ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 

คลองแดน บ้านขาว ทะเลน้อย เดินดุ่มรอบลุ่มทะเลสาบ

คลองแดน

ทะเลน้อย





คลองแดน บ้านขาว ทะเลน้อย เดินดุ่มรอบลุ่มทะเลสาบ (อสท)

จริยา ชูช่วย...เรื่อง
นภดล กันบัว...ภาพ

หลังจากเดินทางไกล ลอง...ปล่อยให้เวลาผ่านไปสักระยะ ชะตา ภาระ จะเหวี่ยงเราไปที่ไหนก็ช่าง แล้วค่อย ๆ หลับตานิ่งนึกถึงการเดินทางครั้งนั้นอีกที ภาพแรกที่ปรากฏในมโนนึก ฉันจะเรียกมันว่า...ความทรงจำ งดงาม จางบ้าง แต่ไม่รางเลือน เช่นความทรงจำของคนรอบลุ่มทะเลสาบสงขลา ที่วันนี้ฉันพบว่า มันกำลังกลับมากระจ่างชัดอีกหน


เดินถามอดีตบรรพชน...คนคลองแดน

ชุมชนคลองแดน ตั้งอยู่สุดเขตจังหวัดสงขลา ในอำเภอระโนด ต่อเนื่องกับตำบลรามแก้ว อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช ห่างไกลทั้งจากตัวเมืองสงขลาและตัวเมืองนครศรีธรรมราชราว 100 กิโลเมตร โดยมีคลองเล็ก ๆ เป็นเขตแดนตามธรรมชาติระหว่าง 2 จังหวัด ชื่อว่า คลองแดน เป็นที่มาของชื่อชุมชนแถบนี้

ชุมชนคลองแดนยังเป็นจุดบรรจบของอีก 2 คลอง คือ คลองปากพนัง และ คลองชะอวด เรียกได้ว่าเป็นพื้นที่แห่ง 3 คลอง 2 พี่โย อภิชาติ เหมือนทอง นักวิจัยชุมชนคลองแดน เล่าความหลังเมื่อครั้งอดีตว่า ชุมชนแถบนี้เจริญมาก เป็นตลาดน้ำที่ยิ่งใหญ่แห่งลุ่มทะเลสาบสงขลา ขวักไขว่ด้วยพ่อค้าแม่ขาย ไม่มีกลางวันกลางคืน และเป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อระหว่างชุมชนคลองแดนออกสู่ทะเลสาบสงขลา เรื่อยไปจนถึงอ่าวไทยด้านอำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช

สังเกตได้จากภาพถ่ายทางอากาศเมื่อปี พ.ศ. 2517 ที่แห่งนี้หนาแน่นด้วยบ้านเรือนนับร้อย มากมายด้วยร้านทอง ร้านถ่ายรูป ร้านตัดผ้า ร้านขายยา โรงปั่นไฟ ตลาดโรงสีข้าว โรงกลึง ฯลฯ ครบครันที่ตลาดดี ๆ สักแห่งจะมี โด่งดังจนกระทั่งเมื่อ พ.ศ. 2520 ภาพยนตร์เรื่องลูกขวาน ที่นำแสดงโดย สมบัติ เมทะนี และ อรัญญา นามวงศ์ ยกกองมาถ่ายทำที่นี่

ลูกขวาน-ขวานขนาดเล็กที่ใช้เป็นอาวุธป้องกันตัว ออกแบบให้กระชับเหมาะมือเฉพาะเจ้าของ ใช้ขว้างใส่เป้าหมายได้อย่างแม่นยำ ว่ากันว่าสมัยก่อนผู้ชายแถบนี้มีลูกขวานเหน็บเอวกันเกือบทุกคน หากใครมีฐานะหน่อยก็จะพกกริชเป็นอาวุธคู่กายไปด้วยอีกอย่าง

ความรุ่งเรืองตรงหน้าชาวคลองแดน กลับแปรเปลี่ยนเมื่อความเจริญแห่งการคมนาคมเข้าถึง ทางหลวงสาย 408 ที่ตัดผ่านระหว่างนครศรีธรรมราชและสงขลา เมื่อปี พ.ศ. 2517 ได้ค่อย ๆ พรากความสำคัญของสายน้ำลงไป พร้อม ๆ กับการอพยพ โยกย้าย และรื้อถอนบ้านเรือนในชุมชนคลองแดน เหลือไว้เพียงตอม่อร้าง ร่องรอยความศิวิไลซ์ให้กับปู่ย่าตายายที่เหลืออยู่ดูต่างอดีต โรงเรียนทั้งของรัฐบาลและเอกชนกว่า 4 แห่ง ค่อย ๆ ทยอยปิดตัวลงตามจำนวนนักเรียนที่เหลือน้อยเต็มที่ เหลือไว้เพียงโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 11 และโรงเรียนคลองแดนพิทยาในปัจจุบัน

เมื่อคนย้าย บ้านร้าง สะพานขาด ตลาดหายโรงเรียนลด วัดโทรม ดูเหมือนจะตอกย้ำให้คลองแดนกลายเป็นดินแดนไกลปืนเที่ยงเข้าไปทุกที


เดินบนปัจจุบันแห่งตน...คนคลองแดน

ลมไหลเอื่อย แสงไฟนวลลอดผ่านโป๊ะกรงนกเขาพัดปลิวตลอดริมทางเดิน น้ำหน้าบ้านกลับมากระเพื่อมด้วยฝีพายเรือลำเล็ก ของลูกหลานที่แวะเวียนมาเยี่ยมตายาย เรือนแถวไม้เดี่ยวและเรือนแถวไม้ทรงปั้นหยาริมน้ำ กลับมายืดโยงกันไว้ด้วยซานบ้านไม้เคี่ยมแต่โบราณ สลับทางเดินใหม่ที่เพิ่งสร้างอย่างต่อเนื่อง ดูคล้ายทุกอย่างกำลังกลับมามีชีวิตขึ้นอีกครั้ง หลังถูกทิ้งร้างไปนาน...นานเท่าที่สายน้ำถูกลดความสำคัญลง

ดร.จเร สุวรรณชาต หัวหน้าโครงการวิจัยการปรับปรุงที่อยู่อาศัย และชุมชนในชนบทภาคใต้คลองแดน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย เล่าให้ฟังในแววตาหายเหนื่อยว่า หลังจากคณะวิจัยลงพื้นที่เก็บข้อมูลหลายครั้ง พบประเด็นปัญหาสำคัญของการอพยพย้ายถิ่น คือระบบสัญจรระหว่างบ้านถูกตัดขาด เพราะในอดีตชานบ้านแต่ละหลังจะเชื่อมต่อกันโดยตลอด เมื่อมีหลังหนึ่งทรุดโทรมไป เส้นทางก็ถูกตัดขาดจากกันโดยปริยาย บวกกับปัญหาความทรุดโทรมของอาคาร บ้านเก่า ขาดคนดูแล มีเพียงผู้เฒ่าผู้แก่ปริยาย บวกกับปัญหาความทรุดโทรมของอาคาร บ้านเก่า ขาดคนดูแล มีเพียงผู้เฒ่าผู้แก่เฝ้าบ้าน ด้วยปัญหาดังกล่าว ทางคณะผู้วิจัยจึงเสนอตัวขอทุนต่อการเคหะแห่งชาติ แล้วร่วมกันพัฒนาผังแม่บท โดยเริ่มจากออกแบบอาคารทางศาสนา ซึ่งเป็นแหล่งรวมจิตใจของชุมชน ตามมาด้วยการปรับปรุงที่อยู่อาศัย





บ้านครูสายัณห์ ชลสาคร เป็นบ้านหลังแรก ๆ ที่คณะวิจัยช่วยกันออกแบบปรับปรุงให้คงความเป็นอัตลักษณ์ ของเรือนแถวไม้ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ช่วยกันหยิบของเก่าในบ้านที่กองสุมรวมไว้ท้ายบ้าน เช่น อั้งโล่ เหล็กขูด (กระต่ายขูดมะพร้าว) คันไถ เผล้ง (หม้อดินไว้ใส่น้ำดื่ม) กระบวย ฯลฯ มาจัดเรียงให้ดูสวยงามเหมือนพิพิธภัณฑ์มีชีวิต ปรับปรุงเสร็จสรรพ บ้านครูสายัณห์กลายเป็นโฮมสเตย์หลังแรกของคลองแดน ที่รองรับนักท่องเที่ยวได้กว่า 20 คน

เรือนแถวไม้เก่า พื้นมันแปลบ ประตูบานเฟี้ยม มีเรื่องราวในอดีตบอกเล่าผ่านกรอบภาพถ่ายเก่า ๆ รอบบ้าน แบ่งพื้นที่แยกสัดส่วนให้แขกรู้สึกเป็นส่วนตัด พอ ๆ กับมีพื้นที่ให้แขกได้พูดคุยกับเจ้าบ้านแบบอบอุ่น ชั้นบนมีห้องนอนรองรับแขก 3 ห้อง ชั้นล่างมีห้องน้ำ ห้องสุขาโ ต๊ะสภากาแฟส่วนตัว ส่วนท่าน้ำหน้าบ้านเหมาะที่จะนั่งรับลมเย็น ๆ และทักทายญาติมิตรที่สัญจรไปมา

"ไปไหนหล่าว เห็นดับของกัน อย่าไปนานนะ หลบมาคุยกับยายเร็ว ๆ" ยายเก็บเรณูมาศ เพื่อนบ้านเรือนแถวติดกันไม่ลืมทักทายเช่นนี้ทุกครั้งไป ทันทีที่เห็นทีมสารคดีของเราเริ่มสวมรองเท้าเตรียมตัวไปทำงาน ว่าก็ว่าเถอะ ฉันหาโฮมสเตย์แบบนี้มานานแล้ว

คลองแดน

วิถีพุทธ วิถีชน คนคลองแดน

ผู้ใหญ่ตื่นเช้าตรู่นั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก แต่ฉันเห็นเด็กเล็กสองสามขวบที่นี่ตื่นกันก่อนไก่โห่ ไม่ได้รีบไปโรงเรียนเพราะยังไม่ถึงขวบวัย และไม่ใช่อาการหิวนมแต่อย่างใด หากแต่ตื่นมาตักบาตรพร้อมผู้เฒ่าผู้แก่ แถมยังปฏิบัติได้อย่างคล่องแคล่วราวกับเป็นกิจวัตรที่สำคัญ เขายังชวนหลวงตาสนทนาตามประสาอย่างไม่เคอะเขิน แต่สำรวมอยู่ในที อาจเพราะดินแดนที่เขาเกิดแห่งนี้ คือชุมชนวิถีพุทธ ศรัทธาแห่งวิถีพุทธของคนที่นี่แรงกล้า และดูเหมือนว่าจะถูกเชื่อมโยงอยู่ในทุกแง่มุม รวมถึงแง่การท่องเที่ยว ที่ถือว่า วัดคลองแดน มีมรดกทางวัฒนธรรมค่อนข้างสูง

วัดคลองแดน สร้างราว พ.ศ. 2430 ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับคนคลองแดนมักถูกหล่อหลอมมาจากที่แห่งนี้ พวกเขาใช้หลัก "วชร" วัด ชุมชน รัฐบาล ในการขับเคลื่อนชุมชนโดยให้วัดเป็นจุดศูนย์กลางนำชุมชน เพราะเชื่อว่าชุมชนไหนที่มีคุณธรรมนำมักอยู่รอดปลอดภัย โดยมีหน่วยงานภาครัฐบาลมาสนับสนุน แต่ก็อีกนั่นแหละ ต้องเป็นการช่วยเหลือที่สอดคล้องกับทิศทางของมติคนในชุมชน


ภายในวัดยังมีต้นทุนทางวัฒนธรรมที่สามารถจับต้องได้หลายประการ เช่น องค์พระทองโบราณ ปางมารวิชัย ศิลปะผสมผสานล้านนา ล้านช้าง สุโขทัย อยุธยา และท้องถิ่นได้ ลักษณะงดงามชดช้อย เรือขุดไม้ตะเคียนทองโบราณ บรรจุคนได้ 40 – 50 คน ใช้ขนทราย ย้ายบ้านเมื่อครั้งอดีต หอฉัน สถาปัตย์พื้นถิ่นลุ่มทะเลสาบสงขลา สร้างจากไม้เคี่ยม ไม้หลุมพอ ไม้ยางอายุร่วมร้อยปี ในฤดูน้ำพะ (น้ำหลาก) สมัยก่อน ชาวบ้านจะย้ายข้าวของและอพยพมาหลบน้ำชั่วคราว ยังมีโรงธรรมไม้เคี่ยมโบราณทั้งหลัง และลานธรรมรูปแบบใหม่ที่เรียบง่าย โดดเด่น สวยงาม แฝงด้วยปริศนาธรรม ฯลฯ

หลังเดินวนรอบวัดอยู่พักใหญ่ ฉันก็นึกสงสัยอยู่นานว่า "ทำไมบนหลังคามีถ้วย" ทั้งหลังคาหอฉัน หลังคากุฏิ มีถ้วยกระเบื้องเคลือบประดับตรงมุมทุกหลัง จนกระทั่งได้รับคำตอบจาก พระมหาปราโมทย์ จุนทโซโต เจ้าอาวาสวัดคลองแดน ว่านอกเหนือจากความงามแล้ว ช่างรุ่นเก่ายังฝากความศรัทธา ไว้ในงานสถาปัตยกรรมอย่างลึกซึ้งอีกด้วย เมื่อข้าวก้นบาตรเหลือ พระสงฆ์จะหว่านขึ้นบนหลังคาให้นกได้กิน ถ้วยที่เห็นเหล่านั้นมีไว้เพื่อรองรับน้ำฝน เผื่อแผ่ให้นกได้ดื่มนั่นเอง

เช่นเดียวกัน การบูรณะแต่ละส่วนในวัด เจ้าอาวาสจะให้โจทย์เป็นปริศนาธรรม บวกภูมิรู้เรื่องท้องถิ่น แล้วให้สถาปนิกไปตีโจทย์มานำเสนอ หากเข้าถึงซึ่งธรรมะ จึงจะเข้าถึงซึ่งสถาปัตย์ที่วัดแห่งนี้ ในทุกวันพระจะมีกิจกรรมธรรมะสัญจร โดยพระสงฆ์วัดคลองแดนจะออกไปบิณฑบาตตามหมู่บ้านที่ห่างไกลวัด หลังจากนั้นจะเป็นช่วงเวลา "ธรรมสากัจฉา" สนทนาธรรมโดยการปุจฉา วิสัชนา ระหว่างพระสงฆ์และชาวบ้าน วิธีนี้นอกจากชาวบ้านจะได้ประโยชน์ในสิ่งที่อยากรู้แล้ว ยังช่วยฝึกให้พระภิกษุตั้งใจศึกษาหาความรู้ เพื่อให้สามารถตอบคำถามของชาวบ้านที่ไม่อาจคาดคิดอยู่ตลอดเวลาได้




เดินทำไม ในคลองแดน

เดินทำไม ไม่รู้ รู้แต่เดินเท่าไหร่ก็ไม่รู้เบื่อ ในแง่มุมของการท่องเที่ยว นอกจากเรื่องราวของวิถีพุทธภายในวัด ที่ชวนศึกษาแล้ว มาคลองแดนยังมีอะไรให้เดินดูอยู่อีกมาก หากมีเวลาเล็กน้อยเพียงวันหยุดสุดสัปดาห์ เท่านี้ก็สามารถอิ่มเอมกับการเที่ยวคลองแดนได้

ช่วงเช้าตรู่อาจลงเรือเหมาลำที่หน้าร้านยาศรีสุขโอสถ ร้านยาโบราณที่ยังเหลืออยู่ไม่กี่ร้านในคลองแดน ท่องล่องชมวิถีชีวิตริมคลอง ผ่านดงตาล 100 ปี เรียงเป็นทิวแถว กะเรกะร่อนหรือกล้วยไม้ผีโชว์ดอกงามอิงแอบบนต้นตาล ล่องเรื่อยไปจนถึงที่บ้านท่าเข็น หมู่บ้านชาวประมงริมอ่าวไทย ที่วันนี้ยังมีร่องรอยของอุทกภัยใหญ่เมื่อปีที่แล้วให้เห็น ที่นี่เป็นแหล่งกำเนิดแป้งแดง ของหมักลักษณะคล้ายปลาจ่อมทางภาคอีสาน แต่มีสีแดง ทำจากเนื้อปลาเล็กปลาน้อยที่หมักจนได้ที่ ใช้ปรุงเป็นอาหารได้หลายแบบ ทั้งผัดปรุงคล้ายน้ำพริก แกล้มผักสด ทำหลน



ในวันที่เราไปถึงท่าเข็น คลื่นลมยังเกรี้ยวราดพอควร เสร็จจากล่องเรือ ลองเดินชมสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นลุ่มทะเลสาบสงขลา บ้านเรือน แต่ละหลังอายุเฉลี่ยเกินกว่า 50 ปี บางหลังอายุเกิน 100 ปี เปลี่ยนเจ้าของไปแล้ว 2 - 3 รุ่น บ้างก็ใช้คานดีดขึ้นเรือมาจากที่อื่น

ทันทีที่เข้าชม บ้าน 100 ปี ศรีคลองแดน ของ พี่วุธ - พี่น้อย ฉันรู้สึกทึ่งในความคงอยู่ และความงามของบ้านไม้ตะเคียนทั้งหลัง สีดำมันขลับตามธรรมชาติที่สีเคมีใด ๆ ก็ไม่สวยเท่า หลังคากระเบื้องดินเผาแบบดั้งเดิมจากเกาะยอ มีบางส่วนที่ต่อเติมใหม่และใช้หลังคาลอนคู่ อาจดูขัดเขินบ้าง เพราะเดี๋ยวนี้ครั้นจะมุงหลังคาด้วยกระเบื้องแบบเดิม ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก โรงงานกระเบื้องดินเผาจะผลิตก็ต่อเมื่อครั้งละเป็นแสนแผ่น ราคาตอนนี้ก็แผ่นละแปดเก้าบาทเข้าไปแล้ว หากต้องการความเก่ากลมกลืน สิ่งที่ทำได้คือการสะสมกระเบื้องเก่า ที่นี่ยังเปิดเป็นโฮมสเตย์ รองรับนักท่องเที่ยวที่มาเป็นกลุ่มได้กว่า 70 คน



การเดินเที่ยวเองในคลองแดนก็ทำได้ไม่ยาก เพราะมีป้ายสื่อความหมาย ที่คณะวิจัยทำไว้บอกเล่าเรื่องราวความสำคัญของแต่ละจุด ช่วยให้ได้ความรู้ เข้าใจชุมชน แถมยังช่วยทุ่นแรงคนนำเที่ยวได้อีกโข ไฮไลต์อีกอย่างของที่นี่อยู่ในช่วงเย็นของวันเสาร์ หลังตะวันเริ่มคล้อย ตลาดน้ำคลองแดนก็เริ่มมีชีวิต ด้วยความเป็นตลาดเล็ก ๆ น่ารัก ๆ เกิดขึ้นเพราะอยากให้มีหนึ่งวันในรอบสัปดาห์ที่คนในชุมชนได้พบปะ พูดคุย และร่วมกิจกรรมสนุกสนานกัน อาหารที่ขนมาขายรับรองอร่อยเหาะ ฉันลองมาแล้ว เต้าคั่ว ขนมจีน ข้าวมันแกงไก่ ขนมจาก ขนมมัน เขาทำกันจำนวนน้อย เน้นคุณภาพ เน้นโชว์ฝีมือ เพราะฉะนั้น มาตลาดนี้อยากกินอะไรให้กินเลย อยากซื้ออะไรให้ซื้อเลย ช้าอดแน่ ๆ

แม่ค้าคนไหนขายของหมดก่อน กระโดดขึ้นเวทีริมน้ำระบำรำฟ้อน จนบางทีแทบจะแจกให้หมด ๆ จะได้ขึ้นเวทีก่อนใคร มโนห์ราจากลูกหลานชาวคลองแดนเริ่มแสดง บ้างสลับบรรเลงดนตรี บ้างก็มีกลุ่มชาวต่างชาติอาสาขึ้นรำฟ้อนกับชาวบ้าน ดูคล้ายจะเป็นตลาดศูนย์กลางสนทนาฮาเฮ มากกว่าการค้าขายเสียด้วยซ้ำ

คืนนี้ถ้าไม่รีบร้อนนัก แนะนำให้พักโฮมสเตย์ที่คลองแดนสักคืน ฉันพริ้มหลับอยู่ที่นี่สี่ห้าคืนแล้ว ก็ดูเหมือนจะไม่เพียงพออะไรกับความน่าสนใจของวิถีชีวิตพวกเขา

บทประพันธ์ของ อาจารย์ยงยุทธ หนูเนียม อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย "ลูกคลองแดน" ที่ร่ายบนเวทีกลางน้ำในตลาดเมื่อเย็น ยังดังก้องและจารจำอยู่ในใจคนที่นี่ มีไม่กี่คนหรอกที่จำกลอนบทนี้ไม่ได้

"คือสายน้ำแห่งความหมายลมหายใจ คือสายน้ำแห่งสายใยให้สืบสาน คือสายน้ำแห่งชีวิตจิตวิญญาณ คือวิถีธารวิถีชน...คนคลองแดน"



มาเขเรือดูควาย นา เล เท่บ้านขาว

เข้าอีกวันเราเดินทางจากคลองแดนมาไม่ไกล ตามคำแนะนำของ ททท. สำนักงานหาดใหญ่ เพื่อมาสัมผัสความมหัศจรรย์ 5 อย่างของบ้านขาว อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา นก น้ำใส บัวสาย"ควายน้ำ" กลางนา พี่ขาว ตาบตรี ธนาคม แกล้วทนงค์ พาพวกเราลงเรือที่คลองบ้านขาว หมู่ที่ 3 ตั้งแต่เช้าตรู่ ระหว่างทางช่วงแรกยังเป็นคลองเล็ก ๆ รกชัฏด้วยกอผักกระเฉด วิ่งผ่านอีกหน่อยเข้าสู่พื้นที่ดูแลของ เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย (หน่วยพิทักษ์ป่าบ้านพราน) สองข้างลำคลองบริเวณนี้เต็มไปด้วยดงมะม่าวและดงสน ผ่านดงบัวสายสีชมพูเข้ม เช่นที่เราเห็นมากในทะเลน้อย

วิ่งไปอีกหน่อยเริ่มกลายเป็นดงบัวสีชมพูอมขาว ลอยลำมาเรื่อย วิถีในทะเลเริ่มเคลื่อนไหว ควายไล่ทุ่ง หรือ ควายน้ำ สีดำตัวเขื่องนับพัน ๆ ตัว เบียดเสียดกันอยู่ในคอกไม้บนเนินดินถมกลางน้ำ รอเจ้าของมาเปิดประตูคอกออกแหวกว่ายหาอาหาร มันค่อย ๆ เดินลงน้ำทีละตัว จนหมดคอก บ้านเดิน บ้างว่ายน้ำ บ้างก็ดำลงกินหญ้าใต้น้ำ

"เจ้าของไม่ต้องทำอะไรเลย มีหน้าที่มาเปิดคอกตอนเช้า แล้วมาปิดตอนเย็นเท่านั้น นอกนั้นควายมันทำเอง หากินเอง เดินกลับเข้าคอกเอง มีมั้งเท่หลงไปเข้าคอกเพื่อน" พี่ขาวเล่าให้ฟัง

ระหว่างทางล่องเรือ เห็นหัวควายลอยคอโผล่เป็นระยะ ๆ จนถึงป่าเสม็ดขาวรกทึบ น่าวังเวงอยู่ไม่น้อย ดีที่มีนกน้อยใหญ่มาบินโฉบให้ตื่นตาตื่นใจตลอดทาง ทั้งเหยี่ยวแดง นกพริก นกเป็ดน้ำ นกนางนวลแกลบ นกกระสาแดง นกนางแอ่นบ้าน นกตีนเทียน ฯลฯ เพลินจนลืมแดดไปเลย ผ่านจุดนี้ไปก้มดูน้ำใสแจ๋วเหมือนแก้ว มีสาหร่ายหางกระรอก สาหร่ายข้าวเหนียวหนาทึบใต้น้ำ ลวงตาบดบังความใส่ไปบ้าง ล่องผ่านดงกง หรือพลับพลึงน้ำ จนไปบรรจบกับเส้นทางล่องเรือท่องเที่ยวของ เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย จึงค่อยวกกลับ ดงบัวสายเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวสลับม่วง น้ำตรงนี้ใสจนเห็นใบบัวไหวเบื้องล่าง

ล่องมาอีกนิดจะพบดงบัวสายสีชมพูเข้มที่อัดกันแน่น บริเวณนี้เป็นร่องลม ทำให้นั่งเรือชมบัวผมปลิวเย็นสบาย ซ้ายขวามีนกนางแอ่นบ้านบินหยอกล้อเรือในระยะประชิด วิ่งผ่านมาจนถึงปากทางกลับมียอยักษ์เรียงราย บ้างเพิ่งผ่านการยก ยังเปียกหมาด ๆ บ้างก็หักร้างผุพัง นาทีที่ล่องเรือลอดผ่านยอยักษ์คันแล้วคันเล่า ความรู้สึกเราก็ไม่ได้แปลกแยกจากปลาชิวปลาสร้อย ที่พร้อมจะติดกับดักอย่างไม่มีทางเลือก กว่า 2 ชั่วโมง บนเส้นทางล่องเรือบ้านขาว ไม่มีวินาทีไหนน่าสนใจน้อยไปกว่ากันเลย อาจเพราะฉันด้อยประสบการณ์ หรือไม่ มันก็น่าตื่นเต้นไม่น้อยกว่าที่ฉันเคยเจอ

ทะเลน้อย

กินกลางทุ่ง นอนกลางนา

มื้อเที่ยงวันนี้พิเศษสุด เราได้มากินของหรอยบ้านขาว แล้วนอนพุงกางที่ขนำกลางนา ยำมะม่วงเบา กุ้งผัดน้ำผึ้ง น้ำพริกกะปิ แกงส้มปลากะพงยอดมะพร้าว ปลาย่างเกลือ ฯลฯ ฝีมือเด็ดขาดทุกเมนู เสร็จจากมื้อเที่ยง จะว่าเพลียแดดจากนั่งเรือก็ไม่เชิง คงเคลิ้มลมพัดแถวนี้มากกว่าพาให้ทีมสารคดีของเราเผลอนอนยาว หลับปุ๋ยไม่รู้ตัวไปเสียแล้ว บริเวณขนำแห่งนี้ พี่ขาวตั้งใจให้เป็นศูนย์การเรียนรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์ มีพืชพรรณรอบบริเวณทั้งกล้วย มะพร้าว มะนาว มะละกอ ฯลฯ อยู่ท่ามกลางอ้อมกอดท้องทุ่งสีสันเปลี่ยนผันตามฤดู

บ่อปลาขนาดใหญ่ข้างบ้านคือแหล่งอาหารและเก็บกักน้ำชั้นดี แต่ที่ขนำยังไม่มีไฟฟ้าใช้ เพราะตั้งใจจะอยู่แบบอิงธรรมชาติให้มากที่สุด ยามเย็นย้ายถิ่นมาโฮมสเตย์บ้านครูสุนีย์-ดาบตรี สมพร แกล้วทนงค์ ข้างบ้าน คือทุ่งนาสุดลูกหูลูกตา ยามนี้สีเขียวสดทั้งทุ่ง มองทีไรสดชื่นผ่อนคลายสบายตาดีเหลือเกิน ห้องหับจัดสรรเป็นสัดส่วน ห้องน้ำ ห้องส้วมเพียงพอสะอาดสะอ้าน

โฮมสเตย์ที่บ้านขาวมีให้เลือกหลายแบบกว่า 30 หลัง ทั้งติดนา ติดทะเลกลางสวน แล้วแต่เลือก แล้วแค่ชอบ ค่ำคืนนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวของบ้านขาวในอดีต ครั้งยังทุรกันดารแต่มากด้วยเสน่ห์ แม้นาทีนี้ความทุรกันดารจะเป็นภาพราง ๆ แต่ความมากเสน่ห์ยังกระจ่างเช่นที่เป็นมา ก่อนนอนครูสุนีย์ทิ้งท้ายไว้ว่า "เชื่อไหมพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าที่บ้านครู กลมแดง โต และเห็นชัดที่สุด"

เชื่อแล้วค่ะครู

ทะเลน้อย

เดินเลียบทะเลน้อย เส้นทางหลากชีวิต

หลังจากที่สะพานเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 บางคนเรียกสะพานหัวป่า-ไสกลิ้ง ตัดผ่านเชื่อมตำบลบ้านขาว อำเภอระโนด จังหวัดสงขลากับตำบลพนางตุง อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง เข้าด้วยกัน สามารถย่นระยะทางจาก 160 กิโลกรัม เหลือเพียง 17.5 กิโลกรัม ดูเหมือนเส้นทางชีวิตของคนสองจังหวัดจะง่ายขึ้นมาก สะพานทอดยาวข้ามคลองนางเรียม คลองบ้านกลาง และบางส่วนของทะเลน้อย มีจุดพักรถ 2 จุด บนสะพานแลดูว่างเปล่ายาวไกล ต่างกับใต้สะพานที่เต็มไปด้วยชีวิต ฝูงนกตีนเทียนยืนนิ่งสลับกับบินแปรขบวนชวนให้เราเพลิน มองไปสุดลูกหูลูกตาเห็นฝูงควายไล่ทุ่งที่ทุ่งแหลมดิน กำลังยืนเล็มหญ้าอยู่ฝูงใหญ่ ใต้สะพานก็มีควายอีกฝูงเดินเล็มหญ้าเป็นงานหลัก โชว์นักท่องเที่ยวเป็นงานรอง

เรื่องนกและพืชพรรณในทะเลน้อยตามที่นักเขียน อ.ส.ท. รุ่นพี่เขียนไว้หลายคน หลายเรื่อง หลายฉบับนั้น มันยังคงงดงามเช่นนั้น ทั้งนกพื้นถิ่นและนกอพยพยังคงมีให้เห็นจนอิ่ม สวรรค์ของนักดูนกไม่เคยจางหายจากทะเลน้อย และเรื่องราวของพืชพรรณบริเวณป่าพรุ ที่มีทั้งต้นตีนเป็ดพรุ แหล่งทำรังของนกกาบบัว และดงต้นเสม็ดขาวทึบลึกลับ แหล่งวางไข่ของนกน้ำชนิดอื่น ๆ

ริมฝั่งคลองบ้านกลาง แถวทุ่งแหลมดิน นอกจากเห็นน้องควายไล่ทุ่งฝูงใหญ่แล้ว บริเวณนี้ยังเป็นจุดรอยต่อระหว่างน้ำจืดกับน้ำกร่อย สังเกตได้ว่าจะมีพืชน้ำจำพวกเตยน้ำ สาหร่ายต่าง ๆ และสันตะวาใบข้าว หากล่องเรือไปจนถึงปากประในยามรุ่งสางจะพบแหล่งยอยักษ์จำนวนมาก ยามถูกย้อมสีด้วยผืนฟ้าเบื้องหลังช่างงดงามนัก นั่งดูคุณลุงยกครั้งแล้วครั้งเล่า หลายครั้งที่ฉันเห็นเพียงความวางเปล่าของยอที่โผล่พ้นน้ำ เข้าเดินหันหลังให้มัน ก่อนที่จะกลับมายกมันอีกครั้ง อีกครั้ง... ราวกับว่าโอกาสไม่เคยจางหายจากหัวใจพวกเขาเลยแม้สักวัน

เมื่อฟ้ายามรุ่งสางเริ่มเปลี่ยนสี เขาก็เริ่มแสวงหาโอกาส เช่นนี้อีกทุกวัน วิถีริมทะเลน้อยเปลี่ยนแปลงไปบ้าง จากเมื่อเด็ก ๆ ที่เคยเห็นเฉพาะนักท่องเที่ยวกลุ่มดูนก กลายเป็นนักท่องเที่ยวหลากกลุ่มมากขึ้น ท่าเรือดูแน่นหนาแข็งแรง มีระบบระเบียบ ที่พักร้านอาหารเริ่มหนาตา ของที่ระลึกจากกระจูดมีดีไซน์แปลกใหม่เพิ่มมากขึ้น แต่ฉันยังไม่ลืมเดินตามหากลิ่นหอมปลาดุกร้า และไข่ปลาทอดสูตรเฉพาะของทะเลน้อยเช่นเดิม

นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น เพราะนอกจากเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อยแล้ว ตอนนี้ยังมีสถานีพัฒนาและส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่าทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง เป็นแหล่งเรียนรู้กลางทะเลที่น่าสนใจ เหมาะสำหรับจัดค่าย ฝึกอบรมมีห้องนิทรรศการ วิทยาการ และที่พักพร้อมสรรพ หลังจากที่ฉันเดินดุ่มรอบลุ่มทะเลสาบมาหนึ่งสัปดาห์ บางทีไม่เคยไปก็อาศัยฟังเรื่อง เล่าจากความทรงจำของใครหลายคน บางที่เคยไปเยือนหลายต่อหลายครั้ง ก็เอาความทรงจำของตัวเองผสมเขาไปบ้าง เฝ้ามองเรื่องราวผ่านมิติความงามและกาลเวลาของลุ่มทะเลสาบแห่งนี้

อดีตและปัจจุบันเป็นมิติสะท้อนย้อนกลับไปกลับมาของกันและกัน ไม่มีกาลใดใหญ่กว่ากาลใด ไม่มีกาลใดงามกว่ากาลใด มันงดงามยิ่งใหญ่น่าจดจำไปเสียหมด อยู่ที่ว่าความทรงจำต่อลุ่มทะเลสาบแห่งนี้ ของใครคงทนกว่ากัน...


คู่มือนักเดินทาง

คลองแดน บ้านขาว และทะเลน้อย ถือเป็นเส้นทางท่องเที่ยว ต่อเนื่องในเส้นทางเดียวกัน หากมีเวลาสักสามสี่วันก็ลองเที่ยวให้ครบ เรียกว่าครบรสวิถีรอบลุ่มทะเลสาบ

การเดินทาง

ไปคลองแดนจะเริ่มจากตัวเมืองนครศรีธรรมราชหรือตัวเมืองสงขลาก็ได้ ระยะทางราว 100 กิโลเมตรพอกัน จากจังหวัดสงขลาวิ่งไปตามทางหลวงหมายเลข 408 ผ่านแยกรับแพรก ผ่านสะพานท่าเข็น สังเกตป้ายทางเข้าตลาดน้ำย้อนยุคคลองแดนซ้ายมือ ตรงเข้าไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตร จะพบตลาดน้ำอยู่ทางซ้ายมือ มีป้ายสังเกตชัดเจน หากจะไปบ้านขาวให้เลี้ยวซ้ายตรงแยกรับแพรก ตรงไปผ่านตัวอำเภอระโนด ตรงไปจนถึงสามแยกหัวป่า เลี้ยวขวาไปทางป้ายควนชลิก ตรงไปจนถึงวัดบ้านขาว แล้วโทรศัพท์ให้ทางกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านขาวออกมารับ หากจะไปทะเลน้อย เมื่อมาถึงสามแยกหัวป่า ให้เลี้ยงซ้ายตรงไปข้ามสะพานเฉิลมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 เข้าพื้นที่ทะเลน้อย

ที่พัก ที่กิน

เนื่องจากคลองแดนและบ้านขาวเป็นการท่องเที่ยวแบบวิถีชีวิตวัฒนธรรม ที่พักแบบโฮมสเตย์มีจำกัด หากต้องการพักให้โทรศัพท์ติดต่อไปสอบถามรายละเอียดล่วงหน้า คลองแดน ติดต่อคุณอภิชาต เหมือนทอง โทรศัพท์ 08 6288 6941 ดร.จเร สุวรรณชาต โทรศัพท์ 08 9599 7893หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ facebook Klongdan

บ้านขาว ติดต่อดาบตรี ธนาคม แกล้วทนงค์ โทรศัพท์ 08 9468 1126 คุณมิ่งขวัญ รัตนภักดี โทรศัพท์ 08 3106 6730 ปลัดอุทัยคงหนู โทรศัพท์ 0 7439 6784

ส่วนทะเลน้อย มีให้เลือกพักทั้งในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย โทรศัพท์ 0 7468 5230 สถานีพัฒนาและส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่าทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง โทรศัพท์ 0 7468 5599 และในส่วนของเอกชน เช่น บ้านทวีสุข โทรศัพท์ 08 7466 4842, 0 7468 5492 บ้านล้านบัว โทรศัพท์ 0 7468 5573 ทะเลน้อยรีสอร์ท โทรศัพท์ 08 1189 6193

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงานหาดใหญ่ โทรศัพท์ 0 7423 1055 และ 0 7423 8518




 

Create Date : 20 มิถุนายน 2554    
Last Update : 20 มิถุนายน 2554 8:26:43 น.
Counter : 3518 Pageviews.  

ถ้ำแก้วโกมล มหัศจรรย์ถ้ำแห่งแก้วอันงาม


ถ้ำแก้วโกมล อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2544 และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อว่า“ แก้วโกมล” หมายความว่า “ ถ้ำแห่งแก้วอันงาม”



ถ้ำแก้วโกมล ตั้งอยู่บริเวณเขาดอยถ้ำ หมู่ที่ 14 บ้านห้วยมะไฟ ตำบลแม่ลาน้อย อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน เดินทางโดยใช้ทางหลวงหมายเลข 108 ( แม่ฮ่องสอน- แม่สะเรียง) ถึงบริเวณหน้าโรงพยาบาลแม่ลาน้อย ให้ เลี้ยวซ้ายไปบ้านห้วยมะไฟตามถนนคอนกรีตกว้าง 4 เมตร ลัดเลาะตามไหล่ทาง ประมาณ 5 กิโลเมตร ถึงปากถ้ำ


ลักษณะภายในถ้ำเต็มไปด้วยผลึกแร่แคลไซต์ที่ผนังและเพดานถ้ำ ผลึกมีรูปร่างลักษณะแตกต่างกัน เช่น ผลึกคล้ายเกล็ดน้ำแข็ง ขนาดเล็ก ละเอียด สีขาว ซึ่งเป็นลักษณะเด่นที่ สุดของถ้ำ ผลึกคล้ายเกล็ดน้ำตาลหรือผลึกแร่ควอตซ์ ผลึกที่จับตัวกันคล้ายปะการัง ผ้าม่าน โคมไฟเพดาน ผลึกงอกและย้อยเป็นเสาและแท่ง ภายในถ้ำแบ่งเป็น 5 ห้อง สวย งามมาก เปิดให้เข้าชม เป็นรอบๆ ละ 20 นาที ตั้งแต่ 8.30 - 16.00 น.

ข้อมูลโดย : กรมท่องเที่ยว




 

Create Date : 19 มิถุนายน 2554    
Last Update : 19 มิถุนายน 2554 12:18:32 น.
Counter : 2075 Pageviews.  

ทะเลสาบเชียงแสน

สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติทะเลสาบเชียงแสนมีเนื้อที่ทั้งหมด 2,711 ไร่
ประกาศเป็นเขตห้ามล่าสัตว์ป่า เมื่อปี พ.ศ. 2528



เดิมทะเลสาบเชียงแสนเป็นเพียงหนองน้ำขนาดเล็ก จนมีการสร้างฝายกั้นทางน้ำ ทำให้น้ำเอ่อล้น จนเกิดเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ หรือ หนองบงคาย อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงแสนตามทางหลวงหมายเลข 1016 สายเชียงแสน-แม่จัน ไปประมาณ 5 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายกิโลเมตรที่ 26 เข้าไปอีก 1.5 กิโลเมตร ในฤดูหนาวมีฝูงนกน้ำอพยพมาอาศัยที่ทะเลสาบแห่งนี้ และยังมีทิวทัศน์สวยงามมากเวลาพระอาทิตย์ตกซึ่งนักท่องเที่ยวมักจะมาถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกกันเป็นจำนวนมาก

สำหรับท่านที่กำลังหาสถานที่ท่องเที่ยว โดยสามารถเดินทางมายังทะเลสาบเชียงแสนได้จากเส้นทางต่อไปนี้

สามารถเดินทางจากสถานีขนส่งจังหวัดเชียงรายเดินทางมาตามเส้นทางหลวงหมายเลข 1 ถึงทางแยกไปอำเภอเชียงแสน ระยะทาง 33 กิโลเมตร เปลี่ยนเส้นทางไปใช้ทางหลวงหมายเลข 1016 อำเภอแม่จัน – อำเภอเชียงแสน ถึงกิโลเมตรที่ 27 ณ บ้านกู่เต้า เปลี่ยนไปใช้เส้นทาง ร.พ.ช. สายบ้านกู่เต้า – ดอยงาม ถึงเขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองบงคาย ระยะทางอีก 2 กิโลเมตร รวมระยะทางทั้งหมด จากจังหวัดเชียงราย – เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองบงคาย ประมาณ 62 กิโลเมตร


ขอขอบคุณรูปภาพจากเว็บไซต์
chiangraifocus





 

Create Date : 18 มิถุนายน 2554    
Last Update : 18 มิถุนายน 2554 10:21:46 น.
Counter : 1826 Pageviews.  

10 จุดหมายปลายทาง สุดฮิตในเอเชีย

Lhasa

เมืองลาซา ประเทศทิเบต

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ในทวีปเอเชียของเรามีสถานที่มากมาย ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก ให้ได้ไปเยี่ยมชมและสัมผัสกับความงดงาม ทั้งทางด้านธรรมชาติ วัฒนธรรม ประเพณี และประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ซึ่งด้วยเหตุนี้ ทางเว็บไซต์เอเชียวันดอทคอม จึงได้ทำการรวบรวม 10 จุดหมายปลายทางสุดฮิต ที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปกันมากที่สุด เอาไว้เพื่อให้ทุก ๆ ท่านได้เก็บเป็นข้อมูลในการเดินทาง จะมีที่ใดบ้างนั้น ตามมาดูกันเลย

1. เมืองลาซา ประเทศทิเบต (Lhasa, Tibet)

เมืองลาซา ตั้งอยู่บนที่ราบสูงในแถบหุบเขาของเทือกเขาหิมาลัย มีสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งเป็นนิยมมากที่สุดคือ พระราชวังโปตาลา (Potala Palace) พระราชวังซึ่งเคยเป็นที่ประทับขององค์ดาไลลามะองค์ก่อน ทัวร์ชมภายในพระราชวังกันแล้ว ก็ต้องไม่ลืมที่จะชมความงดงามของทัศนียภาพตลอด 2 ข้างทาง ในระหว่างการเดินทางมาที่นี่อีกด้วย และอีกสถานที่หนึ่งที่มีความงดงามน่ามาเที่ยวไม่แพ้กันคือ วัดโจคัง (Jokhang Temple) โดยวัดแห่งนี้ได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็น "เมืองมรดกโลก" เพราะมีประวัติศาสตร์และความน่าหลงใหลมากมาย ให้ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกได้เดินทางมาเยี่ยมชมกัน

กรุงเทพ

กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย

2. กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย

กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของประเทศไทยเรานั้น ถือเป็นอีกจุดหมายปลายทางหนึ่งที่ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก ต่างต้องการเดินทางมาท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นด้านความงดงามของสถาปัตยกรรม ประเพณี แหล่งช็อปปิ้งที่ราคาสบายกระเป๋า และความบันเทิงในยามราตรี ที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่อย่างสม่ำเสมอ รวมไปถึงรอยยิ้มของคนไทย เหล่านี้ถือเป็นเสน่ห์ ดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี และสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก ต้องไปสัมผัสกับความงดงามอันวิจิตรตระการตาให้ได้ก็คือ วัดอรุณราชวราราม หรือที่เรียกกันว่า "วัดแจ้ง" นั่นเอง

กาฐมาณฑุ

กาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล

3. เมืองกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล (Kathmandu, Nepal)

ที่เมืองแห่งนี้มี จัตุรัส ดูร์บาร์ (Durbar Square) ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก และเป็นอดีตพระราชวังเดิมอีกด้วย มีสถาปัตยกรรมที่มีความงดงามทั้งวัดและสถาปัตยกรรมต่าง ๆ มากมาย ที่สำคัญเมื่อเดินทางมาที่นี่แล้ว คุณต้องไม่พลาดที่จะตั้งแคมป์พักแรมที่ยอดเขา มัจฉาปูชเร (Machhapuchhre) สถานที่ที่สามารถสัมผัสกับวัฒนธรรมท้องถิ่นได้อย่างใกล้ชิด

เมืองเลห์

เลห์ ประเทศอินเดีย

4. เมืองเลห์ ประเทศอินเดีย (Leh, India)

เมืองเลห์ เป็นเมืองศูนย์กลางของการท่องเที่ยวของ ลาดัคห์ (Ladakh) เมืองเล็ก ๆ ที่งดงามไปด้วยสิ่งปลูกสร้างจากหิน "Whitewash" ตั้งอยู่ที่สี่แยกประวัติศาสตร์อย่าง "Silk Route" นอกจากนี้ ยังมี หุบเขานูบรา (Nubra Valley) สถานที่ซึ่งมีความงามตามธรรมชาติ ทั้งฟาร์มขนาดเล็ก และมีเกสต์เฮ้าส์ไว้พร้อมให้บริการอีกด้วย

สิงคโปร์

ประเทศสิงคโปร์

5. ประเทศสิงคโปร์ (Singapore)

หากมาสิงคโปร์แล้วไม่ได้แวะที่ Marina Bay ถือว่ายังเดินทางมาไม่ถึงสิงคโปร์อย่างแท้จริง เพราะที่นี่ถือเป็นที่หมายสำคัญที่ต้องแวะมาเยี่ยมชม จับจ่ายซื้อของให้ได้ นอกจากนั้นแล้วยังมีสิ่งใหม่ ๆ อย่าง โรงแรมมารีน่า เบย์ แซนด์ส (Marina Bay Sands) พิพิธภัณฑ์ศิลปะวิทยาศาสตร์ (ArtScience Museum) สะพานเฮลิกซ์ (The Helix Bridge) ชิงช้าสวรรค์ขนาดยักษ์ (The Singapore Flyer) และ โรงแรม ฟูลเลอร์ตัน เบย์ (Fullerton Bay) ที่คอยดึงดูดนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีกด้วย อย่างไรก็ตาม สิงคโปร์ยังมีส่วนอื่น ๆ ที่ไม่ควรมองข้ามใ นการเยี่ยมชมเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นย่านไชน่าทาวน์ หรือ ลิตเติ้ล อินเดีย สถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และความงดงามทางวัฒนธรรม

หลวงพระบาง

หลวงพระบาง ประเทศลาว

6. เมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว (Luang Prabang, Laos)

เมืองหลวงพระบาง ตั้งอยู่ทางเหนือของประเทศลาว ได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม สิ่งที่พลาดไม่ได้เลยคือการนั่งเรือจากปากอู (Pak OU) ชมทัศนียภาพของทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง นอกจากนั้นแล้ว อีกหนึ่งกิจกรรมที่เราอยากแนะนำให้ทำ ก็คือการใส่บาตรกับพระสงฆ์และสามเณรในตอนเช้า ช่วงเวลาประมาณ 05.30 น. เพราะนอกจากจะได้บุญได้กุศลกันแล้ว คุณยังได้สัมผัสกับบรรยากาศยามเช้าที่แสนจะสดชื่นอีกด้วย

เกาะพีพี

เกาะพีพี ประเทศไทย

7. เกาะพีพี ประเทศไทย

เกาะพีพี อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติทางทะเลอ่าวนพรัตนธารา จ.กระบี่ ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ในทะเลอันดามัน ด้านทิศตะวันตกของภาคใต้ มีน้ำทะเลสะอาด สวยใส หาดทรายขาวละเอียด ที่สำคัญยังเป็นสถานที่ซึ่งใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง "The Beach" อีกด้วย แถมยังมีกิจกรรมทางน้ำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการดำน้ำลึก การดำน้ำตื้น และการชมความงามของถ้ำต่าง ๆ อีกมากมาย

เสียมเรียบ

เสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา

8. เมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา (Siem Reap, Cambodia)

ขึ้นชื่อว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก จึงไม่แปลกที่ใคร ๆ ก็ต่างอยากไปชื่นชมกับความสวยงามและอลังการของ "นครวัด" (Ankor Wat) ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา รวมถึงเก็บภาพบรรรยากาศยามพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า ๆ ที่งดงามจับใจ อีกทั้งเมืองเสียมเรียบถือเป็นเมือง ที่มีความเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ในด้านของสิ่งปลูกสร้าง ไม่ว่าจะเป็น โรงแรมใหม่ ๆ ร้านอาหาร และแหล่งท่องเที่ยวยามราตรี จึงทำให้สะดวกสบายสำหรับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก

เสียมเรียบ

เกียวโต ประเทศญี่ปุ่น

9. กรุงเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น (Kyoto, Japan)

เมืองที่อุดมไปด้วยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ทั้งวัดวาอารามและศาลเจ้าต่าง ๆ แถมยังเป็นที่ภาคภูมิใจของชาวเมือง ในฐานะที่เคยเป็นอดีตเมืองหลวงของประเทศอีกด้วย โดยสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยคือ การที่ได้เห็นสาว ๆ ชาวญี่ปุ่นอนุรักษ์วัฒนธรรมดั้งเดิม ด้วยการสวมใส่ชุดกิโมโน ซึ่งเป็นชุดประจำชาติของญี่ปุ่น เดินตามท้องถนนกันอย่างสง่างามน่ายกย่อง

ฮ่องกง

เกาะฮ่องกง

10. เกาะฮ่องกง ประเทศจีน (Hong Kong, China)

เมืองที่มีความวุ่นวายสูงเมืองหนึ่งของโลกแห่งนี้ ถือเป็นเมืองสำคัญที่อุดมไปด้วยร้านค้าต่าง ๆ มากมาย ทั้งของกิน ของใช้ เสื้อผ้า กระเป๋า ฯลฯ แถมยังมีตลาดกลางคืนเอาใจขาช้อปกันอย่างเต็มที่ แต่ที่พลาดไม่ได้เลยก็คืออาหารสไตล์ฮ่องกง โดยเฉพาะ "Kong Chai Meen" หรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบฉบับฮ่องกง ซึ่งมีขายทั่วไปตามร้านข้างทาง ถือเป็นเมนูที่ควรจะหาทานอย่างยิ่ง รวมไปถึงลูกชิ้นปลา เต้าหู้ทอด และเค้กอร่อย ๆ ก็ไม่ควรที่จะพลาดเช่นเดียวกัน

ได้เห็นทั้ง 10 จุดหมายปลายทางสุดฮิตของทวีปเอเชียแล้ว เชื่อว่าหลาย ๆ ท่านคงจะอยากเดินทางไปสัมผัสด้วยตัวเองแล้ว เพราะฉะนั้น จะช้าอยู่ใย เก็บกระเป๋าแล้วออกเดินทางไปกันเลย ^^




 

Create Date : 17 มิถุนายน 2554    
Last Update : 17 มิถุนายน 2554 8:32:29 น.
Counter : 2255 Pageviews.  

เที่ยวดับร้อน - พักผ่อนชิลล์..ชิลล์ ที่ เกาะเสม็ด

เกาะเสม็ด


เกาะเสม็ด


เรียบเรียงข้อมูลและภาพประกอบโดยกระปุกดอทคอม

เดือนเมษาหน้าร้อนในปีนี้ หลายคนคงเตรียมทริปดี ๆ ไว้สำหรับพักผ่อน หย่อนใจ คลายความร้อน กันแล้วล่ะ และแน่นอน แหล่งท่องเที่ยวอันดับหนึ่งในใจของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ คงหนีไม่พ้น "เกาะเสม็ด" สถานที่ยอดฮิตพิชิตความร้อนของเมืองระยองฮินั่นเอง

เสน่ห์มัดใจของที่นี่ นอกจากจะมีชายหาดขาวสะอาด น้ำทะเลเย็นใสน่าสัมผัสแล้ว ยังมีกิจกรรมให้ร่วมสนุกทั้งยามกลางวันและค่ำคืน ที่สำคัญการเดินทางไปก็ไม่ยากนัก เพราะอยู่ไม่ห่างจากกรุงเทพฯ เท่าไรด้วยนะ นอกจากนี้ ภายในเกาะเสม็ด ยังประกอบไปด้วยชายหาดและอ่าวต่าง ๆ ที่เรียงรายยาวสุดลูกลูกตา ที่นักท่องเที่ยวต่างการันตีว่า ถ้าไปถึงแล้วแทบจะไม่อยากกลับเลยทีเดียว

หาดทรายแก้ว ชายหาดชื่อคุ้นหู สำหรับนักท่องเที่ยว ที่หลงใหลในความเฮฮาปาร์ตี้ เรียกว่าเป็นหาดที่ไม่เคยหลับ เพราะมีกิจกรรมร้อยแปดให้เลือกสรร เริ่มอุ่นเครื่องในช่วงเช้าด้วยการเล่นน้ำทะเล ต่อด้วยนอนเอกเขนกรับแสงแดดในช่วงกลางวัน จากนั้นมานั่งเล่นยามเย็นชมพระอาทิตย์ตก พอค่ำหน่อยก็ดริ๊งค์แอนด์แดนซ์ใต้แสงจันทร์ โอ๊ย! มันส์หยดติ๋งจนลืมเวลากลับเลยล่ะคะ

เกาะเสม็ด

เกาะเสม็ด



อ่าววงเดือน คึกคักไม่แพ้ หาดทรายแก้ว เพียงแต่อ่าวนี้ยังพอมีมุมสงบ ให้ผู้ที่มีโลกส่วนตัวสูงปลีกวิเวกไปทางด้านหัวอ่าวได้ ส่วนชาวแก๊งค์ที่รักความสนุกสนาน ไปรวมตัวกันที่กลางอ่าวได้เลย

หาดคลองพร้าว ลักษณะหาดกว้างเป็นครึ่งวงกลม เหมาะสำหรับนั่งชมพระอาทิตย์ตก และที่สำคัญบรรยากาศเงียบสงบ เหมาะกับผู้คนที่อยากหลบหนีความวุ่นวายดีนัก ส่วนชายหาดที่นี่จะกว้างมากชวนเพื่อนฝูงเล่นกีฬาริมหาดได้สบาย

อ่าวช่อ/อ่าวทานตะวัน อ่าวช่อ และอ่าวทานตะวัน มีโค้งอ่าวที่ติดต่อกัน ทั้ง 2 อ่าวเหมาะที่จะเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ อย่างแท้จริง ผู้คนไม่พลุกพล่าน หาดทรายขาว และสวยงาม ลงตัวดีกับวันพักผ่อนของคุณ

อ่าวทับทิม เป็นอ่าวเล็ก ๆ ที่เงียบสงบ เหมาะสำหรับการพักผ่อนนอนฟังเสียงคลื่นเป็นที่สุด

อ่าวแสงเทียน เป็นอ่าวที่รักษาความเป็นธรรมชาติไว้ได้มากที่สุด ฉะนั้นถ้าคุณเป็นนักท่องเที่ยว ประเภทกินลมชมวิว นอนนับดาวแล้วละก็ อ่าวแสงเทียน เป็นอีกอ่าวหนึ่ง ที่คุณไม่ควรพลาดเลยทีเดียว

อ่าวหวาย อ่าวหวายค่อนข้างไกลจากหัวเกาะ เรียกว่ายังคงความสวยงามในแบบธรรมชาติได้เป็นอย่างดี นักท่องเที่ยวที่รักสงบ และต้องการความเป็นส่วนตัวม๊ากมาก ต้องมาที่อ่าวหวายเท่านั้นค่ะ

อ่าวกิ่วหน้านอก พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวธรรมชาติอย่างแท้จริง เพียงคุณชอบสัมผัสหาดทรายขาวละเอียด ไม่ต้องเบียดเสียดผู้คน พร้อมนั่งชมพระอาทิตย์ขึ้นและตก ที่สำคัญใช้เวลาเดินไม่นาน ระยะทางประมาณ 100 เมตรก็จะถึงจุดชมวิว ที่อ่าวกิ่วหน้าใน ที่นี่ถือเป็นแหล่งดื่มกินบรรยากาศที่ดีทีเดียว

อ่าวกะรัง เหมาะสำหรับลงเล่นน้ำ และชมประการังได้ และยิ่งในช่วงเดือน พ.ย. - ธ.ค.(ปะการัง แค้มปิ้ง) คุณจะได้พบกับนักตกปลามากหน้าหลายตา เพราะพวกเขาแห่กันมาชมปลาอินทรีย์ที่เยอะที่สุด

อ่าวน้อยหน่า ถึงแม้อยู่ใกล้กับหาดทรายแก้ว แต่บรรยากาศนั้นต่างกันสุดขั้ว (ประมาณว่าอยู่ป่ากับรัชดาซ.4..หุหุ) เรียกว่าใครที่ชอบความเงียบสงบ รักการอ่าน อยากอาบแสงแดดเคล้าน้ำทะเล บริเวณนี้มีพร้อมสรรพรอเพียงคุณหิ้วกระเป๋ามาเท่านั้น

อ่าวลูกโยน เป็นอีกหนึ่งอ่าวของเหล่าพลพรรครักสงบ เพราะที่นั่นผู้คนไม่พลุกพล่าน บรรยากาศแถบนั้นก็ชิลล์สุด ๆ ถ้าคุณชอบความเงียบสงัดล่ะก็ อ่าวลูกโยนเค้าจัด...ด...ดให้

อ่าวไผ่ อยู่ใกล้ชิดติดกับหาดทรายแก้ว มีเพียงโขดหินบางๆ คั่นอยู่ นักท่องเที่ยวส่วนมาก จะเหมาเดินเที่ยวหาดทรายแก้ว ไล่ไปจนถึง อ่าวไผ่ ในบริเวณโขดหิน มีวิวสวยงาม เหมาะกับการอาบแดด ถ่ายรูป ฯลฯ มีข้อแนะนำนิดนึงสำหรับผู้ที่ลงเล่นน้ำ ห้ามย่างกรายไปบริเวณที่มีธงสีแดงปักอยู่เป็นอันขาด เพราะตรงนั้นเป็นจุดน้ำวนค่ะ

อ่าวนวล เป็นอ่าวเล็ก ๆ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบความสมถะ เรียบง่าย เพราะที่นี่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากนัก

อ่าวขาม เป็นอ่าวหิน ที่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเข้ามา นอกจากจะนั่งเรือผ่านมาขึ้นทางอ่าวพร้าว ลักษณะภูมิประเทศ ของอ่าวขาม คล้าย ๆ กับแหลมเรือแตก



การเดินทาง




ผู้ที่มีรถยนต์ส่วนตัว มีหลายเส้นทางให้เลือกดังนี้

- เส้นทางแรก ทางหลวงหมายเลข 3 (ถนนสุขุมวิท) จากกรุงเทพฯ ผ่านอำเภอบางปู อำเภอบางปะกง จังหวัดชลบุรี บางแสน ศรีราชา พัทยา หาดจอมเทียน สัตหีบ อำเภอบ้านฉาง ไปจนถึงอำเภอเมือง จังหวัดระยอง รวมระยะทางประมาณ 220 กิโลเมตร

- เส้นทางที่ 2 ทางหลวงหมายเลข 34 (ถนนบางนา-ตราด) เริ่มจากตรงจุดสิ้นสุดทางด่วนด่านเฉลิมนคร อำเภอบางนา ผ่านอำเภอบางพลี อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ และเชื่อมต่อกับทางหลวงหมายเลข 3 ที่กิโลเมตรที่ 70 อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา หลังจากนั้นก็จะผ่านเส้นทางเดียวกันกับเส้นทางที่ 1 รวมระยะทางประมาณ 220 กิโลเมตร

- เส้นทางที่ 3 ทางหลวงหมายเลข 36 (บายพาส 36) จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางเดียวกับเส้นทางที่ 2 จนถึงกิโลเมตรที่ 140 อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสู่เส้นทางหลวงหมายเลข 36 จากนั้นให้เดินทางต่อไปยังจังหวัดระยองด้วยระยะทาง 70 กิโลเมตร รวมระยะทางประมาณ 210 กิโลเมตร

- เส้นทางที่ 5 ทางหลวงหมายเลข 7 (สายมอเตอร์เวย์) เริ่มจากถนนพัฒนาการ เขตประเวศ กรุงเทพฯ ไปสิ้นสุดที่ จังหวัดชลบุรี ระยะทาง 75 กิโลเมตร จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 36 เป็นระยะทาง 100 กิโลเมตร จนถึงอำเภอเมือง จังหวัดระยอง รวมระยะทางทั้งสิ้นประมาณ 175 กิโลเมตร

และผู้ที่ใช้บริการรถสาธารณะ มีรถโดยสารประจำทางจากสถานีขนส่งสายตะวันออก (เอกมัย) ไปยังตัวจังหวัดระยอง และอำเภอต่างๆ ในจังหวัดหลายเส้นทาง ได้แก่

- สายกรุงเทพฯ - ระยอง, บ้านเพ, แกลง, แหลมแม่พิมพ์, มาบตาพุด, ประแสร์ เป็นต้น

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 2391 2504

- สถานีเดินรถโดยสาร จังหวัดระยอง โทร. 0 3861 137 9

การเดินทางไปเกาะ จะมีเรือจากท่าเรือบ้านเพ บริการทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง ค่าโดยสารระหว่างบ้านเพ-เกาะเสม็ด (ไป-กลับ 100 บาท/ท่าน) ใช้เวลาเดินเรือประมาณ 40 นาที ส่วนเรือ speed boat อยู่ที่คนละ 250 บาทหรือเหมาลำประมาณ 1,500 - 2,600 บาท

การเดินทางบนเกาะ มีถนนเพียงสายเดียว เป็นทั้งถนนคอนกรีตและถนนดิน และบนเกาะก็มีรถสองแถว(TAXI) บริการไปตามหาดต่าง ๆ ค่ารถประมาณ 10-500 บาท ขึ้นอยู่กับระยะทาง หากต้องการจะเหมาเที่ยวทั้งเกาะราคาประมาณ 800 บาท สำหรับนักท่องเที่ยวที่รักการผจญภัยและสนใจมอเตอร์ไซต์เช่า ราคาเริ่มต้นที่ 300 บาท

เกาะเสม็ด


อ๊ะ ๆ.. จะมัวนั่งทนร้อน นอนอยู่บ้านกันไปทำไม ลุกขึ้นมาฮาเฮ ชวนเพื่อนหรือคนรู้ใจ ไปใช้เวลาในวันหยุดยาว ด้วยการดื่มด่ำบรรยากาศชายทะเลที่ เกาะเสม็ด กันดีกว่า ..... แล้วเจอกันนะจ๊ะ!





ขอขอบคุณข้อมูลจาก




 

Create Date : 16 มิถุนายน 2554    
Last Update : 16 มิถุนายน 2554 8:32:51 น.
Counter : 1273 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.