|
ศาสตร์และศิลป์ของการสิ้นชีวิต ตอน ละครชีวิต โดย...ศ.นพ.ธีระ ทองสง
ชีวิต เป็นปรากฏการณ์เกิดดับ มีคุณสมบัติสามารถรับรู้ นึก คิด จดจำ วนผ่านมาพานพบแล้วจากกัน แต่เมื่อไม่ผูกพัน ติดใจในสิ่งพบเห็น ไม่หลงใหลในสิ่งที่ถูกทำให้คิดว่าหรู หรือเลิศลอย คราวจำจากก็จากไปอย่างไม่สะดุ้งสะเทือน
โลกอันสันนิวาสเป็นแดนเกิดแดนประหาร เป็นสุสานของทุกผู้ที่เกิดมา ครั้งหนึ่งที่เราได้มาเยือนโลกมนุษย์แล้วจะจากไป เรามาเยี่ยมเยือนชั่วคราว มาพักอาศัย กิน ถ่าย หลับนอน ควรสร้างสรรค์อะไรไว้บ้าง แล้วจากไปด้วยความแจ่มใส
หากการมาเยี่ยมเยือนโลกครั้งนี้ มามัวระเริงอยู่กับสีสันแห่งโลกอลังการก็ย่อมไม่อยากจากไป การติดใจในสิ่งพบเห็น อาจตื่นตาตื่นใจจนฝังใจอยากครอบครอง คิดเป็นเจ้าของทั้งที่ไม่มีสิทธิ์ ไม่มีอะไรเป็นของเรา แม้แต่ตัวเราที่สมมุติขึ้นมา
ความหลงผิดจะสร้างโปรเจ็คต์เพื่อการครอบครองขึ้นมาอย่างนับไม่ถ้วน หอบหวงยื้อแย่งแข่งขันมาสะสมเป็นสมบัติของตนที่ไม่อาจคืนเจ้าของอย่างง่ายดาย ไม่อาจลาโลกไปด้วยใจเบิกบาน สะดุ้งกลัวต่อการเสื่อมลาภยศ กลายเป็นคุณสมบัติเร่าร้อนที่พกติดตัวไว้ในขณะสัญจรเยี่ยมโลก
ในขณะที่ผู้รู้ทั้งหลาย...ใช้โลกที่ผ่านมาพบเป็นบทเรียนจนรู้ จนเข้าใจในความเป็นธรรมดา... แม้นว่าวันที่เรามาสู่โลกมาพร้อมกับร่ำไห้หรือหยดน้ำตา แต่ย่อมจากลาไปด้วยรอยยิ้ม นี่ใช่หรือไม่คือความแตกต่างระหว่างอริยะและปุถุชน
ผู้รู้ท่านหนึ่งกล่าวว่าพระตถาคตหรือพระอรหันต์แตกต่างอย่างไรกับสามัญชนคนยึดมั่น เปรียบได้ดั่งว่าเมื่อศรอาบยาพิษ สองดอกยิงเข้ามาปักกายและปักใจ ปุถุชนคนเขลาจะโดนปักทั้งกายและใจ...ต้องรับทุกขเวทนาทั้งทางกายและทางใจ เวทนาทางใจนั้นยิ่งเจ็บปวดคร่ำครวญทรมานกว่าทางกายมากนัก
แต่อริยะย่อมโดนลูกศรเพียงปักกายแต่หาโดนปักใจไม่ พระอรหันต์ทั้งหลายก็ย่อมตกอยู่ในสายธารแห่งการเสื่อมของสังขาร ตามครรลอง เกิด แก่ เจ็บ ตาย เช่นเดียวกัน
แต่ความร่ำไรรำพันใด โศกใด โลภใด โกรธใด...ไม่อาจกวนใจ เพราะลมหายใจมิใช่สิ่งแยกแยะมรณะและชีวิตอีกต่อไป การเปลี่ยนแปลง การเกิด แก่ เจ็บ ตาย... เป็นสายธารที่ไร้อิทธิพลต่อดวงใจของผู้ที่ตายไปแล้วก่อนตาย
*คัดจากหนังสือ"ศาสตร์และศิลป์การสิ้นชีวิต" โดยศ.นพ.ธีระ ทองสง
|
ท้ายคำนำผู้เขียนได้ระบุไว้ว่า...
ขออนุโมทนาเอื้อง น้องชมรมพุทธศิลป์ที่ผมรู้จักมาแต่ครั้งยังเยาว์ ผู้เป็นแรงบันดาลใจให้เราต้องกลับมามองตนเองอีกครั้ง ในวันนี้
ก็ขออนุโมทนาแด่พีผู้เขียน หลวงพ่อของน้อง ๆ พุทธศิลป์ด้วยเช่นกันค่ะ ที่คอยเตือนให้เราตระหนักถึงสาระแห่งการมีชีวิตอยู่ตลอดมา
และขออนุญาตคัดบทความมาเผยแพร่ต่อณ ที่นี้ เพื่อประโยชน์ที่อาจจะบังเกิดแก่ผู้คนในวงกว้าง
ขอคารวะค่ะ