'หัวใจ๋ข้า หัวใจ๋เจ้า ห้อยอยู่เก๊าเดียวกั๋น' *
*คลิกเพื่ออ่านคำแปลเจ้า :)

ความเอย...ความรัก







ความเอยความรัก
เริ่มสมัครชั้นต้น ณ หนไหน
เริ่มเพาะเหมาะกลางหว่างหัวใจ
หรือเริ่มในสมองตรองจงดี
แรกจะเกิดเป็นไฉนใครรู้บ้าง
อย่าอำพรางตอบสำนวนให้ควรที่
ใครถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงรตี
ผู้ใดมีคำตอบขอบใจเอย

(พระนิพนธ์แปล 'เวนิสวานิช' ในรัชกาลที่ ๖)


(บทกวีข้างต้นนั้น)...เป็นเพียงข้อเสนอแนะของกวี ให้ท่านทั้งหลายรับฟังว่า ความรักเกิดขึ้นอย่างไร
มันเริ่มที่ใจหรือสมอง ความรู้สึกหรือความคิด
ใครถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูความรักไว้ได้อย่างไร

สิ่งที่เรียกว่าความรักนั้น ดู ๆ มันไม่ค่อยจะมีเหตุผล
ถ้ามีเหตุมีผลแล้วลองตอบคำถามนี้ดูว่า ทำไมคนรูปสวย ชายก็ได้ หญิงก็ได้ ไปรักคู่ที่ขี้เหร่...

มันต้องมีอีกสิ่งหนึ่ง นั่นคือความบันดาลใจ คือความที่ฝ่ายหนึ่งทำให้อีกฝ่ายหนึ่งบังเกิดความเชื่อมั่นและหายว้าเหว่ลงไปได้







สำหรับความรักที่มาเสริมอหังการของตัวนั้น ไม่อาจจัดเป็นความรักแท้
เราอาจจะเรียกหญิงหรือชายที่เข้ามาผูกพันกับเรานั้นว่า ศรีภรรยาหรือสามี
แต่ที่จริงแล้วอาจจะเพียงเป็นผู้บำเรอ เพื่อจะได้แผ่ขยายอำนาจของอหังการก็เป็นได้

ความรักที่ปราศจากธรรมะ ไม่อาจจะเป็นความรักแท้จริงได้
เราพบความจริงว่า ชีวิตคนปัจจุบันนี้ ถึงแม้ว่าจะมีสภาพที่เรียกกันว่าความเจริญก้าวหน้า
และมีความคิดทางปรัชญาชีวิตอันสูงส่ง
แต่มนุษย์กลับพบความสำเร็จในชีวิตคู่น้อยลง น้อยลง น้อยลง

ครั้นเหลียวไปดูปู่ย่าตายายของเรา กลับประสบความสำเร็จในชีวิตคู่อย่างลึกซึ้ง
ความสำเร็จนี้วัดกันที่ตรงไหน
ถ้าวัดกันที่หญิงชายคู่นั้น ไปคู่กันในงานบอลล์ ในงานค็อกเทล งานปาร์ตี้...
ว่านั่นคือความสำเร็จของชีวิตคู่
นั่นอาจเป็นมารยาสาไถยก็ได้

ดังที่เฮมิงเวย์ล้อเลียนชีวิตของชาวอเมริกันไว้ในเรื่องสั้นของเขาเรื่องหนึ่งว่า...
หญิงชาย ๒ คู่ที่แต่งงานกันแล้ว นั่งรถไฟไปขบวนเดียวกันอยู่คนละตู้
สามีภรรยาทั้งสองคู่ต่างทะเลาะกันไปตลอดทาง ด่ากันไปด่ากันมา โทษกันไปโทษกันมา
เมื่อถึงเวลาอาหาร ต้องลุกไปที่ตู้เสบียง พอไปถึง เจอกันเข้า
หญิงชายทั้ง ๒ คู่ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนกัน
ต่างคู่ต่างก็มีมารยาสาไถย สามีต่างก็ยกมือโอบไหล่ภรรยาของตน
ภรรยาก็แสร้งยิ้มแย้ม ทำเป็นร่าเริง บีบเค้นเสียงหัวเราะเพื่อลวงเพื่อนว่าเราสำเร็จในชีวิตคู่
เมื่อกินอาหารกันเสร็จ ยิ้มแย้มหัวเราะกันเสร็จแล้ว
กลับไปนั่งที่ตู้ของตัว ต่างคู่ต่างก็ทะเลาะกันต่อ
นี่คือเรื่องราวของชีวิตคู่ที่เราพยายามที่จะลวงกันและกันว่า
นี่คือการประสบความสำเร็จในชีวิตคู่ของเรา

ที่จริงมันมีเพียงรูปแบบแล้วพยายามที่จะมีมารยาสาไถย







คราวนี้ขอให้ดูว่า ปรัชญาระบบไหนประสบความสำเร็จในชีวิตคู่
เราก็พบว่าความสำเร็จที่เขาเอามาพูดกันนั้น เป็นความสำเร็จจอมปลอม
แต่จะพบว่าย่าทวดของเราประสบความสำเร็จจริง โดยที่ว่าท่านอาจจะไม่มีปรัชญาของความรัก
ท่านอาจจะถูกจับให้แต่งงานกันชนิดคลุมถุงชน ไม่รู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำ
เมื่อถูกจับให้แต่งงานกันแล้วค่อยๆ รักเห็นใจกันไปเอง
เพราะต่างฝ่ายต่างมีธรรมะ มีคุณธรรมประจำใจ


ฉะนั้นความรักมันเกิดที่ไหน เกิดที่ตาเห็นเมื่อแรกพบ
หรือว่ามันเกิดเพราะคุณธรรมกันแน่
ข้อนี้ถ้าท่านระลึกถึงพระพุทธองค์แล้ว บางทีอาจจะคิดอะไรขึ้นมาได้
พระพุทธองค์ท่านตรัสเรื่องบุพเพสันนิวาส ท่านตรัสว่า
ความรักที่แท้จริงนั้นต้องเหมือนกับดอกอุบลกับน้ำ
ดอกบัวกับน้ำมีส่วนสัมพันธ์กัน น้ำลึกเท่าใด
สายบัวก็มีส่วนสูงขึ้นเท่านั้นควบคู่กันไป

จึงมีภาษิตว่า สามีเป็นที่ปรากฏแห่งภรรยา
ควันเป็นที่ปรากฏแห่งไฟ
พระราชาเป็นที่ปรากฏแห่งแว่นแคว้น

สามีเป็นที่ปรากฏแห่งภรรยาหมายความว่า ต้องได้สัดได้ส่วน
ต้องมีศีลสามัญญตา ทิฎฐิสามัญญตา
ต้องมีอะไร ๆ ที่จะต้องมีความรู้สึกเข้าอกเข้าใจกัน

ตอนนี้ขอสรุปทีหนึ่งก่อนว่า ความรักที่แท้จริงนั้นจะต้องไม่ได้หมายถึงความถูกใจ
เพราะความถูกใจของคนทั่วไปนั้นมันเป็นการเสริมอหังการของตัว
และถ้าไม่ถูกใจ มือที่เคยเช็ดน้ำตาให้ กลับเป็นมือที่ทำให้น้ำตาร่วง
เสียงที่เคยปลอบประโลมให้หายเศร้า กลับยิ่งทำให้โศกหรือเจ็บใจช้ำใจซ้ำเข้าไปอีก
เพราะว่าความรักชนิดนั้นมันเป็นการแผ่ขยายอำนาจของอหังการ
แต่ความรักที่แท้จริงจะต้องเป็นการลดอหังการ
ซึ่งต้องพิสูจน์ความรักชนิดนั้นด้วยการลดอหังการลงด้วยการรับใช้
ไม่ใช่ด้วยการเสนอเรียกร้องให้ผู้อื่นรับใช้ตัว

ความรู้สึกรักนั้นไม่ใช่เพียงแต่ตาได้เห็นก็ชอบ หูได้ยินเสียงเพราะ ๆ ก็รัก
หรือมีทิฏฐิเหมือนเราในเรื่องการมีความรุนแรงทางการเมืองชนิดล้างผลาญเหมือนกันเราก็ชอบ
แต่เป็นช่วงยาวนานแห่งความประทับใจ
และการแต่งงานหรือชีวิตคู่จะไม่ห่างจากโบสถ์ ห่างจากธรรมะออกไปทุกที ๆ

ความรักที่แท้จริง จะต้องหมายถึงการปลดปล่อยซึ่งกันและกันให้มีอิสรภาพ
นี่ต้องระวังให้ดี เดี๋ยวจะแย้งว่าเมื่อปลดปล่อยจากกันและกัน แล้วจะไปรักกันทำไมให้เสียเวลา
ปลดปล่อย หมายความว่า ความรักนั้นยังมีอยู่ ยังมีชีวิตคู่ซึ่งให้อิสรภาพซึ่งกันและกัน
ให้ต่างฝ่ายต่างได้มีเวลาแห่งสันติสุข มีเวลาในทางศาสนกิจของตน
และผูกพันรักกันด้วยสายสัมพันธ์ คือธรรมะอันเป็นเครื่องปลดเปลื้องความขุ่นเคืองทั้งปวง
ให้ได้รับอิสรภาพอย่างแท้จริง

เหมือนกวีท่านหนึ่งกล่าวไว้อย่างน่าฟังทีเดียวว่า
ขอให้หญิงชายคู่รักทั้งหลายนั้นเป็นเหมือนสายพิณที่อยู่คนละสาย
แต่เมื่อบรรเลงเพลงแล้วมันบรรเลงเพลงเดียวกันได้อย่างไพเราะ




** เรื่อง : คัดจาก "ชีวิตกับความรัก" โดย "เขมานันทะ"
**ภาพประกอบจาก Forwarded Mail






 

Create Date : 20 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 5 มิถุนายน 2552 10:52:07 น.
Counter : 4364 Pageviews.  

รักที่แท้ (Learning True Love)





รักที่แท้ (Learning True Love)
ภิกษุณีเจิงคอม /เขียน
แปลโดย นฤมล ตันตระกูล
พิมพ์ครั้งแรกโดย สนพ.หมู่บ้านเด็ก ร่วมกับ เสมสิกขาลัย
(สิงหาคม ๒๕๔๑)






รักที่แท้ แปลจาก Learning True Love ของภิกษุณี เจิงคอม แห่งหมู่บ้านพลัม ประเทศฝรั่งเศส

เป็นบันทึกแนวอัตชีวประวัติของผู้หญิงคนหนึ่ง
ที่ทุ่มเทชีวิตทั้งชีวิตให้กับการสร้างสันติภาพทั้งภายในและภายนอก
ผ่านการปฏิบัติธรรมและการฝึกฝนเรียนรู้ในพลังอันมหัศจรรย์ของ "ความรักที่แท้จริง"

เธอได้นำเอาคุณค่าทั้งมวลแห่งหลักการของสันติภาพเข้ามาปฏิบัติในชีวิตจริง
และได้บอกเล่าถึงวาระที่ลูกผู้หญิงต้องพิจารณาและการตัดสินใจในเรื่องสำคัญ ๆ เช่น...
การต้องเดินทางจากแม่ การจะมีห้องส่วนตัว
การที่เธอควรจะแต่งงานหรือไม่ ฯลฯ

และพัฒนาการของอารมณ์และความรู้สึก ตลอดถึงความคิดความเชื่อ
ความรู้และความศรัทธาในพุทธธรรม

จนนำไปสู่การทำงานอันยิ่งใหญ่ในฐานะชาวพุทธ...
และในฐานะที่เป็น "มนุษย์ที่แท้" ผู้หนึ่ง





บางส่วนจากคำนำโดย ติช นัท ฮันห์

'...ภิกษุณีเจิงคอม มีความสามารถมากทีเดียว ที่จะมีความร่าเริงและความสุขอยู่เสมอ ๆ
นี่เป็นคุณสมบัติที่ข้าพเจ้าซาบซึ้งมากในตัวเธอ
ความศรัทธาที่มั่นคงในธรรมะงอกงามและเข้มแข็งมากขึ้นในแต่ละวัน
ในขณะที่เธอได้รับผลจากการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น อันเกิดจากการปฏิบัติธรรม
ความมั่นคง ความร่าเริง และความสุขของเธอเป็นสิ่งที่ช่วยสนับสนุนพวกเราจำนวนมากที่หมู่บ้านพลัม
และคณะผู้ปฏิบัติธรรมในทุกสารทิศ
การทำงานเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมและการช่วยเหลือผู้อื่น
สำหรับเธอแล้ว เป็นแหล่งที่มาของความสุข
และความว่างเปล่าที่แท้ก็คือความรักที่แท้ด้วย

เรื่องราวของเธอนั้น เป็นอะไรมากกว่าที่คำพูดจะพรรณาได้
ชีวิตของเธอทั้งชีวิตเป็นประดุจธรรมเทศนานั่นเอง...'







จาก...บทสุดท้ายของบันทึก

'...ผู้อ่านที่รัก ฉันขอบคุณสำหรับความอดทน ที่คุณได้อ่านหนังสือเล่มนี้ทุกหน้า
ฉันอยู่กับคุณเหมือนเช่นที่คุณได้อยู่กับฉัน
เราต่างอยู่ในกันและกัน
เพียงเพื่อที่จะตระหนักถึงความรัก ความเอาใจใส่ และความโอบอ้อมอารี
ซึ่งเราต่างมีให้แก่กันบนเส้นทางแห่งความรักนี้
เราทั้งสองสามารถพยายามที่จะก่อให้เกิดสิ่งที่ดีกว่า
แม้เพียงเล็กน้อยสำหรับผู้อื่นได้
คุณคิดว่ามีสิ่งใดที่ควรจะทำมากไปกว่านี้อีกหรือ...?'





ส่วนตัวอ่านหนังสือเล่มนี้รวดเดียวจบเมื่อแรกได้มา...(มาฆบูชา ปี ๒๕๔๒)
และหยิบขึ้นมาอ่านซ้ำ ๆ อีกหลายครั้งเมื่อชีวิตต้องการกำลังใจและแรงบันดาลใจในการก้าวเดิน...

จึงนำมาชวนอ่านในวันนี้...
วันที่อยากเชิญชวนให้ใคร ๆ ได้เรียนรู้ถึง 'ความรักที่แท้' ค่ะ





**เชิญเลือกอ่านหนังสือเล่มอื่น ๆ ในบล็อกนี้ได้ที่... ~ สารบัญหนังสือในบล็อก ~ค่ะ








 

Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 5 มิถุนายน 2552 10:44:37 น.
Counter : 1679 Pageviews.  

ฝึกใจให้รู้จักคอย... เครียดคลายได้ถ้าใจคอยเป็น โดย "รินใจ"






คงไม่มีอะไรที่สามารถบงการระบบประสาทของเรา ได้ฉับพลันเท่ากับเสียงโทรศัพท์
ไม่ว่ากำลังกินข้าว ดูหนัง กำลังนอน หรือสั่งสอนลูกชายจอมซน
ทันทีที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นต้องรีบสาวเท้าหรือคว้ามือไปรับโทรศัพท์ อะไรที่กำลังทำอยู่ ต้องเลิกโดยฉับพลัน แม้จะสำคัญเพียงใดก็ตาม

ถ้ามนุษย์ต่างดาวเผอิญหลงมาที่โลกนี้ คงจะงงงวยว่าโทรศัพท์มีอะไรน่ากลัวหรือ คนบนโลกนี้ถึงชอบผลุนผลันไปรับคำบัญชาจากมัน

ที่จริงมนุษย์ต่างดาวเข้าใจผิดทั้งเพ ไม่มีใครกลัวโทรศัพท์หรอก เราทำกันเช่นนั้นอย่างอัตโนมัติ เพียงเพราะไม่อยากคอยให้มันดังหลายครั้ง
แต่ก็น่าคิดว่าแทนที่จะปล่อยให้มันกะเกณฑ์เรา ลองให้มันทำตามเกณฑ์ของเราบ้าง เช่น ให้ดังสัก ๓-๔ ครั้ง ถึงค่อยไปรับและไปรับอย่างช้า ๆ สบาย ๆ แทนที่จะเร่งรีบ





ไม่ใช่แต่เพียงเสียงโทรศัพท์เท่านั้น
มีอีกหลายอย่างที่เราปล่อยให้มันเข้ามาบงการเรา อย่างเช่นสัญญาณไฟตามสี่แยก
จริงอยู่ มันอาจไม่ถึงกับทำให้แขนขาของเรากระตุกทันทีที่มันวาบขึ้น
แต่บ่อยครั้งมันก็ไปกระตุกใจเราแทน
ทันทีที่เห็นไฟแดงข้างหน้าจะรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา แล้วก็กรุ่นไปตลอด
จนกว่าไฟเขียวจะมาปลุกใจเราให้ยินดี

ไฟเขียวเป็นข่าวดี (ถ้าเราเป็นคนขับรถ ไม่ใช่คนข้ามถนน)
แต่มันก็ทำให้เราทุกข์ไปอีกแบบหนึ่ง นั่นก็คือเวลามันยังไม่โผล่มา
เราก็กระวนกระวายใจ หรือถึงกับเครียด

แต่ถ้ามองกันจริง ๆ แล้ว จะโทษไฟเขียวว่ามาช้าก็ไม่ถูกมันก็มาตามจังหวะของมัน
สาเหตุที่เราทุกข์นั้นเป็นเพราะเราใจร้อน หรือคอยไม่เป็นต่างหาก

เพียงแค่เรารู้จักคอยไฟเขียวเท่านั้น ความเครียดจากการขับรถจะลดลงไปเยอะเลย

ในทำนองเดียวกัน สำหรับคุณที่ไม่รวยพอที่จะมีรถยนต์ส่วนตัว
หากคอยรถเมล์เป็น โลกนี้จะน่าอยู่ขึ้นไม่น้อย

ลองคิดดูสิ ที่จิตร้อนรุ่มราวกับถูกไฟลนนั้น หลายต่อหลายครั้ง เป็นเพราะเราตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเป็นฝ่ายคอย
อาจคอยแฟน คอยจดหมาย คอยงานเสร็จ
หรือคอยให้คนเห็นคุณค่าของเรา ยิ่งคอยก็ยิ่งทุกข์
ไม่ใช่ทุกข์เพราะสิ่งที่คอยยังมาไม่ถึง แต่ทุกข์เพราะใจเร่งเร้าเผาลนต่างหาก
จริง ๆ แล้ว ตัวการไม่ได้อยู่ข้างนอก แต่อยู่ข้างในต่างหาก
ถ้าเราสามารถฝึกใจให้รู้จักคอยได้ ชีวิตจะมีความสุขขึ้นอีกเยอะ






ทุกวันนี้คนกรุงมีความเครียดมาก เพราะคอยไม่เป็น
และที่คอยไม่เป็นเพราะเคยชินกับความรวดเร็ว ทุกอย่างล้วนแข่งกันเร็ว
ไม่ว่ากาแฟ บะหมี่สำเร็จรูป หม้อหุงข้าว เครื่องซักผ้า คอมพิวเตอร์ ...
แม้แต่ความเป็นคนเก่ง เดี๋ยวนี้ก็ไม่ต้องเสียเวลาฝึกฝนตนแล้ว
เพียงแค่ซื้อรองเท้ายี่ห้อนี้ หรือน้ำอัดลมยี่ห้อนั้น ก็สำเร็จผลได้โดยพลัน เร็วอะไรปานนั้น

ชีวิตที่อะไรต่ออะไรได้มาโดยไว ทำให้เราคอยกันไม่เป็น
หวังแต่จะให้ทุกอย่างเปิดปุ๊ปติดปั๊บท่าเดียว จนลืมไปว่ายังมีอีกหลายอย่างในชีวิตที่ต้องใช้เวลา
หลายอย่างที่ว่านี้ ล้วนมีความสำคัญทั้งนั้น เช่น สุขภาพ ความรู้ ความสำเร็จ
หรือแม้กระทั่งความรัก ถ้าเราคอยสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ ชีวิตก็มีแต่ความเครียดรุมเร้า
หาไม่ก็ได้แค่ของปลอม ซึ่งทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง







ใจที่รู้จักคอยคือกุญแจแห่งความสุขและความสำเร็จ...

เมื่อสิทธารถะไปขอเรียนวิชาจากอาจารย์เฒ่า
เขาได้อ้างคุณสมบัติที่เขาเชื่อว่าเหมาะแก่การเป็นศิษย์ ๑ ใน ๓ ของคุณสมบัติดังกล่าว คือ " I can wait"

ในชีวิตประจำวัน เรามีโอกาสมากมายที่จะฝึกใจให้รู้จักคอย เช่น ล้างมืออย่างช้า ๆ
นั่งโต๊ะแล้วค่อยเปิดจดหมาย อ่านหนังสือพิมพ์ ทำงานให้เสร็จเป็นอย่าง ๆ
หรือตามลมหายใจขณะรอรถเมล์

หรือจะเริ่มต้นด้วยการทำใจสงบขณะที่โทรศัพท์ดัง
ต่อเมื่อสิ้นเสียงสัญญาณครั้งที่ ๓ จึงค่อยรับก็เข้าทีดี...





**บทความและภาพประกอบได้มาจาก Forwarded Mail ค่ะ ขอขอบคุณผู้สร้างสรรค์มา ณ ที่นี้








 

Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 5 มิถุนายน 2552 11:54:30 น.
Counter : 1111 Pageviews.  

พรแห่งชีวิต : ความสุขของมนุษย์ที่แท้



พรแห่งชีวิต : ความสุขของมนุษย์ที่แท้
โดย พระไพศาล วิสาโล







คนเรา ถ้าสามารถเรียกร้องอะไรได้จากชีวิต เพียงแค่ขอให้กินง่าย ถ่ายคล่อง นอนสบาย
เท่านี้ชีวิตก็เป็นสุขแล้ว

พูดอย่างนี้ หลายคนคงต่อว่าในใจว่า..."อะไรกัน ขอเพียงเท่านี้เองเหรอ..."

ถ้าขออะไรได้ ใครต่อใครคงขอให้ร่ำรวย เจริญด้วยยศศักดิ์ อำนาจและชื่อเสียง....

การกินง่าย ถ่ายคล่อง นอนสบายดูเหมือนจะเป็นสิ่งพื้น ๆ ประเภทหญ้าปากคอก ไม่มีค่าไม่มีราคา จะใช้หากินหรือเอาไปอวดใครก็ไม่ได้ ตั้งแต่เล็กจนโตก็กินง่ายถ่ายคล่องอยู่แล้ว จะไปน่าสนใจอะไร

แต่ของที่เป็นหญ้าปากคอกนี่แหละ สำคัญนักแล ลองกลั้นลมหายใจสักนาทีดู ก็จะรู้ว่าอากาศนั้นมีความหมายเพียงใดต่อชีวิต ถึงจะเป็นเซียนหุ้นฝีมือล้ำเลิศเพียงใด ในยามที่เศรษฐกิจตกต่ำอย่างทุกวันนี้ ย่อมประจักษ์แก่ใจว่า ถ้าคืนไหนสามารถหลับได้เต็มตา ก็นับว่าโชคดีทีเดียว

แม้ในยามเงินตราไหลสะพัด ก็ใช่ว่าการนอนหลับสนิทจะเป็นเรื่องที่ทำกันได้ง่าย ๆ คนเป็นอันมาก ทำงานตักตวงเงินจนเป็นเศรษฐีเงินล้าน แต่พบว่าสิ่งหนึ่งที่สูญเสียไปคือ ความสามารถที่จะนอนหลับสนิท ตอนเป็นเด็ก การหลับนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่พอโตขึ้น ของง่ายก็กลับเป็นเรื่องยากไป

การนอน การกิน การถ่าย ไม่มีราคาค่างวดอะไรก็จริง แต่ก็เพราะไม่มีราคาค่างวดนี่แหละ
ถึงได้เป็นปัญหาสำหรับคนยุคนี้ ...







น่าแปลกไหมที่มนุษย์แม้จะส่งคนไปโลกพระจันทร์ แปลงเพศ เปลี่ยนยีนได้ แต่กลับไม่สามารถเอาชนะโรคนอนไม่หลับได้เลย...ยานอนหลับที่วางขายกันเกลื่อนนั้น แก้ปัญหาได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว และที่จริงก็เพียงแต่ทำให้หลับ (ที่จริงต้องเรียกว่า "หมดสติ") แต่หาทำให้สบายไม่ ตื่นขึ้นมาก็ยังรู้สึกงัวเงีย สมองตื้อ ยังไม่ต้องพูดถึงผลข้างเคียงที่ติดตามมา
แม้กระนั้น ยานอนหลับก็ยังติดอันดับขายดีทั่วประเทศ(และทั่วโลก)

ไม่ใช่แต่ยานอนหลับเท่านั้น ยาถ่ายก็ขายดีเช่นเดียวกัน คนสมัยนี้มีปัญหาเรื่องการขับถ่ายทั้งนั้น แต่ครั้นจะพึ่งยาถ่ายทุกวี่ทุกวัน สุขภาพก็มีแต่จะแย่ลง สมัยนี้ใครที่ไม่มีปัญหาการถ่าย นับได้ว่ามีโชคอันประเสริฐ เพราะไม่เพียงแต่จะปลอดจากโรคท้องผูก ริดสีดวงทวาร แผลลำไส้ใหญ่เท่านั้น หากยังมีหวังแคล้วคลาดจากโรคร้ายแรงอย่างมะเร็งลำไส้อีกด้วย

เดี๋ยวนี้เรารู้แล้วว่าการหลับง่ายถ่ายคล่องนั้นซื้อหาไม่ได้และไม่มีเทคโนโลยีใด ๆ จะเป็นที่พึ่งพาอาศัยได้อย่างแท้จริง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น หมั่นออกกำลังกาย และกินอาหารที่มีเส้นใยมาก ๆ เช่นข้าวกล้อง ผัก ผลไม้ก็ช่วยได้มาก
แต่การกินง่ายนี่สิ ไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าใดนัก ใช่ว่ามีลิ้นแล้วจะกินอะไรเป็นอร่อยไปหมดก็หาไม่ การกินของง่าย ๆ พื้น ๆ แล้วยังรู้สึกอร่อยนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับจิตใจค่อนข้างมาก

ลำพังการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางกายอย่างที่ยกตัวอย่างข้างต้นนั้นเห็นจะไม่พอ แม้จะเปลี่ยนมากินผักมาก ๆ ก็ยังอยากปรุงแต่งให้อร่อย มีสีสันรูปลักษณ์น่ากิน แล้วก็ต้องเปลี่ยนเมนูบ่อย ๆ ด้วย เพราะขืนกินสูตรเดียวกันทุกวี่ทุกวันก็แย่เหมือนกัน






ทั้ง ๆ ที่การกินง่ายไม่ใช่เรื่องง่าย แต่น่าสังเกตว่า เวลาไปถามรัฐมนตรีหรือนักธุรกิจพันล้านมักจะได้คำตอบตรงกันว่า ชอบกินราดหน้าบ้าง ก๋วยเตี๋ยวเป็ดบ้าง ดูใคร ๆ ก็ชอบแสดงตัวว่าชอบกินอะไรง่าย ๆ แต่เวลาประชุมพรรค หรือเลี้ยงฉลองกัน
เป็นไฉนจึงชอบจัดตามโรงแรมดัง และสั่งอาหารหรูเริ่ดทุกครั้งไปก็ไม่รู้

การกินง่าย ๆ ให้อร่อยนั้นไม่ได้อยู่ที่ลิ้นมากเท่ากับที่ใจ ถ้าใจไปให้คุณค่ากับอาหารราคาแพงคิดว่าอาหารอร่อยต้องกินตามโรงแรม หรือกินเพราะต้องการแสดงความโก้เก๋อวดบารมีเสียแล้ว กินผีดผัก แกงจืดจะไปมีรสชาติอะไร แม้แต่กล้วยแขกก็ไม่คู่ควรกับลิ้นของตัวเท่ากับเค้กช็อกโกแลต

จะรู้จักรสชาติอาหารพื้น ๆ ได้ ก็ต่อเมื่อถอดหัวโขน เปลื้องเหรียญตรา และปีนลงมาจากหอคอยงาช้าง แต่จะดีกว่านี้ ถ้าหากปรับใจให้ตระหนักว่า ความอร่อยของอาหารนั้นไม่ได้อยู่ที่ว่ามันกระตุ้นลิ้นได้มากเพียงใด อาหารที่มีรสจัดจ้าน ไม่ว่าหวาน เปรี้ยว เผ็ด ชนิดออกนอกหน้าโจ่งแจ้ง
ไม่ใช่อาหารอร่อยเสมอไป

รสชาติเรียบ ๆ ก็เป็นเสน่ห์ของอาหารอย่างหนึ่งเหมือนกัน แถมยังเป็นเสน่ห์ที่มีคุณค่ากว่ารสจัดจ้าน เพราะไม่เพียงแต่มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพเท่านั้น หากยังมีผลกล่อมเกลาจิตใจให้สงบด้วย ความสงบนี่แหละช่วยให้บังเกิดความสุขความรื่นรมย์ในขณะกินอาหาร
โดยไม่ต้องมีเสียงเพลงจากนักร้องมาช่วยกล่อมเลย

อย่าลืมว่า ความสุขไม่ได้เกิดจากการเร้าจิตกระตุ้นใจเท่านั้น ความสงบก็เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขด้วยเช่นกัน ทั้งยังเป็นสุขที่ประณีตและประเสริฐกว่าเสียด้วย

คงเห็นแล้วว่า การรู้จักกินง่าย ๆ จะว่าเป็นเรื่องหญ้าปากคอกก็ได้ (เด็กที่ไหน ๆ กินกล้วยแขกก็รู้สึกอร่อย ตราบใดที่ยังไม่ถูกอิทธิพลโฆษณาแฮมเบอร์เกอร์ครอบงำ) จะว่าไม่ใช่หญ้าปากคอกก็ได้ เพราะต้องอาศัยคุณภาพจิตระดับหนึ่งด้วย ว่าไปแล้ว แม้แต่การนอนง่ายถ่ายคล่องก็เกี่ยวข้องกับจิตใจเช่นกัน ถ้าหงุดหงิดคิดมาก ท้องก็ผูกเป็นเรื่องธรรมดา หากเจ็บช้ำน้ำใจ อึดอัดขัดเคืองใคร ก็พลอยทำให้นอนไม่หลับกระสับกระส่ายทั้งคืน ถึงหลับได้ก็ฝันฟุ้งจนเหนื่อย
ตื่นขึ้นมาก็ยังรู้สึกว่านอนไม่พอ ง่วงเหงาหาวนอนทั้งวัน







ถ้าอยากนอนง่ายถ่ายคล่องจริง ๆ ก็ต้องรู้จักปล่อยวางให้เป็นด้วย นั่นหมายความว่าต้องฝึกใจให้คิดเป็นเรื่อง ๆ คิดเป็นที่เป็นทาง ไม่ใช่คิดแบบ "เรี่ยราด"

คนที่ปล่อยใจคิดไปเรื่อย ๆ สุดแท้แต่อารมณ์ความรู้สึกจะพาไป ง่ายที่จะเป็นคนครุ่นคิดติดยึดกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เก็บเอาเรื่องเล็กน้อยในสำนักงานมาเป็นอารมณ์ติดค้าง แม้กระทั่งเวลากลับมาบ้าน บางเรื่องแม้จะดูเป็นเรื่องสำคัญ แต่ถ้าหมกมุ่นครุ่นคิดกับมัน ไม่รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง มันก็จะเข้ามาครอบงำเรา กลายเป็นใหญ่เหนือเรา คราวนี้ถึงอยากจะวาง มันก็ไม่ยอมให้เราวาง มีแต่จะบังคับให้จิตของเรา ครุ่นคิดปรุงแต่งไปตามที่มันกำหนดทั้งวี่ทั้งวัน กระทั่งเวลานอนก็นอนไม่ได้ เพราะสลัดมันไปไม่สำเร็จ ปลิงที่ว่าเหนียวหนึบ ยังสู้ความครุ่นคิดกังวลใจไม่ได้

ลองฝึกใจให้คิดเป็นเรื่อง ๆ ถึงเวลากินใจก็อยู่กับการกิน ถึงเวลาล้างจานใจก็อยู่กับการล้างจาน
ถึงเวลาคุยใจก็อยู่กับการคุย ไม่พึงปล่อยใจไปกับเรื่องอื่น

คนสมัยนี้มักเข้าใจไปว่าการคิดไปด้วยกินไปด้วยเป็นการใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งเวลาหายากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องทำอะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนเก่ง ล้ำหน้าคนอื่น หารู้ไม่ว่านั่นคือการบั่นทอนคุณภาพชีวิตอย่างร้ายแรง นอกจากจะทำให้จิตไม่มีสมาธิกับงานใด ๆ แม้แต่งานเดียวแล้วยังทำให้ขาดสติคิดเรี่ยราดหรือฟุ้งซ่านได้ง่าย กลายเป็นคนเจ้ากังวล จมกับความเครียด ใครที่กินอาหารด้วยจิตแบบนี้ ก็เตรียมยารักษาโรคกระเพาะ ท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือยาแก้ท้องผูกไว้ได้เลย มิหนำซ้ำ ถึงจะกินอาหารฮ่องเต้วิเศษปานใด ก็ไม่มีวันรู้สึกอร่อยไปได้ ตรงกันข้ามกับคนที่มีจิตใจผ่องใส โปร่งโล่ง กินอะไรก็อร่อยทั้งนั้น แม้จะเป็นข้าวแกงธรรมดา

การกินง่าย ถ่ายคล่อง หลับสบายจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ พื้น ๆ อย่างที่เข้าใจถ้าอยากจะมั่งมีศรีสุขก็อย่าลืมตั้งจิตคิดถึงเรื่องนี้ด้วย อย่าสนใจเพียงแค่ทรัพย์สินเงินทองเท่านั้น ส่วนคนที่มุ่งดับทุกข์ดับกิเลส ก็อย่าเพิ่งดูแคลนการกินง่ายถ่ายคล่องว่าเป็นเรื่องโลกย์ ๆ เพราะแท้ที่จริงแล้ว นี่เป็นเรื่องที่แยกไม่ออกจากการฝึกฝนจิตใจหรือการปฏิบัติธรรมเลยทีเดียว

ถึงที่สุดแล้ว การกินง่ายถ่ายคล่อง หลับสบายนั้นเป็นเครื่องบ่งชี้สภาวธรรมที่สำคัญประการหนึ่งทีเดียว

จางจื๊อ ปราชญ์จีนโบราณได้พูดถึงผู้บรรลุธรรมขั้นสูงว่า ...

มนุษย์ที่แท้ในสมัยโบราณนั้น...
นอนโดยไม่ฝัน
ตื่นโดยไม่วิตก
กินอาหารง่าย ๆ
หายใจลึก ๆ



คนที่ถึงจุดสุดยอดในทางธรรมไม่ใช่คนที่เหาะเหินเดินอากาศหรือหายตัวได้ หากแต่(เป็นคนที่)มีชีวิตอยู่อย่างสามัญ เป็นความสามัญที่ไม่ธรรมดาเลย
ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้เงินทองจะร่อยหรอ ข้าวของจะแพง แต่ถ้าหากยังกินง่าย ถ่ายคล่อง หลับสบาย ก็ควรพึงพอใจได้แล้ว

เพราะฉะนั้นวันนี้ เห็นจะไม่มีอะไรเหมาะสมเท่ากับคำอวยพรว่า...
ขอให้ทุกท่าน กินง่าย ถ่ายคล่อง หลับสบายทุกวันวาร เทอญ.






*คัดจากหนังสือ "พรแห่งชีวิต : สุขใจในนาครภาค ๒" โดย พระไพศาล วิสาโล จัดพิมพ์โดย มูลนิธิสุขภาพไทย ตุลาคม ๒๕๔๑
**ขอบคุณภาพประกอบสวย ๆ จากฟอร์เวิร์ดเมล์ค่ะ
***เชิญเลือกอ่านหนังสือเล่มอื่น ๆ ในบล็อกนี้ได้ที่... ~ สารบัญหนังสือในบล็อก ~ค่ะ









 

Create Date : 31 ธันวาคม 2551    
Last Update : 5 มิถุนายน 2552 12:58:05 น.
Counter : 4284 Pageviews.  

ปฏาจารา...น้ำตาที่มากกว่าห้วงมหาสมุทร



ปฏาจารา...น้ำตาที่มากกว่าห้วงมหาสมุทร





ครานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ มหาวิหารเชตวัน กรุงสาวัตถี
ทรงแสดงธรรมในท่ามกลางบริษัท

และแล้วโดยไม่มีผู้ใดคาดคิด หญิงบ้านางหนึ่งได้ปรากฎกายขึ้น
ผมของนางยาวสยายรุ่ยร่ายกระเซอะกระเซิง
ร่างกายทั้งสิ้นเปลือยเปล่า ไร้อาภรณ์แม้สักชิ้นจะปิดบัง นางเดินฝ่าเข้ามาในระหว่างหมู่ชนที่กำลังสดับธรรม มุ่งตรงสู่พระผู้มีพระภาค ปากก็ร่ำรำพัน

"ลูกทั้งสองของเราตายเสียแล้ว สามีก็ตาย พ่อแม่และพี่ชายก็ถูกเผาบนเชิงตะกอนเดียวกัน"
นางพูดซ้ำ ๆ เพียงนี้

"หญิงบ้า ๆ " ใครสักคนตะโกนขึ้น พวกเขาต่างพยายามขวางกั้นนาง
ด้วยเกรงว่าจะทำความรำคาญให้แก่พระพุทธองค์

พระผู้มีพระภาคทรงเล็งเห็นนางผู้บำเพ็ญบารมีมานับแสนกัลป์

"เว้นเราเสีย ผู้อื่นที่ชื่อว่าจะเป็นที่พึ่งของหญิงนี้ ไม่มี"

พระองค์ตรัสกับพุทธบริษัท ให้ปล่อยนางผู้มีทุกข์มหาศาลนั้น ได้เข้ามาพบกับหนทางดับทุกข์ ที่นางแสวงหา

"จงได้สติเถิด น้องหญิง"

ด้วยพระสุรเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพระเมตตา เยือกเย็นด้วยพระพุทธานุภาพ
"ปฏาจารา" ผู้น่าสงสารก็พลันกลับคืนได้สติในบัดดล
นางเกิดความละอายอย่างยิ่ง ที่เป็นผู้เปลือยกาย จึงได้ย่อตัวลงนั่ง

บุรุษผู้หนึ่งยืนผ้าห่มมาให้ นางรับมานุ่งแล้วจึงคลานเข้าไปหมอบกราบแทบเบื้องพระยุคลบาท น้ำตาเอ่อไหลดั่งสายน้ำ กราบทูลเล่าเรื่องราวทั้งหมดถวายแด่พระองค์ดังนี้...





นางนั้นเป็นธิดาของมหาเศรษฐี ในกรุงสาวัตถี บิดามารดาหวงแหนนัก
เพราะเป็นผู้ที่มีหน้าตางดงาม จึงจัดให้นางอยู่ชั้นบนของปราสาท
จะไปไหนก็ต้องขออนุญาต ด้วยความยากลำบาก และทุกครั้งต้องมีเหล่าคนรับใช้ตามไปเป็นกระบวน
สร้างความกดดัน อึดอัดแก่นางยิ่งนัก

พออายุได้ ๑๖ ปี นางเกิดความรักใคร่ตามธรรมชาติกับคนรับใช้ผู้ชายในบ้าน และถึงขั้นลักลอบได้เสียกัน โดยไม่มีผู้ใดรับรู้

เศรษฐีผู้หนึ่ง ซึ่งมีชาติตระกูลเสมอกัน ได้มาสู่ขอนางให้กับบุตรชายของตน และบิดามารดาก็เต็มใจยกให้
ต่างพากันจัดเตรียมงานวิวาห์อย่างใหญ่โต นางรู้สึกกระวนกระวาย ตัดสินใจไม่ถูก
เมื่อใกล้วันงานเข้าไปทุกขณะ จึงเรียกคนรัก ซึ่งเป็นผู้รับใช้หนุ่มมากล่าวว่า...

"หากฉันแต่งงานไป เราจะไม่ได้พบกันอีกเลยชั่วชีวิตนี้ ถ้าเธอรักฉันจริง ก็จงพาฉันหนีไปเถิด"

ทั้งสองคนได้นัดแนะ ที่จะพบกันตรงประตูเมือง
ในคืนนั้นนางหยิบของมีค่าลงห่อผ้า นอนไม่หลับตลอดคืน รู้สึกว่าตนเองกำลังทำความผิดใหญ่หลวง
แต่ความรักก็มีพลังอำนาจมากกว่าความรับผิดชอบชั่วดีใด ๆ

เช้ามืดก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ขณะที่ทุกคนยังนอนหลับใหล นางได้สยายผม ทากายด้วยเขม่า นุ่งผ้าเก่า ๆ ปลอมเป็นทาสี ถือหม้อน้ำมุ่งตรงไปพบคนรักยังประตูเมือง
ทั้งสองพากันเดินไปอย่างเร่งรีบ จนถึงริมฝั่งแม่น้ำอจิรวดีเมื่อตอนพระอาทิตย์เริ่มทอแสง
ต่างประคองกันลุยข้ามแม่น้ำที่ยะเยียบเย็น ท่ามกลางสายหมอกปกคลุมอ้อยอิ่งเหมือนม่านกำบังที่ร่วมรู้เห็นเป็นใจ

พากันไปได้ไกลพอสมควรแล้ว ก็ปักหลักสร้างกระท่อมอาศัยอยู่ในราวป่าแห่งหนึ่ง ปลูกผัก ทำไร่ไถนา เลี้ยงชีพ
นางผู้ไม่เคยพบพานกับความยากลำบากเลยในชีวิต ต้องผ่าฟืน ตำข้าว และหุงต้มด้วยมือของตนเอง
แต่ความทุกข์นี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวที่เพิ่งจะเริ่มในชีวิตของนางเท่านั้น





แล้วนางก็ตั้งครรภ์ ความรักที่มีต่อลูกน้อยซึ่งยังไม่ถือกำเนิดมากมายยิ่งนัก ไม่อยากให้ลูกเกิดมาท่ามกลางความยากจน จึงเฝ้าอ้อนวอนสามีว่า

"ที่แห่งนี้ ไม่มีญาติของฉันเลยสักคน พาฉันกลับไปยังบ้านของพ่อแม่ด้วยเถิด ป่านนี้ท่านคงยอมอภัยให้เราแล้ว ฉันอยากกลับไปคลอดลูกที่นั่น"

อดีตคนรับใช้ที่ต่ำต้อย เกรงกลัวโทษทัณฑ์สำหรับความผิดที่ได้กระทำมา จึงบ่ายเบี่ยงตลอด มิไยที่นางจะอ้อนวอนแล้วอ้อนวอนเล่า เขาก็ไม่โอนอ่อน

กาลเวลาล่วงเลยจนกระทั่งท้องแก่มาก นางตัดสินใจหนีกลับโดยลำพัง

ข้างสามีได้ออกตามหามาทันที่กลางทาง เวลานั้นนางทนปวดท้องไม่ไหว ลงนอนเกลือกกลิ้งบนพื้นดิน ที่สุดก็คลอดลูกคนแรกเป็นชาย ในกลางป่านั่นเอง
ทั้งสามชีวิตหอบหิ้วกันกลับกระท่อมที่อยู่เดิม

ผ่านไป ๒ ปี นางตั้งครรภ์ขึ้นมาอีก เมื่อท้องแก่จัดก็หนีอีกเช่นเคย คราวนี้จูงลูกชายคนโตมาด้วย
เมื่อสามีตามมาทันได้ขอร้องให้นางกลับ นางก็ไม่ปรารถนา คงยืนยันที่จะเดินทางต่อไป
ราวกับโชคชะตากลั่นแกล้ง อยู่ ๆ เมฆฝนดำทะมึนได้ก่อตัวขึ้นอย่างมืดมิด ทั้งที่มิใช่ฤดูกาล
ลมแรงพัดกรรโชกไปทั่ว ต้นไม้โอนเอนดังจะหักโค่น ท้องของนางเริ่มเขม็งเกลียว มันบีบรัดปวดจนแทบพูดไม่ออก กัดฟันร้องบอกสามีว่า
"ทำที่กำบังฝนให้ด้วย ฉันจะคลอดที่นี่"

เขารีบเดินฝ่าลมพายุจากไป เพื่อหาหญ้าคามาทำหลังคาขณะที่ฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก นางและลูกเฝ้ารอคอยแต่เขามิได้กลับคืนมาอีกเลย
ท่ามกลางพายุ นางคลอดบุตรคนที่สองโดยลำพัง หญิงผู้น่าสงสารกอดลูกน้อยที่เพิ่งถือกำเนิดไว้แนบอก
แล้วก้มตัวลงคร่อมร่างบุตรคนแรกไว้ เพื่อป้องกันฝนให้ลูก เผชิญความทุกขเวทนาหนาวเหน็บเจ็บปวดปานจะขาดใจ จวบจนรุ่งเช้าฝนจึงยอมซาเม็ด

นางโผเผลุกขึ้นยืน ร่างกายซีดเหมือนไม่มีโลหิต อุ้มลูกที่เพิ่งเกิดไว้ แล้วหันไปพูดกับลูกคนโต
"ไปตามหาพ่อกันเถอะลูก"

ที่ข้างจอมปลวกข้างหน้า สามีของนางนอนตัวแข็งอยู่บนพื้นดิน ร่างกายเปียกโชกด้วยน้ำ
นางและลูกรีบวิ่งเข้าไปหา แต่เขาสิ้นใจแล้ว เพราะถูกงูพิษกัด
นางร้องไห้คร่ำครวญ ว่าเป็นเพราะตนเองสามีจึงต้องตาย ลูกทั้งสองต้องเป็นกำพร้า





ด้วยใบหน้านองน้ำตา มือหนึ่งอุ้ม มือหนึ่งจูง โผเผพาลูกน้อย มุ่งสู่บ้านเดิมในกรุงสาวัตถี

เมื่อมาถึงแม่น้ำอจิรวดี น้ำได้ขึ้นสูงถึงเพียงอก เพราะฝนที่ตกหนักตลอดคืนยันรุ่ง ไม่มีปัญญาจะพาลูกทั้งสองข้ามน้ำไปพร้อมกันได้ จึงบอกลูกคนโตที่ยังเล็กนักว่า

"รออยู่ตรงนี้ก่อนนะ แม่พาน้องข้ามไปก่อน เดี๋ยวแม่มารับ"

เมื่อข้ามไปถึงฝั้งโน้นแล้ว ก็หาใบไม้ปูลาดกับพื้นวางลูกอ่อนไว้ แล้วลุยน้ำข้ามกลับไปเพื่อรับลูกคนโต
พอถึงกลางน้ำ เหยี่ยวตัวหนึ่งเห็นเด็กอ่อน จึงโฉบลงมาจากอากาศ เอาลูกน้อยที่เพิ่งเกิดของนางไป นางตกใจมากยกมือขึ้นกวัดแกว่ง ส่งเสียงไล่มัน
แต่เสียงน้ำที่เชี่ยวกรากกลบเสียงของนางเสียสิ้น

ลูกคนโตยืนอยู่อีกฝั่งเห็นแม่ยกมือและตะโกน หนูน้อยสำคัญผิดว่าแม่กวักมือเรียก ด้วยความไร้เดียงสา จึงปีนลงจากฝั่งเพื่อมาหาแม่

กระแสน้ำอันเชี่ยวกรากได้กระชากตัวเด็กน้อยจมหายไปต่อหน้าต่อตาอย่างไร้ความปรานี

ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว สุดปัญญาที่นางจะช่วยเหลือหรือทำอะไรได้





ด้วยหัวใจที่แตกสลาย นางเดินพลางร่ำไห้พลาง ประคองสติไว้แทบไม่อยู่ จิตใจจดจ่อ มุ่งตรงจะกลับบ้านเกิด ซึ่งเป็นที่พึ่งพิงแห่งสุดท้าย

เมื่อเดินสวนกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งมาจากกรุงสาวัตถี จึงถามถึงพ่อแม่ของตนเอง
ชายคนนั้นเงียบไปสักพักแล้วบอกว่า พายุอันรุนแรงเมื่อคืนได้ทำให้ปราสาทของเศรษฐีเกิดไฟไหม้และพังทลายลง ล้มทับเศรษฐี ภรรยา และบุตรชายถึงแก่ความตายทั้งหมด

ขณะนี้คนทั้งสามถูกเผาอยู่บนเชิงตะกอนอันเดียวกัน
"โน่นแน่ะ ควันยังกรุ่นลอยปรากฏอยู่เลย"

สิ้นเสียงของชายคนนั้น ความทุกข์โทมนัสอย่างสุดแสนสาหัสเข้าครอบงำจิตใจของนาง สติที่เหลือเพียงเส้นใยบาง ๆ ขาดสะบั้นลงทันที

ความวิปลาสได้บังเกิด ผ้านุ่งห่มหลุดลุ่ยไม่รู้ตัว นางเดินเปลือยกายดังคนวิกลจริตไปทั่ว ปากก็ร้องรำพันแต่ว่า

"ลูกทั้งสองของเราตายเสียแล้ว สามีก็ตาย พ่อ แม่ และพี่ชายก็ถูกเผาบนเชิงตะกอนเดียวกัน"

คนทั้งหลายเห็นนางแล้วจะตะโกนว่า "หญิงบ้า ๆ "
เอาหยากเยื่อบ้าง ฝุ่นบ้าง โปรยลงบนศีรษะ บ้างก็ขว้างปาด้วยก้อนหิน ผู้คนต่างโจษขานเรียกนางว่า "ปฏาจารา" (ผู้ไปโดยไม่มีผ้า)





พระผู้มีพระภาคสดับเรื่องราวทั้งสิ้นที่นางเล่าถวาย สายพระเนตรซึ่งทอดมายังนาง เปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณาต่อสัตว์ผู้ยาก พระองค์ตรัสขึ้นว่า

"ดูก่อน ปฏาจารา เธออย่าคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงมาแล้วเลย หากควรทำปัจจุบันให้ถึงพร้อม
บัดนี้สามีของเธอ ลูกทั้งสอง มารดา บิดาและพี่ชาย เขาเหล่านั้นได้พากันจากเธอไปแล้ว
ในเวลาที่บุคคลอันเป็นที่รัก มีบุตรเป็นต้น ต้องตายลงในสงสารนี้ เธอก็ได้ร้องไห้ คร่ำครวญมานานแสนนานนับภาพนับชาติไม่ได้
และยังจะต้องร้องไห้ต่อไปอีกหรือ
น้ำตาของเธอมากกว่าน้ำในห้วงมหาสมุทรทั้งสี่ เหตุไรเธอยังประมาทอยู่
ไม่ว่าตัวเธอเอง ทุกคนในโลก หรือว่าตัวเรา จักต้องถึงซึ่งสภาพนั้นในที่สุด
บิดา มารดา หรือบุตร ก็ต้านทานป้องกันไม่ได้ คนเหล่านั้นถึงมีอยู่ก็เท่ากับไม่มี

ดูก่อน ปฏาจารา บัดนี้เธอจงหยุดความร่ำไรรำพันเสียเถิด จงดำรงตนอยู่ในอินทรียสังวรศีล
ปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๙ เพื่อใช้นำทางไปสู่พระนิพพานเสียแต่บัดนี้จึงจะเป็นการดี"


พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง "อนมตัคคปริยายสูตร" คือเรื่องสงสารที่วนเวียนไม่มีที่สิ้นสุด
แล้วพระองค์ได้ตรัสพระคาถา เพื่อทรงแสดงธรรมให้ถูกกับนิสัยของนางว่า

"เมื่อบุคคลถูกความตายครอบงำแล้ว
บุตรทั้งหลายย่อมไม่มี เพื่อต้านทานได้
บิดา ย่อมไม่มี เพื่อต้านทานได้
แม้พวกพ้องทั้งหลาย ก็ไม่มีเพื่อต้านทาน
การต้านทานย่อมหาไม่ได้ในหมู่ญาติ
บัณฑิต ครั้นรู้อำนาจของประโยชน์นี้แล้ว
พึงเป็นผู้สำรวมในศีล
พึงรีบชำระหนทางเป็นที่ไปสู่พระนิพพานโดยเร็วพลัน"


สิ้นพุทธวจนะ ปฏาจารามีความเข้าใจในทันทีว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา
นางได้บังเกิดดวงตาเห็นธรรม บรรลุเป็นพระโสดาบัน





นางกราบทูลขออุปสมบทเป็นภิกษุณี ในพระธรรมวินัยของพระบรมศาสดา
เมื่ออุปสมบทแล้ว ท่านภิกษุณีปฏาจาราก็เจริญวิปัสสนายิ่งขึ้น โดยไม่ประมาท

วันหนึ่ง เมื่อกลับจากบิณฑบาต ขณะที่ท่านตักน้ำล้างเท้า
สายน้ำที่ราดรดไหลไปได้หน่อยก็ซึมหายลงในดิน
พอราดครั้งที่สอง สายน้ำไหลเลยมากกว่าครั้งแรก
พอราดครั้งที่สาม สายน้ำไหลเลยแนวที่สองไปแล้วซึมลงดิน

ท่านจึงถือเอาสายน้ำที่ราดรดทั้ง ๓ ครั้ง เป็นอารมณ์กำหนดรู้ว่า

สัตว์บางพวกตายเสียใน "ปฐมวัย" คือวัยต้นก็มี
เปรียบได้กับน้ำที่เราเทในครั้งแรก
บางพวกตายใน "มัชฉิมวัย" คือวัยกลาง
เปรียบได้กับน้ำที่เราเทในครั้งที่สอง
บางพวกตายใน "ปัจฉิมวัย" คือวัยสุดท้าย
เปรียบได้กับน้ำที่เราเทในครั้งที่สาม


หากจิตละการยึดมั่น ถือมั่นเสียแล้ว ก็จักปล่อยวางจากอาสวะทั้งมวลได้

พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนั่งอยูในพระคันธกุฎี ทรงแผ่พระรัศมีไปปรากฎเหมือนดังพระองค์ประทับยืนอยู่ เฉพาะหน้าท่านภิกษุณี ตรัสว่า

"ดูก่อน ปฏาจารา ผุ้ที่เห็นความเกิดขึ้นและเสื่อมไปแห่งขันธ์ ๕
แม้จะมีชีวิตอยู่เพียงวันเดียว ก็ยังประเสริฐกว่าผู้ที่มีชีวิตอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี แต่ไม่เห็นความเกิดขึ้น และเสื่อมไปแห่งขันธ์ ๕ นั้น"


ในเวลาจบพระพุทธดำรัส ท่านภิกษุรีปฏาจาราได้บรรลุอรหัตผลทันที มีจิตหลุดพ้น เข้าสู่พระนิพพาน อันบริสุทธิ์ยิ่งแล้ว

เธออย่าเศร้าโศกเลย
อย่าคร่ำครวญเลย
เราบอกไว้ก่อนแล้วมิใช่หรือว่า
ความพลัดพราก
ความทอดทิ้ง
ความแปรเปลี่ยนจากของรักของชอบใจทุกอย่าง
จะต้องมี
ฉะนั้นจะพึงหาอะไรได้จากที่ไหนในสังขารนี้
สิ่งที่เกิดขึ้นมีขึ้น
ถูกปัจจัยปรุงแต่งล้วนสลายไปเป็นธรรมดา
เป็นไปไม่ได้ที่จะปรารถนาว่า
ขอสิ่งนั้น
อย่าเสื่อมคลายไปเลย






หมายเหตุ * คัดจาก "ก่อนอาทิตย์อัสดง" เรียบเรียงโดย "อาทิตย์ยามเช้า"







 

Create Date : 15 ธันวาคม 2551    
Last Update : 5 มิถุนายน 2552 13:02:03 น.
Counter : 2311 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  

แม่ไก่
Location :
ลำปาง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 184 คน [?]




**หลังไมค์เจ้า**





Cute Clock Click!



เออสิ,มาอยู่ใยในโลกกว้าง
เฉกชลคว้างมาเมื่อไรไม่นึกฝัน
ยามจากไปก็เหมือนลมรำพัน
โบกกระชั้นสู่หนไหนไม่รู้เลย


รุไบยาต ~ โอมาร์ คัยยัม
สุริยฉัตร ชัยมงคล : แปล




Latest Blogs

~ท่านหญิงในกระจก/แสงเพลิง ~

~เพชรรากษส/อลินา ~

~มนตร์ทศทิศ/ราตรี อธิษฐาน ~

~เมื่อหอยทากมีรัก 1-2/"ติงโม่"เขียน/พันมัย แปล ~

~ให้รักระบายใจ/"ณกันต์"เขียน ~

~ผมกลายเป็นแมว/Abandoned/Paul Gallico เขียน(ภูธนิน แปล) ~

~พ่อค้าซ่อนกลรัก & หมอปีศาจแสนรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~อาจารย์ยอดรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~จอมโจรพยศรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~


สารบัญหนังสือ: รวมลิงก์หนังสือที่รีวิวในบล็อก # ๑ + ๒



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แม่ไก่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.