Cultivating the Mind of Love / ปลูกรัก ~ ติช นัท ฮันห์
Cultivating the Mind of Love / ปลูกรัก ผู้แต่ง : ติช นัท ฮันห์: ผู้แปล : สดใส ขันติวรพงศ์ สำนักพิมพ์ : ศยาม 'วิธีฝึกมองอย่างลึกซึ้ง ตามคติพุทธศาสนามหายาน'
บางส่วนบางตอนจากหนังสือ...
ทุกครั้งที่ฉันสัมผัสดอกไม้ ฉันก็ได้สัมผัสดวงอาทิตย์ โดยที่มือของฉันไม่ไหม้เกรียม เมื่อใดที่ฉันสัมผัสดอกไม้ฉันก็ได้สัมผัสเมฆ โดยไม่ต้องเหินบินไปบนท้องฟ้า เมื่อฉันสัมผัสดอกไม้ ฉันก็ได้สัมผัสกับจิตสำนึกของตัวเอง สัมผัสกับจิตสำนึกของเธอ...และได้สัมผัสโลก ซึ่งก็คือดาวพระเคราะห์ดวงนี้ไปพร้อมๆกัน นี่คือ อาณาจักรแห่งอวตัมสกะ สิ่งอัศจรรย์เกิดขึ้นได้ เพราะการประจักษ์แจ้งถึงธรรมชาติของการอิงอาศัยกัน...
'The Buddha implored us not just to talk about impermanence, but to use it as an instrument to help us penetrate deeply into reality and obtain liberating insight....'
'If you suffer, it is not because things are impermanent. It is because you believe things are permanent.'
พระพุทธองค์ทรงย้ำกับพวกเราว่า...อย่าเพียงแต่พูดถึงความไม่จีรังของสิ่งต่าง ๆ อยู่เลย เราจงใช้ความไม่จีรังนี้เป็นเครื่องมือที่จะนำพาเราให้แทงทะลุไปถึงความเป็นจริงแห่งชีวิตตลอดไปถึงปัญญาญาณที่พวยพุ่งอยู่ภายในจะดีกว่า...
ถ้าเธอเป็นทุกข์...มันก็ไม่ใช่เป็นเพราะว่าสิ่งต่าง ๆ นั้นไม่จีรังหรอก หากเป็นเพราะเธอ "เชื่อมั่น" ว่าสิ่งต่าง ๆ "จีรัง" ต่างหากเล่า...
ปลูกรัก เป็นหนังสือที่จะเป็นคู่มือสำหรับผู้ที่อยากจะมีความรัก... และผู้ที่กำลังมีความรัก...
เป็นคูมือที่จะทำให้ความรักที่มี เป็นความรักที่งดงาม ปราศจากความลุ่มหลง ความรุ่มร้อน ทุรนทุราย ซึ่งมิใช่อุดมการณ์อันแท้จริงของความรักเลย...
รักที่แท้ต้องนำมาซึ่งความสุข ความเติมเต็ม และความอิ่มเอมใจ มิใช่ความหวาดไหวระแวงต่อความมั่นคงของความรัก...
ท่านผู้เรียงร้อยหนังสือเล่มนี้เป็นพระภิกษุในฝ่ายมหายาน เรื่องราวที่กล่าวอ้างจึงอิงหลักธรรมะไว้อย่างกลมกลืนและสอดคล้อง
***จขบ.อ่านหนังสือเล่มนี้ในฉบับภาษาอังกฤษก่อน และเมื่อมีการแปลเป็นภาษาไทยก็ได้ซื้อแจกเพื่อน ๆ ไปหลายเล่มทีเดียว...เพราะคิดว่า...หนังสือที่ดีเป็นของขวัญอันมากคุณค่าที่สุดเสมอ จึงนำมาแนะนำค่ะ
**สั้น ๆ เกี่ยวกับท่านผู้รจนา...
"ติช นัท ฮันห์. เกิดปี พ.ศ. 2469 ที่จังหวัดกวงสี ในตอนกลางของประเทศเวียดนาม ท่านมีชื่อเดิมว่า เหงียน ซวน เบ๋า พ.ศ. 2485 อายุได้ 16 ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรที่ วัดตื่อฮิ้ว และได้อุปสมบทเป็นพระในเวลาต่อมา ช่วงแรกที่อยู่ในเวียดนาม ท่านได้พยายามฟื้นฟูพระพุทธศาสนาด้วยการเขียบบทความ แต่กลับได้รับการต่อต้านจากผู้นำองค์กรชาวพุทธและรัฐบาลเป็นอย่างมาก ต่อมาในปี พ.ศ.2505 ท่านได้รับทุนไปศึกษาศาสนาเปรียบเทียบ ณ มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน สหรัฐอเมริกา ท่านได้ศึกษาที่นั่นเป็นเวลา 1 ปี แม้จะได้รับทุนจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียต่อ แต่ท่านก็ตัดสินใจเดินทางกลับเวียดนาม เพื่อต่อตั้ง รร.ยุวชนรับใช้สังคม และทำงานด้านความร่วมมือระหว่างพระพุทธศาสนานิกายมหายานและเถรวาทในเวียดนาม ท่านพยายามสอนแนวคิดเรื่องพระพุทธศาสนาเพื่อการรับใช้สังคม เพื่อรักษาความเสียหายจากสงคราม ท่านพยายามพัฒนาวงการสงฆ์ด้วยการสอนและเขียนในสถาบันพระพุทธศาสนาชั้นสูง ภารกิจที่สำคัญของท่านคือ ก่อตั้ง "คณะเทียบหิน" ในปี พ.ศ.2509 ในปี พ.ศ.2510 มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ได้เสนอชื่อของท่านให้เป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ โดยกล่าวว่า "ข้าพเจ้าไม่รู้จักใครเป็นการส่วนตัวอีกที่จะมีคุณค่าพอสำหรับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ นอกเหนือไปจากพระผู้มีเมตตาจากเวียดนามผู้นี้"
**จาก วิกิพีเดียค่ะ
Create Date : 27 ธันวาคม 2550 |
Last Update : 21 มกราคม 2554 11:25:06 น. |
|
3 comments
|
Counter : 1868 Pageviews. |
|
|
|
^
^
^
ถูกต้องที่สุดค่ะ