ลักษณะพระแท้ - พระปลอม
ขออนุญาตเกริ่น(บ่น)ก่อน... เมื่อช่วงปลาย ๆ สัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวหน้าหนึ่งนสพ.ยักษ์ใหญ่หลายฉบับ ที่ก่อให้เกิดความสลดและสังเวชใจกับชาวพุทธไทยโดยทั่วหน้า... ปกติจขบ.จะไม่ค่อยอ่านข่าวประเภทนี้... แต่ได้ดูรายการคุยข่าวรายการหนึ่ง ในวันหยุดสุดสัปดาห์ ผู้จัดรายการได้นำข่าวนี้มาอ่าน พร้อมทั้งโชว์ภาพในหน้าหนังสือพิมพ์ และแช่ภาพนั้น ๆ อยู่นานร่วม ๆ สองนาทีได้ ไม่รู้ว่าจะซ้ำเติมจิตใจกันไปถึงไหน...
ทำให้นึกถึงบทความ ๆ หนึ่งที่เคยเรียบเรียงไว้เมื่อนานมากแล้ว... โดยเรียบเรียงจากบทความในหน้าผนวกของหนังสือคำสอนของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภอีกทีหนึ่ง
ขออนุญาตคัดมาลงไว้ที่บล็อกนี้ค่ะ... (บทความอาจจะยาวมากไปหน่อย แต่ไม่อยากแบ่งเป็นหลายตอน ขอนำลงเป็นเรื่องเดียวไปเลยค่ะ)
ลักษณะพระแท้ - พระปลอม
ในยุคข้อมูลข่าวสารเช่นปัจจุบันนี้ ผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ และเรียกตัวเองว่า ชาวพุทธ นั้น จะมีสักกี่คนไหม ที่จะเข้าใจซาบซึ้งถึงแก่นของพระศาสนาที่องค์พระศาสดาทรงพร่ำสอน ชี้แนะ และคอยย้ำอยู่เสมอว่า พระตถาคตเป็นแต่เพียงผู้ชี้ทางเท่านั้น การประพฤติปฏิบัติเป็นหน้าที่ของพวกเธอ นั่นคือ พระองค์ทรงสอนให้พวกเราทำตนเป็นที่พึ่งของตน มรรคาที่จะนำไปสู่ความสิ้นทุกข์นั้น คือการเดินตาม พระแท้ ที่มีอยู่ในตน เพียงค้นหาให้พบและเดินตาม อย่าได้ไปหาเอาจากที่อื่น อย่าได้ไปหาเอาจากบุคคลอื่นอยู่เลย เพราะนั่นไม่ใช่ทางที่องค์พระศาสดาทรงชี้
แต่อย่างไรก็ตาม โดยวิสัยของผู้ที่ยังไม่อาจค้นพบ พระแท้ ที่มีอยู่ในตน ยังไม่อาจศรัทธาตนเอง เพราะผู้รู้ภายในยังไม่ปรากฏ ยังจำเป็นที่จะต้องหาหลักเกณฑ์จากผู้รู้ภายนอกเสียก่อนเป็นธรรมดา โดยอาศัยการดำเนินตามท่านผู้รู้ ทั้งนี้ด้วยหวังว่าจะไม่พลัดหลงออกไปนอกทาง แต่ปัญหาก็มีอยู่ว่า เราท่านผู้ปฏิบัติตามก็ไม่อาจทราบแน่ชัดว่าใครรู้จริง ใครไม่รู้จริง ในทางที่เรากำลังเดินอยู่ เพราะสภาวะธรรมเป็นเรื่องเฉพาะตน และข้อวัตรปฏิบัติภายนอกที่มองเห็นได้ด้วยตาก็อาจจะตรงหรืออาจจะไม่ตรงกับภายในก็ได้
ดังนั้นเพื่อเป็นการง่ายเข้า ในที่นี้ก็จะขอเสนอแนวคิดในการจำแนก พระปลอม ออกจาก พระแท้ ให้ได้ทราบพอเป็นที่สังเกตุว่าบุคคลเช่นใดบ้างที่ ชาวพุทธ ควรหลีกเร้นให้ห่าง เพราะบุคคลเหล่านี้มักจะมีแอบแฝงอยู่ในแวดวงพระศาสนามาทุกยุคทุกสมัย แม้ในสมัยพุทธกาลเอง ซึ่งเขาเหล่านั้นมักจะกล่าวอ้างตนว่าเป็นผู้รู้ทาง หากเป็นทางสายอื่นมิใช่ทางพ้นทุกข์ตามธรรมะคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระองค์ก็ทรงกล่าวตำหนิบุคคลที่มีลักษณะเช่นนี้อยู่เสมอ
บุคคลเหล่านั้นมีลักษณะดังนี้: -
ภิกษุลามก สันดานนกกา หมาขี้เรื้อน งูเปื้อนคูถ ลูกนอกคอก ผู้อยู่นอกบัญชี ป่าช้าผีดิบ น้ำติดกะลาล้างเท้า ภิกษุแกลบ คนแหวกแนว และโมฆะบุรุษ.
ในที่นี้ จะได้นำมาขยายความเพียงสังเขป ท่านที่ประสงค์จะทราบความโดยละเอียด อาจศึกษาได้จากหนังสือ ขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์ ของท่านอาจารย์พุทธทาส หรือจากในพระไตรปิฎก
ภิกษุลามก หมายถึง ภิกษุที่ยินดีในการทำลายสงฆ์ให้แตกกัน เพราะเห็นแก่อำนาจประ-โยขน์ส่วนตัว จึงหวั่นวิตกไปว่าภิกษุอื่นจะรู้ว่าตนเป็นคนเช่นใดแล้วจะทำให้ตนขาดสิทธิ์ในความเป็นภิกษุ หรือฉิบหายได้
ซึ่งมีอยู่ ๔ ประเภทคือ (๑) คนทุศีล มีความเป็นอยู่ลามกไม่สะอาด มีความประพฤติชนิดที่ตนเองนึกแล้วก็กินแหนงตัวเอง มีการกระทำที่ต้องปกปิดซ่อนเร้น ไม่ใช่สมณะก็ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มีสัญชาติหมักหมมเหมือนบ่อที่เทขยะมูลฝอย (๒)คนมิจฉาทิฎฐิ ประกอบไปด้วยความเห็นที่แล่นดิ่งไปยึดถือเอาที่สุดโต่งข้างใดข้างหนึ่ง (๓)คนเลี้ยงชีวิตผิดทาง เป็นมิจฉาอาชีพ (๔) คนปรารถนาลาภ สักการะ และเสียงเยินยอ
สันดานนกกา หมายถึงภิกษุที่ประกอบด้วยอสัทธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งหมด ๑๐ ประการต่อไปนี้ ซึ่งจัดเป็นความเลวสิบประการของกาด้วย พระพุทธองค์จึงทรงตำหนิโดยเปรียบกับกา
ได้แก่ (๑) คนทำลายความดี (๒) คนคะนอง (๓) คนทะเยอทะยาน (๔) คนกินจุ (๕) คนหยาบคาย (๖) คนไม่กรุณาปรานี (๗) คนทุรพล (๘) คนพูดเสียงอึง (๙) คนปล่อยสติ (๑๐) คนสะสมของกิน
หมาขี้เรื้อน หมายถึงภิกษุที่ถูกลาภสักการะ และเสียงเยินยอครอบงำ และมีจิตติดแน่นอยู่ในสิ่งนั้นๆ ซึ่งเปรียบเสมือนกับสุนัขจิ้งจอกที่เป็นโรคหูชัน(โรคเรื้อนสุนัข)นั่นเอง ย่อมจะไม่สบาย ได้รับทุกข์ทรมานไม่ว่าจะไปอยู่ที่ใด หรืออยู่ในอิริยาบถใดก็ตาม พระพุทธองค์ทรงตรัสเรื่องนี้แก่ภิกษุทั้งหลายโดยยกเอาสุนัขที่เป็นโรคหูชันตัวหนึ่ง ที่ภิกษุเหล่านั้นเห็นอยู่ในขณะนั้นขึ้นเป็นอุปมาสอน และทรงย้ำว่า ลาภสักการะ และเสียงเยินยอเป็นอันตรายที่ทารุณแสบเผ็ด หยาบคายต่อการบรรลุพระนิพพานอันเป็นธรรมเกษมจากโยคะ ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า," จึงขอให้ภิกษุทั้งหลายสำเหนียกใจไว้ว่า จักไม่เยื่อใยในลาภสักการะและเสียงเยินยอที่เกิดขึ้น และถ้ามีเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องไม่มาหุ้มห่ออยู่ที่จิตใจ
งูเปื้อนคูถ หมายถึง ภิกษุที่เป็นคนทุศีล มีความเป็นอยู่ลามกไม่สะอาดฯลฯ (ดังมีข้อความที่ละเอียดที่กล่าวถึงลักษณะของบุคคลเช่นนี้ใน(๑)ภิกษุลามกข้างต้น)
นักบวชเช่นนี้พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า ทุกคนควรขยะแขยง ไม่ควรสมาคม ไม่ควรคบ ไม่ควรเข้าใกล้ เพราะว่าแม้ผู้ที่เข้าใกล้ชิดจะไม่ถือเอาคนทุศีลชนิดนี้เป็นตัวอย่างก็ตามแต่ว่าเสียงร่ำลืออันเสื่อมเสียจะระบือไปว่า คน ๆ นี้ มีมิตรเลว มีเพื่อนทราม มีเกลอลามก อุปมาเช่นเดียวกับงูที่ตกจมอยู่ในหลุมคูถ แม้กัดไม่ได้ก็จริง แต่มันอาจทำให้คนที่เข้าไปช่วยยกมันขึ้นจากหลุมให้เปื้อนคูถได้
ลูกนอกคอก หมายถึง ภิกษุผู้ไม่มีอินทรีย์สังวร หลงระเริงไปในกามคุณห้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือว่ามิใช่วิสัยอันควรของภิกษุ เพราะมารมักได้ช่องทางทำลายล้าง มารจักได้โอกาสกระทำตามอำเภอใจของมันแก่ภิกษุนั้น เปรียบดังนกมูลไถกับเหยี่ยว ซึ่งเที่ยวหากินในวิสัยอื่นต่างจากที่บิดาตนเคยพาทำมา จึงได้รับอันตราย กามคุณห้าได้แก่ รูปที่เห็นได้ด้วยตา เสียงที่ได้ยินด้วยหู กลิ่นที่รู้สึกด้วยจมูก รสที่รู้สึกด้วยลิ้น และโผฐฐัพพะที่รู้สึกด้วยการสัมผัสทางกาย ซึ่งเป็นที่ปรารถนาน่ารักใคร่ น่าชอบใจ ที่ยวนตายวนใจให้รัก ที่กามเข้าไปตั้งอาศัย ที่เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดย้อมใจ นี้แล เป็นวิสัยอื่นที่มิใช่วิสัยที่ควรเที่ยวไปของภิกษุ หากภิกษุใดเที่ยวไปย่อมได้ชื่อว่าเป็น ลูกนอกคอก
ผู้อยู่นอกบัญชี หมายถึงภิกษุที่เป็นคนหลอกลวง กระด้าง พูดพล่ามยกตัว จองหอง ใจฟุ้งเฟ้อ ซึ่งพระองค์ตรัสว่า ภิกษุเหล่านั้นไม่ใช่คนของเรา ได้ออกไปนอกธรรมวินัยนี้เสียแล้ว เขาย่อมไม่ถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ในธรรมวินัยนี้ได้เลย
ป่าช้าผีดิบ หมายถึงภิกษุผู้ประกอบด้วยการกระทำทางกาย ทางวาจา ทางใจอันไม่สะอาด จึงเปรียบด้วยป่าช้าผีดิบ เพราะเป็นโทษห้าอย่างเช่นเดียวกับโทษของป่าช้าผีดิบ กล่าวคือ (๑) มีความไม่สะอาดดุจดังป่าช้าผีดิบ (๒) เสียงเล่าลือชั่วช้าก็ระบือไปเป็นกลิ่นเหม็นดุจดังป่าช้าผีดิบเหม็น (๓) ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ร่วมกันซึ่งรักศีลย่อมเว้นห่าง จึงเป็นภัยเฉพาะหน้า ดุจดังป่าช้าผีดิบซึ่งเป็นที่ที่มีภัยเฉพาะหน้า (๔) คนชั่วช้าเหมือนกันก็จะมาอยู่ร่วมกัน จึงเป็นที่พักอาศัยของพวกเหล่าร้าย ดุจดังป่าช้าผีดิบซึ่งเป็นที่พักอาศัยของพวกอมนุษย์ที่ดุร้าย (๕) ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ร่วมกันซึ่งรักศีล เห็นเข้าก็นึกตำหนิ อิดหนาระอาใจ ที่จำต้องอยู่ร่วมกับนักบวชชนิดนั้น เปรียบดังป่าช้าผีดิบซึ่งเป็นที่ร้องไห้พิไรร่ำของคนเป็นจำนวนมาก
น้ำติดกะลาล้างเท้า หมายถึงนักบวชที่ไม่มีความละอายในการแกล้งกล่าวเท็จ ทั้งที่รู้อยู่ว่าเป็นเท็จ, พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระราหุลว่า บุคคลชนิดนี้มีความเป็นสมณะนิดเดียว เหมือนน้ำที่ติดเหลืออยู่ที่ก้นภาชนะที่เขาสาดเทน้ำออกแล้ว,หรือหมดสิ้นความเป็นสมณะ เหมือนความว่างเปล่าของน้ำ ในภาชนะที่เขาคว่ำเอาไว้จนสะเด็ดน้ำแล้วหงายขึ้น, และว่า กรรมอันลามกแม้หน่อยหนึ่ง ซึ่งนักบวชชนิดนี้ทำมิได้หามีไม่ พระองค์จึงทรงย้ำให้สำเหนียกใจไว้ว่า เราทั้งหลายจักไม่กล่าวมุสา แม้แต่เพื่อหัวเราะกันเล่น และว่า บุคคลควรสอดส่องพิจารณาดูแล้วดูเล่าเสียก่อนแต่จะกระทำกรรมทั้งหลายลงไป ทั้งทางกาย ทางวาจา ทางใจ เปรียบเหมือนกับกระจกเงามีไว้ส่องดู ฉันนั้น
ภิกษุแกลบ ที่มาของเรื่องนี้มาจากพุทธภาษิต ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายที่ริมฝั่งสระโบกขรณี-คัคครา เนื่องจากมีภิกษุรูปหนึ่งถูกเพื่อนโจทก์ด้วยอาบัติแล้ว แกล้งปิดเรื่องของตนไว้ หรือชวนไถลออกนอกเรื่องไปเสีย และแสดงท่าโกรธไม่พอใจออกมาให้เห็นชัด พระองค์จึงตรัสให้ขับออกไปเสีย ดังนี้
ภิกษุทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลายจงขับบุคคลนี้ออกไปเสีย ภิกษุทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลายจงขับบุคคลนี้ออกไปเสีย, จงนำบุคคลนี้ออกไปให้พ้น ลูกนอกคอกช่างทำให้ลำบากใจเสียจริง ภิกษุทั้งหลาย นักบวชบางคนมีการเดิน การถอยกลับ การแลดู การเหลียวดู การคู้แขนคู้ขา การเหยียดมือเหยียดเท้า การทรงสังฆาฏิ การถือบาตร การครองจีวร เหมือน ๆ พวกภิกษุที่ดีรูปอื่น ๆ ทั้งหลาย ชั่วเวลาที่ภิกษุทั้งหลายยังไม่เห็นอาบัติของเธอ เมื่อใดที่ภิกษุทั้งหลายเห็นอาบัติของเธอเข้า เมื่อนั้นเขาทั้งหลายก็รู้จักเธอได้ว่า นี่เป็นสมณะอันตราย เป็นสมณะแกลบ เป็นสมณะขยะมูลฝอย ดังนี้.
ครั้นคนทั้งหลายรู้จักเธอว่าเป็นคนเช่นนั้นแล้ว เขาก็เนรเทศเธอออกไปนอกหมู่ ข้อนั้นเพราะอะไร ? เพราะคนทั้งหลายเขามีความประสงค์ว่า อย่าให้คนชั่วทำลายพวกภิกษุที่ดีทั้งหลายเลย ดังนี้.
และตรัสเปรียบเทียบโดยอุปมา ๓ เรื่องดังนี้
ภิกษุ ท. เปรียบเหมือนต้นข้าวผีซึ่งออกรวงมีแต่แกลบ ไม่มีเนื้อในที่บริโภคได้ เกิดขึ้นในนาข้าวเต็มไปหมดในฤดูทำนา รากของมัน ลำต้นของมัน ใบของมัน ก็ดูเหมือน ๆ กับต้นข้าวยวะทั้งหลาย ชั่วเวลาที่รวงยังไม่ออก เมื่อใดมันออกรวง เมื่อนั้นจึงทราบได้ว่า นี่เป็นต้นข้าวผี ซึ่งมีแต่แกลบ ไม่มีเนื้อในที่บริโภคได้ ดังนี้ ครั้นคนทั้งหลายทราบเช่นนี้แล้ว เขาก็ช่วยกันทึ้งถอนพร้อมทั้งรากทิ้งไปให้พ้นนาข้าว ข้อนั้นเพราะอะไร ? เพราะคนทั้งหลายมีความประสงค์ว่า อย่าให้ต้นข้าวผีทำลายต้นข้าวยวะที่ดีอื่น ๆ ทั้งหลายเลย ดังนี้ ฯลฯ
ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนกองข้าวเปลือกกองใหญ่ที่คนทั้งหลายกำลังโรยกันอยู่กลางลม ในข้าวเปลือกเหล่านั้น ข้าวที่เป็นเมล็ดแท้ แข็งแกร่งก็ตกไปรวมกันอยู่กองหนึ่ง, ส่วนข้าวลีบที่เป็นแกลบ ลมก็พัดปลิวพาไป รวมเข้าเป็นอีกกองหนึ่ง เจ้าของจึงเอาไม้กวาด ๆ ข้าวที่ลีบนั่นทิ้งไปเสีย ข้อนั้นเพราะเหตูไร? เพราะเจ้าของมีความประสงค์ว่า อย่าให้ข้าวลีบที่เป็นแกลบมาปนกับข้าวอื่น ๆ เลย ดังนี้ ฯลฯ
ภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษที่ต้องการถังไม้สำหรับใส่น้ำ ถือขวานที่คมเข้าไปในป่า เขาเคาะต้นไม้ต่าง ๆ ด้วยขวาน บรรดาต้นไม้ต่าง ๆ เหล่านั้น ต้นไหนเป็นไม้เนื้อแข็ง มีแก่นตัน ถูกเคาะด้วยขวานย่อมส่งเสียงหนัก ๆ, ส่วนต้นไม้ที่ผุใน น้ำซึมเข้าไปแช่อยู่ได้ จนเกิดเปื่อยผุขึ้นในตัวเอง ถูกเคาะด้วยขวานเข้าก็ส่งเสียงดังก้อง, บุรุษผู้นั้นจึงตัดต้นไม้เนื้อผุนั้นที่โคน แล้วตัดปลายออก คว้านใน ทำให้เกลี้ยงเกลาอย่างดี ครั้นแล้วก็ใช้เป็นถังสำหรับใส่น้ำได้สำเร็จ ดังนี้ ฯลฯ
จากนั้นได้ตรัสเป็นพุทธภาษิต ความว่า เพราะอยู่ร่วมกันจึงรู้จักกันได้ว่า คนนี้มีความปรารถนาอันลามก มักโกรธ มักลบหลู่คุณท่าน หัวดื้อ ตีตนเสมอท่าน มีความริษยา มีความตระหนี่ และโอ้อวด,
ในท่ามกลางคนเขาเป็นผู้มีวาจาหวาน ปานสมณะที่ดีพูด แต่ในที่ลับคน ย่อมทำสิ่งที่คนชั่วซึ่งมีความเห็นต่ำทราม ไม่เอื้อเฟื้อระเบียบ พูดจาปลิ้นปล้อน โป้ปดเขาทำกันทุกอย่าง,
ทุกคนพึงร่วมกันกำจัดเขาออกไปเสีย ทุกคนพึงช่วยกันทึ้งถอนบุคคลผู้ที่เป็นดุจต้นข้าวผีนั้นทิ้ง พึงช่วยกันขับคนกลวงเป็นโพรงนั้นออกไปให้พ้น พึงช่วยกันคัดเอาคนที่มิใช่สมณะ แต่ยังอวดอ้างว่าตนเป็นสมณะออกทิ้งเสียดุจชาวนาโรยข้าวเปลือกกลางลม เพื่อคัดเอาข้าวลีบออกทิ้งเสีย ฉะนั้น,
อนึ่ง คนเราเมื่อมีการอยู่ร่วมกันกับคนที่สะอาด หรือคนที่ไม่สะอาดก็ตาม ต้องมีสติกำกับอยู่ด้วยเสมอ, แต่นั้นพึงสามัคคีต่อกัน มีปัญญาทำที่สุดทุกข์แห่งตนเถิด,
คนแหวกแนว หมายถึง ภิกษุผู้เป็นที่เชื่อถือของมหาชนทั่วไป แล้วไปกระทำการชักชวนมหาชนในกายกรรม วจีกรรม หรือการบำเพ็ญทางจิต อันผิดแนวแห่งการทำที่สุดทุกข์ในพระศาสนา ย่อมได้ชื่อว่า เป็นผู้ทำมหาชนให้เสื่อมเสีย ให้หมดบุญ เป็นไปเพื่อความฉิบหายแห่งมหาชน ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล แต่เป็นไปเพื่อความทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย.
โมฆะบุรุษ หมายถึงบุคคลทุกประเภทที่กล่าวมาแล้วข้างต้น และยังมีลักษณะอื่น ๆ อีกมาก ที่ทรงตรัสไว้ในที่ต่าง ๆ เช่น ที่บางแห่งตรัสเรียกผู้ที่ไม่ประกอบด้วยศีล สมาธิ ปัญญาวิมุตติ อันเป็นเครื่องไปจากข้าศึกว่าเป็น คนหล่นจากธรรมวินัยนี้ บ้าง,
ในที่บางแห่งตรัสเปรียบโมฆะบุรุษว่า เหมือนลาที่เดินตามฝูงโค เพราะถึงแม้มันจะร้องอยู่ว่า กูก็เป็นโค กูก็เป็นโค แต่สีของมัน เสียงของมัน เท้าของมัน ก็หาเป็นโคไปได้ไม่ มันก็ได้แต่เดินตามฝูงโคไปข้างหลัง ร้องเอาเองว่า กูก็เป็นโค กูก็เป็นโค ภิกษุบางรูปก็เช่นเดียวกับลานั้น
โมฆะบุรุษ ที่ควรได้รับความสนใจ สังเกตอีกลักษณะหนึ่ง ได้แก่ ผู้ไม่รู้จักตามที่เป็นจริงซึ่งทุกข์ , เหตุให้เกิดทุกข์, ความดับสนิทแห่งทุกข์, ข้อปฏิบัติเครื่องให้ถึงซึ่งความดับสนิทแห่งทุกข์ ว่าเป็นเช่นนี้ ๆ หรือที่เรียกว่า ไม่รู้จัก ไม่รู้จำ ไม่รู้แจ้ง ไม่รู้จริง ตามสภาพสภาวะแห่งความเป็นจริง" นั้น ๆ ย่อมจะยังไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็น พระแท้ จะเป็นได้ก็เพียง พระปลอม หรือพระโดยสมมติเท่านั้น
ดังที่มีพุทธภาษิตเกี่ยวกับคนเหล่านี้ว่า สมณะ หรือพราหมณ์พวกนั้น ทั้งที่ถูกสมมติว่าเป็นสมณะในสมณะทั้งหลายก็ตาม, ทั้งที่ถูกสมมติว่าเป็นพราหมณ์ในพราหมณ์ทั้งหลายก็ตาม, ก็หาเป็นสมณะหรือพราหมณ์ไปได้ไม่ , หาได้ทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์แห่งความเป็นสมณะ หรือประโยชน์แห่งความเป็นพราหมณ์ ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในทิฎฐธรรมนี้ เข้าถึงแล้วแลอยู่ไม่
ท้ายที่สุดนี้ ใคร่ขอย้ำอุดมการณ์ของการเรียบเรียงบทขยายความเรื่องพระแท้ พระปลอมนี้ว่า มีเจตนารมณ์ที่จะให้เป็นเครื่องช่วย ในการสังเกตุลักษณะของ พระที่มีอยู่ในตน ของนักปฏิบัติแต่ละท่านเป็นสำคัญ.
(คัดจากบทความ"พระแท้ - พระปลอม" หนังสือชื่อ "เล่าสู่ฟัง : คำสอนของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ" หน้า ๑๗๒ - ๑๘๒ )
|
Create Date : 04 มิถุนายน 2551 | | |
Last Update : 5 มิถุนายน 2552 13:46:46 น. |
Counter : 1320 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |