ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 

เสน่ห์เจดีย์ทรงมอญที่ "พระธาตุหินกิ่ว ดอยดินจี่"



"พระธาตุหินกิ่ว ดอยดินจี่" ตั้งอยู่ที่บ้านวังตะเคียน หมู่ที่ 5 ตำบลท่าสายลวด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก วัดพระธาตุหินกิ่วดอยดินจี่มีพระธาตุประดิษฐานอยู่ในสถูปเจดีย์ชาวบ้านเรียกว่า "พญาล่อง" ตั้งอยู่บนภูเขา ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงมอญขนาดเล็ก สร้างไว้บนก้อนหินด้วยแรงศรัทธาในพระพุทธศาสนา เป็นความมหัศจรรย์จากธรรมชาติ ลักษณะเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนชะง่อนผากิ่วคอดเหมือนจะขาดออกจากกัน ชาวบ้านเรียกหินมหัศจรรย์นี้ว่า"เจดีย์หินพระอินทร์แขวน"

พระธาตุหินกิ่วดอยดินจี่ เล่าสืบต่อกันมาว่า ผู้สร้างเป็นชาวกะเหรี่ยงในสมัยที่อังกฤษปกครองพม่า ชื่อว่านายพะส่วยจาพอ ได้มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก ได้นำเงินตราเหรียญรูปีบรรทุกหลังช้างมาเพื่อหาที่สำหรับสร้างเจดีย์ถวายเป็นพุทธบูชา ครั้นมาถึงบริเวณผาหินกิ่ว (หรือดินจี่) ได้มองเห็นหินก้อนใหญ่ชะโงกงำตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชัน และมีลักษณะคล้ายกับเจดีย์พระอินทร์แขวนในประเทศพม่า จึงได้ทำการก่อสร้าง เมื่อสร้างเสร็จแล้วได้นำพระสารีสริกธาตุบรรจุไว้ในองค์เจดีย์ พร้อมกับพระพุทธรูปทองคำจำนวน 5 องค์

พระธาตุหินกิ่วดอยดินจี่ ตั้งอยู่บนชะง่อนผาสูง มองลงมาข้างล่างจะเห็นแม่น้ำเมยและทิวทัศน์ในเขตประเทศพม่าชัดเจน เพราะอยู่ใกล้กัน หินที่อยู่บนดอยนี้มีลักษณะสีดำหรือสีนำตาลไหม้ จึงเรียกว่า "พระธาตุดอยดินจี่" ซึ่งหมายถึงดินที่ไฟไหม้ ในราวเดือนกุมภาพันธ์ ชาวอำเภอแม่สอด และพม่าจะมีงานนมัสการพระธาตุหินกิ่วดอยดินจี่นี้ทุกปี

นอกจากนี้บริเวณวัดพระธาตุหินกิ่วดอยดินจี่ ยังมีสิ่งสำคัญคือ เรือโบราณพบเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2539 โดยชาวบ้านวังตะเคียน ได้ช่วยกันกู้ขึ้นมาเก็บรักษาไว้ที่เชิงดอยดินกี่ เป็นเรือที่ขุดจากไม้ซุงทั้งต้น ขนาดของเรือกว้าง 126 เมตร ยาว 13.35 เมตร สูง 0.52 เมตร หนา 0.04 เมตร ส่วนหัวเรือและท้ายเรือ มีความยาวเท่ากัน (ประมาณ 1.20 เมตร) ภายในเรือมีช่องสำหรับสอดไม้กระดานเพื่อทำเป็นที่นั่งจำนวน 4 ช่อง มีระยะห่างไม่เท่ากัน จากรูปและขนาดของเรือ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเรือที่ใช้ในการขนส่งอาหารหรือสินค้าระหว่างทั้งสองฝั่งแม่น้ำเมย มีอายุประมาณ 200 ปี

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ 7 อย่าง

1. พระพุทธรูปพระพักตร์งามภายในถ้ำฆ้องถ้ำกลอง เป็นพระพุทธรูปที่ใบหน้างามที่สุดในโลก สร้างแบบศิลปพม่า ประดิษฐานอยู่ในถ้ำฆ้องถ้ำกลอง ชื่อถ้ำมาจากเมื่อโยนหินไปในถ้ำ หินกระทบผนัง จะได้ยินเสียงคล้ายเสียงฆ้องและเสียงกลอง ถัดหลังองค์พระจะเป็นถ้ำพญานาค มีลักษณะใหญ่เรียวเป็นรูเล็กลงจนกระทั่งมุดตามเข้าไปไม่ได้ ลักษณะของถ้ำพญานาคก็คือ มีน้ำซึมไหลออกตลอดปี เพราะนาคขาดน้ำไม่ได้ หากจะเข้าถ้ำพญานาค ควรมีไฟฉายมาด้วย เมื่อเดินขึ้นมานมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นี่ จะต้องเดินผ่านถ้ำฆ้องถ้ำกลองก่อน ความสูงนับระยะทางเป็นบันไดได้ 283 ขั้น

2. พระธาตุหินกิ่ว (พระธาตุหินพระอินทร์แขวน) ตั้งอยู่เชิงหน้าผา ห่างจากถ้ำฆ้องถ้ำกลองมาทางด้านซ้ายมือประมาณ 300 เมตร ความสูงอยู่ประมาณกึ่งกลางของดอยดินจี่ พระธาตุจะประดิษฐานอยู่บนหินกิ่วที่มีลักษณะคล้ายกับพระธาตุอินทร์แขวนที่ประเทศพม่า ข้าง ๆ องค์พระเจดีย์จะมีรูปปั้นเทพารักษ์หลายองค์ศิลปะแบบพม่าและไทยใหญ่ ใกล้ ๆ กับพระธาตุจะมีศาลาให้พุทธศาสนิกชนพักเหนื่อยและสำหรับสวดมนต์

3. เจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่เกือบชั้นบนสุดของยอดดอย ระยะความสูงจากด้านล่างนับเป็นขั้นบันไดได้ 413 ขั้น แต่ถ้าเดินจากถ้ำฆ้องถ้ำกลองก็เดินอีกแค่ 130 ขั้นเท่านั้น ภายในเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ของมีค่า เงินรูปี เหรียญตรา และพระพุทธรูปทองคำ 5 องค์ ที่ผู้สร้างนำติดตัวมาจากประเทศพม่า ต่ำลงมาอีกนิดจะเป็นรอยเท้าคนมีบุญหรือรอยเท้าพระอรหันต์

4. รอยเท้าพระอรหันต์ หรือรอยเท้าคนมีบุญ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นรอยเท้าพระอรหันต์องค์ใดองค์หนึ่งมาประทับเอาไว้ให้อนุชนรุ่นหลังสักการะบูชา เพราะคนธรรมดาจะไม่สามารถเหยียบหินแล้วให้เป็นรอยแบบนี้ได้ ในปัจจุบันชาวบ้านได้สร้างตู้กระจกครอบรอยเท้าเอาไว้แล้ว เพื่อป้องกันการชำรุด

5. พระพุทธรูปปางลีลา เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ระหว่างทางขึ้นดอย ด้านหน้าองค์พระเป็นบันไดนาคราช 2 ตัวทอดยาวต้อนรับผู้ที่จะเดินขึ้นมานมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ด้านขวามือขององค์พระเป็นรูปปั้นคนสร้างพระธาตุนี้ขี่ม้าคือนายพะส่วยจาพอ

6. เมืองลับแล ถัดจากรอยเท้าพระอรหันต์และเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุมาที่จุดสูงสุดของดอย จะเป็นปากทางเข้าเมืองลับแล บรรยากาศและต้นไม้จะแปลก ๆ ไม่เหมือนป่าทั่วไป ผู้มีสัมผัสที่ 6 (Sixth Sence) จะรู้ได้ การขึ้นมาทำบุญสิ้นสุดเพียงเท่านี้ เพราะถัดจากนี้ไปจะเข้าสู่เขตเมืองลับแล ไปแล้วอาจไม่ได้กลับมา

7. เรือโบราณ 200 ปี เรือลำนี้ในอดีตแล่นอยู่ในแม่น้ำเมย รับส่งสินค้าแก่ประชาชนสองฟากฝั่ง ต่อมาในระหว่างสงครามถูกทำให้จมน้ำเพื่อซ่อนไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามใช้ประโยชน์ ด้วยความหวังว่าเมื่อผ่านสงครามแล้วจะกู้ขึ้นมาอีก แต่โชคร้ายคนเหล่านั้นตายหมด เรือก็เลยจมน้ำมานับร้อยปี แต่เรือทุกลำก็มีแม่ย่านางอยู่ เมื่อถึงเวลาอันสมควร แม่ย่านางก็ไปดลใจให้คนไปพบและกู้ขึ้นมา ปัจจุบันชาวบ้านไม่ได้ใช้ประโยชน์จากเรือลำนี้เหมือนเดิมแล้ว

ข้อมูลโดย : สำนักงานจังหวัดตาก ศาลากลางจังหวัดตาก
อ.เมือง จ.ตาก 63000 โทร. 0-5551-1503
ต่อ 23620 โทรสาร 0-5551-1503 ต่อ 23666
tak@moi.go.th หรือ datatak@hotmail.co.th




 

Create Date : 30 มิถุนายน 2554    
Last Update : 30 มิถุนายน 2554 8:37:09 น.
Counter : 1524 Pageviews.  

หลงเสน่ห์เมืองแห่งสายน้ำที่ "สังขละบุรี"



ำเภอสังขละบุรี คือ จุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดกาญจนบุรี โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่รักการเที่ยวชมธรรมชาติและวิถีชีวิตของผู้คนในแบบชนบท แน่นอนว่าที่อำเภอสังขละบุรีนั้นจะสร้างความประทับใจให้คุณได้ไม่รู้ลืม...

     เมืองสังขละบุรี ดินแดนที่ได้รับการขนานนามให้เป็น เมืองแห่งสายน้ำ ขุนเขา และผืนป่าอันอุดม ... ดังคำขวัญของอำเภอสังขละบุรีที่ว่า "สะพานไม้ ด่านเจดีย์ นทีสามประสบ มรดกทุ่งใหญ่ ไทยกะเหรี่ยงรามัญ สารพันธรรมชาติ อภิวาทหลวงพ่ออุตตมะ เมืองสังขละชายแดน สุดแคว้นตะวันตก"...

     นอกจากนี้แล้ว อำเภอสังขละบุรี ยังเป็นอำเภอที่ติดต่อกับชายแดนพม่า ห่างจากตัวเมืองประมาณ 215 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากอำเภอทองผาภูมิ 74 กิโลเมตร เส้นทางนี้จะตัดผ่านภูเขาเลียบทะเลสาบเขื่อนเขาแหลม มองเห็นทัศนียภาพที่งดงามของอำเภอสังขละบุรี

     ซึ่งมีชาวมอญอาศัยตั้งบ้านเรือนอยู่เป็นจำนวนมาก ตัวอำเภอตั้งอยู่บริเวณที่เรียกว่า "สามประสบ" คือบริเวณที่ลำน้ำสามสาย อันได้แก่ ห้วยซองกะเลีย ห้วยบิคลี่ และห้วยรันตี ไหลมาบรรจบกันเป็นแม่น้ำแควน้อย...นั่นเอง

 

ภาพโดย :  การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาคภาคกลาง







 

Create Date : 29 มิถุนายน 2554    
Last Update : 29 มิถุนายน 2554 8:39:24 น.
Counter : 1736 Pageviews.  

ยลโฉมความงาม โบสถ์แม่พระบังเกิด

อาสนวิหารแม่พระบังเกิด

โบสถ์แม่พระบังเกิด (ททท.)

ข้าง ๆ ตลาดบางนกแขวกตรงข้ามฝั่งคลองชนิดตะโกนก็พอได้ยินถึงกัน เป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของคริสต์ชน นั่นก็คือ อาสนวิหารแม่พระบังเกิด (The Nativity of Our Lady, Cathedral) ซึ่งถ้าใครได้เห็นก็คงชื่นชมในความสูงใหญ่อลังการ ไม่เว้นแม่กระทั่งคริสต์ชนด้วยกันเอง

โบสถ์แห่งนี้ตั้งอยู่ใน "วัดแม่พระบังเกิด" หมู่ที่ 7 ตำบลบางนกแขวก ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2393 ส่วนอาสนวิหารได้ถูกสร้างขึ้นภายหลังในปี พ.ศ. 2433 (ค.ศ. 1890) โดยดำริของ บาทหลวงเปาโลซัลมอน มิชชันนารีชาวฝรั่งเศส ได้รับทุนสนับสนุนจากญาติพี่น้องของท่านในประเทศฝรั่งเศส คณะมิซซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีส กรุงโรมและผู้ใจบุญในกรุงเทพฯใช้เวลาสร้างถึง 6 ปี

เพื่อให้เพียงพอต่อการรองรับสัตบุรุษที่นับวันจะทวีจำนวนมากขึ้น อีกทั้งเพื่อให้เป็นสถานที่สำหรับประกอบพิธีทางศาสนาอื่น ๆ อาสนวิหารหลังนี้ทำพิธีเสก และเปิดใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2439 ก่อนยุค แดง ไบเล่ 60 ปี

อาสนวิหารแม่พระบังเกิด

ตัววิหารเป็นศิลปะแบบโกธิคที่สร้างด้วยอิฐเผา ผนังฉาบด้วยปูนตำกับน้ำเชื่อมประสานจากอ้อยใสสีดำ ประดับตกแต่งด้วยกระจกสีชนิด Stain Glass จากฝรั่งเศส ในเรื่องราวของพระนางมารีย์พรหมจรรย์จากพระคัมภีร์ และภาพของนักบุญชายหญิงที่สวยงามมาก ภายในกว้างขวางและตกแต่งอย่างยิ่งใหญ่มโหฬาร ประดับด้วยภาพกระจกสีสวยงดงาม มีรูปปั้น ธรรมาสน์เทศน์ อ่างล้างบาป ขาเทียนลักษณะต่าง ๆ และรูปแกะสลักบรรยายเกร็ดประวัติ ในพระคัมภีร์คริสตศาสนา นับเป็นโบสถ์ที่มีความสวยงามไม่ไกลจากริมฝั่งแม่น้ำ

เพราะประวัติการก่อสร้างที่ยาวนานกว่าร้อยปี และการก่อสร้างยังประดับตกแต่งอย่างอลังการ ทำให้อาสนวิหารพระแม่บังเกิดที่บางนกแขวกแห่งนี้ ได้ชื่อว่าเป็นวัดที่สวยงาม และเก่าแก่ที่สุดของชาวคาธอลิกในประเทศไทย หากจะเดินทางมาเยี่ยมชมอาสนวิหารพระแม่บังเกิด ก็อย่ามาในวันจันทร์และอังคาร เพราะจะมีการทำพิธีสำคัญเป็นประจำ และอย่าลืมว่าต้องแต่งกายสุภาพเรียบร้อยเท่านั้น!

อาสนวิหารแม่พระบังเกิด

การเดินทาง

ไปตามเส้นทางสายสมุทรสงคราม-บางนกแขวก (เส้นทางเดียวกับอุทยาน ร.2) เข้าไปประมาณ 100 กิโลเมตร อาสนวิหารแม่พระบังเกิดอยู่เลยแยกสะพานสมเด็จพระอัมรินทร์ไปประมาณ 100 เมตร





ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก




 

Create Date : 28 มิถุนายน 2554    
Last Update : 28 มิถุนายน 2554 8:30:06 น.
Counter : 1749 Pageviews.  

หลงกรุง (กรุงเทพ เมืองจักรยาน?) 26 มิถุนายน 2554







 

Create Date : 27 มิถุนายน 2554    
Last Update : 27 มิถุนายน 2554 7:41:39 น.
Counter : 1337 Pageviews.  

ส่องนกชายเลน ณ โคกขาม

นาเกลือ

โคกขาม (ททท.)

"แหล่งดูนกชายเลนโคกขาม" ไม่ใช่ชื่อที่คุ้นหูนักท่องเที่ยวทั่วไปมากนัก แต่สำหรับนักดูนกระดับจริงจังแล้วจะรู้จักกันดี ในอดีตนั้นอาจจะต้องใช้ความพยายามสักหน่อย หากจะเดินทางมาเฝ้าดูนกที่นี่ เพราะถนนหนทางยังไม่สะดวกสักเท่าไหร่

ผู้คนในพื้นที่นี้มีการทำนาเกลือกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ชนิดที่คนไม่เคยมาก็อาจจะตื่นตา ว่ามีเมืองผลิตเกลือขนาดใหญ่ซ่อนอยู่ในนี้ด้วย ซึ่งในการทำนาเกลือนั้นก็จะต้องมีการนำน้ำทะเลมาใช้ในการผลิต โดยต้องถ่ายเทลงในผืนนาเกลือตื้นเขินกว้างใหญ่ และแน่นอนว่าในน้ำทะเลเหล่านั้น ก็มีสารพัดอาหารของบรรดานกมีปีก ที่จะร่อนลงมาเดินท่องน้ำหาเลี้ยงปากท้อง ในสไตล์บุฟเฟต์คอกเทลล์ ส่งผลให้พื้นที่แห่งนี้ เป็นสถานที่ชุมนุมของเหล่านกที่ถูกจัดให้เป็น "นกชายเลน" ไปโดยปริยาย

เมื่อมีปริมาณนกชายเลนเป็นจำนวนมาก ชาวบ้านที่นี่จึงได้จัดตั้ง "ชมรมอนุรักษ์นกชายเลน"ขึ้นมาเพื่อช่วยปกป้องดูแลนกเหล่านั้น ไม่ให้ถูกเบียดเบียน เพราะเชื่อว่าหากหนึ่งในสภาพแวดล้อมอย่างนกถูกทำลาย ชาวนาเกลือทั้งหลายก็ต้องมีส่วนร่วมเดือดร้อนด้วยเป็นแน่แท้ ซึ่งในกิจการนี้ก็ได้รับความร่วมมือจากทางการจัดพื้นที่ เพื่อทำโครงการวิจัยและฟื้นฟูสภาพป่าชายเลนขึ้น ที่ริมทะเลภายใต้ชื่อ "ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลชายฝั่ง"

นาเกลือ

โดยการปักท่อนไม้ไผ่นับหมื่นนับแสนลงในบริเวณผืนโคลนริมทะเล เพื่อทำเป็นกำแพงชะลอแรงปะทะของคลื่น ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับป่าชายเลนเป็นอย่างมาก และในขณะเดียวกัน ก็ทำการปลูกพืชป่าชายเลนอย่างโกงกางและแสมขึ้นทดแทน ราวกับรู้ว่าได้รับการปกป้อง บรรดานกชายเลนหลากหลายสายพันธุ์ จึงพากันมาสร้างครอบครัวขึ้นในบริเวณนี้ อีกทั้งนกอพยพในช่วงท้ายปี ที่หนีหนาวลงมาจากส่วนบนของโลก ก็พากันแลนดิ้งลงจอดกันที่นี่ปีละไม่น้อย ทำให้พื้นที่บริเวณนี้เต็มไปด้วยนกชายเลนนานาชนิด จนนับกันไม่หวาดไม่ไหว

และที่น่าตื่นเต้นยินดีก็คือ "นกชายเลนปากช้อน" ซึ่งมีหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู (แต่หาเอ็นดูได้ยากสักหน่อยเพราะว่ากันว่าเหลือน้อยเต็มที) ก็มีรายงานยืนยันการพบเห็นที่โคกขามแห่งนี้อยู่ประปราย บางทีก็เจอสองสามตัว โชคดีหน่อยก็อาจจะได้เจอฝูงย่อม ๆ เดินเอาปากจุ่มน้ำคอยดักช้อนอาหารใส่ท้อง ถ้าอยากเห็นก็ต้องลองมาลุ้นช่วงปลายปีย่างเข้าฤดูหนาวนู่นแหละจึง (อาจ) จะได้เจอกัน

ที่น่าตื่นเต้นอีกอย่างหนึ่งก็คือ มีรายงานการพบเห็น "โลมาอิรวดีมา" เพ่นพ่านอยู่ในน้ำตื้นบริเวณนี้บ่อย ๆ จนกระทั่งได้สมญานามว่า "ไอ้ตัวโดด" เพราะบางครั้งมันก็โดดขึ้นเหนือผิวน้ำ เหมือนกับที่เราเห็นในทีวีนั่นเลยเชียว

นาเกลือ

ข่าวคราวของร้านรวงประเภทซีฟู๊ด และที่พักค้างคืนริมป่าชายเลนในบริเวณนี้ ก็เริ่มมีมากขึ้นทีละน้อย เราจึงได้เห็นร้านอาหารประเภทนั้นอยู่บ้างแม้ว่าจะดูเงียบ ๆ แต่ก็คงจะเป็นสัญญาณเริ่มต้นว่า ในอนาคตอันใกล้ก็น่าจะมีการพัฒนาพื้นที่บริเวณนี้ ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวชายฝั่งแห่งใหม่ใกล้กรุง

ถ้าเป้าหมายหลักคือ "นก" ละก็ อย่าลืมว่าหน้าหนาวเท่านั้นจึงจะคึกคัก ฤดูอื่น ๆ ก็มีบ้างแต่ไม่มากมายเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเป็นนกประเภทประจำถิ่นอย่าง กาน้ำ ปากห่าง กระยาง เป็ดผี ตีนเทียน ฯลฯ วันไหนแดดดี นกเหล่านี้ก็จะออกมาร่อนโชว์ศักยภาพให้ชม ต่อเมื่อฤดูหนาวมาเยือน ที่แห่งนี้ก็แทบจะเป็นตลาดนัดของนกชายเลนไปเลยทีเดียว

ต้องคอยติดตามดูพัฒนาการของ "โคกขาม" กันต่อไป แบกกล้องมาส่องนกแล้วฝากท้องที่ร้านซีฟู๊ดริมทะเลแถวนั้น เผลอ ๆ นอนเล่นดูดาวบนราวป่าชายเลนสักหนึ่งคืน มันก็คงจะดีอยู่ไม่น้อย ใครเล่าจะรู้? คู่แข่งของบางปูแห่งใหม่อาจจะกำลังตั้งไข่อยู่ที่นี่ก็เป็นได้...ตั้งไข่อยู่บน "นาเกลือ" ซะด้วย!





ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก




 

Create Date : 26 มิถุนายน 2554    
Last Update : 26 มิถุนายน 2554 10:41:31 น.
Counter : 1518 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.