'หัวใจ๋ข้า หัวใจ๋เจ้า ห้อยอยู่เก๊าเดียวกั๋น' *
*คลิกเพื่ออ่านคำแปลเจ้า :)

~ ชาล้นถ้วย : ปรัชญาเซนอันลุ่มลึกแต่เรียบง่าย โดย ว.วชิรเมธี ~





ชาล้นถ้วย:ปรัชญาเซนอันลุ่มลึกแต่เรียบง่าย
ผู้เขียน: ว.วชิรเมธี
ผู้พิมพ์: สำนักพิมพ์ปราณ(พิมพ์ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕)
๒๔๘ หน้า ราคา ๑๓๙ บาท


บางส่วนจากคำนำ :


...เซนเป็นแขนงหนึ่งของพุทธศาสนาที่แตกหน่อต่อใบออกไปจากอินเดีย
ผ่านจีน ไปเจริญงอกงามอยู่ท่ามกลางดงซากุระ กิโมโน โชกุนและชินโตในประเทศญี่ปุ่น
สุดท้ายสลายเหลี่ยม ลบมุม จนเกิดความกลมกล่อมลงตัว
และเรียกตัวเองว่าเป็นเซนเต็มรูปแบบ

ทุกวันนี้พุทธศาสนานิกายเซนเป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลก...

หากถามว่าเซนคืออะไร...
คำตอบที่ง่ายที่สุดดูเหมือนจะมีอยู่ในคำนิยามของท่านโพธิธรรม ที่ว่า'เซน'คือ...

"การถ่ายทอดพิเศษนอกคัมภีร์
ปราศจากถ้อยคำและสัญลักษณ์
มุ่งตรงสู่หัวใจของมนุษย์
หยั่งลึกสู่ธรรมชาติเดิมแท้...
และพระนิพพาน"

..............

...หนังสือ"ชาล้นถ้วย"เล่มนี้ เกิดจากการรวบรวมและเรียบเรียงข้อเขียนที่ว่าด้วยเซน
ที่ผู้เขียนเคยเขียนไว้ต่างกรรมต่างวาระมาประมวลไว้ด้วยกัน...





หนังสือแบ่งออกเป็นสามภาค

ภาค ๑. เข้าใจเซน :

เซนมิใช่อะไรอื่น หากคือมรรควิธีอันนำไปสู่ภาวะสะอาด สว่าง สงบ
สมบูรณ์ อิสรภาพหรือนิพพานอันเป็นภาวะอุดมคติในพระพุทธศาสนาที่เรารู้จักกันดีอยู่แล้ว


ในภาคนี้หนังสือจะบอกเล่าถึงประวัติความเป็นมาของพุทธศาสนานิกายเซน
นับแต่จุดกำเนิด มาถึงลำดับแห่งพระสังฆปรินายก...
และประวัติของสังฆปรินายกบางองค์ที่โดดเด่น
เช่นท่านเว่ยหล่างและท่านฮวงโปเป็นต้น


ภาค ๒. นิทานปรัชญาเซน :

สิ่งใดเกิดขึ้น ก็เพราะสิ่งนั้นมีเหตุปัจจัยให้เกิดขึ้น
สิ่งใดเปลี่ยนแปลง ก็เพราะสิ่งนั้นมีเหตุปัจจัยให้เปลี่ยนแปลง
สิ่งใดดับลง ก็เพราะสิ่งนั้นมีเหตุปัจจัยให้ดับลง
สิ่งต่าง ๆ นั้น มันถูกของมันอยู่แล้ว
มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด



ในภาคนี้จะประกอบไปด้วยนิทานเซนสั้น ๆ ถึง ๒๒ เรื่อง
ที่หลายเรื่องเราอาจจะเคยผ่านหูผ่านตามาบ้างไม่มากก็น้อย
เช่นเรื่องที่ผู้เขียนใช้เป็นชื่อหนังสือเล่มนี้คือ"ชาล้นถ้วย"เป็นอาทิ

ซึ่งนิทานเซนในภาคนี้เป็นนิทานที่บอกเล่าสืบทอดกันมาแต่ดั้งเดิม
โดยนิทานทุกเรื่องแฝงไว้ด้วยปรัชญาชีวิตที่เหมือนจะลึกซึ้ง
แต่เข้าใจง่ายและชวนให้ฉุกคิด

อีกทั้งยังช่วยเตือนสติให้ผู้อ่านได้หวนกลับมาดูตัวเอง
และรู้สึกตัวในปัจจุบันขณะ


ภาค ๓. เซนร่วมสมัย :

เสือที่น่ากลัวนั้นอยู่ในป่าดงดิบ
แต่ในภาษาธรรม ผู้รู้กล่าวตรงกันว่า เสือที่น่ากลัวที่สุดคือ...
เสือกิเลสตัวที่เดินพล่านอยู่ในใจของเราทุกคน


ในภาคนี้ผู้เขียนได้ประยุกต์เรื่องราวของเซนเป็นเรื่องเล่าสั้น ๆ
ที่ให้แง่คิดมุมมองในรูปแบบของเซน
เช่นเรื่องราวของครูบาอาจารย์หลายท่านในบ้านเราที่มีวิธีสอนธรรมะแบบลัดสั้นตัดตรงโดยไม่อิงพิธีรีตอง
เช่นหลวงพ่อพุทธทาส หลวงพ่อเทียน เป็นต้น





แง่คิดมุมมองที่ได้จากหนังสือเล่มนี้สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน...

เรียนรู้และตระหนักรู้ความธรรมดาแห่งชีวิต
ที่มีความทุกข์ ความไม่เที่ยงและความไม่มีตัวตนเป็นเหตุเป็นปัจจัย
ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะจิต

ในภาวะที่จิตใจกำลังตกต่ำและสูญเสีย
การได้อ่านหนังสือธรรมะง่าย ๆ เบา ๆ สักเล่ม มันช่วยชุบชูจิตใจให้เบิกบานขึ้นได้จริง ๆ
จากการได้คิดและคิดได้...

อย่ากระนั้นเลย อ่านจบแล้วหยิบมาบอกเล่ากล่าวขานกัน...
ชวนอ่านค่ะ










 

Create Date : 01 สิงหาคม 2555    
Last Update : 1 สิงหาคม 2555 11:00:28 น.
Counter : 5604 Pageviews.  

~ หนึ่งคนตาย ล้านคนตื่น : หลักคิดก่อนวิกฤตมาใกล้ โดย พระอาจารย์ ว.วชิรเมธี





หนึ่งคนตาย ล้านคนตื่น
: ศิลปะการเตรียมตัวตายให้สบายอย่างพุทธ
โดย พระอาจารย์ ว.วชิรเมธี
พิมพ์โดย สนพ.ปราณ
(ครั้งที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๔)





โปรยปกหลัง:


หนังสือ "หนึ่งคนตาย ล้านคนตื่น" คือศิลปะการเตรียมตัวตายอย่างมีสติ
เพื่อให้เราทุกคนเรียนรู้ที่จะรับมืออย่างถูกต้อง
วันหนึ่งเมื่อความตายมาถึง ก็จะสามารถตายอย่างคนพร้อมที่จะตาย
หรือรับมือได้อย่างสันติ สงบ และสง่างาม

ผลมะม่วง เมื่อเติบโตเต็มที่ก็ต้องสุกงอม
ร่วงหล่นเป็นอาหารของนกกา หรือสัตว์อื่น ๆ และแปรเปลี่ยนเป็นปุ๋ยให้แก่ต้นไม้
ส่วนเมล็ดก็แตกเป็นต้นอ่อน พร้อมจะเติบโต เป็นต้นใหญ่ต่อไป

ความตายก็คือขั้นตอนหนึ่งของการทำชีวิตให้สมบูรณ์
ซึ่งจะต้องเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเช่นเดียวกัน





หนังสือเล่มนี้เป็นการรวบรวมและเรียบเรียงบทบรรยายธรรมจากที่ต่าง ๆ ของท่านผู้เขียน
ต่างกรรมต่างวาระ หากว่าด้วยเนื้อหาตรงกัน คือศิลปะการเตรียมรับมือกับความตายอย่างมีสติ
เพราะความตายเป็นฉากสุดท้ายของชีวิตที่ใครต่อใครก็ไม่ต้องการ แต่ไม่ว่าจะต้องการหรือไม่ต้องการ ...
ในที่สุดแล้ว วันใดวันหนึ่ง ฉากสุดท้ายนี้ก็ต้องมาถึงเราทุกคนอยู่ดี


หนังสือแบ่งออกเป็น ๓ ภาคใหญ่ ๆ คือ...

ภาค ๑ ยิ้มรับกับความพลัดพราก..

." ทุกคนต้องตาย สัตว์ก็ตาย ต้นไม้ก็ตาย
สิ่งของที่เราทำเราสร้าง ต่างก็มีเสื่อม มีสูญสลาย
อะไรที่มันเกิดขึ้นมาแล้ว มันก็จะตายไปในที่สุด
ความตายเป็นเรื่องปกติของชีวิต"

ในภาคนี้ท่านได้เน้นย้ำให้เราตระหนักถึงธรรมดาของชีวิคที่มนุษย์ทุกคนต้องเรียนรู้...
อันมีอยู่ ๕ ประการ ได้แก่

๑. เราทุกคนมีความ"แก่"เป็นธรรมดา ไม่มีใครล่วงพ้นความแก่ไปได้
๒. เราทุกคนมีความ"ป่วย"เป็นธรรมดา ไม่มีใครล่วงพ้นความป่วยไปได้
๓. เราทุกคนมีความ"ตาย"เป็นธรรมดา ไม่มีใครล่วงพ้นความตายไปได้
๔.เราทุกคนมีความ"พลัดพราก"เป็นธรรมดา ไม่มีใครล่วงพ้นความพลัดพรากไปได้
๕. เราทุกคนมี "กรรม" เป็นสมบัติของตน ไม่ว่าเราจะทำกรรมดีหรือชั่วเอาไว้ก็ตาม
เราจะต้องเป็นทายาทรับผลของกรรมนั้นด้วยตนเอง

ในบทนี้ ท่านยังได้แนะวิธีรับมือกับความพลัดพรากไว้ดังนี้...

สิ่งที่เราควรประพฤติปฏิบัติก็คือ...

๑. ทำวันนี้ให้ดีที่สุด... ไม่มีใครรู้ว่าความตายอาจจะมาถึงในวันพรุ่ง
๒. เตือนตัวเองเสมอว่า...วันนี้คือวันสุดท้ายของชีวิต เราจะได้ใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท
๓. จงดีกับทุกคน(ที่อยู่เฉพาะหน้า) ทุกที่ ทุกโอกาส ทุกสถาน ทุกเพศ ทุกเผ่าพันธุ์วรรณะ ฯลฯ
เพราะนั่นอาจจะเป็นครั้งเดียวที่เราได้พบกันในห้วงเอกภพอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้...





ภาค ๒. นิทานแห่งชีวิต

"ชีวิตของคนเรามีบทเรียนอยู่สองบท
คือบทเรียนง่ายกับบทเรียนยาก
ความพลัดพรากเป็นบทเรียนยากบทหนึ่ง
ที่เราต้องเจอและปฏิเสธไม่ได้
มันเกิดขึ้นแน่ ๆ มันมาแน่ ๆ "

ในภาคนี้ท่านได้หยิบยกเรื่องราว ตัวอย่างของผู้ที่ต้องเผชิญวิกฤต
อันเกิดจากการพลัดพราก เกิดจากการสูญเสีย
จนแม้ความตายก็ไม่กลัวอีกต่อไปแล้ว มาบอกเล่า เพื่อให้เราได้ตระหนักชัดว่า...

."ไม่มีการครอบครองใด ๆ ที่ไม่ก่อให้เกิดทุกข์"
และ "ไม่มีการยึดติดถือมั่นใด ๆ ที่ไม่ก่อให้เกิดทุกข์"





ภาค ๓. หนึ่งคนตาย ล้านคนตื่น

"วันนี้เป็นทีของเขา วันหน้าอาจเป็นทีของเรา
ถ้าเราคิดอย่างนี้แล้ว ชีวิตเราจะไม่ประมาท
เมื่อเราไม่ประมาท เราจะตั้งคำถามว่า
ชีวิตที่เหลือ เราจะทำอย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด"

ในบทนี้ ท่านได้เน้นย้ำในเรื่องของโลกธรรมแปดที่เป็นสัจธรรมหลักประจำโลก อันได้แก่...

มีลาภ - เสื่อมลาภ
มียศ - เสื่อมยศ
มีสรรเสริญ - มีนินทา
มีสุข - มีทุกข์

โดยให้เราพยายามเรียนรู้สัจธรรมเหล่านี้ ผ่านชีวิตของผู้คนที่พลัดพรากจากไป..
เพื่อเราจะได้ตั้งรับและดำรงชีวิตอยู่ในความไม่ประมาทนั่นเอง





หนังสือเล่มนี้มีเพื่อนรักคนหนึ่งส่งมาให้...
เพื่อนรักคนนี้เธอกำลังต่อสู้กับโรคร้ายที่คุกคามชีวิตเธออยู่...
แม้ในยามวิกฤตแห่งชีวิตเธอ เธอยังคงห่วงใยและเอื้ออาทรผู้อื่นเสมอ

ได้ร่วมติดตามและรับรู้การ"เตรียมตัว"ของเธอแล้ว
ขอเรียกเธอว่า..."ผู้เป็นอยู่แม้เพียงราตรีเดียวก็น่าชม"

ขออนุโมทนาและ...
ขอบคุณ ขอบคุณ และขอบคุณจ้า

*หนังสือดีอีกหนึ่งเล่มที่นำมาบอกต่อในเวลานี้ค่ะ







 

Create Date : 31 ตุลาคม 2554    
Last Update : 31 ตุลาคม 2554 12:04:43 น.
Counter : 2145 Pageviews.  

"ขอโทษ"...คำขอที่ยิ่งใหญ่ (บทความโดย พระไพศาล วิสาโล)




ขอโทษ...คำขอที่ยิ่งใหญ่ที่อยากได้ยินในวันนี้


การอยู่ร่วมกันอย่างสันติเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความอยู่รอด
ไม่ใช่แต่มนุษย์เท่านั้นที่ตระหนักถึงความจริงข้อนี้
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอีกหลายชนิดที่อยู่กันเป็นฝูงก็ "รู้" เช่นกัน
สัตว์เหล่านี้รู้ดีว่ามันไม่อาจอยู่ได้ด้วยลำพังตนเอง แต่ต้องพึ่งพาอาศัยตัวอื่นด้วย
ความสมัครสมานสามัคคีจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก

แต่ในการอยู่ร่วมกันนั้น การกระทบกระทั่งหรือความขัดแย้งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก ในกรณีเช่นนั้นมันจะทำอย่างไร?






สัตว์หลายชนิดเลือกใช้วิธี "คืนดี" กัน

เมื่อแพะทะเลาะกันเรื่องอาหาร ไม่นานมันจะกลับมาแสดงความเป็นมิตรต่อกัน
เช่น เลียขนหรือเอาจมูกไซ้ลำตัวของปรปักษ์ที่เพิ่งปะทะกัน

ปลาโลมาก็เช่นกัน หลังจากต่อสู้กันแล้ว มันจะเอาตัวมาสีกันเบาๆ หรือไม่ก็เอาปากดุนหลังของอีกตัว

แม้แต่หมาป่าไฮยีน่าซึ่งขึ้นชื่อว่าดุร้ายและเจ้าอารมณ์ ก็ยังหันหน้าเข้าหากัน
หลังจากทะเลาะกันอย่างดุเดือด มีการเลียตัวหรือถูสีข้างกัน

ยิ่งญาติที่สนิทกับมนุษย์ด้วยแล้ว ไม่ว่าชิมแปนซี กอริลลา หรือโบโนโบ ล้วนเป็นนักคืนดีที่มีลูกเล่นพราวแพรว ไม่ใช่แค่หาเหาหรือเกาหลังให้เท่านั้น หากยังยอมให้ขึ้นคร่อม อย่างหลังนี้เป็นลักษณะเด่นของโบโนโบเลยทีเดียว


น่าสังเกตว่าในการคืนดีกันนั้น สัตว์ตัวที่อ่อนแอหรือพ่ายแพ้ในการต่อสู้จะเป็นฝ่ายริเริ่มเข้าหาก่อน
(ยกเว้นโบโนโบ ซึ่งตัวที่ชนะจะเป็นฝ่ายริเริ่มก่อน)
มองจากสายตาของมนุษย์ นี้เป็นเรื่องของกฎป่าที่ถือว่าอำนาจเป็นใหญ่ ดังนั้นตัวที่อ่อนแอก็ต้องสยบยอมตัวที่แข็งแรง

แต่มองในอีกแง่หนึ่ง จะสังเกตว่าสัตว์เหล่านี้ไม่เคยเถียงกันว่า ใครผิด ใครถูก

แน่ละมันคงไม่มีปัญญาพอที่จะตั้งมาตรฐานถูก-ผิดอย่างมนุษย์
แต่อย่างน้อยมันก็รู้ว่าการเป็นศัตรูกันนั้นไม่มีผลดีทั้งต่อตัวมันเองและต่อทั้งฝูง
มันอาจโง่ในหลายเรื่อง แต่มัน "ฉลาด" พอที่จะรู้ว่าเป็นมิตรกันนั้นดีกว่าเป็นศัตรูกัน

จะโดยการเรียนรู้ด้วยตนเองหรือการส่งผ่านทางพันธุกรรมก็แล้วแต่
การคืนดีจึงเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งของสัตว์เหล่านี้





ในฐานะที่เป็นสัตว์ชั้นสูง มนุษย์ก็มีสัญชาตญาณคืนดีเช่นเดียวกัน
ถึงแม้เราจะเลิกเลียตัวหรือหาเหาให้กันมานานแล้ว

แต่เรามีวิธีหลากหลายมากในการคืนดีและผูกไมตรีกัน การให้ของขวัญเป็นตัวอย่างหนึ่ง
แต่วิธีหนึ่งที่มีความสำคัญมากสำหรับมนุษย์เราก็คือ การขอโทษ

การขอโทษเป็นสิ่งสะท้อนถึงพัฒนาการของมนุษย์ จากการอาศัยพละกำลังเป็นเครื่องตัดสิน (might is right)
มาเป็นการตัดสินโดยอาศัยความถูกต้องเป็นใหญ่ (right is might)
กล่าวอีกนัยหนึ่งการขอโทษได้ช่วยให้การคืนดีพัฒนาไปอีกก้าวหนึ่ง
แทนที่การริเริ่มคืนดีจะเป็นหน้าที่ของผู้อ่อนแอ ก็กลายเป็นภาระของผู้ที่ทำผิดพลาด
แม้ว่าผู้นั้นจะมีอำนาจหรือพละกำลังเหนือกว่าก็ตาม

การขอโทษมิใช่เครื่องหมายแสดงความอ่อนแอ
มีแต่ในอาณาจักรสัตว์เท่านั้นที่ตัวอ่อนแอเป็นฝ่ายคืนดีก่อน
แต่สำหรับมนุษย์ผู้มีวัฒนธรรมแล้วผู้ที่เอ่ยปากขอโทษก่อนต่างหากคือผู้ที่เข้มแข็งกว่า
เข้มแข็งเพราะเขากล้ารับผิด เข้มแข็งเพราะเขากล้าขัดขืนคำบัญชาของอัตตาที่ต้องการประกาศศักดาเหนือผู้อื่น







การขอโทษเป็นเครื่องแสดงถึงความมีอารยะของบุคคลผู้กระทำการดังกล่าว
เพราะแสดงให้เห็นถึงความรู้ผิดรู้ชอบในมโนธรรมสำนึกของเขา
เป็นมโนธรรมสำนึกที่บอกเขาว่าความถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าอำนาจ

เยอรมนีเป็นประเทศที่ทรงอำนาจยิ่งกว่าโปแลนด์ แต่เมื่อนายวิลลี่ บรันดต์ อดีตนายกรัฐมนตรีเยอรมนี
คุกเข่าต่อหน้าอนุสาวรีย์วีรชนโปแลนด์ที่กรุงวอร์ซอเมื่อ 35 ปีก่อน
เพื่อแสดงการขอโทษแทนชาวเยอรมันที่ก่อกรรมทำเข็ญแก่ชาวโปแลนด์ในสงครามโลกครั้งที่สอง
เขามิได้ทำให้เยอรมนีตกต่ำหรืออ่อนแอลงเลย ตรงกันข้ามเยอรมนีกลับมีเกียรติภูมิสูงส่งขึ้นในสายตาของชาวโลก
เป็นเกียรติภูมิที่ไม่อาจสร้างขึ้นได้ด้วยแสนยานุภาพทางทหารหรือความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ

การขอโทษ แม้จะกล่าวด้วยถ้อยคำเพียงไม่กี่คำว่า "ผม (ฉัน) ขอโทษ"
แต่ก็มีพลังพอที่จะสมานไมตรีที่ขาดสะบั้นให้กลับมั่นคงดังเดิมได้ในชั่วพริบตา
คำขอโทษเปรียบเสมือนน้ำเย็นที่ดับเพลิงแห่งโทสะ เป็นดังมนต์วิเศษที่สยบความโกรธ
และทำลายความพยาบาทในปลาสนาการไป






................

มีคำไม่กี่คำที่สามารถเยียวยาจิตใจของผู้สูญเสียและเจ็บปวดได้ หนึ่งในนั้นคือคำขอโทษ

แต่ทุกวันนี้คำขอโทษกลับเป็นคำที่ผู้คนเปล่งออกมาได้ยากที่สุด
คนจำนวนไม่น้อยกลัวว่าการขอโทษเป็นการเปิดเผยจุดอ่อนของตน และเปิดช่องให้ผู้อื่นเล่นงานตนได้
หากหมอขอโทษก็แสดงว่ายอมรับผิด เท่ากับเปิดช่องให้ผู้เสียหายทำการฟ้องร้องได้ ดังนั้นจึงปิดปากเงียบ แต่ใช่หรือไม่ว่าการกระทำเช่นนั้นกลับทำให้ความขัดแย้งลุกลามมากขึ้น เพราะยั่วยุให้อีกฝ่ายทำการตอบโต้หรือกดดันด้วยวิธีที่รุนแรงขึ้น จนอาจลงเอยด้วยความเสียหายของทั้งสองฝ่าย

ทุกวันนี้เราใช้ "หัว" กันมากเกินไป จึงนึกถึงแต่ผลได้กับผลเสีย
เราใช้ "ใจ" กันน้อยลง จึงไม่รู้สึกถึงความทุกข์ของผู้ที่เจ็บปวดจากการกระทำของเรา


ยิ่งไปกว่านั้นนับวันเราจะมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีกันน้อยลงทุกที
การคิดคำนวณถึงผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้นทำให้เราปิดใจไม่รับรู้ความเจ็บปวดของเพื่อนมนุษย์
และเฉยชาต่อเสียงร้องของมโนธรรมสำนึกภายใน
แต่เราจะรู้หรือไม่ว่าการกระทำเช่นนั้นยิ่งทำให้จิตใจของเราแข็งกระด้าง
และลดทอนความเป็นมนุษย์ของเราให้เหลือน้อยลง

การขอโทษอาจทำให้เรารู้สึกเสียหน้า แต่แท้จริงแล้วตัวที่เสียหน้านั้นคือกิเลสมารต่างหาก

เมื่อเราขอโทษ สิ่งที่จะเสียไปคืออหังการของอัตตา แต่สิ่งที่เราจะได้มานั้นมีคุณค่ามหาศาล
นอกจากมิตรภาพแล้ว เรายังฟื้นความเป็นมนุษย์และความรู้สึกผิดชอบชั่วดีให้กลับคืนมา







เรื่อง : คัดจากหนังสือ "คำขอที่ยิ่งใหญ่" โดย พระไพศาล วิสาโล
ภาพ : จากฟอร์เวิร์ดเมล์ ขอบคุณผู้สร้างสรรค์มา ณ ที่นี้ค่ะ







 

Create Date : 27 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 27 พฤษภาคม 2553 10:35:29 น.
Counter : 2272 Pageviews.  

~ การเมืองร้อนรุ่ม แต่ใจสงบเย็น (สุขใจในนาคร) ~ พระไพศาล วิสาโล



ทุกวันนี้ผู้คนสนใจการเมืองมากเกินไป เราติดตามข่าวสารวันละหลายชั่วโมง แต่แล้วกลับปล่อยวางไม่ได้
ใคร ๆ ก็ชอบบ่นว่าข่าวการเมืองทำให้เครียด แต่ยิ่งเครียดก็ยิ่งติดตามข่าวไม่ยอมห่าง
จนถูกข่าวสารครอบงำชีวิตจิตใจไปโดยไม่รู้ตัว
หลายคนดูข่าวไปก็สบถด่าไป ท่าทางมีความทุกข์มากกับสิ่งที่เห็น
แต่ก็ไม่ยอมเลิกดูเสียที ราวกับว่าข่าวสารบ้านเมืองกลายเป็นนายเราไปแล้ว

เราลืมไปแล้วหรือว่าข่าวสารบ้านเมืองเป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิต ชีวิตเรายังมีอีกหลายอย่างที่ควรสนใจ
ดังนั้นเราจึงควรรู้จักปล่อยวางข่าวสารบ้านเมืองบ้าง เพื่อเอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์
รวมทั้งมีเวลาสำหรับตามลมหายใจบ้าง ลองหายใจเข้า-ออกด้วยความรู้สึกตัว
หายใจเข้าลึก ๆ ก็รู้ตัว หายใจออกยาว ๆ ก็รู้ตัว
หรือไม่ก็หาเวลาว่างไปอยู่กับธรรมชาติบ้าง มีเวลาชื่นชมต้นไม้ในสวนหลังบ้านหรือริมถนน
อย่ามัวแต่หมกมุ่นครุ่นคิดกับเรื่องการเมืองจนลืมชื่นชมสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่รอบตัว





นอกจากวางการเมืองเอาไว้ข้างตัวชั่วคราวแล้ว ควรละวางความไม่พอใจต่อผู้คน
โดยเฉพาะคนที่คิดแตกต่างจากเรา ใครจะไม่เห็นด้วยกับเรา ก็เป็นเรื่องของเขา อย่าไปเก็บเอามาเป็นอารมณ์
ในบรรยากาศที่ร้อนรุ่มแบบนี้ มี ๓ อย่างที่เราควรทำ คือ คือ “มองไกล ใจกว้าง วางได้”

“มองไกล” คือมองย้อนไปในอดีตว่าคนที่คิดต่างจากเราเวลานี้
แต่ก่อนเขาก็เป็นเพื่อนเรา เคยคิดเห็นตรงกับเราหลายอย่าง และอาจเคยร่วมงานกันมามากมาย
นอกจากมองย้อนหลังแล้วก็ควรมองไปข้างหน้าให้ไกล ๆ ด้วยว่า เรายังต้องอยู่ร่วมกับคนเหล่านี้ไปอีกนาน
หากผิดใจกันแล้วจะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขต่อไปได้อย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้วันนี้เราจะเห็นต่างกัน แต่วันพรุ่งนี้คงจะมีหลายเรื่องที่เรากับเขาเห็นพ้องต้องกัน
และคงได้ทำงานร่วมกันอีก ทุกอย่างไม่ได้จบสิ้นแค่วันนี้

“ใจกว้าง” คือยอมรับว่าความแตกต่างเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีใครที่เห็นเหมือนกับเราในทุกเรื่อง
แม้แต่คนที่เรารักและรักเราก็ยังคิดเห็นต่างจากเราในบางเรื่องบางเวลา
ถ้าเราไม่พอใจคนที่คิดต่างจากเรา เราก็ต้องไม่พอใจคนทั้งโลก รวมทั้งไม่พอใจตัวเองด้วย
เพราะตัวเราเองเมื่อวานก็ยังคิดต่างจากตัวเองในวันนี้

หรือแม้แต่ขณะนี้เราเองก็อาจมีความคิดเห็น ๒ อย่างขัดแย้งกัน
(เช่น เสาร์อาทิตย์นี้ใจหนึ่งก็อยากไปวัดแต่อีกใจหนึ่งก็อยากไปเที่ยวต่างจังหวัด)
ใจกว้างยังรวมถึงการตระหนักว่ามีแค่บางเรื่องเท่านั้นที่เรากับเขาคิดต่างกัน
แต่เมื่อมองให้กว้างก็จะพบว่ามีมากมายหลายเรื่องที่เขาคิดเหมือนเรา
รวมทั้งมีความเหมือนกันอีกหลายอย่าง เช่น อยากเห็นบ้านเมืองมีความสงบ ไม่ชอบคอร์รัปชั่น สงสารเมื่อเห็นคนประสบภัยสึนามิ ฯลฯ

“วางได้” ก็คือการรู้จักปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ ออกไปจากจิตใจ อะไรก็ตาม หากแบกเอาไว้ย่อมทำให้หนักใจและเป็นทุกข์
แม้แต่ลูก พ่อแม่ หรือคนรัก หากเราครุ่นคิดถึงเขาตลอดเวลาเราก็จะกังวลจนนอนไม่หลับ
ขนาดแบกคนที่เรารักยังทำให้ทุกข์ขนาดนี้ นับประสาอะไรกับการแบกยึดคนที่เราไม่ชอบ
ที่น่าแปลกก็คือยิ่งไม่ชอบใคร ก็ยิ่งคิดถึงคนนั้น ใจจะจดจ่อหรือไวต่อเรื่องราวของคนนั้นเป็นพิเศษ
ทำให้ยิ่งติดยึดเข้าไปใหญ่
แต่ถ้าเรามีสติ เราก็จะปล่อยวางเขาออกไปจากใจ และอยู่อย่างมีความสุขได้





ปล่อยวางไม่ได้แปลว่าไม่รับผิดชอบ แต่หมายถึงการรู้จักเกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ อย่างถูกเวลาถูกโอกาส
เช่น เวลาทำงานก็ทำอย่างตั้งใจ แต่เมื่อเลิกงาน ก็วางมันลงได้
เวลาจะนอนก็ไม่เอางานการมาครุ่นคิดให้รกสมอง
ในทำนองเดียวกัน เราควรมีความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง ข่าวสารบ้านเมืองจึงต้องติดตาม
แต่อย่าจดจ่อจนหน้าดำคร่ำเครียด หรือกลายเป็นเสพติด จนวางไม่ได้
ปล่อยให้มันเข้ามาครองจิตครองใจ หรือแย่งเวลาและความสุขไปจากเราจนหมด
เดี๋ยวนี้หลายคนไม่มีเวลาอยู่กับลูก ไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัว เพราะเอาแต่เฝ้าดูโทรทัศน์ติดตามข่าวสาร
การทำเช่นนี้เป็นการทำร้ายตัวเองโดยไม่รู้ตัว และกำลังทำร้ายครอบครัวไปพร้อมๆ กัน
ยิ่งกว่านั้นยังอาจจะไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ถ้าทำด้วยความเครียด
เต็มไปด้วยความโกรธเกลียด เราก็มีส่วนทำให้บ้านเมืองร้อนรุ่มตามไปด้วย

บ้านเมืองตอนนี้มีบรรยากาศราวกับอบอวลด้วยไอน้ำมัน พร้อมจะลุกเป็นไฟ
เราอย่าเป็นคนหนึ่งที่ไปจุดไฟทำให้บรรยากาศร้อนแรงขึ้น
ถ้าเราช่วยกันทำใจของตนให้สงบเย็น ทำให้คนในครอบครัวสงบเย็น ทำให้พ่อแม่พี่น้องของเราสงบเย็น
เราก็อาจช่วยบ้านเมืองของเราได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจไม่ดี การเมืองน่าวิตก แต่อย่าลืมว่าคนเราไม่ได้มีเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ด้านการเมือง
เราไม่ใช่เป็นสัตว์เศรษฐกิจหรือสัตว์การเมือง เรายังมีชีวิตส่วนตัว ยังมีชีวิตครอบครัว ยังมีชีวิตอีกหลายด้าน
มีภาระหน้าที่อีกหลายส่วน รวมทั้งการฝึกฝนพัฒนาจิตใจ จึงควรใช้เวลาที่มีอยู่สำหรับการทำหน้าที่อื่น ๆ รวมทั้งทำใจให้สงบเย็นบ้าง
จะได้รับมือกับปัญหาต่าง ๆ ที่ถาโถมเข้ามาได้อย่างถูกต้อง
โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจตอนนี้ เราต้องยอมรับว่านี้คือความเป็นจริงที่เกิดขึ้นแล้ว อย่าไปปฏิเสธมัน ยิ่งปฏิเสธก็ยิ่งเป็นทุกข์





สิ่งที่ต้องทำในยามนี้เป็นอย่างแรกก็ต้องยอมรับความจริง
จากนั้นก็ต้องปรับตัว เช่น ปรับการใช้ชีวิต ใช้จ่ายให้น้อยลง ทำงานหนักขึ้น
ประการสุดท้ายคือ ต้องปรับใจด้วย คืออย่าปล่อยใจไปพึ่งพาวัตถุมาก อย่าให้ใจไปพึ่งพิงเงินทองมาก
สาเหตุที่เราพากันพึ่งพาวัตถุก็เพราะเราต้องการหาความสุขจากวัตถุ
แต่ความสุขไม่ได้เกิดจากวัตถุอย่างเดียว ความสุขเกิดจากจิตใจได้ด้วย
ถ้าสามารถหาความสงบสุขจากจิตใจได้ เราจะพึ่งพาเงินทองหรือวัตถุน้อยลง
นี้คือสิ่งที่ธรรมะช่วยเราได้ ธรรมะเป็นกุญแจไขไปสู่ความสงบเย็นภายใน
เป็นสุขที่ไม่อิงกับอามิส คือ สุขแท้อันประเสริฐ เรียกว่า นิรามิสสุข

ชีวิตของฆราวาสเปรียบเหมือนชีวิตที่เดินอยู่ในที่โล่ง ต้องเจอแดดเจอฝน ถ้าไม่มีอะไรปกป้องคุ้มกัน
เจอแดดก็ร้อน เจอฝนก็เปียก แต่ถ้าเรามีร่ม ถึงฝนตกแดดออกก็ไม่เป็นไร
ในชีวิตประจำวัน สิ่งที่เราต้องการคือร่มที่ปกป้องจิตใจไม่ให้ร้อนไปตามสิ่งแวดล้อม
ไม่ให้ถูกกระทบจากสิ่งรอบตัว แดดจะร้อนอย่างไรแต่ใจสงบ ฝนจะตกอย่างไรแต่ใจปลอดโปร่ง
ผู้คนจะร้อนรุ่มอย่างไร แต่ใจเย็นสบาย

ใจต้องมีสิ่งปกป้องคือธรรมะ ร่างกายไม่เปียกเพราะว่ามีร่ม
ใจไม่ทุกข์ ไม่ขึ้นไม่ลง ไม่ฟูไม่แฟบ ก็เพราะมีธรรมะเป็นเครื่องรักษาใจ
เราจึงควรช่วยกันน้อมนำธรรมะมาปกป้องจิตใจ เพื่อให้ชีวิตเกิดความสงบสุข
ใช่แต่เท่านั้นธรรมะยังช่วยให้ความสงบเย็นภายในใจเราแผ่กระจายไปยังคนรอบตัว
ทั้งลูกหลาน พ่อแม่ คนรัก ตลอดจนเพื่อนร่วมงาน และกระจายไปถึงผู้คนในสังคมได้ด้วย




*คัดจาก "สุขใจในนาคร พฤษภาคม ๒๕๕๒"
จขบ.เพิ่งได้อ่านบทความนี้ค่ะ รู้สึกว่าช่วยในด้านจิตใจของตัวเองได้ในระดับหนึ่ง
จึงหวังว่าน่าจะช่วยผู้อื่นได้บ้างตามสมควร จึงขออนุญาตนำมาเผยแพร่ต่อ
**ขอบคุณภาพประกอบสดชื่น ๆ จากเว็บ walcoo.net ค่ะ








 

Create Date : 27 เมษายน 2553    
Last Update : 27 เมษายน 2553 11:53:35 น.
Counter : 2414 Pageviews.  

~ ธรรมะคลายใจ ~ โดย ว.วชิรเมธี





ธรรมะคลายใจ
โดย ว.วชิรเมธี
อมรินทร์ธรรมะ/จัดพิมพ์(ครั้งที่๙ มี.ค. ๒๕๕๒)
๒๘๕ หน้า






หนังสือ 'ธรรมะคลายใจ' มีลักษณะเป็นการตอบปัญหา (แบบปุจฉา-วิสัชนา)
ไขข้อข้องใจเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ที่มีผู้สงสัยเขียนมาถามท่าน ว. วชิรเมธี
ทั้งเรื่องการทำงาน ครอบครัว ความรัก การพลัดพราก สังคม และการเมือง

ซึ่งทุกคำตอบนั้นแฝงไปด้วยปัญญาที่เฉียบคม
และล้วนเป็นประโยชน์ในการนำไปใช้ในชีวิตประจำวันแทบทั้งสิ้น

หนังสือได้แบ่งหัวข้อเป็นหมวดต่าง ๆ ๘ หมวด ดังนี้

๑. ทำเงินหรือทำงาน ? - - กับคำถามที่ว่า...ทำอย่างไรให้เจ้านายรัก ? เป็นต้น

๒. มีรักหรือมีทุกข์ ? - - กับข้อปุจฉาที่เกี่ยวกับเรื่องราวของความรักที่ไม่สมหวัง - - วิธีทำใจเมื่อถูกคนรักทอดทิ้ง ฯลฯ

๓. ยอดสุดหรือสุดยอด ?- - เป็นการวิสัชนาต่อข้อปุจฉาที่ว่าด้วยแรงบันดาลใจและที่มาแห่งไฟในการเผยแผ่ธรรมะของท่านผู้เขียนเอง ซึ่งส่วนใหญ่ท่านจะเน้นไปที่หลักธรรม และแนวทางปฏิบัติแห่งองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ในเรื่องของทศพิธราชธรรมและหลักการดำเนินชีวิตแบบพอเพียง

๔. พ่อแม่หรือแค่ผู้ให้กำเนิด ? - - บทนี้อยากให้คนเป็นพ่อเป็นแม่ทั้งหลายได้อ่านมาก ๆ โดยเฉพาะตอนท้ายบทที่พูดถึง...บุตรธิดาคือกระจกเงาของพ่อแม่

๕. พลัดพรากหรือจากนิรันดร์ ? - -กับคำถามโลกแตกที่ว่า...ตายแล้วไปไหน ? - - ฆ่าตัวตายบาปไหม ? - -การเวียนว่ายตายเกิดมีจริงหรือไม่ อย่างไร ? ท่านวิสัชนาไว้ อ่านง่าย เข้าใจง่าย เหมาะสำหรับคนรุ่นใหม่จริง ๆ

๖. พัฒนาหรือบ้าอำนาจ ? - -โอ...บทนี้ตรงประเด็น เข้ากระแสในขณะนี้เป็นที่สุด อยากให้บรรดานักการเมือง ทั้งนอกและในสภาได้อ่านกันเยอะ ๆ

๗. ศรัทธาหรือโง่งมงาย ? - - เรื่องราวของความเชื่อต่าง ๆ เช่นการเปลี่ยนชื่อแล้วจะทำให้ชีวิตคนดีขึ้นจริงหรือ ? พระใบ้หวยผิดไหม และถ้าผิดแล้วทำไมไม่มีใครจัดการ...?

๘ . ยึดถือหรือปล่อยวาง ? - -เรื่องของการวางใจในการให้อภัย - -การลืมความหลัง - -การอยู่อย่างไรให้"เหนือทุกข์" ฯลฯ





ในพ.ศ.นี้ เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จักพระสุปฏิปันโนรูปนี้ ด้วยหลักธรรมที่เรียบง่าย ใช้สำนวนภาษาสมัยใหม่ ฟัง(อ่าน)แล้วเข้าใจง่าย
ไม่มีศัพท์แสงบาลีให้ซับซ้อน ทันยุคทันสมัยด้วยการอุปมาอุปไมยให้เห็นเป็นรูปธรรม

ท่านได้เกริ่นนำไว้ในหน้าคำนำว่า หากเปรียบชีวิตคนเป็นบ้านสักหลัง การจัดการชีวิตให้มีความสุขนั้นก็เปรียบกับการจัดบ้าน...

'...ทางที่ถูกอาจจะไม่ใช่การใส่อะไรลงไปในชีวิต แต่แท้จริงแล้วคือการถ่ายเท ปล่อยวาง หรือระบายบางสิ่งบางอย่างออกจากชีวิตมากกว่า
ในพุทธศาสนานั้นเราถือกันว่า ความสุขอาจเกิดจากความมี(สามิสสุข)ก็ได้
แต่ที่เหนือกว่านั้น ความสุขอาจเกิดจากความเป็นอิสระจากความมีก็ได้ด้วย(นิรามิสสุข)

ธรรมะคลายใจ คือกุศโลบายในการทำบ้านแห่งชีวิตของเราให้เป็นบ้านที่ว่างเปล่าจากปัญหา
เป็นอิสระจากความทุกข์ ขอแค่เพียงเราทำบ้าน คือห้องแห่งหัวใจเราให้ว่าง ให้โปร่ง ให้เบา ด้วยการเรียนรู้วิธีจัดบ้านอย่างมีสติ
เพียงวิธีง่าย ๆ แค่นี้ ความสุขก็รอเวลาแสดงตัวอยู่แล้ว
ความสุขไม่ได้อยู่ข้างนอกบ้าน แต่ยังคงสถิตอยู่ในบ้านมาโดยคลอด
ปัญหามีเพียงว่า เราต่างหากที่ไม่รู้จักทำบ้านให้ว่าง'






ท้ายนี้ ขออนุญาตคัดบทที่ว่าด้วย "บุตรธิดา คือ กระจกเงาของพ่อแม่" มาลงไว้ตรงนี้ด้วยค่ะ


หากคุณ เอาดอกไม้ใส่มือให้เด็ก ... เขาจะกลายเป็นคนจิตใจงดงาม

หากคุณ เอาความรักใส่มือให้เด็ก ... เขาจะกลายเป็นคนเปี่ยมเมตตา

หากคุณ เอาเหตุผลใส่มือให้เด็ก ... เขาจะกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์

หากคุณ เอาหนังสือใส่มือให้เด็ก ... เขาจะกลายเป็นปัญญาชน

หากคุณ เอาธรรมะใส่มือให้เด็ก ... เขาจะกลายเป็นคนดี

หากคุณ เอานิสัยแห่งการให้ใส่มือให้เด็ก ... เขาจะกลายเป็นคนมีจิตสำนึกสาธารณะ

หากคุณ เอาสมบัติผู้ดีใส่มือให้เด็ก ... เขาจะกลายเป็นสุภาพบุรุษ/สุภาพสตรี

หากคุณ เอาดนตรีใส่มือให้เด็ก ... เขาจะกลายเป็นคนอารมณ์ดี

หากคุณ เอาธรรมชาติใส่มือให้เด็ก ... เขาจะกลายเป็นคนรักความสงบ

หากคุณ เอาความก้าวร้าวใส่มือให้เด็ก ... เขาจะกลายเป็นอันธพาล

หากคุณ เอาความตามใจใส่มือให้เด็ก ... เขาจะกลายเป็นลูกบังเกิดเกล้าจอมอหังการ

หากคุณ เอาเงินใส่มือให้เด็ก ... เขาจะกลายเป็นคนมักง่าย

หากคุณ เอาปืนใส่มือให้เด็ก ... เขาจะกลายเป็นฆาตกร


หากคุณ เอาวัตถุแพง ๆ ใส่มือให้เด็ก ... เขาจะกลายเป็นคนยึดติดวัตถุนิยม

หากคุณ เอาความรักสบายใส่มือให้เด็ก ... เขาจะกลายเป็นคนสูญเสียสามัญสำนึก

หากคุณ เอาความริษยาใส่มือให้เด็ก ... เขาจะกลายเป็นคนที่ขาดความสงบสุขในชีวิต

หากคุณ เอาแต่วิชาชีพใส่มือให้เด็ก ... เขาจะกลายเป็นคนสมองโต แต่ใจตีบ

ในฐานะที่เป็นพ่อและแม่ ... ทุกวันนี้คุณเอาอะไรใส่มือเด็ก ๆ ของคุณ ?






** หยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่านเพื่อประเดิมเกม HHR-Hula Hula Read ของตัวเองค่ะกับโจทย์ 5-5. [ปิยะรักษ์] ธรรมะดับร้อน : อ่านหนังสือธรรมะ 1 เล่ม เกี่ยวกับการเจริญสติ หรือแนะแนวทางใน การใช้ชีวิตให้มีความสุข







 

Create Date : 05 เมษายน 2553    
Last Update : 5 เมษายน 2553 12:30:43 น.
Counter : 1879 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  

แม่ไก่
Location :
ลำปาง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 184 คน [?]




**หลังไมค์เจ้า**





Cute Clock Click!



เออสิ,มาอยู่ใยในโลกกว้าง
เฉกชลคว้างมาเมื่อไรไม่นึกฝัน
ยามจากไปก็เหมือนลมรำพัน
โบกกระชั้นสู่หนไหนไม่รู้เลย


รุไบยาต ~ โอมาร์ คัยยัม
สุริยฉัตร ชัยมงคล : แปล




Latest Blogs

~ท่านหญิงในกระจก/แสงเพลิง ~

~เพชรรากษส/อลินา ~

~มนตร์ทศทิศ/ราตรี อธิษฐาน ~

~เมื่อหอยทากมีรัก 1-2/"ติงโม่"เขียน/พันมัย แปล ~

~ให้รักระบายใจ/"ณกันต์"เขียน ~

~ผมกลายเป็นแมว/Abandoned/Paul Gallico เขียน(ภูธนิน แปล) ~

~พ่อค้าซ่อนกลรัก & หมอปีศาจแสนรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~อาจารย์ยอดรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~จอมโจรพยศรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~


สารบัญหนังสือ: รวมลิงก์หนังสือที่รีวิวในบล็อก # ๑ + ๒



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แม่ไก่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.