|
ศาสตร์และศิลป์ของการสิ้นชีวิต ตอน 'คนตายเตือนคนเป็น' โดย ศ.นพ.ธีระ ทองสง
สาระของงานศพได้เตือนใจใคร ๆ ให้เก่งขึ้น ฉลาดขึ้น เข้มแข็งขึ้นในการยิ้มรับกับการเกิดแก่เจ็บตาย ความไม่เป็นไปตามใจปรารถนาย่อมรอเราอยู่ตลอดเส้นทางชีวิต ควรได้รับการต้อนรับมันด้วยดวงใจสงบ อบอุ่น มั่นคง ย้ำให้เรารู้ว่าหามีสิ่งใดไม่ที่ควรค่าแก่การเกาะยึดไว้อย่างยั่งยืน ไม่มีใคร สิ่งใดอยู่กับเราตลอดไป
แท้จริงเราต่างก็เคยมัวเมากับแสวงหามาครอบครอง แล้วหวาดหวั่นกลัววันสูญเสีย แล้วก็สูญเสียมานับไม่ถ้วน
อีกครั้งที่งานศพช่วยเตือนให้เราฉลาดกว่าเดิม เตือนใจให้เห็นความจริงของชีวิตตน มองเห็นองก์รวมของกระแสการเปลี่ยนแปลง เห็นชัดว่าสินสมบัติรัศมีอำนาจไม่อาจทำให้ชีวิตหายวังเวง
การพยายามครอบครองหรือพยายามยึดที่พึ่ง หาความมั่นคงในการมีชีวิตด้วยการมีอำนาจให้มากที่สุด เป็นเจ้าของให้มากที่สุด ล้วนเป็นการแสวงหาความมั่นคงจากสิ่งที่ไม่มั่นคง เมื่อเราได้เห็นกระแสการเกิดแก่เจ็บตายโดยรวมอยู่เป็นนิตย์ จะไม่ปักใจแค่วัยเมามันในสีสันของชีวิต แต่มองให้เห็นความจริงตลอดแนว
ความตายจะทำให้ตาสว่าง จางคลายความหน้ามืดลง หายหวาดกลัวต่อข้อเท็จจริง ความตายจึงมักให้สติแก่คนลุ่มหลงกลับมาได้สติ ความหยิ่งทะนงหลงตนจืดจางไป สยบความสำคัญตน ความตายละลายตัวตน ที่เคยสำคัญตนจนแยกตัวเองออกมาจากธรรมชาติ จะเจียมตัวหลอมละลาย จะคิดว่าเคยสูงศักดิ์เพียงใดก็คืนสู่สามัญ ก้มหัวให้กับแผ่นดินแผ่นฟ้าที่ก่อกำเนิดเรามาและกลบหน้าเราไป ความเคียดแค้นชิงชังหมดไป ให้อภัย ไม่ถือสา เอือมระอาต่อการไขว่คว้าแก่งแย่งกันครอบครองของสมมุติ
การได้เห็นข้อเท็จจริงของชีวิตจึงเป็นจุดเริ่มต้นของคำว่ารู้จักพอ รู้จักพออันเป็นบ่อเกิดแห่งความกรุณาปราณีและความดีทั้งปวง นี่คือมนต์เพลงแห่งอนิจจัง ที่คนตายขับขานก้องกังวานกล่อมคนเป็นอยู่ชั่วนาตาปี
ท่านผู้ผ่านร่างข้า..........จงฟัง
ครั้งหนึ่งข้าเป็นดั่ง..........ท่านนี้
ไม่นานร่างท่านพัง..........ดั่งร่าง เรานา
เตรียมเถิดเตรียมตัวลี้.......ติดต้อยตามเรา
*คัดจากหนังสือ"ศาสตร์และศิลป์ของการสิ้นชีวิต"โดย ศ.นพ.ธีระ ทองสง
**กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาบุญกับผู้เขียนมาณ ที่นี้ค่ะ
|
เพิ่งกลับจากช่วยงานศพญาติผู้ใหญ่ค่ะ
นึกถึงบทความที่ได้อ่านไป จึงนำมาแชร์ไว้ที่หน้านี้ค่ะ