Ortho knowledge for all @ Do no harm patient and myself @ สุขภาพดี ไม่มีขาย ถ้าอยากได้ ต้องสร้างเอง

๒เมษายน๒๕๖๑ วันรักการอ่าน เสวนา "ทำไม ต้องอ่าน"


















วันรักการอ่าน เสวนา "ทำไม ต้องอ่าน" เวลา ๐๙.๕๐ - ๑๐.๓๐ น. ( ๔๐ นาที )

๑. ความสำคัญของหนังสือ -  การอ่าน

๑.๑. การอ่าน เปรียบเหมือนกับ การทำงาน
- งาน สิ่งที่เราทำในชีวิต ทำเพื่อหารายได้เลี้ยงชีพ และ งานที่ทำเพื่อเติมเต็ม สร้างความสุข สุนทรีย์ให้กับชีวิต
- หนังสือ ก็เช่นกัน หนังสือเพื่อความรู้หารายได้เลี้ยงชีพ และ หนังสือเพื่อเติมเต็ม สร้างความสุขให้กับจิตใจ

๑.๒. หนังสือ เปรียบเหมือน อากาศ ที่เราหายใจ
- อากาศ บริสุทธิ์ หรือ อากาศที่มีกลิ่นเหม็นเน่า
- หนังสือ ก็มีทั้งหนังสือที่ดี และ หนังสือที่อ่านแล้วเสียเวลา ไม่ได้ประโยชน์ ไม่มีคุณค่ากับชีวิต
เราอ่านทั้งหมดไม่ได้ เพราะ เวลามีจำกัด จึงต้องเลือกหนังสือที่เหมาะสมกับความชอบ มีประโยชน์กับตัวเรา
เราเลือกอากาศที่ดี หายใจแล้วสดชื่น ก็ต้องเลือกอ่านสิ่งที่ดี มีประโยชน์ต่อการทำมาหาเลี้ยงชีพ หรือ จรรโลงจิตใจ อ่านไลน์ดูเฟส ถึงจะไร้สาระบ้างก็ไม่เป็นไร แต่ก็อย่าให้มากเกินไปนัก อย่าลืมว่าเรามีเวลาจำกัด 

๒. การอ่าน การศึกษาเปลี่ยนชีวิตได้ ส่วนตัวผม ที่มีอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะ การอ่าน การศึกษา

- สมัยเด็ก บ้านยากจน บ้านเช่า พ่อเป็นช่างไม้ทำงานรับจ้าง ต้องไปทำงานซาอุ แม่เป็นแม่ค้าขายไก่ย่าง ขายขนม โชคดีที่พ่อแม่เห็นความสำคัญของการศึกษา ส่งให้เรียนและสอนเสมอว่าให้ตั้งใจเรียน ผมยังจำความคิดตอนนั้นได้ว่า ถ้าไม่ตั้งใจเรียนให้ดีก็ต้องไปทำนาไปรับจ้าง ซึ่งเคยทำแล้วเหนื่อยมาก ผมไม่อยากทำงานรับจ้างก็ต้องเรียน ผมจึงทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปที่การเรียน ผมไม่เล่นกีฬา ไม่เล่นดนตรี ซึ่งต้องเสียเงินและใช้เวลา การพักผ่อนก็มีแค่ การอ่านหนังสือ กับ ฟังเพลง

- สมัยก่อน ไม่มีอินเตอร์เนต ไม่มีสอนพิเศษ ถึงจะมีสอนบ้างแต่ไม่มีเงินเรียน การหาความรู้ทำได้อย่างเดียวคือ อ่านหนังสือ ถ้าเป็นหนังสือเกี่ยวกับการเรียนก็ต้องซื้อหาหยิบยืม แต่ถ้าจะหาหนังสืออ่านเพื่อพักผ่อน ก็มีอยู่ที่เดียวคือ ห้องสมุด ห้องสมุดโรงเรียนก็มักเป็นหนังสือเรียน นิยายไม่ค่อยมี ผมจึงมาหาหนังสืออ่านที่ห้องสมุดประชาชน สมัยก่อนค่าสมัคร ๕ บาท นั่งได้ทั้งวันยืมไปอ่านที่บ้านได้อีกต่างหาก คุ้มมาก เช้าไปเรียนที่ ร.ร.กพ เย็นเดินกลับมาขึ้นรถสองแถวที่ต้นโพธิ์ก็เดินเลยมาอีกหน่อย วันหยุดราชการ ไม่รู้ไปไหนก็มานั่งห้องสมุดประชาชน มีหนังสือให้เลือกเยอะ ที่ผมชอบก็เป็นหนังสืออัตชีวประวัติของผู้มีชื่อเสียง ผู้ที่ประสบความสำเร็จ สร้างความฝันสร้างแรงบันดาลใจ อ่านนิยายไทย เพชรพระอุมา ล่องไพร นิยายจีน มังกรหยก ฤิทธิ์มีดสั้น และที่ชอบมากที่สุดก็คือ การ์ตูน

(สรุปจบ)

ต้องขอบคุณ กศน. เจ้าหน้าที่ ห้องสมุดประชาชน ไว้ด้วยนะครับ เป็นกำลังใจให้ทุกท่่าน งานที่ท่านทำอยู่เปลี่ยนชีวิตคนได้จริงๆ อย่างน้อยก็มีผมหนึ่งคน แต่เชื่อว่ายังมีอีกหลายพันหลายหมื่นคนที่ได้รับประโยชน์จาก กศน. และ ห้องสมุดประชาชน เชิญทุกท่านปรบมือเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ของ กศน.ทุกท่านด้วยครับ

ขอบคุณครับ








 

Create Date : 05 เมษายน 2561   
Last Update : 5 เมษายน 2561 21:46:57 น.   
Counter : 2284 Pageviews.  

โครงการสัมมนาวิชาการ เรื่อง ขบวนการประชาสังคมกับการลดความยากจนและความเหลื่อมล้ำ






กำหนดการ

“โครงการสัมมนาวิชาการ เรื่อง ขบวนการประชาสังคมกับการลดความยากจนและความเหลื่อมล้ำ”

วันพุธที่7 กุมภาพันธ์ 2561

ณห้องประชุมพิกุล ชั้น 1 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์

มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร



เวลา08.30-09.00 น. ลงทะเบียน

เวลา09.00-10.00 น. ปาฐกพิเศษ “ขบวนการประชาสังคมกับการลดความยากจนและความเหลื่อมล้ำ”

โดย ศ.ดร.ดิเรกปัทมสิริวัฒน์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์

เวลา10.01-12.00 น. ช่วงที่1

เวทีเสวนาวิชาการ เรื่อง “ขบวนการประชาสังคมกับการลดความยากจน

และความเหลื่อมล้ำ” ในมิติต่าง ๆ โดย

1. ศ.ดร.ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์(สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์)

2. นายแพทย์พนมกร ดิษฐ์สุวรรณ(เครือข่ายคนสร้างกำแพง)

3. นายแพทย์วิริยะ กัลปพฤกษ์(แพทย์ประจำโรงพยาบาลกำแพงเพชร)

4. ดร.ภูมิพิพัฒน์ รักพรมงคล (รองคณบดีคณะครุศาสตร์)

ดำเนินรายการโดยอ.กรรณิกา อุสสาสาร

(พักรับประทานเบรก)

ช่วงที่2 เวทีเสวนา(ต่อ)

เวทีเสวนาวิชาการ เรื่อง “ขบวนการประชาสังคมกับการลดความยากจน

และความเหลื่อมล้ำ” (ต่อ) ในมิติต่าง ๆ โดย

1.ดร.ประสิทธิ์ มีช้าง(ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 9กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดอุทัยธานี)

2.ผู้ช่วยศาสตร์สุชิน รอดกำเหนิด(คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์)

3. พ.ต.ท.พงศธรลาลิน (สารวัตรป้องกันและปราบปราม สภ.พรานกระต่าย) สารวัตร ต้น

4.คุณณัฐพัชร์ ธีรนันทนิตย์(หัวหน้าผู้ตรวจประเมินและให้การรับรองระบบมาตรฐานสากลด้านสิ่งแวดล้อม บริษัท บูโรเวอริทัสเซอทิฟิเคชั่น (ประเทศไทย) จำกัด

ดำเนินรายการโดยอ.กรรณิกา อุสสาสาร

(ตอบประเด็นข้อซักถาม)

เวลา12.00-13.00 น. พักรับประทานอาหารกลางวัน

หมายเหตุ กำหนดการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม

(ร่าง ) ข้อมูลเสวนา

๑. ขอบคุณผู้จัดการเสวนาฯ และ มรภ.กพ ที่ได้ให้เกียรติและให้โอกาส ได้เข้ามาแลกเปลี่ยน

๒. ความเลื่อมล้ำมีการเปรียบเทียบ ถึงได้รู้ว่า เลื่อม หรือ ล้ำ

- ความเลื่อมล้ำพูดได้ หลายมิติ หลายเรื่อง เช่น เศรษฐานะ การเงิน รายได้ รวย-จน การรักษาพยาบาลการศึกษา กิจกรรมสำหรับเด็กเยาวชน (ศิลป์ในสวน) ก็เกิดมาจากความคิดเรื่องการเลื่อมล้ำทำไมจังหวัดใหญ่ ๆ จึงมีพื้นที่กิจกรรมดนตรีศิลปะ ให้เด็กได้ทำกิจกรรม ได้แสดงออกทำไมบ้านเราถึงไม่มีใครจัด?

๓.ผมไม่เชื่อเรื่องความเท่าเทียม .. เพราะแค่ตัวอักษร ก็บอกแล้วว่า " เท่า" แบบ "เทียม" ทุกคนแตกต่างกันไม่เท่ากัน อาจเท่าเทียม แต่ ไม่เท่ากัน ถึงแม้ได้รับเท่ากัน ก็ไม่หมายความว่าจะเท่าเทียม

ผมเชื่อเรื่อง ทรัพยากรมีจำกัดความต้องการไม่จำกัด จึงต้องพิจารณาเรื่องของการจัดสรรทรัพยากร เพื่อให้เกิดความเท่าเทียม

๔.เส้นความยากจน

สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ได้จัดทำ ดัชนีความก้าวหน้าของคน (Human Achievement Index -HAI) ปี 2558

รายจ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคเฉลี่ยต่อคนต่อเดือนต่ำกว่าเส้นความยากจนซึ่งสะท้อนถึงการดำรงชีพของคนที่อยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามาตรฐานการครองชีพขั้นต่ำ (Minimumstandard of living) ของสังคมไทย

เส้นความยากจน เฉลี่ยทั้งประเทศ 2,572 บาทต่อคนต่อเดือน

เส้นความยากจน จ.กำแพงเพชร 2,201 บาทต่อคนต่อเดือน

สำนักงานสถิติแห่งชาติ( สสช.) ความยากจน

เส้นความยากจน(ด้านรายจ่าย) จำแนกตามภาคและจังหวัด พ.ศ. 2549- 2558

https://service.nso.go.th/nso/web/statseries/statseries12.html

ปี 2558 จังหวัดกำแพงเพชร

เส้นความยากจน(ด้านรายจ่าย) 2,220 บาทต่อคนต่อเดือน

จำนวนคนจน(ด้านรายจ่าย) 33,700 คน

สัดส่วนคนจน(ด้านรายจ่าย) 4.32%

๕.ความยากจน สรุปสาเหตุง่าย ๆ คือ

๑. ความสามารถในการหารายได้ทำให้มีรายรับน้อยกว่ารายจ่าย

๒.ต้นทุนเดิมน้อย (ทรัพย์สิน ที่ดิน ความรู้ สังคม เครือข่ายคนรู้จัก ฯลฯ)

๖.การแก้ไข

-ถ้าพูดในภาพรวม ก็คงต้องใช้คำว่า “ ปัญหาทุกอย่าง แก้ได้ด้วยการศึกษา “

- ถ้าพูดในส่วนย่อยของแต่ละบุคคลครอบครัว ก็คือ ลดรายจ่าย เพิ่มรายรับ นำทุนเดิมมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ... คุ้น ๆกันแล้วนะครับ ... ปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง ของ ในหลวง รัชกาลที่เก้า

๗.ประชาสังคม เป็นเรื่องของ กลุ่มคน สนใจเรื่องเดียวกัน เข้ามาร่วมกันช่วยคิดช่วยทำเพื่อแก้ไขปัญหา อาจเรียกได้หลายชื่อ เช่น ทีม สมัชชา ชมรม สมาคม คณะกรรมการ ฯลฯเพราะ คนเราแตกต่างกัน ความสามารถไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน หลายหัว จึงดีกว่าหัวเดียว รวมกันเราอยู่ แยกหมู่ตายเดียว... แต่ก็มีแบบ รวมกันตายหมู่ เช่นกัน

๘.หลายคนจะคิดว่า ทำงานเป็นทีม ทำหลายคน มันยุ่งยากเชื่องช้า ซึ่งเป็นความจริงแต่ในบางครั้ง ก็จำเป็น เพราะ ปัญหามันสลับซับซ้อนยากเกินกว่าที่คนเดียวจะแก้ไขได้ ถ้าปัญหามันง่าย ก็คงมีการแก้ไขไปหมดแล้วถ้าเราคนเดียวคิดแล้วทำแล้วไม่ได้ผล ก็น่าจะลอง รวมคน ร่วมคิด ร่วมทำส่วนว่าจะได้ผลหรือไม่ก็ต้องติดตามกันต่อไป

กระบวนการแก้ปัญหาไม่มีสูตรสำเร็จ ไม่มีคำตอบชัดเจนว่า ได้หรือไม่ได้ ทำแล้วจะดีหรือไม่ดีเมื่อพิจารณาปัจจัยองค์ประกอบ รอบคอบแล้วก็ต้อง ลองทำ

๙.ถ้าถามว่า กระบวนการ หรือ ขบวนการประชาสังคม จะช่วยลดความยากจน หรือความเลื่อมล้ำได้หรือไม่ ? ผมเชื่อว่าช่วยได้ แต่จะช่วยได้มากน้อยขนาดไหน ก็ขึ้นอยู่กับ สมาชิกของประชาสังคมว่าจะร่วมคน ร่วมคิด ร่วมทำ กันได้แค่ไหน แต่ผมเชื่อว่า ถ้าช่วยกันคนละนิดละหน่อยเท่าที่ทำได้อย่างน้อยก็ดีกว่า ไม่ทำอะไรเลย

ข้อมูลน่าสนใจบางส่วน ในเวทีเสวนา

-ประโยชน์ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ คือ ยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี และ การปฏิรูป ๑๑ ประเด็น ๒ข้อย่อย

-ความเหลื่อมล้ำ ประเทศไทย ติดอันดับ ๓ ของโลก (อันดับ ๑ คือรัสเซีย อันดับ๒อินเดีย)

-ประเทศไทย คนรวย ๑๐% ข้างบน ห่างจาก ๑๐% ข้างล่าง ต่างกัน ๒๐ เท่า ( ๒๐ ปีน่าจะลดลงเหลือ ๑๕ – ๑๑ เท่า)

-จะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ (มีผู้สูงอายุมากกว่า ๒๐%) แต่ยังไม่ค่อยมีการเตรียมพร้อม

-การปฎิรูป โดยประชารัฐ ตอนนี้นำโดย รัฐ +ทุน ยังขาด ประชาสังคม

-ประชาสังคม (ประชารัฐ) +ประชาคม(เทคนิควิธีการ)+ประชาพิจารณ์(พูดคุยรับฟังความคิดเห็น)+ประชามติ(สรุปความเห็นพ้อง) แล้วนำไปดำเนินการ

-ไม่มีทุน คือ จน เช่น ทุนส่วนตัว(เกิด+สังคม) ทุนทรัพยากร(ที่ดิน+สิ่งแวดล้อม) ทุนภูมิปัญญา(การทำมาหากิน+การศึกษา) ทุนโอกาส (ช่องทาง+กู้เงิน) ทุนทรัพย์ (งบรัฐ+เอกชน).......... ทุน มีทุกชุมชน แต่ ขาดการบริหารจัดการ

-ชุมชน คือ จุดแตกหัก จุดพัฒนา ถ้านักศึกษาซึ่งมีทุนปัญญาเข้าไปบริหารจัดการทุนในชุมชน ก็จะพัฒนาได้ดีขึ้น


*****************************************


โครงการสัมมนาวิชาการ"ขบวนการประชาสังคมกับการลดความยากจน และความเหลื่อมล้ำ" วันที่ 7กุมภาพันธ์ 2561 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร

https://huso.kpru.ac.th/h-sd/?gal=2018.02.07

การประกวดวงดนตรีโฟล์คซองในกิจกรรมแข่งขันทักษะทางวิชาการในศตวรรษที่ 21 วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร

https://huso.kpru.ac.th/h-music/?gal=2018.02.07

การแข่งขันประกวดวาดภาพในหัวข้อ“ศิลปะในการศึกษา Thailand 4.0ในกิจกรรมแข่งขันทักษะทางวิชาการในศตวรรษที่ 21 วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร

https://huso.kpru.ac.th/h-art/?gal=2018.02.07

การแข่งขันตอบปัญหากฎหมายระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในกิจกรรมแข่งขันทักษะทางวิชาการในศตวรรษที่ 21 วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร https://huso.kpru.ac.th/h-law/?gal=2018.02.07

การแข่งขันตอบปัญหาทางรัฐประศาสนศาสตร์ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในกิจกรรมแข่งขันทักษะทางวิชาการในศตวรรษที่ 21 วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร https://huso.kpru.ac.th/h-publicad/?gal=2018.02.07

การแข่งขันคัดลายมืออักษรจีนในกิจกรรมแข่งขันทักษะทางวิชาการในศตวรรษที่ 21 วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร https://huso.kpru.ac.th/h-chinese/?gal=2018.02.07

การแข่งขันตอบปัญหาQR COAD ในกิจกรรมแข่งขันทักษะทางวิชาการในศตวรรษที่21 วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร https://lis.kpru.ac.th/?gal=2018.02.07





 

Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2561   
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2561 22:00:21 น.   
Counter : 905 Pageviews.  

คนพูดเก่งควบคุมโลกมาโดยตลอด และจะเป็นเช่นนั้นต่อไป ... ที่มา FB Amarinbooks





เครดิต   https://www.facebook.com/amarinpublishing/posts/1521795711247573

มาดู 6 ไอดอลนักพูดของนากกัน!
.
ผลวิเคราะห์จากหนังสืออัตชีวประวัติบุคคลผู้ประสบความสำเร็จกว่าพันเล่มได้ทำให้บรูซ บาร์ตัน(Bruce Barton) นักการเมืองและนักเขียนแห่งสหรัฐอเมริกา กล่าวสรุปชัดเจนว่า "คนพูดเก่งควบคุมโลกมาโดยตลอด และจะเป็นเช่นนั้นต่อไป"
.
แล้วทำไมถึงเป็นเช่นนั้นล่ะ

หากลองสังเกตดูด้วยตัวเอง เราจะพบว่าคนเก่งมีจุดแตกต่างจากคนธรรมดาเพียงไม่กี่เรื่อง พวกเขาอาจมีไอคิวสูงกว่า มีความคิดสร้างสรรค์มากกว่า หรือมีความพยายามมากกว่า แต่ที่แน่ๆ คนเก่งย่อมมีทักษะการพูดที่เหนือชั้นกว่าคนอื่น
.
ดังนั้นเราอาจกล่าวได้ว่า “คนที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นไม่เพียงต้องมีความรู้ แต่ต้องมีความสามารถด้านการพูดด้วย”
.
เรื่องเล่าจากนักพูดในตำนานทั้ง 6 คนต่อไปนี้ สามารถพิสูจน์คำกล่าวนั้นได้ดีเลยล่ะ



อารมณ์ขันคือเครื่องมือสำคัญในการพูด

ปี ค.ศ. 1981 ‘ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน’ (Ronald Wilson Reagan) ถูกลอบสังหารบาดเจ็บ เมื่อพาตัวเขาขึ้นรถพยาบาลฉุกเฉิน พวกนางพยาบาลต่างช่วยกันจับตัวเรแกนเพื่อห้ามเลือด

แม้จะบาดเจ็บแต่ท่านประธานาธิบดีก็ยังมีอารมณ์ขัน เรแกนถามพวกนางพยาบาล

"นี่คุณขออนุญาตแนนซี (ภรรยา) แล้วเหรอ"

พวกเธอรีบตอบรับเป็นเสียงเดียวว่า "พวกเราขออนุญาตจากท่านสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแล้วค่ะ"

มุกตลกของเรแกนได้ลดบรรยากาศกดดันแก่นางพยาบาลที่ต้องปฐมพยาบาลคนไข้ที่เป็นถึงประธานาธิบดีซึ่งกำลังเลือดตัวท่วมลงได้โข



แม้คนพูดเก่งก็ต้องวางแผนก่อนพูด

นักพูดผู้เปี่ยมอารมณ์ขันและคารมคมคายเช่นอดีตนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักรสองสมัย
‘วินสตัน เชอร์ชิลล์’ (Winston Leonard Spencer-Churchill)

เดิมที่นั้นเชอร์ชิลล์พูดไม่ชัดขนาดเลขาฯ ที่เขาจ้างมาแรก ๆ มักจะฟังคำพูดเขาไม่เข้าใจเลยทีเดียว แต่เขารู้จุดอ่อนของตนและพยายามทุ่มเทแก้ไข กระทั่งสร้างสไตล์การพูดของตนเองได้สำเร็จ

ทุกสุนทรพจน์ของเชอร์ชิลล์มาจากการเตรียมตัวอย่างละเอียดลออ

ปกติหากต้องพูดในรัฐสภานาน 40 นาทีเขาจะเตรียมตัวประมาณ 6-8 ชั่วโมง ถ้าต้องกล่าวสุนทรพจน์ที่สำคัญมาก ๆ เชอร์ชิลล์กับที่ปรึกษาจะต้องทำงานหนักเพื่อเตรียมและปรับแก้แบบร่างสุนทรพจน์กันโต้รุ่งเลยทีเดียว

อีกทั้งเชอร์ชิลล์พยายามไม่ใช้คำตามสมัยนิยมหรือคำศัพท์เฉพาะแบบนักพูดคนอื่น สมมตินักการเมืองคนอื่นพูด "ทั้งสองฝ่ายลงนามตกลงกัน" เชอร์ชิลล์จะพูด "ทั้งสองฝ่ายจับมือกัน" หรือคำว่า "ชนชั้นกรรมาชีพ" เขาก็จะพูดว่า "คนยากจน"

ในต้นฉบับเขียนรายละเอียดถึงขนาดว่า "ตรงนี้ให้หยุดพักหายใจ -->ตรงนี้ต้องพูดตะกุกตะกักเล็กน้อยทำทีว่าคิดหาศัพท์ที่เหมาะสม -->ตรงนี้ต้องสำรวม" ขณะเดียวกันเชอร์ชิลล์ก็วางแว่นตาไว้บนปลายจมูกเพื่อให้เหมือนกับว่าเขากำลังพูดกับผู้ฟังโดยตรงทั้งที่จริง ๆ แล้วเขากำลังอ่านร่างสุนทรพจน์อยู่ วิธีนี้ได้ผลดีมากเพราะผู้ฟังส่วนใหญ่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเชอร์ชิลล์อ่านมัน

ผลลัพธ์ของการเตรียมตัวอย่างรอบคอบและการวางแผนอันแยบคายช่วยให้เขาพูดด้วยบุคลิกเป็นธรรมชาติ เหมือนคนพูดด้วยอิริยาบถปกต



คำพูดที่เอาใจใส่ผู้อื่นนั้นยอดเยี่ยมที่สุด

หลังดยุคแห่งเวลลิงตัน (Arthur Wellesley) ได้ชัยชนะเหนือกองทัพของนโปเลียนในยุทธการวอเตอร์ลู (Battle of Waterloo)สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งอังกฤษก็โปรดให้จัดงานฉลองชัยชนะ มีขุนนางชั้นสูงและสุภาพบุรุษสุภาพสตรีผู้ทรงเกียรติมาร่วมงานกันมากมาย เมื่อรับประทานอาหารร่วมกันเสร็จ บริกรก็จัดแจงยกชามใส่น้ำล้างมือมาที่โต๊ะ

ทหารหนุ่มจากชนบทคนหนึ่งไม่รู้ธรรมเนียมจึงยกน้ำในชามขึ้นดื่ม เล่นเอาแขกในงานตกใจได้แต่ร้อง "ดะ... เดี๋ยว!" ส่วนสาว ๆ ก็หัวเราะกันคิกคัก ทหารหนุ่มรู้ตัวว่าทำเปิ่นเข้าแล้ว เขาอับอายจนหน้าแดงก่ำ เพื่อนทหารคนอื่นก็เสียหน้าเพราะเขาเช่นกัน

ดยุคแห่งเวลลิงตันเห็นเหตุการณ์นี้ก็ลุกขึ้นกล่าว

"ท่านสุภาพบุรุษสุภาพสตรีที่รัก! ขอเชิญทุกท่านดื่มน้ำในชามอย่างพลทหารหนุ่มนายนี้ผู้ร่วมรบอย่างองอาจจนพวกเราได้ชัยชนะในยุทธการวอเตอร์ลูครับ!"

ว่าแล้วท่านดยุคก็ดื่มน้ำในชาม ในเมื่อพระเอกของงานดื่ม ทั้งขุนนางทั้งแขกเหรื่อทุกคนในที่นั้นจึงดื่มน้ำในชาม พร้อมกับเสียงปรบมือดังสนั่นหวั่นไหวในสถานที่จัดงาน

มันช่างเป็นการแก้สถานการณ์และรักษาน้ำใจผู้ใต้บังคับบัญชาได้อย่างเยี่ยมยอด ว่าไหม




คนติดอ่างก็เป็นนักพูดผู้ยิ่งใหญ่ได้

หลายคนหวาดหวั่นกับการพูดต่อหน้าสาธารณชนแต่ไม่ใช่กับเขาคนนี้

ลี ไอเอคอคคา (Lee Iacocca) ผู้บริหารระดับตำนานของธุรกิจรถยนต์ในอเมริกา อธิบายถึงความสำเร็จของเขาว่า "ยกความดีให้ทักษะการพูด"

ต้นทศวรรษ 1980 ตอนเขารับตำแหน่งประธานกรรมการบริษัทรถยนต์ไครสเลอร์ (Chrysler) ที่จวนเจียนล้มละลายเพราะขาดทุนสะสม ผู้คนต่างเย้ยหยันว่าเขา "สติไม่ดี" แต่ไอเอคอคคาไม่สะทกสะท้านกับความเห็นจากภายนอก เขาบุกเดี่ยวไปวอชิงตันเพื่อโน้มน้าวรัฐบาลกลางให้อนุมัติค้ำประกันเงินกู้จำนวน 1,700 ล้านดอลลาร์ให้ พร้อมทั้งปลุกใจพนักงานในบริษัทที่กำลังท้อ และเรียกความมั่นใจของผู้บริโภคชาวอเมริกันว่า "ไครสเลอร์คืนชีพแล้ว"

ไอเอคอคคาเป็นพรีเซ็นเตอร์ในโฆษณาทางโทรทัศน์ด้วยตัวเอง เขาพูดออกอากาศอย่างมั่นใจ
ว่า "เราเคยภูมิใจกับคำว่า Made in USA เพราะมันหมายถึงคนอเมริกันผลิตสินค้าคุณภาพระดับโลก โชคร้ายที่ทุกวันนี้ชาวอเมริกันจำนวนมากไม่เชื่อเช่นนั้นแล้ว ซึ่งจะถือว่าสมควรแล้วก็ได้”

ไอเอคอคคายกย่องไครสเลอร์เป็นสุดยอดนวัตกรรมรถยนต์ที่แตกต่างจากรถยนต์ในอดีต

"หากท่านเจอรถที่ดีกว่าไครสเลอร์ก็ซื้อมันได้เลย"

ก่อนจะเสริมว่าหากเจอรถยนต์ของบริษัทอื่นที่สมรรถนะดีกว่ารถของไครสเลอร์ บริษัทยินดีจ่ายให้ลูกค้า 50 ดอลลาร์

โฆษณาชิ้นนี้กระตุ้นความภูมิใจของชาวอเมริกัน บ่งบอกถึงการกลับมาอันยิ่งใหญ่ของไครสเลอร์ และเพิ่มความนิยมในตัวไอเอคอคคาจนพุ่งสูงขนาดมีสิทธิ์ลงสมัครประธานาธิบดีเลยทีเดียว

ทุกวันนี้ไอเอคอคคาได้รับการยกย่องว่าเป็นนักพูดแถวหน้าของอเมริกา

อันที่จริงเขาไม่ได้พูดเก่งมาตั้งแต่แรก ไอเอคอคคาพูดติดอ่างกระทั่งอายุ 25 ปี ก่อนจะเข้าอบรม "คอร์สฝึกการพูด" ทำให้เขาเข้าใจหลักการพูดอย่างแตกฉาน เขาหมั่นฝึกฝนจนมั่นใจ ผลลัพธ์คือเกียรติยศชื่อเสียงที่เรารู้จักถึงตอนนี้



ทักษะการพูดไม่ใช่พรสวรรค์ แต่คือพรแสวง

ความล้มเหลวจากธุรกิจค้าเมล็ดพันธุ์ส่งผลให้คุณพ่อของจอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ (George Bernard Shaw) นักวิจารณ์และนักเขียนบทละครชื่อดังของอังกฤษ กลายเป็นคนติดเหล้าและไม่ดูแลครอบครัว ชอว์จบการศึกษาแค่ระดับประถมก็ต้องไปทำงานเป็นเด็กรับใช้ในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ด้วยวัยเพียง 15 ปีเพื่อหาเลี้ยงปากท้อง

พออายุ 20 ปีเขาเดินทางจากกรุงดับลินบ้านเกิดไปหางานทำยังกรุงลอนดอน

เย็นวันหนึ่งขณะหางานทำ เขาจับพลัดจับผลูได้เข้าชมการโต้วาที ฝีปากของพวกนักโต้วาทียอดเยี่ยมมาก ฝ่ายเสนอพูดตรรกะของตนอย่างจัดเจน ส่วนฝ่ายค้านก็โต้แย้งได้ชาญฉลาด ชอว์ประทับใจการโต้วาทีมากจนอยากลองโต้วาทีด้วยบ้าง เขาลองลงโต้วาทีดูแต่ปรากฏว่าเป็นได้เพียงตัวตลก เขาอับอายเพราะตนมีทักษะการพูดอันน้อยนิด ภายหลังเมื่อมีการจัดโต้วาทีที่ไหน ชอว์จะไปฟังทุกครั้งและร่วมลงโต้วาทีเองอีกหลายครั้ง แม้จะตะกุกตะกักบ้างแต่เขาไม่เคยถอดใจ อีกทั้งไม่เกียจคร้านพยายามเรียนรู้เคล็ดลับการโต้วาที ผลสุดท้ายจึงมีชื่อเสียงว่าเป็นนักพูดผู้เก่งกาจ

จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์กลายเป็นนักพูดชื่อก้องก็ด้วยความเพียรของตน เขาได้รับเชิญให้ไปพูดบรรยายทั่วประเทศนานถึง 12 ปี

วันหนึ่งมีหนุ่มน้อยผู้ประทับใจทักษะการพูดของเขาได้เอ่ยถามเคล็ดลับการพูด ชอว์ตอบว่า

"การพูดเหมือนการเล่นสเก็ตครับเวลาหัดเล่นสเก็ต เรามักจะจินตนาการภาพตัวเองวาดลวดลายงามสง่าเหนือลานน้ำแข็ง แต่สำหรับการเล่นครั้งแรก อย่าว่าแต่งามสง่า เราได้แต่ลื่นล้มเสียมากกว่า การลื่นล้มมันน่าอาย แต่ถ้าเราไม่ยี่หระและมุ่งมั่นทรงตัวเล่นต่อไป ไม่นานเราก็จะสเก็ตอย่างคล่องแคล่วด้วยท่วงท่าสง่างามจนได้

“การพูดก็เหมือนกัน ตอนแรกเราจะสั่น พูดตะกุกตะกัก ประหม่า แต่เมื่อมุ่งมั่นตั้งใจฝึกพูดไปเรื่อย ๆ เราจะพูดได้อย่างชำนาญชนิดที่ว่าชินชากับเสียงปรบมือและเสียงเชียร์ไปเลย การพูดต้องฝึกเหมือนกับการฝึกเล่นสเก็ตนั่นละ ต้องขัดเกลาทักษะโดยมีความตั้งใจว่า ‘ฉันจะต้องพูดเก่ง’ตั้งใจฝึกไปจนกว่าจะได้ยินคำชมจากผู้คนว่า‘เธอพูดเก่ง’ แล้วคุณก็จะพูดคล่องได้อย่างที่ผมเป็น"

ใช่แล้ว เช่นเดียวกับทักษะส่วนใหญ่ การพูดคือพรแสวง ไม่ใช่พรสวรรค์ ขอเพียงตั้งใจแน่วแน่มากพอและขยันฝึกฝน ไม่ว่าใครก็พัฒนาทักษะการพูดได้สำเร็จ



คนไม่รีบร้อนพูดคือผู้ชนะ

เจ. พี. มอร์แกน (John Pierpont Morgan มีชีวิตอยู่ในปี ค.ศ. 1837-1913) นักการเงินระบบทุนนิยม "ระดับตำนาน" คือผู้เชี่ยวชาญด้านการเจรจาต่อรอง

ครั้งหนึ่งชายหนุ่มสองพี่น้องผู้ถือครองหุ้นจำนวนมากในบริษัทยู.เอส.สตีลมาพบมอร์แกนในที่ทำงานเพราะต้องการขายหุ้นให้ ก่อนมาพวกเขาทุ่มเถียงกันว่าควรเรียกราคาเท่าไรดี

"ห้ามต่ำกว่า 9 ล้านเหรียญเด็ดขาด"
พี่ชายพูด น้องชายจึงแก้ให้ว่า

"ตลกละ มอร์แกนเขี้ยวจะตาย เราเรียกเยอะขนาดนั้นไม่ได้หรอก สัก 7 ล้านเหรียญกำลังเหมาะ"

ทว่าเมื่อมอร์แกนมาถึง เรื่องดันกลับตาลปัตร
"ผมไม่มีเวลาคุยนาน ขอบอกเลยแล้วกันว่า
ถ้าเกิน 15 ล้านเหรียญ ผมสู้ไม่ไหว"

ถ้าเป็นคนอื่นอาจดีใจเนื้อเต้น รีบขายหุ้นให้ทันที
แต่สองพี่น้องคู่นี้ไม่ใช่แบบนั้น

"น่าผิดหวังจังเราตั้งใจว่าราคาต่ำสุดจะขายที่ 20 ล้านเหรียญน่ะครับ"

มอร์แกนจึงต่อรองราวกับคำนวณรอไว้แล้ว

"งั้นคงต้องพบกันครึ่งทางนะครับ"

เพราะสองพี่น้องไม่เป็นฝ่ายเสนอไปก่อน จึงได้เงินเพิ่มอีกหลายล้านเหรียญจากผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดนักต่อรองระดับโลก

การไม่รีบร้อนเป็นฝ่ายเสนอก่อน รอให้อีกฝ่ายเสนอมา น่าจะเรียกว่าเป็นสุดยอดของบทสนทนาจูงใจในการต่อรองได้เลย การเจรจาต่อรองสำคัญตรงที่เราต้องไม่รีบเร่ง มีเวลาให้หยุดคิดก่อนพูด







 

Create Date : 19 ธันวาคม 2560   
Last Update : 19 ธันวาคม 2560 13:50:23 น.   
Counter : 1356 Pageviews.  

ร่างบทความ หนังสือที่ระลึกงานเกษียณอายุราชการ 2560






“…บัดนี้ถึงหากจะพ้นหน้าที่ตามทางการแล้ว แต่ท่านก็ยังมีความเป็นครูอยู่อย่างสมบูรณ์ ทั้งด้วยกายและจิตใจสาธุชนยังเคารพเลื่อมใสและนิยมยกย่องอยู่มิได้เสื่อมคลายข้าพเจ้าจึงปรารถนาอย่างยิ่ง ที่จะได้เห็นท่านทั้งหลาย ร่วมมือร่วมใจกันบำเพ็ญความดี อันเป็นคุณธรรมของครูต่อไป ให้เป็นนิมิตหมาย ที่คนรุ่นหลังได้ยึดถือเป็นแบบฉบับ ในอันที่จะดำรงความบริสุทธิสะอาด ความเป็นศรีสง่าและความศักดิ์สิทธิของสถาบันครูไว้ ให้ดำรงอยู่กับชาติบ้านเมืองไทยของเรา…”

พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ที่พระราชทานแก่คณะครูอาวุโส ณศาลาดุสิดาลัย เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2519

ในนามของสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคมขอกราบขอบพระคุณ คุณครู ทุกท่าน ที่ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจ สติปัญญา สั่งสอนลูกศิษย์ให้เป็นคนดี มีความรู้ความสามารถ และช่วยกันพัฒนาโรงเรียนของเราให้ก้าวหน้าอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

ในโอกาสนี้จึงใคร่ ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย พระบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณและพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์อำนวยอวยพรให้ ทุกท่าน ประสบความสุขความเจริญ สุขภาพร่างกายแข็งแรง จิตใจเบิกบานปราศจากทุกข์โศกโรคภัยอันตราย สมปรารถนากับชีวิตหลังเกษียณอายุราชการตลอดไป

...อยู่รัก จากอาลัย อยู่มีชัยจากไปไชโย...

นพ.พนมกรดิษฐสุวรรณ์

นายกสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคม





 

Create Date : 22 กันยายน 2560   
Last Update : 22 กันยายน 2560 15:13:30 น.   
Counter : 3336 Pageviews.  

ร่างบทความ หนังสือที่ระลึกงานเกษียณอายุราชการ 2559





“จากวันวานที่พากเพียร สู่วันเกษียณที่ภาคภูมิ”เป็นข้อความที่สามารถสื่อความหมายของข้าราชการ ที่ได้ทำหน้าที่ในฐานะข้าราชการ ด้วยความวิริยะอุตสาหะ มุ่งมั่น เมื่อเกษียณอายุราชการจึงมีความภาคภูมิใจซึ่งเป็นความรู้สึกของทุกท่านในวันนี้ แต่วันเกษียณอายุราชการ ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างสิ้นสุดลง เพราะ ทุกท่าน มีทั้งความรู้และประสบการณ์อันทรงคุณค่าสามารถทำประโยชน์กับสังคมต่อไปได้อีกมากมายการเกษียณอายุราชการจึงเป็น “ช่วงเวลาโอกาสทอง” ที่จะได้ทำสิ่งที่เคยคิดฝันไว้ ได้พักผ่อนกายและพักผ่อนใจอย่างเต็มที่กับครอบครัวญาติมิตรลูกหลาน

จากการศึกษาอ.ดร.จอร์จ เวลแลนท์ วิทยาลัยแพทย์ฮาร์วาร์ด พบว่าการเกษียณเป็นทั้งวิกฤติและโอกาส โดย ปัจจัยที่ทำให้คนเราเกษียณได้อย่าง มีความสุขได้แก่

1.มิตรภาพที่มีความหมายประเภทจริงใจและมีใจให้กันและกัน โดยเฉพาะกับคู่สมรส

2.ทำงานอาสาสมัครที่ได้มีส่วนช่วยเหลือคนอื่น

3.มีงานอดิเรกที่ชอบ และทำกิจกรรมที่มีความหมาย มีคุณค่า

4.เข้าสังคมพอประมาณ

5. มีความหวังเช่น ได้ทำอะไรที่ตั้งใจไว้นานแล้วหลังเกษียณ เช่น ท่องเที่ยว ฯลฯ

ปัจจัยที่ทำให้คนเราเกษียณอย่างไม่มีความสุข ได้แก่

1. ปิดตัวไม่เข้าสังคม

2.ทำงานที่ไม่ค่อยมีความหมายหรือคุณค่า

3. ฆ่าเวลา คือทำเวลาให้ผ่านไปมากกว่าสนุกกับการทำอะไร เช่น ดูโทรทัศน์หรือเล่นการพนันทั้งวันฯลฯ

4.ใช้เครื่องหมายแห่งความสำเร็จจากภายนอก เช่น ตั้งเป้าความสำเร็จในชีวิตด้วยลาภ ยศสรรเสริญ เช่น เงินทอง ตำแหน่ง ฯลฯ ซึ่งเมื่อหยุดทำงานแล้วมีแนวโน้มที่ชีวิตจะสะดุดทันที

ในนามของสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคมขอกราบขอบพระคุณทุกท่าน ที่ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจ สติปัญญา สั่งสอนลูกศิษย์ให้เป็นคนดี มีความรู้ความสามารถ และช่วยกันพัฒนาโรงเรียนของเราให้ก้าวหน้าอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย บุญพระบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ อำนวยอวยพรให้ทุกท่าน ประสบความสุขความเจริญ มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงจิตใจเบิกบาน ปราศจากทุกข์โศกโรคภัยอันตรายสมปรารถนากับชีวิตหลังเกษียณอายุราชการตลอดไป

นพ.พนมกรดิษฐสุวรรณ์

นายกสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคม





 

Create Date : 22 กันยายน 2560   
Last Update : 22 กันยายน 2560 15:09:03 น.   
Counter : 7135 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

หมอหมู
Location :
กำแพงเพชร Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 762 คน [?]




ผมเป็น ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ หรือ อาจเรียกว่า หมอกระดูกและข้อ หมอกระดูก หมอข้อ หมอออร์โธ หมอผ่าตัดกระดูก ฯลฯ สะดวกจะเรียกแบบไหน ก็ได้ครับ

ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปี ( เรียกว่า แพทย์ทั่วไป ) แล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง ออร์โธปิดิกส์ อีก 4 ปี เมื่อสอบผ่านแล้วจึงจะถือว่าเป็น แพทย์ออร์โธปิดิกส์ โดยสมบูรณ์ ( รวมเวลาเรียนก็ ๑๐ ปี นานเหมือนกันนะครับ )

หน้าที่ของหมอกระดูกและข้อ จะเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย ของ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก ข้อ และ เส้นประสาท โรคที่พบได้บ่อย ๆ เช่น กระดูกหัก ข้อเคล็ด กล้ามเนื้อฉีกขาด กระดูกสันหลังเสื่อม ข้อเข่าเสื่อม กระดูกพรุน เป็นต้น

สำหรับกระดูกก็จะเกี่ยวข้องกับกระดูกต้นคอ กระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกราน กระดูกข้อไหล่ จนถึงปลายนิ้วมือ กระดูกข้อสะโพกจนถึงปลายนิ้วเท้า ( ถ้าเป็นกระดูกศีรษะ กระดูกหน้า และ กระดูกทรวงอก จะเป็นหน้าที่ของศัลยแพทย์ทั่วไป )

นอกจากรักษาด้วยการให้คำแนะนำ และ ยา แล้วยังรักษาด้วย วิธีผ่าตัด รวมไปถึง การทำกายภาพบำบัด บริหารกล้ามเนื้อ อีกด้วย นะครับ

ตอนนี้ผม ลาออกจากราชการ มาเปิด คลินิกส่วนตัว อยู่ที่ จังหวัดกำแพงเพชร .. ใช้เวลาว่าง มาเป็นหมอทางเนต ตอบปัญหาสุขภาพ และ เขียนบทความลงเวบ บ้าง ถ้ามีอะไรที่อยากจะแนะนำ หรือ อยากจะปรึกษา สอบถาม ก็ยินดี ครับ

นพ. พนมกร ดิษฐสุวรรณ์ ( หมอหมู )

ปล.

ถ้าอยากจะถามปัญหาสุขภาพ แนะนำตั้งกระทู้ถามที่ .. เวบไทยคลินิก ... ห้องสวนลุม พันทิบ ... เวบราชวิทยาลัยออร์โธปิดิกส์ หรือ ทางอีเมล์ ... phanomgon@yahoo.com

ไม่แนะนำ ให้ถามที่หน้าบล๊อก เพราะอาจไม่เห็น นะครับ ..




New Comments
[Add หมอหมู's blog to your web]