ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 

สามพันโบก มหัศจรรย์ธรรมชาติ อุบลราชธานี

บางจากทักทาย

สวัสดีครับ แฟนๆ ที่ติดตามไกด์บางจากมาโดยตลอด ระยะนี้แฟนๆหลายท่านอาจได้รับผลกระทบจากอุทกภัยกันมากน้อยต่างกัน แต่ถึงอย่างไรก็ตามบางจากขอเอาใจช่วยให้ทุกท่านผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้โดย สวัสดิ์ภาพนะครับ
แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม บางจากก็ยังจะขอทำหน้าที่ไกด์นำพาทุกท่านท่องเที่ยวสถานที่ใหม่ๆในประเทศไทย กันอย่างต่อเนื่องเหมือนเดิม ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ถ้าพร้อมแล้วไปกันเลย...

สถานที่แรกที่บางจากภูมิใจเสนอให้เป็นอีก หนึ่งในตัวเลือกสำหรับผู้ที่อยากจะหลีกหนีจากภาพบรรยากาศสังคมเมืองที่เต็ม ไปด้วยสิ่งปลูกสร้างและความวุ่นวายเพื่อมาสัมผัสและชื่นชมกับศิลปะที่ ถูกรังสรรค์ขึ้นโดยธรรมชาติล้วนๆ ต้องที่นี่เลยครับ "สามพันโบก" กับการขนานนามให้เป็นแกรนด์แคนยอนแห่งแดนอีสาน ซึ่งอยู่ที่ จ.อุบลราชธานี นี้เอง


สามพันโบก เรียก ได้ว่าเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาตามธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในลำน้ำโขง ซึ่งในบริเวณเดียวกันยังมีสถานที่ที่ชาวบ้านเรียกว่า "แกรนแคนยอนน้ำโขง" อันเกิดจากการกัดเซาะของน้ำหลายพันปีจนเกิดเป็นร่องน้ำขนาดใหญ่ด้วยความสูง ประมาณ 3-7 เมตร และกว้างประมาณ 20 เมตร แก่งหินสามพันโบก เป็นกลุ่มหินทรายแนวเทือกเขาภูพานตอนปลายที่ทอดตัวยาวริมฝั่งโขงไทยและลาว โดยคุ้งน้ำริมฝั่งโขงบริเวณนี้เป็นกลุ่มหินที่เรียงตัวทอดยาวเป็นสันดอนขนาด ใหญ่บนพื้นที่กว่า 30 ตารางกิโลเมตร ซึ่งมีผาหินบริเวณโค้งด้านหน้ารับแรงน้ำที่ไหลจากตอนบนจนก่อเกิดประติมากรรม ธรรมชาติที่งดงาม

จุดเด่นที่น่าสนใจคือ "โบก" อัน เกิดจากกระแสน้ำได้พัดพาก้อนกรวด หิน ทราย และเศษไม้ กัดเซาะขัดแผ่นหินทรายให้เกิดเป็นหลุมแอ่ง ที่มีขนาดเล็กๆจนถึงขนาดใหญ่เป็นจำนวนมาก หินบางก้อนถูกกัดกร่อนคล้ายงานแกะสลักเป็นรูปสัตว์ รูปหัวใจ หรือที่โดดเด่นที่สุดคือรูปมิกกี้เมาส์ตัวการ์ตูนชื่อดังระดับโลกสุดน่ารัก ที่ใครๆได้เห็นเป็นต้องเข้ามาถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึกกันทุกคน ไม่เพียงเท่านี้ยังมีงานแกะสลักจากธรรมชาติจากโบกอีกมากมายให้ได้จินตนาการ ตามอย่างไม่รู้เบื่อ จนสถานที่แห่งนี้ถูกขนานนามว่า สามพันโบก ยังไงล่ะครับ

"แก่งสามพันโบก" เป็นแก่งหินที่อยู่ใต้ลำน้ำโขงในช่วงฤดูน้ำหลาก ประมาณเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคม และจะโผล่พ้นน้ำอวดความงามให้พวกเราเยี่ยมชม ได้ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงมิถุนายนของทุกปีครับ

สามพันโบก อยู่ห่างจากจังหวัดอุบลราชธานีประมาณ 120 กิโลเมตร ตามทางหลวงอุบล - ตระการ - โพธิ์ไทร การเดินทางไปเที่ยวชมทำได้ 2 ทางคือ ทางเรือ ซึ่งนิยมนั่งเรือจากหาดสลึงที่บ้านปากกะกลาง ต.สองคอน ล่องตามลำน้ำโขงด้วยระยะทาง 4 กิโลเมตร โดยระหว่างทางจะผ่าน "ปากบ้อง" จุดแคบที่สุดของแม่น้ำโขง หาดสลึง หินหัวพะเนียง เป็นแก่งหินกลางแม่น้ำที่ทำให้แม่น้ำโขงแยกออกเป็นสองสาย หรือสองคอนในภาษาท้องถิ่น จึงเป็นที่มาของชื่อบ้านสองคอนและสามพันโบก ศิลาเลข หาดหงส์ หรือ ทางรถ ก็สามารถขับรถไปที่นั่นเพื่อชมความงามได้เลย เพราะที่สามพันโบกรถสามารถเข้าไปจอดที่นั่นได้เลยครับ




 

Create Date : 08 ธันวาคม 2554    
Last Update : 8 ธันวาคม 2554 8:19:41 น.
Counter : 2139 Pageviews.  

สูด ‘โอโซน‘ เติมพลังที่ ‘วังน้ำเขียว‘

บรรยากาศสบายๆ อย่างนี้จะมีอะไรน่าทำมากไปกว่า การชวนชาวคู่หูเดินทางหนีเที่ยวส่งท้ายปลายปีล่ะ(ฮ่า..) แต่ก็เป็นเรื่องชวนปวดหัวมิใช่น้อยว่าทริปสุดท้ายแห่งปีเช่นนี้ เราจะชวนคุณไปเที่ยวที่ไหนดี? อืม..ใช่ มันต้องไม่ธรรมดา ต้องไม่ไกลเกินเสียงเพรียกของหัวใจ ที่สำคัญบรรยากาศต้องชิลล์และวี๊ดวิ่วสุดๆ..เอาล่ะ! สรุปทุบโต๊ะเปรี้ยงให้ดังไปถึงห้องคุณ บก. เลยว่า ฉบับนี้เราจะพาแฟนๆ คู่หูเดินทางหนีเที่ยวไปสูดโอโซนกันให้ชุ่มฉ่ำใจรับปีใหม่กันที่ 'วังน้ำเขียว' สวิสเซอร์แลนด์แดนข้าวเหนียว เอ้ย..แดนอีสานนั่นเอง...


‘วังน้ำเขียว' เป็นอำเภอเล็กๆ ในท่ามกลางโอบล้อมของผืนป่ามรดกโลก อย่างอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่และอุทยานแห่งชาติทับลาน อำเภอวังน้ำเขียววางตัวอยู่ทางด้านทิศใต้ของจังหวัดนครราชสีมา เดิมมีฐานะเป็นกิ่งอำเภอขึ้นอยู่กับอำเภอปักธงชัย แต่ภายหลังได้แยกออกมาตั้งเป็นอำเภอใหม่ มีเขตการปกครองทั้งสิ้น 5 ตำบล คือ ตำบลวังน้ำเขียว, ตำบลไทยสามัคคี, ตำบลอุดมทรัพย์, ตำบลวังหมี และตำบลระเริง ที่มาของชื่อวังน้ำเขียวว่ากันว่า มาจากสภาพภูมิประเทศแต่เดิมที่มีวังหรือบึงน้ำขนาดใหญ่อยู่มากมาย ในวันที่ท้องฟ้าเปิดอากาศดี ชาวบ้านและคนต่างถิ่นที่มาเยี่ยมเยือน มักได้เห็นเงาสีเขียวสดใสของแมกไม้สะท้อนวูบไหวอยู่บนผิวน้ำตามวังต่างๆ เป็นที่น่าประทับใจ จึงพากันเรียกแผ่นดินในละแวกนี้เสียใหม่ว่า.. วังน้ำเขียว

ระยะหลังเมื่อกระแสการท่องเที่ยวของอำเภอนี้ได้รับความ นิยมมากขึ้น นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติที่รู้สึกประทับใจในภูมิประเทศ และสภาพอากาศที่มีความหนาวเย็นตลอดทั้งปีของที่นี่ จึงได้ขนานนามให้พื้นที่แห่งนี้เปรียบเสมือนสวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย หรือที่เรียกกันติดปากกันต่อมาในภายหลังว่า 'สวิสเซอร์แลนด์แดนอีสาน' นั่นเอง และยิ่งเมื่อได้มีการค้นพบเฟิร์นชนิดใหม่ในบริเวณพื้นที่ ‘สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมเขาสะแกราช' อันเป็นแหล่งสงวนชีวมณฑลสำคัญแห่งหนึ่งของโลก โดยปกติเฟิร์นชนิดดังกล่าวจะสามารถพบเห็นได้ เฉพาะบริเวณพื้นที่ที่เป็นแหล่งโอโซนในระดับสูงเท่านั้น นั่นจึงยิ่งเป็นการตอกย้ำภาพของบรรยากาศอันแสนพิสุทธิ์ และเป็นเอกลักษณ์ของวังน้ำเขียวได้เป็นอย่างดี

เราออกเดินทางกันอีกครั้งหลังจากคาเฟอีนในส่วนผสมที่กลมกล่อม จากร้านแกแฟน่ารักๆ นาม 'Khuntoi Coffee' แห่ง วังน้ำเขียว อวดอานุภาพพอฟัดพอเหวี่ยงกับแสงแดดยามสาย เนวิเกเตอร์คนเดิมวาดนิ้วลงบนจุดเล็กๆ ของแผนที่ มันคือเส้นทางที่จะนำเรามุ่งหน้าสู่ 'ตำบลไทยสามัคคี' ซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่งที่เราน่าจะพาหัวใจไปอาบไอสุขจากสถานที่เหล่านั้น จุดหมายแรกของทริปนี้คือ ‘ศูนย์กลางจำหน่ายเบญจมาศตัดดอก' ที่ ขับรถจากปากทางไทยสามัคคีเข้ามาประมาณ 2 กิโลเมตร ดอกเบญจมาศที่นี่ปลูกโดยเกษตรกรที่อยู่ในเขตหมู่ที่ 5 ละแวกหลัง 'วัดบุไผ่' ของตำบลไทยสามัคคี ทุกๆ เช้าชาวบ้านจะนำผลผลิตของตนมาจำหน่ายกันที่นี่ ซึ่งมีมากมายถึง 40 สายพันธุ์ โดยจะมีการคัดแยกเป็นกลุ่มดอกสีขาว สีเหลือง สีแดง สีม่วง สีส้ม และสีชมพู ซึ่งชาวบ้านจะแยกกันปลูกในที่ทางของตัวเอง โดยแบ่งเป็นแปลงๆ ตามสีสันของดอก นักท่องเที่ยวสามารถแวะชมและเลือกหาดอกไม้ที่ถูกใจติดไม้ติดมือกลับไปได้ แน่นอนล่ะว่าเมื่อเจอกับทุ่งดอกไม้ละลานตาเช่นนี้ เราก็ไม่พลาดที่จะจอดรถลงไปขอชาวบ้านเก็บภาพสวยกลับไปฝากกันเช่นเคย

จากย่านแปลงดอกเบญจมาศเราขับรถไปตามเส้นทางสู่หมู่ที่ 6 เพื่อไปยังจุดชมวิว ‘ผาชมตะวัน' อัน เป็นลักษณะของชะง่อนผาที่ยื่นล้ำออกไปในอากาศ เท่าที่ยืนดูไกลๆ ชะง่อนผาแห่งนี้ น่าจะสร้างอาการเสียวสันหลังให้กับกลุ่มนายแบบ-นางแบบ ที่ร่วมทริปมากับเราได้ไม่น้อยเลยทีเดียว!?! จุดชมวิวแห่งนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของผืนป่า ที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติทับลานได้ไกลสุดลูกหูลูกตา อีกทั้งฤดูฝนบางช่วงยังสามารถมองจากหน้าผาลงไปชม ‘น้ำตกสวนห้อม' ที่ซุกซ่อนอยู่ในหุบเขาเบื้องล่างได้อีกด้วย สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ หากพอมีเวลาสามารถใช้หน้าผาแห่งนี้เป็นจุดถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกได้อย่างงดงาม ทีเดียว

จากผาชมตะวันเราขับรถออกมาตามเส้นทางเดิมสู่ถนนสายหลัก (304) และเลี้ยวซ้ายย้อนกลับไปที่ซอยเทศบาล 4 บริเวณตลาดสดศาลเจ้าพ่อ (ตลาด 79) จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าไปทาง 'วัดสวนห้อม' ตามป้ายบอกทางที่จะไป ‘น้ำตกห้วยใหญ่' ซึ่งอยู่ในพื้นที่หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติทับลาน ทล.3 (ห้วยใหญ่) ณ จุดนี้เป็นที่ตั้งของน้ำตกขนาดกลางความสูงประมาณ 50 เมตร กว้างประมาณ 30 เมตร หน้าผาตรงบริเวณที่เป็นน้ำตกตีวงโค้งเป็นมุมเกือบ 150 องศา มีชั้นต่างๆ ลดหลั่นกันลงไปอีก 5 ชั้น ก่อนที่จะไหลตามแนวป่าลงไปกลายเป็นน้ำตกสวนห้อมที่บอกไว้เมื่อสักครู่ จากน้ำตกห้วยใหญ่เราเดินเท้าตามป้ายบอกทางเข้าไปอีกประมาณ 100 เมตร ก็ถึง ‘น้ำตกม่านฟ้า' ซึ่งมีความสวยงามไม่แพ้กัน สายน้ำที่ไหลเอ่อมาจากลำธารเบื้องบนเกือบ 20 เมตร ค่อยๆ ทิ้งตัวลงมาเป็นสายคล้ายดั่งม่านน้ำสร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือนจนหาย เหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง

เวลาครึ่งค่อนวันแรกส่วนใหญ่ของเราสุรุ่ยสุร่ายไปกับการละเลียดละไมธรรมชาติ อย่างกับคนที่โหยหากันมานานแรมปี เพื่อนบางคนจมจ่อมอยู่กับการจดบันทึก และสเก็ตภาพร่างธรรมชาติรอบๆ ตัว บ้างเดินหามุมถ่ายภาพอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง และบ้างสนุกอยู่กับการแช่เท้าในลำธารอย่างไม่รู้จักเบื่อยหน่าย แตที่คล้ายกันดูเหมือนจะมีเพียงประการเดียวนั่นคือ เราต่างอยากตักตวงบรรยากาศแห่งความสุขนี้ไว้ให้มากที่สุด

เลยจากปากซอยตลาดสดศาลเจ้าพ่อ (ตลาด 79) มาไม่ไกลเราหักพวงมาลัยรถเลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวงชนบทหมายเลข 3052 ที่มุ่งหน้าสู่ ‘เขาแผงม้า' แหล่ง ศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่าชั้นดีแห่งหนึ่งของเมืองไทย ทว่าทริปนี้ด้วยระยะเวลาที่มีอยู่ไม่มากมายนัก เราคงไม่สามารถแวะเข้าไปทักทายฝูงกระทิงแห่งเขาแผงม้าได้อย่างที่ตั้งใจแต่ แรก เพื่อนร่วมทางหลายคนโหวตเสียงของตัวเอง จนได้คะแนนข้างมากว่าเวลาที่เหลืออยู่อีกไม่กี่ชั่วโมงก่อนอาทิตย์จะลับขอบ ฟ้า บางทีการเลือกที่จะปิดแอร์ เปิดกระจกรถ แล้วหาเพลงดีๆ สักอัลบั้มใส่ลงไปในเครื่องเล่น จากนั้นก็ค่อยๆ ปล่อยให้แรงโน้มถ่วงจูงรถของพวกเราให้แล่นละเลียดไปตามลอนโค้งของถนนสายนี้ นั่นน่าจะเป็นวิธีที่ดีกว่า.. บางทีมันอาจนำเราไปพบกับรีสอร์ตเล็กๆ เก๋ๆ สักแห่งที่บ่งบอกตัวตนของวังน้ำเขียวได้ดีกว่าฟอร์เวิร์ดเมล์ประเภทแนะนำที่ กินที่เที่ยวอย่างที่ฮิตๆ กัน

สำหรับคนที่ชอบบรรยากาศโล่งๆ กว้างๆ มองเห็นทิวเขาเป็นลูกคลื่นสลับไป-มา เราคิดว่าถนนเล็กๆ สายนี้น่าจะเหมาะกับคุณ (มาก..) เพราะสิ่งที่คุณชอบเหล่านั้น มันได้ถูกจัดเรียงอย่างไม่เป็นระเบียบสลับกับร้านกาแฟน่ารักๆ ที่เห็นแล้วแทบอยากจะจอดลงไปนั่งจิบฟองคาปูชิโนเสียทุกร้านไป กับรีสอร์ตฮิพๆ เฮ้าส์ๆ หลากหลายรูปแบบ บางทีหากเราจะสารภาพว่าระยะทางแค่ประมาณ 25 กิโลเมตร จากปากทาง (304) มาจนถึงจุดพักรถของทางหลวงชนบทนั้น เราใช้เวลาเดินทางยาวนานกว่า 3 ชั่วโมง!?! นั่นอาจจะเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยยืนยันได้อย่างชัดเจนว่า ที่กล่าวมาข้างต้นไม่ได้เว่อร์เกินจริง เราเชื่อว่า.. คุณเองก็คงทำใจลำบากหากต้องทิ้งภาพอันงดงามของทุ่งข้าวโพดสีเหลืองอร่าม ฟาร์มองุ่นเขียวสดชื่นสบายตา และอ่างเก็บน้ำแสนโรแมนติกเหล่านั้นไว้เบื้องหลัง เพียงเพื่อแลกกับความเร็วของรถเพียงแค่ 60-70 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่จะเพื่ออะไร??

อันที่จริงถนนสายนี้สามารถพาเราวิ่งไกลไปถึงอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ แต่สำหรับคนที่ปรารถนาจะพาหัวใจมาสัมผัสกลิ่นอายของวังน้ำเขียวจริงๆ เราว่าจากปากทางมาถึงบริเวณกิโลเมตรที่ 25 ก็น่าจะพอเพียงแล้วสำหรับทริปสั้นๆ แบบ 2 วัน 1 คืน เรามั่นใจว่าด้วยเสน่ห์อันหลากล้ำของสิ่งต่างๆ ที่กล่าวเกริ่นถึงก็น่าจะทำให้คุณกับเพื่อนร่วมทางเถียงกันไม่จบแล้วล่ะ ว่า.. กลางวันนี้จะทานอาหารที่ร้านไหนดี--เลือกไม่ถูก รีสอร์ตไหนน่าพักที่สุด--สวยไปหมด หรือแม้กระทั่งจะซื้อของฝากที่ฟาร์มไหนดี--น่ากินไปหมด

แรงโน้มถ่วงของโลกกลมๆ ใบนี้ พารถยนต์ของพวกเรามาจอดนิ่งสนิทอยู่บนลานจอดรถของ 'ภูน้ำอิงฟ้า' รีสอร์ตขนาดกำลังน่ารักทว่าวิวดีและสวยสุดๆ สำหรับพวกเราในทริปนี้ สนามหญ้าที่โล่งกว้างพร้อมม้านั่งหลากอารมณ์ และวิวน้ำจรดฟ้าตรงด้านหน้ารีสอร์ต เป็นคำตอบเอกฉันท์ที่ไม่ต้องเสียแรงโหวตว่าค่ำคืนนี้และเช้าวันพรุ่ง เราจะนอนอาบโอโซนอันดับ 7 ของโลกกันที่นี่.. แสงสุดท้ายของวันทำหน้าที่ฉาบฉายสีสันอุ่นอ่อนลงบนผืนฟ้า และแผ่นน้ำด้านหน้ารีสอร์ตอย่างน่าประทับใจ เพื่อนร่วมแรมทางในทริปนี้พากันมานั่งเบียดกระจุกอยู่ที่ท่าน้ำเล็กๆ หน้ารีสอร์ต สายลมยะเยือกเริ่มทำหน้าที่ของมันแล้ว ใครบางคนกระชับเสื้อกันหนาวแนบร่างก่อนเอ่ย..

"ไม่น่าเชื่อว่าแค่ 200 กว่ากิโลฯจากกรุงเทพฯ จะมีสถานที่แสนวิเศษอย่างนี้ซุกซ่อนอยู่.."

Tips ข้อมูลการเดินทาง

รถยนต์ส่วนตัว
-ทางหลวงหมายเลข 304 กรุงเทพฯ - ฉะเชิงเทรา - กบินทร์บุรี - วังน้ำเขียว ระยะทางประมาณ 225 กม.
-ทางหลวงหมายเลข 305 กรุงเทพฯ - ธัญบุรี - นครนายก - ประจันตคาม - วังน้ำเขียว ระยะทางประมาร 235 กม.
-ทางหลวงหมายเลข 9,1 กรุงเทพฯ - วังน้อย - สระบุรี - มวกเหล็ก - วังน้ำเขียว ระยะทางประมาณ 240 กม.
-ทางหลวงหมายเลข 304 นครราชสีมา - ปักธงชัย - วังน้ำเขียว ระยะทางประมาณ 90 กม.

รถประจำทาง
-กรุงเทพฯ - นครราชสีมา (บขส.ใหม่) ต่อรถที่ท่ารถ บขส.ใหม่ไป อ.วังน้ำเขียว
-กรุงเทพฯ - กบินทร์บุรี (ปราจีนบุรี) ต่อรถจากกบินทร์บุรีไป อ.วังน้ำเขียว
-สอบถามข้อมูลการเดินรถโทร. 1490




 

Create Date : 07 ธันวาคม 2554    
Last Update : 7 ธันวาคม 2554 8:07:52 น.
Counter : 3963 Pageviews.  

เชียงใหม่...หนาวนี้ยังมีเสน่ห์

หากความสุขจะทำให้เรามีพลังและกำลังใจใน การเริ่มต้นชีวิตใหม่ของปี ความสุขที่ว่านี้ก็หาได้ไม่ยากเพราะอยู่เพียงใกล้ๆ ตัวเรา ทางหน้าอกด้านซ้ายไงล่ะ...ใจ ใจ ใจ ทุกอย่างเริ่มต้นที่ใจและจบลงที่ใจ อันนี้คือความสุขที่อยู่ภายในแล้วความสุขภายนอกหละ..จะหาได้ที่ไหน? ก็ไม่ยากเช่นกันการได้เดินทางออกไปท่องเที่ยวแล้วเก็บเกี่ยวเอาเรื่องราวดีๆ มาฝากกัน นั่นแหละเพียงเท่านี้เราก็มีความสุขแล้ว สุขจากการได้ให้(ความสุข)

"ดอกนางพญาเสือโคร่ง"


จังหวัดเชียงใหม่ เป็นจังหวัดซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะแยะมากมาย เที่ยวกันได้ตลอดทั้งปีโดยเฉพาะหน้าหนาวประมาณปลายเดือนตุลาคมถึงเดือน กุมภาพันธ์ ตามยอดดอยต่างๆ อากาศหนาวเย็น ท้องฟ้าแจ่มใสตัดกับสีของดอกไม้เมืองหนาวนานาพันธุ์ มาเที่ยวเชียงใหม่คราวนี้เราโชคดีได้มาเจอ "ดอกนางพญาเสือโคร่ง" ที่เขาเรียกกันว่า "ซากุระเมืองไทย" ที แรกคิดว่าคงต้องใช้พละกำลังเป็นอย่างมากกว่าจะได้ชมดอกพญาเสือโคร่ง แต่พอเอาเข้าจริงเพียงนั่งรถขึ้นบนดอยอินทนนท์เพียงไม่เท่าไหร่ตรงบริเวณ ใกล้ๆ กับที่ว่าการอุทยาน (กม.31) ก็เห็นดอกอะไรสีชมพูสวยจัง มองไปมองมาเอานั่นดอกพญาเสือโคร่งนี่หน่า โอ้! สวยมาก จอดถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันอยู่นาน ดอกนางพญาเสือโคร่งมี ชื่อวิทยาศาสตร์ Prunus cerasoides D.Don เป็นไม้สกุล บ้วยท้อ,ซากุระ จึงได้ชื่อว่าเป็น ซากุระเมืองไทยจะกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติอยู่ในประเทศจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน ป่าที่ระดับความสูง 500-1,500 เมตร ในประเทศไทยนำมาปลุกในเขตป่าต้นน้ำ พื้นที่ปลูกตามหน่วยต้นน้ำในเขตภาคเหนือที่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,000-2,000 เมตร พื้นที่ที่นิยมไปชมดอกนางพญาเสือโคร่ง คือ หน่วยต้นน้ำดอยขุนช้างเคี้ยง ขุนวาง ดอยอินทนนท์ ขุนแม่ยะ ดอยอ่างข่าง จุดชมวิวผ้าห่มปก จะเห็นเป็นดอกได้ก็ต่อเมื่ออุณหภูมิลดต่ำกว่า 20 องศาเป็นต้นไป เมล็ดของมันสามารถเอามาดองทำเหมือนบ๊วยหวานได้ ช่วงที่เริ่มดูดอกพญาเสือโคร่ง ประมาณกลางเดือนธันวาคม - เดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีมีสีขาวและสีชมพู กลีบดอกมี 5 กลีบโดยจะทิ้งใบก่อนออกดอก ช่อหนึ่งบานอยู่ได้ประมาณ 5 วัน ส่วนทั้งต้นจะมีดอกให้เราเห็นได้ประมาณ 20 วัน สามารถโทรสอบถามทางอุทยานฯ ก่อนออกเดินทางไปชม และแล้วปีใหม่ปีนี้ชีวิตของเราก็โรยไปด้วยกลีบดอกนางพญาเสือโคร่ง...

สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์


เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่จะช่วยเหลือชาวเขาซึ่งแต่เดิมมักบุกรุกพื้นที่ป่าไม้เพื่อทำไร่เลื่อนลอย ปลูกฝิ่น ให้มีพื้นที่ทำกินเป็นหลักแหล่ง ส่งเสริมการปลูกพืชทดแทนฝิ่น ถ่ายทอดวิชาความรู้ทางด้านการเกษตรแผนใหม่อันจะเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรให้ สูงขึ้น ปรับปรุงฐานะความเป็นอยู่ของชาวเขาให้ดีขึ้น อีกทั้งป้องกันการบุกรุกทำลายป่าไม้ต้นน้ำลำธารด้วยการทำการเกษตรแบบถาวร ที่นี่ก็มีดอกนางพญาเสือโคร่งเหมือนกัน และก็มีไม้ดอกไม้ประดับเมืองหนาวนานาพรรณ เช่น ดอกพระจันทร์ทรงกลด กุหลาบ เจอบีร่า ไฮเดรนเยีย ดอกกะหล่ำปลีสีขาว สีม่วง สวนเฟิร์น สวนกระบองเพชร ฯลฯ มีงานวิจัยและงานผลิตต่างๆ มากมาย เสียค่าบัตรผ่านประตูท่านละ 20 บาท


ดอยอินทนนท์


เป็นยอดดอยที่สูงที่สุดของแดนสยาม 2,565 เมตร จุดสิ้นสุดของทางหลวงหมายเลข 1009 มีสภาพอากาศหนาวเย็นตลอดปี เป็นที่ตั้งสถานีเรดาร์ของกองทัพอากาศไทยและเป็นที่ประดิษฐานสถูปเจ้าอิน ทวิชยานนท์ เจ้าเมืองเชียงใหม่องค์สุดท้ายซึ่งเล็งเห็นความสำคัญของป่าไม้และหวงแหนดอย หลวงเป็นอย่างมากต้องการที่จะอนุรักษ์ไว้จนชั่วลูกชั่วหลาน ท่านผูกพันกับที่นี่มากจึงสั่งว่าหากสิ้นพระชนม์ไปแล้วให้แบ่งเอาอัฐิส่วน หนึ่งมาไว้ที่นี่อัตราค่าเข้าเยี่ยมชมอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท รถยนต์ 30 บาท รถจักรยานยนต์ 20 บาท


วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร


ใครๆ ที่ได้มาเยือนจังหวัดเชียงใหม่ส่วนใหญ่จะไม่พลาดที่จะขึ้นไปนมัสการพระบรมธาตุที่ วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร กัน ซึ่งวัดพระธาตุดอยสุเทพนี้เป็นปูชนียสถานคู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่นับ ตั้งแต่โบราณกาล ถ้าหากใครไม่ได้ขึ้นไปนมัสการแล้ว ถือเสมือนว่ายังมาไม่ถึงเชียงใหม่ วัดพระธาตุดอยสุเทพตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองเชียงใหม่ ผู้ที่เดินทางมาสักการะที่วัดแห่งนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์เมืองเชียงใหม่ ได้อย่างชัดเจน นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นบันไดนาคไป 300 ขั้น เพื่อไปยังวัด หรือใช้บริการรถรางไฟฟ้าขึ้น-ลงดอยสุเทพได้ ระหว่างเวลา 05.30-19.30 น. ค่าบริการคนละ 20 บาท (ขึ้น-ลง) การเดินทาง จากตัวเมืองสามารถเดินทางโดยใช้เส้นทางผ่านหน้ามหาวิทยาลัยและสวนสัตว์ เชียงใหม่ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่มีรถส่วนตัวสามารถเดินทางมาที่วัดโดยรถสองแถว ประจำทางจากบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ด้านถนนห้วยแก้ว ซึ่งบริการระหว่างเวลาประมาณ 05.00-17.00 น.


พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์



จากวัดพระธาตุดอยสุเทพไปยังพระตำหนักฯ ระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร เป็นพระตำหนักประทับแปรพระราชฐานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2505 ตั้งอยู่บนดอยบวกห้า สามารถเดินชมโดยรอบตำหนักและบริเวณซึ่งมีแปลงกุหลาบ สวนเฟิร์น และไม้นานาพรรณ โดยปกติแล้วจะเปิดให้ประชาชนเข้าชมเฉพาะวันศุกร์-อาทิตย์ และวันหยุดราชการ ทั้งนี้จะต้องเป็นช่วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มิได้เสด็จแปรพระราชฐานไปประทับ ซึ่งปกติจะปิดในช่วงเวลาตั้งแต่ประมาณกลางเดือนธันวาคม-ต้นเดือนกุมภาพันธ์ แต่ทั้งนี้นักท่องเที่ยวสามารถสอบถามจากสำนักงาน ททท.ภาคเหนือเขต 1 (สำนักงานเชียงใหม่ โทร. 053-248-604, 053-248-607) ค่าเข้าชม คนละ 20 บาท ต่างชาติ 50 บาท โปรดแต่งกายให้สุภาพ


บ้านม้งดอยปุย



เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่เราประทับใจ เป็นหมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้ง (แม้ว) ดอยปุย บริเวณหมู่บ้านจำหน่ายของที่ระลึกจำนวนมากซึ่งมีทั้งที่ผลิตภายในหมู่บ้าน และนำมาจากที่อื่นวางจำหน่ายให้แก่นักท่องเที่ยว มีพิพิธภัณฑ์ม้ง สวนดอกไม้ซึ่งมีบริการถ่ายรูปแต่งชุดชาวเขา บริการถ่ายรูปคู่กับเด็กดอย ซึ่งจะมีท่าประจำเผ่า คือ ชู 2 นิ้วกันทุกคนเพื่อเป็นนัยบอกว่าขอค่าถ่ายภาพ 20 บาทก็ถือว่าเป็นทุนการศึกษาสำหรับเด็กแล้วก็ได้ภาพประทับใจเก็บไว้เป็นที่ ระลึกอีกด้วย บริเวณรอบๆ หมู่บ้านมีทิวทัศน์ที่สวยงาม สามารถมองเห็นดอยอินทนนท์ได้ หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่บนดอยปุย ห่างจากพระตำหนักฯ ประมาณ 3 กิโลเมตร ทางลาดชันบ้างบางช่วง สามารถเข้าไปเที่ยวด้วยตนเองได้ หรือจะเช่ารถสองแถวจากดอยสุเทพขึ้นไปได้ทุกฤดูกาล มีบริการเด็กเป็นไกด์นำเที่ยวค่าใช้จ่ายแล้วแต่จะให้ แต่เสียค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ท่านละ 20 บาท


ถนนนิมมานเหมินทร์- ถนนคนเดิน



ตั้งอยู่ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ เป็นถนนสั้นๆ ความยาวไม่ถึงกิโลฯ แต่ถือว่าเป็นทำเลทองของการทำธุรกิจ เป็นแหล่งรวบรวมความทันสมัย หากจะเปรียบแล้วถนนนิมมานเหมินทร์ก็คงคล้ายกับถนนสุขุมวิทของกรุงเทพฯ นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นร้านเสื้อผ้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านของตกแต่งบ้าน สถานบันเทิง มีให้เลือกเดินเล่นกันตามตรอกซอกซอยตลอดทั้งถนน และถ้าเดินช้อปปิ้งกันจนเหนื่อยแล้วล่ะก็ขอแนะนำให้นั่งสั่งเครื่องดื่ม เย็นๆ ดับกระหายและขนมเค้กอร่อยๆ กันได้ที่ ร้านมองบลังค์ ตรงหัวมุมซอย 7 เป็นร้านเค้กฝรั่งเศสสไตล์ญี่ปุ่นที่มีลูกค้ายืนรอคิวกันยาวเหยียด หรือถ้าเย็นหน่อยก็แวะทานมือเย็นกันได้ที่ ร้านคุณนายตื่นสาย อยู่ในซอย 11 บรรยากาศแบบชิวๆ นั่งสบายๆ เคล้าเสียงเพลงเบาๆ ที่สำคัญมีเมนูให้เลือกอิ่มอร่อยกับแบบมากมาย รสชาติอร่อย ตกกลางคืนย่านนี้มีที่ท่องเที่ยวยามค่ำคืนที่คึกคักมากเช่นร้าน monkey หรือ worm up ที่หากใครมาเชียงใหม่มักจะมาเยี่ยมเยือนเสมอ หากใครมาเชียงใหม่แล้วไม่ได้แวะมาย่านถนนนิมมานเหมินทร์นี้ ก็เหมือนว่าจะขาดอะไรไปสักอย่างที่จะทำให้การท่องเที่ยวในเมืองเชียงใหม่ไม่ สมบูรณ์


สถานที่สุดท้ายที่ขาดไม่ได้สำหรับการมาเยือนเชียงใหม่คือ ถนนคนเดิน ถือว่าเป็นไฮไลท์อีกอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้ เป็นแหล่งชอปปิ้ง ที่น่าสนใจที่สุดมีของวางขายหลายประเภท เป็นแหล่งรวมงานฝีมือ สินค้าทำมือราคาถูก เครื่องประดับ ของแต่งบ้าน ของที่ระลึก รวมทั้งเราอาจจะได้เห็น การแสดงฝีมือของศิลปินอิสระอีกด้วย ถ้าหากว่าคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบงานฝีมือ งาน ศิลปะ และไม่เกี่ยงเรื่องการเดินแล้ว ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งที่จะมาเดิน มีทั้งวันเสาร์-อาทิตย์ แต่คนละสถานที่ ถนนคนเดินวันเสาร์ ตั้งอยู่บนถนนวัวลาย อยู่เยื้องๆ กับ ประตูเชียงใหม่ ยาวไปจนเกือบสุดถนน ส่วนถนนคนเดิน วันอาทิตย์ ตั้งอยู่บริเวณตั้งแต่หลังประตูท่าแพ ไปทางด้าน ถ.ราชดำเนิน ถึงสีแยกกลางเวียง เลยไปถึงหน้าวัดพระสิงห์ โดยสี่แยกกลางเวียง จะมีทางซ้ายแยกไปทางวัดเจดีย์หลวง ทางขวาก็จะมีไปจนถึงเยื้องๆ หน้าอนุสาวรีย์สามกษัตริย์




 

Create Date : 06 ธันวาคม 2554    
Last Update : 6 ธันวาคม 2554 10:40:57 น.
Counter : 2709 Pageviews.  

10 สถานที่เที่ยวที่น่าสนใจสำหรับหนาวนี้ค่ะ

1. ปางอุ๋ง ตั้งอยู่ใน อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน
หมู่ บ้านรวมไทย เป็นหมู่บ้านโครงการพระราชดำริปางตอง 2 (ปางอุ๋ง) ในพระบรมราชินูปถัมป์ ของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ลักษณะพื้นที่เป็นอ่างเก็บนํ้าขนาดใหญ่



2. ปาย ตั้งอยู่ใน อ. ปาย จ.แม่ฮ่องสอน

ปา ย...อำเภอเล็ก ๆ ในจังหวัด แม่ฮ่องสอน ที่มีนักท่องเที่ยวทั้ง ชาวไทยและต่างประเทศมาเยือน อย่างไม่ขาดสาย ความเงียบสงบ ลำนํ้าปายสายน้อยที่ไหลผ่าน กระต๊อบเล็ก



3. ดอยอ่างขาง ( ศูนย์พัฒนา โครงการหลวงอ่างขาง ) ตั้งอยู่ใน อ.ฝาง จ.เชียงใหม่

สถานี เกษตรหลวงอ่างขาง ( ดอย อ่างขาง ) เป็นสถานีวิจัยแห่งแรก ของโครงการหลวง ตั้งอยู่บน เทือกเขาตะนาวศรี ตำบล***อน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่



4. อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง ตั้งอยู่ใน อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

อลังการ ทะเลหมอก อุทยาน แห่งชาติห้วยน้ำดัง มีพื้นที่ครอบคลุมท่องที่อำเภอแม่แตง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอปาย จังหวัด แม่ฮ่องสอน


5. วนอุทยานภูชี้ฟ้า ตั้งอยู่ใน อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย

วนอุทยาน ภูชี้ฟ้า - ภูชี้ฟ้า อยู่ใน เขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่อิงฝั่ง ขวาและป่า***าว ท่องที่บ้านร่ม ฟ้าทอง หมู่ที่ 9 และบ้านร่มฟ้าไทย



6. ดอยแม่สลอง ตั้งอยู่ใน อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย

ดอย แม่สลอง เป็นที่ตั้งของ หมู่บ้านสันติคิรี เดิมชื่อบ้านแม่สลองนอก เป็นชุมชนผู้อพยพจาก กองพล 93 ซึ่งอพยพจากประเทศพม่าเข้ามาในเขตไทย จำนวนสองกองพัน



7. อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ตั้งอยู่ใน อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่

ป่าเมฆสูงสุดแดนสยาม แต่เดิม ดอยอินทนนท์มีชื่อว่า ดอยหลวง หรือ ดอยอ่างกา คำว่า ดอยหลวง หมายถึง ภูเขาที่มี ขนาดใหญ่



8. วัดร่องขุ่น ตั้งอยู่ใน อ.เมือง จ.เชียงราย

วัด ร่องขุ่น อยู่ที่บ้านร่องขุ่นกม.ที่ 817-818 ทางขวามือ ก่อนจะถึง ตัวเมือง ๑๒ กม. โดยมีอาจารย์ เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ จิตรกรชั้น แนวหน้าของประเทศไทย



9. อุทยานแห่งชาติภูกระดึง ตั้งอยู่ใน อ.ภูกระดึง จ.เลย

วัน ที่ 18 ม.ค. 48 อุณหภูมิบนยอด เขาอุทยานแห่งชาติภูกระดึงวันนี้ อุณหภูมิตํ่าสุด 8.2 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 22.5 องศา เซลเซียส



10. ทุ่งบัวตองดอยแม่อูคอ ตั้งอยู่ใน อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน

ทุ่ง บัวตอง ดอยแม่อูคอ ตั้งอยู่หมู่ที่ 6 ตำบลแม่อูคอ อำเภอขุนยวม ตามเส้นทางหมายเลข 108 (แม่ฮ่องสอน-ขุนยวม) ก่อนถึงตัว อำเภอประมาณ 1 กิโลเมตร



นั่น แน่!! เพื่อนๆมีที่เที่ยวที่อยากไปกันแล้วใช่มั้ยคะ ถ้างั้นก็อย่ารอช้าหาข้อมูลและเปรียบเทียบราคาที่พักกันได้เลย จะได้เดินทางกันอย่างปลอดภัย และได้ที่พักราคาพิเศษ และเลือกได้ตามใจเราเลยนะคะที่ www.zizzee.com




 

Create Date : 01 ธันวาคม 2554    
Last Update : 1 ธันวาคม 2554 8:25:26 น.
Counter : 1380 Pageviews.  

ที่เที่ยวอันซีน กุ้งเดินขบวนที่อุบลราชธานี

ไม่ได้มาเรียกร้องอะไร หรือไปประท้วงรัฐบาลกุ้งที่ไหน! แต่ในช่วงฤดูฝนราวเดือนกันยายนจนถึงกลางเดือนตุลาคม กุ้งฝอยจำนวนมหาศาลบริเวณเทือกเขาพนมดงรัก จะเดินทางอพยพย้อนสายน้ำขึ้นไปยังต้นน้ำเป็นปกติทุกปี และเมื่อถึงบริเวณที่กระแสน้ำเชี่ยวกรากจนว่ายไม่ได้ พวกมันก็จะขึ้นมาเดินตามโขดหินชื้นแฉะ ดูเป็นแถวเป็นแนวคล้ายกำลังเดินขบวนอะไรสักอย่าง เป็น UNSEEN ไทยแลนด์ ที่หาชมที่นี่ได้ที่เดียว!


ปกติบรรดากุ้งจะซ่อนตัวในเวลากลางวัน และออกมาเดินในเวลากลางคืน ยิ่งวันไหนฝนตกหนัก ปริมาณน้ำสูงและไหลเชี่ยว ปริมาณกุ้งที่เดินก็จะเพิ่มตามไปด้วย โดยเฉพาะบริเวณน้ำตกแก่งลำดวน ใน อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ที่น้ำเชี่ยวอยู่ตลอด มักพบเห็นกุ้งนับหมื่นนับแสนตัวขึ้นมาเดินอยู่เสมอ จนมีนักท่องเที่ยวแห่มาชมปรากฏการณ์นี้ไม่ขาดสาย เจ้าหน้าที่สถานีพัฒนาและส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่าอุบลราชธานี ผู้รับผิดชอบพื้นที่ ให้ข้อมูลว่าพวกมันอพยพขึ้นไปวางไข่ที่ต้นน้ำ เช่นเดียวกับปลาแซลมอนที่ว่ายทวนสายน้ำกลับสู่บ้านเกิด เพราะที่นั่นน้ำใสสะอาด เหมาะสมกับการขยายพันธุ์ แต่ทั้งนี้ยังไม่มีใครตามไปพิสูจน์ให้ชัดๆ หรือมีงานวิจัยอธิบายว่ามันพากันเดินทวนน้ำกลับไปทำไม แต่ที่แน่ๆ การขึ้นมาเดินบนบกคือการปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติอย่างหนึ่ง มันต้องหมอบนิ่งเป็นระยะเพื่อดูดน้ำจากพื้นไม่ให้ตัวแห้ง พอถึงช่วงที่กระแสน้ำลดความแรง ก็จะสลายขบวนกลับลงไปว่ายน้ำอีกครั้ง

ชาวบ้านบางส่วนเชื่อว่ากุ้งเหล่านี้คือ สาวกของพระนารายณ์ มันจะเดินไปย้อนสายน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปเคารพภาพสลักนารายณ์บรรทมสินธุ์ ที่พบที่เวิ้งน้ำลำโดมใหญ่ จึงไม่มีใครกล้าจับกิน แต่บางส่วนที่ไม่ได้เชื่อเช่นนี้จะใช้สวิงช้อนเอาไปทำอาหารรสแซบ โดยเฉพาะเมนูเด็ดอย่างกุ้งเต้น การเดินขบวนนี้ไม่พบรายงานว่าเกิดที่อื่นอีก จึงนับเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง

สนใจไปชมกุ้งเดินขบวน UNSEEN THAILAND หรือสอบถามข้อมูลติดต่อได้ที่
สถานีพัฒนาและส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่าอุบลราชธานี
หมู่ 5 บ้านหนองขอน ต. โดมประดิษฐ์ อ. น้ำยืน จ. อุบลราชธานี
โทร. 0-54919-9848

เรื่องและภาพ : ปณัสย์ พุ่มริ้ว

sanook.com




 

Create Date : 30 พฤศจิกายน 2554    
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2554 8:13:22 น.
Counter : 1794 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.