซึ่งเป็นรัชทายาทของอีกเมืองหนึ่ง
อยากบวช แต่พ่อแม่ไม่ยอม พอทนรบเร้าไม่ได้พ่อแม่ก็บอกว่าจะอนุญาตให้อนุรุทธกุมารบวช
โดยมีเงื่อนไขว่าเพื่อนซึ่งก็คือพระภัททิยะบวชด้วย พระภัททิยะก็เลยจำใจ
เพราะว่าถูกอนุรุทธกุมารอ้อนวอนถึง ๗ วัน เมื่อบวชแล้วก็คงคิดว่าบวชชั่วคราว
แต่ไป ๆ มา ๆ ก็บวชตลอดชีวิต แล้วก็ได้เป็นพระอรหันต์เช่นเดียวกับพระอนุรุทธะ

พระภัททิยะบวชได้ไม่นานก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ วันหนึ่งท่านนั่งอยู่คนเดียว
ก็รำพึงว่าสุขหนอ สุขหนอ พอดีมีพระเดินผ่านมาได้ยินเข้าก็คิดว่าพระภัททิยะอยากสึก
เพราะรำพึงถึงแต่ราชสมบัติ จึงไปทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงเรียกพระภัททิยะมาถาม
พระภัททิยะก็บอกว่าที่ตนรำพึงเช่นนั้นก็เพราะมีความสุขมากที่ได้ออกบวช
ผิดกับตอนที่เป็นพระราชาแม้ว่าจะมีบริษัท บริวาร มีอำนาจมาก มีทรัพย์สินเงินทอง
มีความสะดวกสบายมากมาย แต่ก็อยู่ด้วยความหวาดกลัว สะดุ้งกลัว
เพราะว่าต้องคอยระวังว่าจะมีคนมาทำร้าย ต้องมีองครักษ์ติดตามอยู่ตลอดเวลา
ที่จริงท่านคงมีทุกข์อย่างอื่นด้วย แต่ว่าพอมาบวชแล้ว ทั้ง ๆ ที่ต้องบิณฑบาต
ฉันวันละมื้อ และอยู่โคนต้นไม้ แต่มีความสุขมากเพราะว่ากิเลสหมดไปแล้ว
ไม่มีเครื่องเศร้าหมอง ไม่มีอะไรที่ต้องห่วงกังวล ไม่มีแม้กระทั่งความกลัวว่าจะมีใครมาทำร้าย
อันนี้เป็นตัวอย่างของคนที่เมื่อกลับมาที่ใจของตัวเองแล้ว
จะพบว่าในใจของเรานี่แหละคือที่ตั้งแห่งความสุขอันประเสริฐ






แต่ก่อนท่านคงคิดว่าความสุขจะได้มาจากสิ่งนอกตัว
ไม่ได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วในใจของตัวเราเป็นที่ตั้งของความสุข
และเป็นรากฐานของการดำเนินชีวิตที่เจริญก้าวหน้าอย่างแท้จริง
ใจของเรานั้นเต็มไปด้วยขุมทรัพย์ที่คนมักจะมองข้าม
แต่ในเวลาเดียวกันถ้าหากว่าเรามองข้าม ใจที่สามารถให้ความสุขแก่เราได้
ก็อาจกลับกลายเป็นตัวการแห่งความทุกข์ อย่างที่พูดว่าคนเราทุกข์มากก็เพราะใจ
เพราะว่าใจนั้นเปิดช่องให้ตัวร้ายเข้ามาขโมยความสุขไปจากเราและยัดเยียดความทุกข์มาให้

พระพุทธเจ้าตรัสว่าศัตรูทำร้ายซึ่งกันและกันก็ไม่ก่อความวินาศ
หรือความฉิบหายได้เท่ากับจิตที่ตั้งไว้ผิดหรือจิตที่ฝึกไว้ผิด

ศัตรูทำร้ายกันก็คงเอากันถึงตาย แต่ก็ไม่ก่อความพินาศ ฉิบหาย
หรือร้ายแรงเท่ากับจิตที่ตั้งไว้ผิด แต่ถ้าจิตตั้งไว้ถูกก็ก่ออานิสงส์มาก
พ่อแม่นั้นรักลูกมากก็จริงแต่ไม่ว่าจะทำสิ่งดี ๆให้แก่ลูกเพียงใดก็เทียบไม่ได้กับจิตที่วางไว้ถูก
พ่อแม่นั้นย่อมอยากที่จะให้ลูกมีความสุข แต่ความสุขที่พ่อแม่ให้แก่ลูกหรือปรนเปรอให้กับลูก
ก็เทียบไม่ได้เลยกับความสุขที่เกิดจากจิตที่ตั้งไว้ถูก หรือจิตที่ฝึกไว้ถูก
พวกเราก็ย่อมปรารถนาความสุขเช่นกัน แต่ถ้าไปรอหาความสุขจากข้างนอกก็จะไม่พบ
หรือว่าไม่ถึงใจ จนกว่าเราจะพบความสุขที่กลางใจ จะพบได้ก็ต้องกลับมาใส่ใจ
กลับมารู้จักจิตใจของเรา และเห็นคุณค่าของใจเรา
สิ่งนี้เป็นขุมทรัพย์อันประเสริฐมากที่ผู้คนมองข้าม





* บทความคัดจาก สารโกมล มีนาคม-เมษายน ๒๕๕๖ ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาแด่ท่านผู้เขียนมา ณ ที่นี้ค่ะ

**ภาพประกอบบล็อกจาก internet ขอบคุณผู้สร้างสรรค์ค่ะ








 

Create Date : 17 มิถุนายน 2556    
Last Update : 17 มิถุนายน 2556 15:44:57 น.
Counter : 2133 Pageviews.  

~ วันนี้เมื่อ ๒,๖๐๐ ปีผ่าน...Old Path White Cloud ..โดย ติช นัท ฮันห์ ~





คือเมฆสีขาวทางก้าวเก่าแก่
ติช นัท ฮันห์





..................

พระองค์ค่อย ๆ เริ่มเสวยพระกระยาหารและน้ำตามปกติ
บางคราวสุชาดานำอาหารมาถวาย
บางคราวพระองค์ทรงบาตรเสด็จออกภิกขาจารในหมู่บ้าน

และทรงกระทำจงกรม ณ ริมฝั่งแม่น้ำเป็นกิจวัตรประจำวัน
เวลานอกจากนั้นทรงประทับนั่งภาวนา

ทุกสนธยายามพระองค์เสด็จลงสรงในแม่น้ำเนรัญชรา
ทรงสลัดทิ้งประเพณีการปฏิบัติและคัมภีร์เก่าทั้งปวง...
เพื่อแสวงหา"มรรค" ด้วยพระองค์เอง
ทรงหันกลับมาหาพระองค์เอง
เพื่อเรียนรู้จากความสำเร็จและความล้มเหลวของพระองค์

โดยมิทรงลังเลพระทัยที่จะใช้สมาธิภาวนา
เป็นเครื่องบำรุงหล่อเลี้ยงจิตและกายให้สดชื่น
อารมณ์อันสงบและเบาสบายงอกงามเบ่งบานขึ้นภายในพระองค์

พระสิทธัตถะมิทรงปิดกั้นพระองค์หรือหลบหนีจากความรู้สึก
และการรับรู้ที่เกิดขึ้น แต่จะทรงดำรงพระสติมั่น
เพื่อเฝ้าดูเจตสิกเหล่านี้ในขณะที่มันเกิดขึ้น

พระองค์ทรงละเลิกความปรารถนาจะหลีกหนีออกจากโลกของปรากฎการณ์
และเมื่อทรงหันกับมาหาพระองค์เองก็ทรงพบว่า
พระองค์ได้ปรากฎอยู่ในโลกของปรากฎการณ์อย่างสมบูรณ์

เหล่านี้อาจใช้เป็นอารมณ์ภาวนาของพระองค์ได้
พระองค์ทรงเริ่มเห็นว่ากุญแจไขสู่ความหลุดพ้นนั้น
มีอยู่ในแต่ละห้วงลมหายใจ แต่ละก้าวย่าง
ในกรวดแต่ละเม็ดตามทางเดิน...




*จากหนังสือ"คือเมฆสีขาวทางก้าวเก่าแก่/Old Path White Cloud " โดย ติชนัทฮันห์
แปลโดย รสนา โตสิตระกูล









 

Create Date : 24 พฤษภาคม 2556    
Last Update : 24 พฤษภาคม 2556 10:14:42 น.
Counter : 1140 Pageviews.  

~ 'แก้ทุกข์ที่ใจ' บทความโดย พระไพศาล วิสาโล ~





แก้ทุกข์ที่ใจ
พระไพศาล วิสาโล


...........

คำว่าทุกข์ในพุทธศาสนา บางทีก็แปลว่าความไม่สบายกายไม่สบายใจ
บางทีก็หมายถึงสภาวะทุกข์ สภาวะที่ขัดแย้ง หรืออยู่ภายใต้การบีบคั้น
อย่างที่ในบทสวดมนต์มีตอนหนึ่งว่า อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นตัวทุกข์
หมายความว่าขันธ์ ๕ นั้นตัวมันเองเป็นทุกข์ อยู่ในภาวะที่ถูกบีบคั้นอยู่ตลอดเวลา
นอกจากไม่เที่ยงและเสื่อมแล้ว ยังนำไปสู่ความทุกข์ด้วยหากเราไปยึดติดมัน
อุปาทานนั้นทำให้จิตเราไม่ยอมรับความเป็นจริง
แต่จะพยายามเข้าไปบงการสิ่งต่างๆ ถ้าชอบก็อยากได้ไว้ในครอบครอง
ถ้าไม่ชอบก็อยากผลักไส ทำลายมัน
แต่ถ้ามันยังอยู่ดี สบายดี เราก็ยิ่งโมโห เกิดโทสะ และเป็นทุกข์
พยายามครุ่นคิดหาทางผลักไสมันให้หนักขึ้น ก็เลยทุกข์หนักกว่าเดิม





เพราะฉะนั้นเวลาเรามีความทุกข์ แทนที่จะไปโทษสิ่งนอกตัว
เราควรย้อนกลับมาดูตัวเองว่าเป็นเพราะเราไปยึดติดกับมัน
จนทำให้เกิดปฏิกิริยาเกินเหตุหรือเปล่า
เพื่อนร่วมงานอาจพูดถึงเราด้วยความรู้สึกธรรมดา แต่เราไปคิดปรุงแต่งว่าเขาไม่พอใจเรา
เขาไม่ทักเรา เราก็ไปคิดว่าเขาโกรธเรา ทั้งๆ ที่เขาอาจมองไม่เห็นเราก็ได้
หรือเขาอาจกำลังมีความทุกข์อยู่ในใจก็ได้
ถ้าเราหันมามองตัวเองบ้าง เราก็อาจพบว่าปัญหาอยู่ที่ใจของเราเองที่ปรุงแต่งเกินเหตุ







คนที่แพ้เกสรดอกไม้ หรือแพ้ฝุ่นละอง วิธีแก้ก็คือกินยาเพื่อกดภูมิคุ้มกัน
หรือทำให้มันปราดเปรียวว่องไวน้อยลง หรือทำให้ประสาทตื่นตัวช้าลง
นั่นเป็นเรื่องของกาย
แต่ในเรื่องของจิตใจ สิ่งที่ทำให้ใจหายตื่นเต้นตูมตาม
หรือมีปฏิกิริยาเกินเหตุก็คือสติ
เราแพ้อะไร เรากลัวอะไร เราไปติดยึดกับอะไรจนเกินเหตุ
ก็ต้องจัดการด้วยการมีสติให้มากๆ ไม่มีอะไรที่จะดีกว่าสติ
สติช่วยให้ใจนิ่งลง ปล่อยวางได้มากขึ้น ไม่วิตกกับสิ่งต่างๆ จนเกินเหตุ
แม้จะเกิดโทสะ แต่เมื่อมีสติ ก็จะวางมันลงได้ แทนที่จะปรุงแต่งไปในทางที่ทิ่มแทงทำร้ายตัวเอง
ก็วางใจเป็นกลาง ๆ เห็นมันเป็นธรรมดา หรือเป็นเช่นนั้นเอง
ใครตำหนิ แทนที่จะโกรธ สติก็ช่วยให้ใจไม่โกรธง่ายๆ ปล่อยวางได้เร็วขึ้น
นอกจากทำให้ใจนิ่งได้แล้ว ยังช่วยให้มองในทางบวกได้ด้วย
เช่น มองว่าที่เขาตำหนิก็ดีนะ ทำให้เราเห็นในสิ่งที่มองข้ามไป
มีคนบอกว่าปรปักษ์หรือศัตรูมีประโยชน์ ตรงที่ช่วยให้เราเห็นความจริงอีกด้านหนึ่งของเรา
ที่เพื่อนๆ ไม่เคยบอกเรา มองแง่นี้เราก็ได้ประโยชน์จากศัตรู
จึงไม่ควรรังเกียจ ผลักไส หรือปิดหูปิดใจไม่รับฟังเขา





*บทความคัดจาก //www.visalo.org/article/
**ภาพประกอบจาก facebook
ขอขอบคุณและอนุโมทนาแด่ท่านผู้เขียนและสร้างสรรค์มา ณ ที่นี้ค่ะ









 

Create Date : 20 พฤษภาคม 2556    
Last Update : 20 พฤษภาคม 2556 15:20:41 น.
Counter : 1328 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  

แม่ไก่
Location :
ลำปาง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 184 คน [?]




**หลังไมค์เจ้า**





Cute Clock Click!



เออสิ,มาอยู่ใยในโลกกว้าง
เฉกชลคว้างมาเมื่อไรไม่นึกฝัน
ยามจากไปก็เหมือนลมรำพัน
โบกกระชั้นสู่หนไหนไม่รู้เลย


รุไบยาต ~ โอมาร์ คัยยัม
สุริยฉัตร ชัยมงคล : แปล




Latest Blogs

~ท่านหญิงในกระจก/แสงเพลิง ~

~เพชรรากษส/อลินา ~

~มนตร์ทศทิศ/ราตรี อธิษฐาน ~

~เมื่อหอยทากมีรัก 1-2/"ติงโม่"เขียน/พันมัย แปล ~

~ให้รักระบายใจ/"ณกันต์"เขียน ~

~ผมกลายเป็นแมว/Abandoned/Paul Gallico เขียน(ภูธนิน แปล) ~

~พ่อค้าซ่อนกลรัก & หมอปีศาจแสนรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~อาจารย์ยอดรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~จอมโจรพยศรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~


สารบัญหนังสือ: รวมลิงก์หนังสือที่รีวิวในบล็อก # ๑ + ๒



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แม่ไก่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.