'หัวใจ๋ข้า หัวใจ๋เจ้า ห้อยอยู่เก๊าเดียวกั๋น' *
*คลิกเพื่ออ่านคำแปลเจ้า :)

~ 'ยิ่งหลงยิ่งกลัว' บทความโดย ศ.นพ.ธีระ ทองสง ~





ยิ่งหลงยิ่งกลัว
บทความโดย ศ.นพ.ธีระ ทองสง






ผู้ติดใจในความเพริศแพรวของแสงไฟแห่งยุคสมัย ย่อมไม่เห็นคุณค่าของชีวิตสามัญ
ผู้ฝังใจในความสวยความสาวย่อมหวาดผวาต่อข้อเท็จจริงของชีวิต
ที่ต้องเดินทางไปสู่ภาวะเก่าแก่ เน่าเปื่อย ผุพัง
แต่ละเส้นผมที่ขาวหงอกจะงอกขึ้นมาบาดใจผู้ลุ่มหลง
ทั้งถิ่นฐาน สมบัติ อำนาจ วาสนา ที่ต่างพากันเสพย์แล้วกลัวการสูญเสีย

ยิ่งเข้าใจว่าเราคือตัวเอก ฮีโร่ที่ผู้ชมต้องตามล่าลายเซ็น
ยิ่งไม่อยากให้ละครมีฉากสุดท้าย

ใครเลยจะรู้ว่าล้วนเป็นโขนมงกุฎที่สมมุติให้แสดงชั่วคราว
ยิ่งลุ่มหลงยิ่งผูกพัน ยิ่งหวาดหวั่นต่อการพลัดพราก





นี่คือความจริงง่าย ๆ ที่สื่อทั้งหลายพากันปกปิด
โหมกระพือให้ผู้คนคิดแต่ว่าชีวิตที่ต้องใฝ่ฝันถึงผิวพรรณกระชากวัย ใสปิ๊ง หน้าเด็ก
เส้นผมสลวยและสีสันแปลกตา
ต้องเอาเป็นเอาตายกับการสำอางรูปลักษณ์ของเปลือกชีวิต
มุ่งสร้างอัครฐานแห่งการมั่งมี ครอบครอง
จนกระแสผู้คนต่างถูกทำให้คลั่งไคล้ ใฝ่ฝันกับภาพลักษณ์สำเร็จรูปที่ถูกโปรแกรมผ่านสื่อ
จนเกลียดกลัว และสิ้นความพอใจในสภาพที่ตนเป็น

ทั้งที่การยอมรับในสิ่งที่ตนเป็นและเปลี่ยนไป หรือพอใจในสิ่งที่เป็นที่มี
คือความโชคดีและฉลาดล้ำโลก

แต่สื่อแวดล้อม ทีวี แมกกาซีน สื่อไซเบอร์ ล้วนต่างพากันโปรแกรมมนุษย์ด้วยกันด้วยความไม่รู้
ให้ฝังใจกับรูปลักษณ์อลังการ โอ่อ่า อ่อนกว่าวัย
ไม่พอใจกับตัวเลขอายุที่นับวันมากขึ้น เกลียดกลัวความเสื่อมสลาย





ไม่ส่งเสริมให้มวลมนุษย์มีความสุขสงบกับการยอมรับข้อเท็จจริง
สื่อวันนี้ยากยิ่งนักที่ทำให้คนฉลาดต่อชีวิต ยิ่งเสพย์ยิ่งขาดแคลน
ยิ่งหิวโหย ยิ่งบกพร่อง ยิ่งไม่พอใจกับสภาพที่ตนเป็น

ยิ่งทุกข์กับสิ่งที่ตนคิดว่าขาด แทนที่จะฉลาดสุขใจในสิ่งที่ตนมี
รับรู้การเปลี่ยนแปลงอย่างไม่สะเทือนใจ
ไยเราต้องรอให้เกษียณหรือ
จึงจะเข้าใจว่าปัญหาที่แท้จริง คือสิ่งทั้งหลายกำลังจากเราไป
แต่หัวใจของเราไม่ยอมจากมัน
ยิ่งผูกพันยึดมั่นก็ยิ่งหวาดกลัวกับการสูญเสียพลัดพราก





*คัดจากหนังสือ"ศาสตร์และศิลป์ของการสิ้นชีวิต"โดย ศ.นพ.ธีระ ทองสง




**กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาบุญกับผู้เขียนมาณ ที่นี้ค่ะ






 

Create Date : 22 ธันวาคม 2555    
Last Update : 22 ธันวาคม 2555 22:33:22 น.
Counter : 1874 Pageviews.  

~ ทำสมาธิอย่างไร ให้สุขแท้ : บทความโดย พระไพศาล วิสาโล ~





ทำสมาธิอย่างไร ให้สุขแท้
บทความโดย พระไพศาล วิสาโล



ในยุคที่ผู้คนมีความทุกข์ทางใจมาก ทั้ง ๆ ที่มีความสะดวกสบาย
และความพรั่งพร้อมทางวัตถุ
ความสงบใจกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนโหยหาและเสาะแสวงมากขึ้น
การฝึกสมาธิจึงได้รับความสนใจอย่างมากโดยเฉพาะในประเทศตะวันตก
แต่ส่วนใหญ่แล้วหวังเพียงแค่ให้ใจสงบ ลดความฟุ้งซ่าน
เพื่อจะได้คลายความวิตกกังวลหรือหายจากโรคนอนไม่หลับ

ขณะที่จำนวนไม่น้อยต้องการจิตที่เป็นสมาธิเพื่อเรียนให้เก่ง
หรือทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อย่างหลังนี้เป็นสิ่งที่นักธุรกิจต้องการมากเพราะหวังทำกำไรให้มากขึ้นกว่าเดิม





อย่างไรก็ตามสมาธิหรือความสงบใจอย่างนี้ให้ความสงบหรือความสุขแค่ชั่วคราวเท่านั้น
ตราบใดที่กิเลสหรือความเห็นแก่ตัวยังไม่ลดลง
ก็ต้องมีเรื่องกระทบใจให้เป็นทุกข์อยู่นั่นเอง
เช่น ร้อนใจที่เห็นคนอื่นร่ำรวย เลื่อนตำแหน่ง หรือประสบความสำเร็จมากกว่าตน
ขุ่นเคืองใจเมื่อถูกตำหนิหรือวิพากษ์วิจารณ์
เศร้าโศกเสียใจเมื่อสูญเสียทรัพย์ สถานะ หรือคนรัก
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตราบใดที่ยังมีความยึดติดถือมั่นใน"ตัวกูของกู"
การทำสมาธิก็ไม่ต่างจากแอสไพรินหรือยาระงับปวดชั่วคราวเท่านั้น

การฝึกจิตที่ก่อให้เกิดความสงบใจหรือความสุขอย่างแท้จริงนั้น
ต้องเป็นไปเพื่อลดละกิเลสและความเห็นแก่ตัว






ด้วยการน้อมใจให้เห็นชัดว่า วัตถุสิ่งเสพ อำนาจ และเกียรติยศนั้น
แม้ให้ความสุข แต่ก็เจือไปด้วยทุกข์ โดยที่ทุกข์มักจะมากกว่าสุข
เพราะต้องเหนื่อยในการแสวงหา(และแย่งชิง)
ครั้นได้มาก็ต้องเป็นภาระในการรักษา แต่สุดท้ายก็ต้องพลัดพรากสูญเสีย

โดยที่ระหว่างที่มันยังอยู่กับตนนั้น เสน่ห์หรือความสุขที่ได้จากมันก็มักจืดจาง
ทำให้อยากได้ของใหม่หรือมากกว่าเดิม จึงต้องดิ้นรนแสวงหามาอีก
เป็นเช่นนี้ไม่รู้จักจบสิ้น

หลายคนเมื่อใกล้ตายถึงได้รู้ว่าเสียเวลาไปทั้งชีวิตเพื่อสิ่งเหล่านี้
โดยหาสาระอะไรไม่ได้เลย...
แต่ถึงตอนนั้นก็สายเกินกว่าที่จะเริ่มต้นใหม่เสียแล้ว





*ได้รับ share มาจากหน้าเฟสบุ้ก จึงขออนุญาตนำมา share ต่อ ณ ที่นี้
กราบอนุโมทนาสาธุแด่ท่านผู้เขียน ด้วยพรและธรรมค่ะ







 

Create Date : 18 ธันวาคม 2555    
Last Update : 18 ธันวาคม 2555 15:55:55 น.
Counter : 2511 Pageviews.  

~' เว้นวรรค รักษาใจ' : บทความโดย พระไพศาล วิสาโล ~





เว้นวรรค รักษาใจ
โดย...พระไพศาล วิสาโล


อาหารถ้ากินมาก ๆ ก็มีสารพิษสะสมมาก
ขณะเดียวกันก็ทำให้การขับสารพิษเป็นไปได้ยาก
เพราะร่างกายต้องใช้พลังงานส่วนใหญ่ไปกับการย่อยเป็นหลัก

ดังนั้นเวลาจะขับสารพิษออกไปจากร่างกาย
จึงควรงดอาหารเป็นครั้งคราว ฉันใดก็ฉันนั้น

การเสพข่าวสาร แสงสี และการพบปะผู้คนอยู่ตลอดเวลา
ก็ทำให้เกิดอารมณ์ขึ้นลงไม่หยุดหย่อน
อารมณ์เหล่านี้แม้จะดับไปในเวลาไม่นาน แต่ก็มักทิ้งตะกอนอารมณ์ไว้ในใจเรา
ซึ่งหากสะสมมากพอ ก็ทำให้เราเกิดอารมณ์เหล่านี้ได้ง่ายขึ้นเร็วขึ้น
เช่น คนที่หัวเสียหรือเครียดบ่อย ๆ นานไปก็จะหัวเสียและเครียดได้ง่ายขึ้น
แม้กับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ





ดังนั้นจึงควรมีบางช่วงที่เราปลีกตัวหลีกเร้นจากข่าวสาร
แสงสี และการพูดคุย
ห่างไกลจากโทรทัศน์และโทรศัพท์มือถือ
อยู่คนเดียวอย่างเงียบ ๆ อย่างน้อยปีละ ๑ อาทิตย์

ถือเป็นโอกาสเจริญสติ บำเพ็ญสมาธิภาวนา
เพื่อลดตะกอนอารมณ์

วิธีนี้ยังเป็นการ “เว้นวรรค” อารมณ์ไม่ให้ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่จนลุกลาม
จิตใจจะได้แจ่มใสสดชื่นอีกครั้งหนึ่ง





*ได้รับ share มาจากหน้าเฟซบุ้ก เลยขออนุญาตหยิบมา share ที่หน้านี้
อนุโมทนาสาธุกับท่านผู้เขียนและผู้แบ่งปันค่ะ







 

Create Date : 11 ธันวาคม 2555    
Last Update : 11 ธันวาคม 2555 11:53:28 น.
Counter : 1660 Pageviews.  

~ ทำชีวิตให้ช้าลง : บทความโดยพระไพศาล วิสาโล ~



ทำชีวิตให้ช้าลง
บทความโดย พระไพศาล วิสาโล





พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราพิจารณาธรรมชาติเสมือนครูของเรา
เช่น ให้ไปอย่างเบาเหมือนกับนกที่มีเพียงแค่ปีก ๒ ข้าง ก็สามารถไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ
อันนี้ท่านสอนพระให้มีสัมภาระน้อย
เราลองสังเกตธรรมชาติ เขาจะสอนเราหลายอย่าง เช่น ต้นไม้
เวลาเดินกลางแดดเราเคยนึกสงสัยบ้างหรือเปล่า เราเดินแค่ ๒ ชั่วโมงก็เหนื่อยแล้ว
แต่ต้นไม้นี่เขียวตลอดเลย ขนาดอยู่กลางแดด รับแดดเข้าไปเต็มๆ ก็ยังเขียวได้
มีต้นไม้บางต้นบอบบางแต่เขียว แถมผลิดอกสวยงาม

อาตมาเดินธรรมยาตราทุกปี ปีหนึ่งผ่านเส้นทางที่เป็นทางดินฝุ่นจับหนามาก
ตอนนั้นเป็นตอนกลางวัน สองข้างทางมีแต่หญ้าเหลืองแห้ง พวกเราเดินไปก็รู้สึกห่อเหี่ยวไปด้วย
แต่พอมาถึงจุดหนึ่งระหว่างห้วยลาดผักหนามกับซับสมบูรณ์
มีต้นประทัดจีนขึ้นอยู่ริมทาง ต้นเล็กๆ ดอกแดงสด แถมหันดอกให้กับพระอาทิตย์
พวกเราหลายคนพอเห็นแล้วรู้สึกเลยว่าดอกไม้ในใจเราเบ่งบานเลย
เพราะเกิดกำลังใจว่าขนาดดอกเล็กๆ เขายังสู้แดดได้
และไม่ได้สู้แดดแบบฝืนทน แต่สู้แดดแบบร่าเริงแจ่มใส
เราเสียอีกกลับห่อเหี่ยวเมื่อเจอแดด ทั้ง ๆ ที่เรียกตัวเองว่านักปฏิบัติธรรม
พอเจอดอกประทัดจีนบาน ดอกไม้ในใจก็บาน หน้าก็บานด้วย เลยยิ้มกันใหญ่

แต่มีบางคนมองไม่เห็นดอกประทัดจีน เพราะมัวแต่กลุ้มใจ
เอาแต่บ่นว่า ร้อนเหลือเกิน เมื่อไหร่จะถึง
ถ้าคิดแบบนี้ก็ไม่เห็นหรอกแม้สองข้างทางจะสวยงามเพียงใด
เพราะใจไม่ว่างแล้ว ใจอัดแน่นด้วยความทุกข์
เราจะเห็นภาพสวยงามชุ่มชื่นใจอย่างนี้ได้ก็ต่อเมื่อเราเปิดใจ
แล้วเราก็จะเห็นธรรมชาติ เห็นความจริงที่เขาสอนและแสดงให้เราเห็น






นอกจากต้นไม้ทนต่อแดด สามารถเขียวสะพรั่งได้ตลอดวันแล้ว ต้นไม้ยังทำได้ยิ่งกว่านั้นอีก
คือเปลี่ยนแดดให้กลายเป็นร่มเงา เปลี่ยนแดดให้กลายเป็นใบไม้
เปลี่ยนแดดให้กลายเป็นดอกไม้ที่สวยงามได้ ไม่มีแดดก็ไม่มีสีเขียว ไม่มีแดดก็ไม่มีดอกไม้
นี้เป็นความเก่งกาจของต้นไม้ นอกจากจะทนต่อแดดแล้ว ยังสามารถเปลี่ยนแดดมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ด้วย
พวกเราก็ได้รับประโยชน์จากความสามารถของต้นไม้
ถ้าต้นไม้ไม่มีความสามารถที่จะเปลี่ยนแดดร้อนให้กลายเป็นร่มเงาที่เย็น
ดอกไม้ที่สวยงาม
หรือผลไม้ที่หอมหวานได้ เราก็คงจะไม่สามารถอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้
เขาสอนเรามากเลยนะ คือสอนเรื่องความเสียสละ เพราะว่าเขายอมทนแดดเพื่อให้ร่มเงาแก่เรา
ให้ร่มเงาแก่สัตว์เล็กสัตว์น้อย เราจะมองว่าเขาฉลาดก็ได้ที่เปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี

คนเราถ้ารู้จักเปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นสุข เปลี่ยนอุปสรรคให้กลายเป็นกำลังบำรุงใจ
เราก็จะไม่ด้อยกว่าต้นไม้เลย


เปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นสุขให้ได้ เปลี่ยนเคราะห์ให้กลายเป็นโชคให้ได้
ไม่ใช่แค่ใบเท่านั้นที่ทำอย่างนี้ได้ รากต้นไม้ก็ทำอย่างนี้ได้เหมือนกัน
เราเอาขยะ เอาขี้หมา เอาซากเอาศพเน่าทิ้งลงไปที่โคนต้น ประเดี๋ยวรากก็จัดการเอง
เปลี่ยนของที่เน่าเหม็นให้กลายเป็นดอกไม้ที่สวยงามหรือผลไม้ที่อร่อยได้

พวกเรา เคยไปเมืองจีนไหม ปุ๋ยที่เอามาทำสวน จนได้ผักใบงามๆ
ผลไม้ลูกใหญ่ๆ ล้วนมาจากขี้ทั้งนั้น
ที่เมืองจีนส้วมจะมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร คือไม่มีประตู มีแต่ฝาคั่นเป็นช่องๆ
เวลาจะถ่ายเราก็หันหน้า ส่วนอุจจาระก็จะหล่นลงไปในราง
แล้วชาวบ้านจะกวาดเก็บอุจจาระเหล่านี้มาทำปุ๋ย
สวนผลไม้ สวนผักชอบปุ๋ยแบบนี้มาก อันนี้คือความสามารถของต้นไม้
ทั้งใบทั้งรากสามารถเปลี่ยนขยะปฏิกูลให้กลายเป็นของดีขึ้นมาได้





เวลาเราเดิน หากเราเดินช้าๆ จะช่วยให้ชีวิตเราเร่งรีบน้อยลง
ชีวิตคนเราสมัยนี้เร่งรีบมาก เราเร่งรีบเพื่อจะได้ไปทำอีกอย่างหนึ่ง
พอทำงานชิ้นที่ ๒ เราก็เร่งรีบอีกเพื่อไปทำงานชิ้นที่ ๓ กับชิ้นที่ ๓ เราก็เร่งรีบอีก
กลายเป็นว่าเราเร่งรีบเพื่อจะไปเร่งรีบอีกอย่างหนึ่ง ไม่ได้มีเป้าหมายอะไรนอกจากนี้
ผลก็คือ เรากลายเป็นคนไม่มีเวลาว่าง แม้แต่ไปเที่ยวธรรมชาติก็รีบๆ
คนสมัยนี้มีเครื่องทุ่นแรงทุ่นเวลามากมาย เพื่อทำอะไรให้เร็วๆ ให้เสร็จไวๆ
แต่สุดท้ายก็ไม่มีเวลาว่างเลย ไม่มีเวลาแม้แต่จะพักผ่อน หรือมีเวลาให้กับพ่อแม่ลูกหลาน
ตรงกันข้ามกับชาวบ้าน ชาวบ้านไม่ค่อยมีเครื่องทุ่นแรงทุ่นเวลา
จะทำอะไรแต่ละอย่างๆ ใช้เวลามาก ไม่ว่าการเดินทาง การหุงหาอาหาร การตักน้ำ
แต่ทำไมเขามีเวลาว่างเยอะ ลองสังเกตก็จะเห็นว่า เขามีเวลานอนเล่น
กลับถึงบ้านเขาก็มีเวลาอยู่กับลูกกับหลาน ส่วนคนเมืองกลับไม่มีเวลาว่างทั้ง ๆ ที่รีบทุกอย่าง

แปลกไหม ยิ่งรีบ กลับไม่มีเวลาว่าง ส่วนคนไม่รีบ กลับมีเวลาว่าง เราลองสังเกตดู

มาเดินธรรมยาตรา เราบ่นว่าใช้เวลาเดินเยอะเหลือเกิน ถ้านั่งรถครู่เดียวก็ถึงแล้ว
แต่สิ่งที่เราสูญเสียไปกับการเร่งรีบนี้มีเยอะมาก เราเคยคิดบ้างหรือเปล่า
การเร่งรีบดูเหมือนจะทำให้ประหยัดเวลา แต่นับวันเวลาว่างเรากลับมีน้อยลง
การเร่งรีบยังทำให้เราสูญเสียหลายอย่าง เช่น สูญเสียความสงบใจ
สูญเสียโอกาสที่จะเพ่งพินิจธรรมชาติตามรายทาง รวมทั้งสูญเสียโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับผู้คน
ไม่มีโอกาสพูดคุยกับผู้คน เดี๋ยวนี้เวลาไปเที่ยวต่างประเทศ
เรารู้จักแต่สถานที่ โดยเฉพาะย่านช็อปปิ้ง
แต่เราแทบไม่รู้จักกับผู้คนที่เป็นเจ้าของประเทศเลย เพราะเราไปกันแบบรีบๆ
เลยไม่ได้มีโอกาสปฏิสัมพันธ์หรือเรียนรู้จากผู้คน
เวลาไปต่างประเทศก็อยู่โรงแรม พอย่างท้าวออกจากโรงแรมก็ขึ้นรถทัวร์
ถึงสถานที่ท่องเที่ยวก็ลงรถ เที่ยวๆ เสร็จกลับมาขึ้นรถทัวร์ กลับมาพักโรงแรม
เราถ่ายรูปเพื่อบอกใครว่าได้ไปสถานที่โน้นสถานที่นี้ แต่เรารู้จักคนที่เป็นเจ้าของประเทศบ้างหรือเปล่า






การขาดปฏิสัมพันธ์แบบนี้เป็นความขาดทุนอย่างหนึ่ง
เพราะการมีปฏิสัมพันธ์กันทำให้เกิดความเข้าอกเข้าใจกัน
รวมทั้งได้ซาบซึ้งกับน้ำใจของผู้คน เวลาเราเอาท้องฝากไว้กับคนอื่น
มันจะทำให้เราเห็นน้ำใจของผู้คนมากขึ้น

อย่างขบวนธรรมยาตรานี้ จะเรียกว่าเราเอาปากท้องฝากไว้กับชาวบ้าน
กับผู้คนสองข้างทางก็ได้ เมื่อไรก็ตามที่เราทำอย่างนี้ เราจะเห็นน้ำใจของผู้คน
คนที่นั่งรถ คนที่ทำอะไรเร็วๆ ไปถึงที่หมายเร็วๆ
หรือนั่งรถทัวร์ จะไม่มีโอกาสได้สัมผัสน้ำใจแบบนี้เลย
ประสบการณ์แบบนี้เป็นสิ่งมีค่า
และอาจตราตรึงใจเราได้ไม่น้อยกว่าการได้เห็นสถานที่แปลกๆ ก็ได้

การได้เห็นสถานที่แปลกๆ ส่วนใหญ่ก็แค่ประทับไว้ในภาพถ่าย อาจถ่ายเป็นพันรูป
แต่ไม่ได้กลับมาดูเลยก็ได้ หรืออาจจะดูแค่วันสองวันแล้วก็ลืมไป
แต่สิ่งที่จะประทับอยู่ในใจเรานานก็คือเมตตาของผู้คน
โดยเฉพาะเวลาตกระกำลำบากเราจะซาบซึ้งน้ำใจของเขามาก
เวลาประสบความยากลำบากในต่างแดนแล้วมีคนช่วยเรา เราจะจำหน้าเขาได้ไม่ลืม

ทุกวันนี้อาตมายังจำหน้าคนหลายคนที่ช่วยอาตมาตอนมีปัญหาได้
หากเราอยู่แต่ในบ้านเราจะไม่รู้สึกแบบนี้ เพราะเวลาเราอยู่บ้าน เราจะรู้สึกว่าเรามีทุกอย่าง
เราเป็นใหญ่ในบ้าน ทุกอย่างเรียบร้อยเลิศเลอเพอร์เฟ็ค สบาย เราจะรู้สึกว่าเราเป็นคนสำคัญ
ทุกอย่างอยู่ในอำนาจของเรา
แต่พอเราไปต่างแดน ตัวเราจะเล็กลง เพราะเราไม่ใช่เจ้าบ้าน
ยิ่งเราตกระกำลำบาก เราจะได้พบกับน้ำใจผู้คน และหากเราไปช้า ๆ เราจะได้เรียนรู้จากผู้คน
ได้มีโอกาสพูดคุยกับเขา ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น
แม้จะต่างชาติ ต่างภาษา หรือต่างศาสนาก็ตาม

การเดินจึงมีหลายมิติมาก การท่องเที่ยวด้วยการเดินไปช้าๆ ทำให้ได้เห็นธรรมชาติ
ได้อาศัยธรรมชาติเป็นครู และได้รู้จักผู้คนต่างชาติต่างภาษาที่อาจจะไม่ได้เจอกันอีกเลย
เจอกันเพียงครั้งเดียว แต่อาจซาบซึ้งน้ำใจของเขาไปตลอดชีวิตเลยก็ได้






* ที่มา : สารโกมล ประจำเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๔
ภาพประกอบจาก wallcoo.net








 

Create Date : 05 ธันวาคม 2555    
Last Update : 5 ธันวาคม 2555 22:29:33 น.
Counter : 2892 Pageviews.  

~ ศาสตร์และศิลป์ของการสิ้นชีวิต ตอน 'อยู่ดีไปดี' โดย ศ.นพ.ธีระ ทองสง ~



ศาสตร์และศิลป์ของการสิ้นชีวิต
ตอน อยู่ดีไปดี
บทความโดย ศ.นพ.ธีระ ทองสง






โชคดีเพียงใดที่ชีวิตมาตัวเปล่า ได้รับการต้อนรับอย่างดี
อาหารอันอุดมสมบูรณ์ ที่พักพิงอันอบอุ่น ให้โอกาสหลับนอนพักผ่อน
ให้อาภรณ์กันร้อนกันหนาว ให้สรีระที่สัญจรได้ทั่วแห่งหน
เยี่ยมชมโลกอันอัศจรรย์
ได้รู้ได้เห็นประติมากรรมธรรมชาติอันสุดสลับซับซ้อน
เสมือนหนึ่งเป็นสวนสวรรค์จริง ๆ

ได้ประสบการณ์มากมาย ยังสมมุติให้มีบทบาทแสดงหน้าที่หลายรูปแบบ
ทั้งที่ดูฟูเฟื่องเรืองอำนาจในบางครั้ง ต่ำต้อยในบางหน





ช่วงเวลาที่มาพักผ่อนบนโลกนี้ ไม่ควรลืมเลยว่ามาตัวเปล่า
ไม่ได้เอาอะไรมา ไม่มีอะไรเป็นของเรา
แค่ลืมตัวคิดถือกรรมสิทธิ์ก็ผิดแล้ว
เป็นโจรกรรมที่ไม่พ้นอาญา

ไม่มีโลภใด หลงใด โกรธใด ที่ไม่ได้รับความเร่าร้อน
แค่ชื่นชมชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วก็ต้องจากไป
ไม่ได้มาตั้งรกรากถาวร แรมคืนพักค้างชั่วเวลาสั้น ๆ

ถือเป็นช่วงพักผ่อนสั้น ๆ บนโลกนี้
เป็นแขกผู้โชคดีและมีสิทธิ์ทำอะไรดี ๆ ทิ้งไว้
เยี่ยงแขกผู้ไม่เนรคุณ ทดแทนการกินถ่ายหลับนอน

ให้สมองมาคิด ให้จิตมากรุณา ก็ควรสร้างสรรค์บ้าง
แล้วก็จากไปตัวเปล่า ๆ จริง ๆ






เมื่อได้มาชื่นชมดอกไม้ประดับบ้าน ดวงดาวประดับโลก
ก็ไม่ควรลืมตัวเด็ดดอกไม้ติดตัวไป
เข้าใจผิดเก็บดาวไปโลกหน้า
ลืมตัวคิดว่าเป็นใหญ่จริง

แค่ไม่เข้าใจผิดชีวิตคนก็สมบูรณ์แล้ว แล้วก็ไปตัวเปล่า เหมือนวันมา
เมื่อคนเราคิดได้ ว่ามาตัวเปล่า อาศัยเขาอยู่ แล้วก็ไปตัวเปล่า
คนดี ๆ คงไม่คิดจะได้อะไรไป เหมือนบทเตือนแต่โบราณมาว่า

เจ้าเกิดมา มีอะไร มาด้วยเจ้า

เจ้าจะเอา แต่สุข สนุกไฉน

เจ้าเกิดมา มือเปล่า จะเอาอะไร

เจ้าจากไป มือเปล่า เหมือนเจ้ามา





*คัดจากหนังสือ"ศาสตร์และศิลป์ของการสิ้นชีวิต"โดย ศ.นพ.ธีระ ทองสง



**กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาบุญกับผู้เขียนมาณ ที่นี้ค่ะ







 

Create Date : 28 พฤศจิกายน 2555    
Last Update : 5 ธันวาคม 2555 22:41:14 น.
Counter : 1788 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  

แม่ไก่
Location :
ลำปาง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 184 คน [?]




**หลังไมค์เจ้า**





Cute Clock Click!



เออสิ,มาอยู่ใยในโลกกว้าง
เฉกชลคว้างมาเมื่อไรไม่นึกฝัน
ยามจากไปก็เหมือนลมรำพัน
โบกกระชั้นสู่หนไหนไม่รู้เลย


รุไบยาต ~ โอมาร์ คัยยัม
สุริยฉัตร ชัยมงคล : แปล




Latest Blogs

~ท่านหญิงในกระจก/แสงเพลิง ~

~เพชรรากษส/อลินา ~

~มนตร์ทศทิศ/ราตรี อธิษฐาน ~

~เมื่อหอยทากมีรัก 1-2/"ติงโม่"เขียน/พันมัย แปล ~

~ให้รักระบายใจ/"ณกันต์"เขียน ~

~ผมกลายเป็นแมว/Abandoned/Paul Gallico เขียน(ภูธนิน แปล) ~

~พ่อค้าซ่อนกลรัก & หมอปีศาจแสนรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~อาจารย์ยอดรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~จอมโจรพยศรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~


สารบัญหนังสือ: รวมลิงก์หนังสือที่รีวิวในบล็อก # ๑ + ๒



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แม่ไก่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.