'หัวใจ๋ข้า หัวใจ๋เจ้า ห้อยอยู่เก๊าเดียวกั๋น' *
*คลิกเพื่ออ่านคำแปลเจ้า :)
~ " The World We Have/เราคือโลก โลกคือเรา" โดย Thich Nhat Hanh (ติช นัท ฮันห์)~





เราคือโลก โลกคือเรา (The World We Have)
ผู้เขียน : Thich Nhat Hanh (ติช นัท ฮันห์)
ผู้แปล : ปองขวัญ สุขวัฒนา ลาซูส
ผู้พิมพ์ : มูลนิธิหมู่บ้านพลัม
๑๖๐ หน้า ราคา ๑๒๕ บาท






คำนิยม
โดย พระไพศาล วิสาโล



วิกฤตการณ์ทางสิ่งแวดล้อมที่กำลังคุกคามความอยู่รอดของมนุษยชาติอยู่ในขณะนี้
กล่าวอย่างถึงที่สุดแล้วเป็นวิกฤตการณ์ทางจิตวิญญาณ เป็นเพราะใจเรารู้สึกพร่องและว่างเปล่า
เราจึงพยายามตักตวงจากธรรมชาติด้วยความมุ่งหวังที่จะทำให้ชีวิตเติมเต็ม
เป็นเพราะเราเห็นธรรมชาติเป็นเพียงวัตถุที่จะมีคุณค่าได้
ต่อเมื่อแปรเป็นสินค้าเพื่อปรนเปรอความต้องการอันไม่รู้จักพอของเรา
เราจึงผลาญพร่าธรรมชาติทั้งโลกอย่างมโหฬาร เป็นเพราะเราแยกตัวเองออกจากธรรมชาติ เราจึงคิดแต่จะเอาชนะและควบคุมธรรมชาติให้อยู่ในอำนาจ
โดยหารู้ไม่ว่าการทำเช่นนั้นส่งผลย้อนกลับมาทำลายตัวเราเอง

วิกฤตการณ์ทางสิ่งแวดล้อมจึงมิอาจแก้ได้ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน หรือการออกกฎหมายควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือการคิดค้นมาตรการเพื่อสร้างแรงจูงใจในการใช้เทคโนโลยีสีเขียว ทั้งหมดนี้ทำได้อย่างมากแค่ชะลอความหายนะให้เกิดช้าลง สิ่งเดียวที่จะแก้ปัญหานี้อย่างถึงรากเหง้าก็คือการเปลี่ยนทัศนคติของมนุษย์ต่อธรรมชาติในระดับพื้นฐาน นั้นคือการหันมาตระหนักว่ามนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เราแต่ละคนดำรงชีวิตอยู่ได้ก็เพราะความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลของธรรมชาติ
ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องเคารพและกตัญญูต่อธรรมชาติ เสมือนเป็นเพื่อน เป็นญาติ หรือเป็นแม่ของเรา







สายสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาตินั้นลึกซึ้งกว่าที่เราคิดมาก น้อยคนที่สามารถอธิบายให้เห็นถึงสัจธรรมดังกล่าวได้อย่างลุ่มลึกและงดงามเท่าท่านติช นัท ฮันห์ ผู้เป็นทั้งกวีและวิปัสสนาจารย์ ดังท่านเปรียบมนุษย์กับธรรมชาติว่าแนบแน่นเสมือนคลื่นกับน้ำ คลื่นแต่ละลูกมีความแตกต่างกันแต่ก็ประกอบไปด้วยน้ำเหมือนกัน และเมื่อคลื่นสลายก็มิได้หายไปไหนหากกลับไปเป็นน้ำดังเดิม ก่อนที่จะก่อตัวเป็นคลื่นใหม่ ท่านยังชี้ให้เห็นว่ามนุษย์นั้นมิได้มีตัวตนที่แยกขาดหรือต่างหากจากธรรมชาติทั้งหลาย
เพราะมนุษย์ทุกคนย่อมประกอบด้วยสิ่งที่มิใช่มนุษย์ อาทิ ธาตุหรือสสารต่าง ๆ
ที่ล้วนมาจากธรรมชาติทั้งสิ้น แสงแดด ก้อนเมฆ แม่น้ำ ดวงอาทิตย์ ฯลฯ ต่างมีส่วนประกอบขึ้นเป็นตัวเรา

ท่านติช นัท ฮันห์ แนะให้เรามองสิ่งต่าง ๆ อย่างลุ่มลึก จนกระทั่งเราสามารถเห็นโลกและจักรวาลในดอกไม้เพียงดอกเดียว หรือสามารถเห็นเมฆในชาที่เราดื่ม เพราะสัจธรรมมิใช่อะไรอื่นหากคือสายสัมพันธ์ของสรรพสิ่งในจักรวาลที่ไม่อาจแยกจากกันได้





โลกคือเรา เราคือโลก เป็นงานเขียนอีกเล่มหนึ่งของท่านที่นำเสนอทัศนะการมองโลกอย่างใหม่ชนิดที่ไปพ้นจากทวินิยม หรือการแยกสิ่งต่าง ๆ ออกเป็นขั้วเป็นคู่ เพราะความจริงนั้นอยู่เหนือการแบ่งขั้ว ดังท่านชี้ว่าดอกไม้กับขยะไม่ได้แยกจากกัน ต่างเป็นดั่งกันและกัน กล่าวคือดอกไม้ย่อมกลายเป็นขยะ แต่ขยะก็ก่อเกิดดอกไม้ด้วยเช่นกัน นี้คือการมองโลกแบบอิทัปปัจจยตา การมีปัญญามองเห็นความจริงดังกล่าวย่อมทำให้เราเห็นแม้กระทั่งว่าเกิดและตายไม่ได้แยกจากกัน ถึงที่สุดแล้วก็ไม่มีทั้งเกิดและตายด้วย เช่นเดียวกับคลื่นที่ไม่ได้ดับไป เป็นแต่คืนกลับไปเป็นน้ำ

การมองธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง จึงไม่เพียงช่วยให้เราเห็นคุณูปการของธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังส่งผลสะท้อนกลับมาให้เราเห็นตัวเองอย่างลุ่มลึกด้วย ธรรมชาติจึงมิได้มีคุณค่าในทางหล่อเลี้ยงร่างกายของเราเท่านั้น หากยังบ่มเพาะจิตวิญญาณของเราให้เจริญงอกงาม ด้วยการจุดประกายแห่งปัญญาให้เกิดขึ้นแก่เรา ทำให้เรายิ่งซาบซึ้งในคุณค่าของธรรมชาติมากขึ้น

อย่างไรก็ตามพึงระลึกว่าการมองเห็นธรรมชาติอย่างลึกซึ้งนั้น มิอาจเกิดขึ้นได้ด้วยการคิด แต่ต้องเกิดจากการประจักษ์แจ้งด้วยวิถีแห่งการภาวนาและการมีสติตื่นรู้ในการดำเนินชีวิต





หนังสือเล่มนี้ไม่เพียงมอบดวงตาแห่งปัญญาเพื่อมองโลกและตัวเราในมุมใหม่ (ซึ่งที่จริงเป็นภูมิปัญญาแต่โบราณ) หากยังนำเสนอแบบแผนการดำเนินชีวิตที่อ่อนโยนต่อธรรมชาติ โดยมีชุมชนของท่านนัทฮันห์ เป็นแบบอย่าง อีกทั้งยังมอบบทภาวนาเพื่อการใช้ชีวิตอย่างมีสติและเคารพธรรมชาติ

การแก้วิกฤตสิ่งแวดล้อมนั้น จะต้องเริ่มต้นที่ตัวเราก่อน ทั้งโดยการเปลี่ยนจิตสำนึกและวิถีชีวิต แต่เท่านั้นยังไม่พอ เราต้องช่วยกันขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ของมนุษย์ทั้งโลก เพราะถึงที่สุดแล้ววิกฤตสิ่งแวดล้อมคือวิกฤตทางจิตวิญญาณ





...บางบทบางตอน...


ในสมัยก่อน เราสามารถจะสละเวลา ๓ ชั่วโมงในการนั่งจิบชาแก้วหนึ่ง
เพลิดเพลินกับการใช้เวลาพูดคุยกับเพื่อนฝูงในบรรยากาศที่สุขสงบทางจิตวิญญาณ
เราสามารถจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลองวันที่ดอกกล้วยไม้ดอกหนึ่งผลิบานในสวนของเรา

แต่ในปัจจุบันนี้เราไม่สามารถสละเวลาให้กับสิ่งเหล่านี้ได้อีกต่อไป
เรากล่าวว่าเวลาคือเงินทอง
เราได้สร้างสังคมที่คนรวยแล้วก็จะรวยยิ่ง ๆ ขึ้น
และคนจนก็มีแต่จะจนลง

และเราทุกคนถูกพันธนาการไว้กับปัญหาเฉพาะของตนเอง
จนไม่สามารถตระหนักรู้ได้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นบ้าง
กับพี่น้องร่วมโลก หรือ กับโลกใบนี้

ในใจของฉัน ฉันเห็นภาพฝูงไก่ทั้งหลายที่ถูกขังอยู่ในกรง
กำลังต่อสู้กันเพื่อยื้อแย่งเมล็ดข้าวเพียงสองสามเม็ด
โดยเจ้าไก่เหล่านั้นไม่สามารถตระหนักรู้ได้ว่า
ในสองสามชั่วโมงข้างหน้าพวกมันทั้งหมดก็จะถูกนำไปฆ่า







*ขอขอบพระคุณกัลยาณมิตรผู้ส่งมอบหนังสือเล่มนี้เป็นธรรมทาน เนื่องในวาระวันเข้าพรรษาค่ะ

**และขอกราบอนุโมทนาบุญแด่ท่านผู้เขียน ผู้แปล ผู้เขียนคำนิยม ด้วยความเคารพอย่างสูง






















Create Date : 23 กรกฎาคม 2556
Last Update : 25 กรกฎาคม 2556 12:09:47 น. 6 comments
Counter : 1732 Pageviews.

 
ของท่าน ติช ฯ เคยอ่านเล่มเดียวค่ะ ได้แนวคิดพุทธศาสนามหายานเพิ่มขึ้น


โดย: ~:พุดน้ำบุศย์:~ วันที่: 23 กรกฎาคม 2556 เวลา:21:40:03 น.  

 
เคยอ่านงานของท่านบ้าง
แต่เล่มนี้ยังไม่เคยอ่านเลยค่ะ

ขอบคุณมากๆนะคะ ^^



โดย: lovereason วันที่: 24 กรกฎาคม 2556 เวลา:0:22:13 น.  

 
สวัสดียามเช้าครับพี่แม่ไก่

โหวหตบล็อกธรรมะหื้อเลยเน้อครับ
หนังสือเล่มนี้ของหลวงปู่
สงสัยจะเพิ่งออกมาใหม่เน้อครับ
ยังบ่าเกยอ่านเลยครับ









โดย: กะว่าก๋า วันที่: 24 กรกฎาคม 2556 เวลา:6:28:29 น.  

 
เห็นด้วยว่าเราคิดว่าเวลาเป็นเงินเป็นทอง ทุกอย่างจึงเร่งรีบไปหมด ไม่มีเวลามานั่งนิ่งๆ แล้ว ปัจจุบันช่วงที่จะนิ่งได้จริงๆ นอกจากนอนแล้วก็ตอนอ่านหนังสือเนี่ยแหละค่ะ


โดย: ~*Sing Praise*~ วันที่: 24 กรกฎาคม 2556 เวลา:20:42:25 น.  

 
LIKE


โดย: deco_mom วันที่: 26 กรกฎาคม 2556 เวลา:15:05:26 น.  

 
เรายังไม่เคยอ่านงานเขียนของท่าน
แต่อ่านเรื่องราวแนวทางปฏิบัติแบบของท่านจากนักเขียนคนอื่น
ทั้งๆ ที่หนังสือของท่านก็เล่มเล็กๆ บางๆ ทำไมอ่านไม่จบซะที
เล่มนี้ ก็จับหลายรอบแล้ว ...ยังไม่ได้ซื้อหามาอ่านเลยค่ะ


โดย: นัทธ์ วันที่: 1 สิงหาคม 2556 เวลา:6:47:06 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แม่ไก่
Location :
ลำปาง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 184 คน [?]




**หลังไมค์เจ้า**





Cute Clock Click!



เออสิ,มาอยู่ใยในโลกกว้าง
เฉกชลคว้างมาเมื่อไรไม่นึกฝัน
ยามจากไปก็เหมือนลมรำพัน
โบกกระชั้นสู่หนไหนไม่รู้เลย


รุไบยาต ~ โอมาร์ คัยยัม
สุริยฉัตร ชัยมงคล : แปล




Latest Blogs

~ท่านหญิงในกระจก/แสงเพลิง ~

~เพชรรากษส/อลินา ~

~มนตร์ทศทิศ/ราตรี อธิษฐาน ~

~เมื่อหอยทากมีรัก 1-2/"ติงโม่"เขียน/พันมัย แปล ~

~ให้รักระบายใจ/"ณกันต์"เขียน ~

~ผมกลายเป็นแมว/Abandoned/Paul Gallico เขียน(ภูธนิน แปล) ~

~พ่อค้าซ่อนกลรัก & หมอปีศาจแสนรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~อาจารย์ยอดรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~จอมโจรพยศรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~


สารบัญหนังสือ: รวมลิงก์หนังสือที่รีวิวในบล็อก # ๑ + ๒



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แม่ไก่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.