ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 

ซัมซุงไทยเปิดตัว Samsung Galaxy A5 โลหะทั้งเครื่องอย่างเป็นทางการ

 ในที่สุดซัมซุงไทยก็ไม่ปล่อยให้เราๆ ต้องรอ Samsung  Galaxy A5 กันนานเพราะล่าสุดเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมานั้น Samsung  Galaxy A5 ได้เดินทางมาเปิดตัวในเมืองไทยอย่างเป็นทางการแล้ว

Samsung  Galaxy A5 เป็นหนึ่งใน 3 ของสมาร์ทโฟนในตระกูล Samsung Galaxy A Series ซึ่งประกอบไปด้วย  Galaxy A3, Galaxy A5 และ Galaxy A7

สำหรับบ้านเรานำ Galaxy A5 เข้ามาจำหน่ายก่อนเป็นรุ่นแรก และมีแผนจะนำ Galaxy A7 เข้ามาวางจำหน่ายในอนาคต ส่วน Galaxy A3 นั้นหลังจากได้สอบถามผู้บริหารของ ซัมซุง ไทยแล้วได้คำตอบว่าจะไม่นำเข้ามาจำหน่ายครับ!!


สเปคเบื้องต้นของ Samsung Galaxy A5

- หน้าจอขนาด 5 นิ้ว แบบ Super AMOLED ความละเอียด 720 x 1280 พิกเซล
- หน่วยประมวลผลแบบ Quad-Core Processor ความเร็ว 1.2 GHz
- RAM 2 GB
- หน่วยความจำภายในขนาด 16 GB รองรับ microSD Card สูงสุด 64 GB
- กล้องด้านหน้า ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล
- กล้องด้านหลัง ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อม LED Flash
- รองรับ 4G LTE
- รัน Android 4.4 KitKat
- แบตเตอรี่ขนาด 2300 mAh

สำหรับ Galaxy A5 ทางซัมชุงเค้าเน้นจุดเด่นที่ตัวเครื่องเป็นโลหะทั้งหมด ฝาหลังเป็นแบบ Unibody พูดง่ายๆ นั้นคือเป็นการประกอบทั้งเครื่องเป็นชิ้นเดียวกันหมด ส่วนของน้ำหนักเบา และตัวเครื่องที่เรียกได้ว่าบางแค่ 6.7 มม. พร้อมกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล เน้นถ่ายภาพ Selfie โดยเฉพาะ

ต่อมาเป็นเรื่องของกล้องที่เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของ Samsung  Galaxy A5 เพราะกล้องหน้ามีความละเอียดสูงถึง 5 ล้านพิกเซล ถูกใจคนรักการ selfie แน่นนอน

ส่วนกล้องหลังมีความละเอียดอยู่ที่  13 ล้านพิกเซลครับ อย่างที่บอกไว้ตอนต้นว่ากล้องเป็นอีกจุดเด่นของรุ่นนี้ นั้นหมายความว่าฟีเจอร์เด่นๆ ในเรื่องการถ่ายภาพนั้นย่อมถูกอัดมาครบแน่นอน

ไม่ว่าจะเป็นฟังก์ชั่น Palm selfie ยกมือแทนการกดชัตเตอร์ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกขณะถ่ายภาพ

ฟังก์ชั่น Beautifying Effect แต่งภาพสวยสำหรับสาวๆ เป็นการปรับหน้าเนียนพร้อมกัน 3 คน เนียน + ผอม อยากหน้าเรียว ตาโต แค่ไหนก็สามารถทำได้ในขั้นตอนเดียว!!

และอีกหนึ่งจุดเด่นนั้นคือฟังก์ชั่น Rear Cam Selfie ฟังก์ชั่นกำหนดจุดสำหรับถ่ายกล้องหลัง ทำให้มั่นใจได้ว่าคราวหน้าหากใช้กล้องหลังถ่ายภาพ ยังไงภาพที่ออกมาก็จะไม่ตกเฟรม หัวขาด ปากเบี้ยวแน่นอนครับ

นอกจากนี้นั้นฟังก์ชั่นเก่าๆ ที่เรารู้จักกันดีอย่าง Voice Selfie และ Wide Selfie ทีมีใน Samsung Galaxy Note 4 ก็มีใน Galaxy A5 เช่นกัน

อ่อ...อีกเรื่องที่ยังไม่ได้พูดถึงนั้นคือ New interface & Ringtone ในส่วนของธีมมือถือที่ถูกปรับให้มีความแปลกใหม่ ขจัดปัญหาความน่าเบื่อ ช้ำซากออกไป เบื้องต้น New interface & Ringtone นั้นมีธีมให้เลือกใช้งานทั้งหมด 5 แบบและจะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต


ไหนๆ ก็ได้ทดลองจับเป็นคนแรกๆ ของเมืองไทยแล้วก็ขอพรีวิว Samsung Galaxy A5 กันนิดหน่อยละกันครับ

ด้านหน้าของ Samsung Galaxy A5 มองยังไงก็เหมือนฝาแฝด Samsung Galaxy Alpha ครับ

ด้านหลังของ Galaxy A5 นั้นอย่างที่เคยบอกไว้ข้างต้นว่าถูกออกแบบมาแบบ Unibody และเป็นโลหะทั้งหมด

แม้จะเป็นแบบ Unibody แต่ก็มีช่องของซิมการ์ด และช่องเพิ่มหน่วยความจำอยู่ด้านข้าง

ตัวเครื่องด้านซ้ายไม่มีอะไรมาก มีปุ่มในการปรับเสียง ขึ้น-ลง เท่านั้นครับ

ด้านบนของตัวเครื่อง

ด้านล่างของตัวเครื่องประกอบด้วย ไมโครโฟนตัวหลักสำหรับสนทนา ช่องหูฟังขนาดมาตรฐาน และพอร์ต microUSB สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ หรือเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์

ประกบคู่กับ iPhone 6Plus หน่อยเป็นไงบางกว่าเห็นๆ

ด้านบนของหน้าจอแสดงผล ประกอบด้วย ลำโพงสำหรับสนทนา, เซ็นเซอร์ต่างๆ และกล้องด้านหน้า ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสง

กล้องด้านหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบ LED และลำโพงเสียง

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการพรีวิวแบบง่ายๆ จากการได้ลองเล่นไม่เกิน 30 นาที หากอยากงานฉบับแบบจัดเต็ม รออีกสักพัก หากได้เครื่องมาทดลองเล่นอีกครั้งทางทีมงาน Sanook! Hitec สัญญาว่าคราวหน้าจัดเต็มแน่นอนครับ เบื้องต้นทีมงานขอเคาะคะแนนความพอใจของ Samsung  Galaxy A5 ที่ 8.5 คะแนนครับ

เรียกได้ว่า มาความหรูหรา และแข็งแกร่งในหนึ่งเดียว สำหรับราคานั้นทางผู้เขียนได้สอบถามแล้วทางผู้บริหารทางซัมชุงบอกเพียงว่า จะอยู่ที่ประมาณ 1 หมื่นกลางๆ หากให้ผู้เขียนเดาดูก็น่าจะประมาณ 14,xxx บาท

ส่วนวันวางจำหน่ายนั้นจะเปิดให้เป็นเจ้าของกันในเดือน มกราคม (ต้นปีหน้านั้นเอง) ส่วนของสีนั้นในเมืองไทยมีจำหน่ายทั้งหมด 3 สีได้แก่ สีดำ (Midnight Black), สีขาว (Pearl White) และสีทองแชมเปญ (Champagne Gold) สำหรับช่วงแรกๆ นั้นจะมีเพียงแค่สีดำ (Midnight Black) และ สีขาว (Pearl White) เท่านั้นส่วนสีทองแชมเปญจะเข้ามาทีหลังครับ




 

Create Date : 17 ธันวาคม 2557    
Last Update : 17 ธันวาคม 2557 7:33:49 น.
Counter : 10291 Pageviews.  

ดู YouTube แบบไม่ใช้เน็ตได้แล้ว…..แต่

ดู แบบไม่ใช้เน็ตได้แล้ว.....แต่เฉพาะที่อินเดียและเอเชียบางประเทศเท่านั้น

YouTube ใจดี เพิ่งฟังก์ชัน ดู YouTube แบบออฟไลน์ ไม่ต้องต่ออินเตอร์เน็ตตลอดเวลาแล้ว แต่จำกัดสำหรับในบางประเทศ นั่นคือ อินเดีย ฟิลิปปินส์ และ อินโดนีเซีย เท่านั้น

45474553.cms

YouTube โหลดช้า ทำไงดี? แก้ไม่ยาก ด้วยการโหลดเก็บมาไว้ในเครื่องเลย เมื่อ YouTube ออกฟีเจอร์ใหม่นี้ ให้แก่ผู้ใช้บางประเทศที่มีปัญหาในเรื่องการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตที่มีความ เร็วช้า ทำให้ผู้ใช้สามารถดูทีหลังได้ในแอพฯ อย่างไม่ต้องใช้อินเตอร์เน็ตในการรับชม

โดยสามารถเลือกกดาว์นโหลดได้จากในแอพฯ YouTube ที่จะมีให้กดใต้วิดีโอทันที รวมทั้งเลือกความละเอียดของวิดีโอได้อีกด้วย หลังจากนั้นวิดีโอจะไปปรากฏยังส่วน Offline ของแอพฯ และจะถูกเก็บไว้นานถึง 48 ชั่วโมงก่อนจะลบออกไปเอง ด้วยสาเหตุด้านลิขสิทธิ์

วิดีโอที่ดาว์นโหลดเก็บไว้นั้น สามารถเปิดดูผ่านแอพฯ YouTube เท่านั้น และผู้สร้างวิดีโอก็เลือกที่จะเปิดหรือปิดไม้ให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดได้ ใครที่อยากลองใช้ คงต้องหาวิธีข้ามประเทศไปละกันจ้าา

ที่มา Neowin




 

Create Date : 16 ธันวาคม 2557    
Last Update : 16 ธันวาคม 2557 6:56:14 น.
Counter : 1170 Pageviews.  

รีวิว 26 ฟีเจอร์ลับสุดเจ๋งใน Android 5.0 Lollipop

รีวิว 26 ลับสุดเจ๋งใน Android 5.0 Lollipop พร้อมเทคนิคการใช้งานดีๆ ที่คุณอาจจะยังไม่รู้

จากที่ล่าสุด ทางกูเกิล (Google) ได้เริ่มทยอยปล่อยอัพเดทระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เวอร์ชันใหม่ล่าสุดอย่าง Android 5.0 Lollipop ให้กับสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตหลายๆ รุ่น เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยปล่อยอัพเดทให้แก่ผลิตภัณฑ์ในตระกูล Nexus ก่อน ซึ่งได้แก่ Nexus 5, Nexus 4, Nexus 7 (2013), Nexus 7 (2012) และ Nexus 10

โดยผู้ใช้งานในประเทศไทยบางรายก็ได้ทำการอัพเดทกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งในระบบปฏิบัติการ Android 5.0 Lollipop นี้ก็มีความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย ทั้งฟีเจอร์ลับสุดเจ๋ง และเทคนิคการใช้งานที่เป็นประโยชน์ ซึ่งเชื่อว่าหลายๆ ท่านก็อาจจะยังไม่ทราบกันว่ามีฟีเจอร์ดีๆ เหล่านี้ซุกซ่อนอยู่

ดังนั้นในวันนี้ทีมงานเว็บไซต์ไทยโมบายเซ็นเตอร์จึงขออาสา รวบรวมฟีเจอร์เด็ด และเทคนิคใหม่ๆ บน Android 5.0 Lollipop มาให้ทุกท่านได้ติตดามกันแบบเต็มอิ่มครับ

1. เกมสุดเซอร์ไพรส์ ไข่อีสเตอร์ (Easter Egg) ที่ซ่อนอยู่ใน Android 5.0 Lollipop

ระบบปฏิบัติการใหม่ มักจะซ่อนบางสิ่งที่เซอร์ไพรส์ หรือที่เราเรียกว่าไข่อีสเตอร์ (Easter Egg) ไว้ อยู่เสมอ ซึ่งใน Android 5.0 Lollipop ก็มีด้วยเช่นกัน นั่นคือเมื่อผู้ใช้งานได้ทำการอัพเดทเป็นระบบปฏิบัติการ Android OS เวอร์ชัน 5.0 (Lollipop) เรียบร้อยแล้ว ก็ให้เข้าไปที่ การตั้งค่า>เกี่ยวกับโทรศัพท์ และแตะที่ช่อง เวอร์ชันของ Android 5.0 เพียงแตะ 4 ครั้งแบบเร็วๆ และตัวรูปภาพอมยิ้ม หรือ Lollipop ก็จะแสดงขึ้นมาให้เห็น

ต่อด้วยการกดค้างที่ตัวรูปภาพอมยิ้ม ประมาณ 4-5 วินาที ก็จะเป็นการเข้าสู่ตัวเกมที่ดูคล้ายกับเกม Flappy Bird ซึ่ง วิธีการเล่นนั่นก็ไม่ยาก โดยให้เราแตะที่หน้าจอเพื่อให้ตัวหุ่นกระป๋องแอนดรอยด์ กระโดดหลบลูกอมยิ้ม และเดินทางผ่านด่านไปให้ไกลมากที่สุด

2. ฟังก์ชัน Tap & Go หรือ คัดลอกบัญชีไปยังเครื่องใหม่

โดย ฟังก์ชัน Tap & Go นี้จะเริ่มให้ใช้งานตั้งแต่เปิดเครื่องครั้งแรก ซึ่งเมื่อผู้ใช้งานได้เปลี่ยนเครื่องมาใช้สมาร์ทโฟนที่เป็นระบบปฏิบัติการ Android OS เวอร์ชัน 5.0 (Lollipop) หรือ ทำการอัพเดทเวอร์ชันแล้ว ฟังก์ชัน Tap & Go จะทำการจับคู่สมาร์ทโฟนเครื่องเก่า และเครื่องใหม่ผ่านการสื่อสารข้อมูลระยะใกล้ หรือ NFC พร้อมทำการคัดลอกบัญชี, แอปพลิเคชัน และข้อมูลจากเครื่องเก่ามายังเครื่องใหม่ผ่านการเชื่อมต่อแบบบลูทูธ (Bluetooth)

3. การใช้งานแอปพลิเคชันผ่านข้อความแจ้งเตือนบนหน้าจอ

เมื่อ มีข้อความแจ้งเตือนปรากฏบนหน้าจอ Lock Screen ผู้ใช้งานสามารถเข้าไปดูข้อความ หรือเปิดใช้งานแอปพลิเคชันนั้นๆ ได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการแตะที่ข้อความนั้น 2 ครั้ง

4. เลือกปิดการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันใดๆ ที่ไม่ต้องการ บนหน้า Lock Screen

ใน ส่วนของการแจ้งเตือนบนหน้า Lock Screen เราสามารถปิดการแจ้งเตือนต่างๆ ของแอปพลิเคชันใดๆ ที่เราไม่ต้องการให้แจ้งเตือนได้ โดยแตะค้างที่ข้อความแอปพลิเคชัน ประมาณ 1-2 วินาที ก็จะมีเมนูตั้งค่าแสดงขึ้นมา และเราก็สามารถใช้คำสั่งบล็อกการแจ้งเตือน หรือให้แจ้งเตือนเฉพาะเรื่องที่สำคัญเท่านั้นก็ได้เช่นกัน

5. ปิดการแจ้งเตือนทั้งหมดบนหน้าจอ Lock Screen

หาก ไม่ต้องการให้มีการแจ้งเตือนใดๆ บนหน้า Lock Screen ทั้งสิ้น เราก็สามารถปิดการแจ้งเตือนทั้งหมดได้ โดยเข้าไปที่ การตั้งค่า > เสียงและการแจ้งเตือน และเลื่อนลงมาตรงช่อง "เมื่ออุปกรณ์ล็อค" แล้วเลือก "ไม่ต้องแสดงการแจ้งเตือนใดๆ"

6. ฟังก์ชันลัดบน Notification Bar ที่มากขึ้น

เมื่อ ปัดขอบหน้าจอด้านบนลงมาก็จะเข้าสู่โหมด Notification Bar ซึ่งด้านบนนั้นจะมีการแจ้งเตือนสถานะต่างๆ และถ้าปัดลงมาอีกหนึ่งครั้ง ก็จะเข้าสู่ฟังก์ชันลัดได้ หรือหากใช้สองนิ้วในการปัดขอบหน้าจอลงมาก็จะเข้าสู่ฟังก์ชันลัดได้ทันทีเช่น กัน โดย Android 5.0 Lollipop ได้มีการเพิ่มฟังก์ชันใหม่บางอย่างเข้ามาในส่วนของ Notification Bar นี้

7. เข้าใช้งานฟังก์ชันไฟฉายได้อย่างรวดเร็วทันใจจาก Notification Bar

ฟังก์ชัน ไฟฉาย ที่บรรดาผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนก็มักจะเปิดใช้งานกันอยู่เป็นประจำ ซึ่งในระบบปฏิบัติการ Android 5.0 Lollipop ก็ได้ใส่ฟังก์ชันนี้มาให้ใช้งานตั้งแต่ต้น โดยสามารถเรียกใช้งานได้อย่างรวดเร็วจากทางลัดบน Notification Bar นั่นเอง

8. สามารถปรับค่าความสว่างของหน้าจอบน Notification Bar ได้แล้ว

ระบบ ปฏิบัติการ Android 5.0 Lollipop ได้มีการเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งาน ด้วยการเปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานสามารถปรับแต่งค่าความสว่างของหน้าจอได้จาก Notification Bar โดยตรง

9. การเพิ่มฟังก์ชันลัดบน Notification Bar

เมื่อ ผู้ใช้งานเปิดฟังก์ชันอื่นๆ ที่ไม่เคยปรากฏเป็นฟังก์ชันลัดบน Notification Bar มาก่อน ระบบปฏิบัติการ Android 5.0 Lollipop จะทำการบันทึกการใช้งานของเรา และเพิ่มฟังก์ชันที่เราใช้งานบ่อยๆ เอาไว้บน Notification Bar ให้โดยอัตโนมัติ

10. เข้าใช้งานนาฬิกาปลุกบน Notification Bar

อีก หนึ่งช่องทางในการเข้าสู่ฟังก์ชัน นาฬิกาปลุก คือผู้ใช้งานสามารถเข้าใช้งานฟังก์ชันนี้ผ่านทาง Notification Bar ได้ทันที เพียงแตะที่การแจ้งเตือนนาฬิกาปลุก ซึ่งจะอยู่ทางซ้ายของการแจ้งเตือนเวลาปัจจุบันนั่นเอง

11. ความพิเศษของแอปพลิเคชันนาฬิกา

ความ พิเศษเล็กๆ อย่างหนึ่งที่เพิ่มเข้ามา ของแอปพลิเคชันนาฬิกาก็คือ พื้นหลังของแอปพลิเคชันนาฬิกาจะมีการเปลี่ยนสีตลอดเวลา เช่นช่วงเช้าจะเป็นสีน้ำเงิน, ช่วงเที่ยงจะเป็นสีฟ้า, ช่วงเย็นจะเป็นสีม่วงเข้ม และช่วงกลางคืนจะเป็นสีดำ

12. โหมดลำดับความสำคัญ

สำหรับ โหมดลำดับความสำคัญนั้น ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าเสียงแจ้งเตือนในข่วงเวลาสำคัญต่างๆ ได้ โดยผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าโหมดลำดับความสำคัญได้ถึง 3 รูปแบบ ได้แก่ "โหมดห้ามรบกวน" ซึ่งเมื่อเลือกใช้งานจะมีไอคอนรูปวงกลม และมีเส้นเฉียงตรงกลาง ที่ด้านบนขอบหน้าจอ, "โหมดเรื่องสำคัญ" ซึ่งเมื่อเลือกใช้งานจะมีไอคอนรูปดาว ที่ด้านบนขอบหน้าจอ และ "โหมดรบกวนได้ทั้งหมด" ซึ่งเมื่อเลือกใช้งานจะไม่มีไอคอน รูปใดๆ เลย ส่วนวิธีการตั้งค่า ให้เรากดปุ่มเพิ่ม-ลดระดับเสียง โหมดลำดับความสำคัญก็จะแสดงขึ้นมา

พร้อม ทั้งยังสามารถกำหนดวัน และเวลาเพื่อไม่ให้ส่งเสียงแจ้งเตือนอีกด้วย รวมไปถึงกำหนดการแจ้งเตือนเรื่องสำคัญต่างๆ ของแต่ละรูปแบบได้เพียง เข้าไปที่ การตั้งค่า > เสียงและการแจ้งเตือน > เสียงแทรก และเลือกการแจ้งเตือนของหัวข้อ "เรื่องสำคัญ"

13. สามารถเพิ่มผู้ใช้งานบัญชีอื่นได้

เมื่อ เพื่อนเราลืมมือถือไว้ที่บ้าน และต้องติดต่องานสำคัญ ระบบปฏิบัติการ Android 5.0 Lollipop ได้เพิ่มความสามารถในการล็อกอินด้วยอีเมลเพื่อใช้งานบนมือถือเราได้ โดยเพิ่มบัญชีอีเมลที่ด้านบนของ Notification Bar รวมไปถึงสามารถรองรับการเปลี่ยนรูปภาพ และเปลี่ยนชื่อของโปรไฟล์ ได้อีกด้วย

14. จำกัดการใช้ SMS และการโทร ของผู้ใช้งานบัญชีอื่น

ผู้ ใช้งานสามารถจำกัดสิทธิ์การใช้งานข้อความ SMS ของผู้ใช้งานบัญชีใหม่ หรือจำกัดการโทรของผู้ใช้งานร่วมได้ โดยเข้าไปที่การตั้งค่าผู้ใช้ที่ด้านบนของบน Notification Bar และเข้าไปที่การตั้งค่าเพิ่มเติม แล้วเลือกการตั้งค่าของผู้ใช้งานบัญชีใหม่ หรือผู้ใช้งานร่วม

15. เปลี่ยนธีมคีย์บอร์ด

ผู้ ใช้งานสามารถเปลี่ยนคีย์บอร์ดได้สูงสุดถึง 4 รูปแบบ โดยเข้าไปที่การตั้งค่า > ภาษาและการป้อนข้อมูล > แป้นพิมพ์ปัจจุบันของ Google > ลักษณะที่ปรากฏ และรูปแบบ

16. ค้นหาฟังก์ชันต่างๆ ในส่วนของการตั้งค่า

ระบบปฏิบัติการ Android 5.0 Lollipop ได้เพิ่มความสามารถในการพิมพ์คีย์เวิร์ดเพื่อค้นหาฟังก์ชันต่างๆ ในส่วนของการตั้งค่ามาให้ด้วย

17. การแก้ไขการแสดงผลสี สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับสายตา

ผู้ บริโภคบางรายจะมีความผิดปกติทางสายตา หรือเรียกง่ายๆ ว่า ตาบอดสี ระบบปฏิบัติการ Android 5.0 Lollipop จึงได้เพิ่มฟังก์ชันการแก้ไขสีนี้มาให้ โดยเข้าไปที่ตั้งค่า > การเข้าถึง > การแสดง > การกลับสี หรือ การแก้สี

18. Smart Lock ที่ไม่เหมือนใคร

สำหรับ Smart Lock นั้นเป็นฟังก์ชันในการปลดล็อคหน้าจอได้จากลักษณะของการใช้งานหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นระหว่างการเชื่อมต่อ Bluetooth กับ Smartwatch, NFC กับบัตรรถไฟฟ้า MRT หรือ บัตร 7-Eleven, สถานที่ ที่ผู้ใช้งานมักอยู่เป็นประจำ และใบหน้าของผู้ใช้งาน โดยสามารถเข้าไปตั้งค่าได้ที่ความปลอดภัย > Smart Lock และเลือกรายการปลดล็อคหน้าจอ

19. โหมดตรึงหน้าจอ

สำหรับ โหมดนี้จะเป็นเสมือนการตรึงหน้าจอการใช้งานให้อยู่ในหน้านั้นตลอดเวลา ถึงแม้ว่าผู้ใช้งานจะคุยโทรศัพท์อยู่ก็ตาม วิธีใช้งานให้เข้าไปที่ การตั้งค่า > ความปลอดภัย > การตรึงหน้าจอ และเปิดการใช้งาน ตัวปักหมุดก็จะขึ้นอยู่มุมล่างขวาของแอปพลิเคชันต่างๆ ที่เราใช้งานอยู่ปัจจุบัน เมื่อกดที่ปักหมุดแอปพลิเคชันนั้นก็จะแสดงการใช้งานตลอดเวลา และเมื่อต้องการจะปิดการใช้งาน ก็เพียงแค่กดปุ่มย้อนกลับ และปุ่มฟังก์ชัน

20. การแสดงผลข้อความที่มีค่าความเปรียบต่าง (คอนทราสต์) สูง

สามารถ ตั้งค่าให้การแสดงผลตัวอักษรบนสมาร์ทโฟนของเรามีความคมชัด หรือมีค่าความเปรียบต่าง (คอนทราสต์) ที่มากขึ้นได้ โดยเข้าไปที่ การตั้งค่า > การเข้าถึง และเลือกข้อความคอนทราสต์สูง

21. ข้อความขนาดใหญ่

นอก การการปรับค่าความเปรียบต่างแล้ว เราก็ยังสามารถตั้งค่าให้ตัวอักษรบนสมาร์ทโฟนของเรามีขนาดที่ใหญ่ขึ้นได้ โดยเข้าไปที่ การตั้งค่า > การเข้าถึง และเลือกข้อความขนาดใหญ่

22. ขยายหน้าจอส่วนที่ต้องการ

โดย ฟังก์ชันนี้จะช่วยให้ผู้ใช้งานบางท่านที่มีปัญหาด้านสายตา เช่นสายตาสั้น หรือสายตายาว และอาจจะต้องมองหน้าจอในระยะที่ใกล้ หรือไกลกว่าปกติ ซึ่งเราสามารถย่อ หรือขยายการแสดงผลได้โดยเลือก การตั้งค่า > การเข้าถึง และเลือกเปิดการใช้งาน "ท่าทางสัมผัสการขยาย" ส่วนวิธีการใช้งานนั้นพียงแตะสามครั้งบนหน้าจอส่วนที่ต้องการขยาย รวมไปถึงการบีบ หรือแยกนิ้ว เพื่อการย่อ-ขยาย และใช้สองนิ้วแตะที่หน้าจอเพื่อเลื่อนขึ้น-ลง และหากต้องการหยุดใช้งานก็เพียงแค่แตะสามครั้งบนหน้าจอเท่านั้น

23. สายเรียกเข้าที่ไม่รบกวนขณะเล่นเกม หรือใช้งานแอปพลิเคชัน

ถึง แม้ผู้ใช้งานจะเล่นเกม หรือ เข้าใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ อยู่ เมื่อมีสายเรียกเข้า หน้าต่างแอปพลิเคชันก็ยังคงอยู่เหมือน และจะมีหน้าต่างการแจ้งเตือนสายเรียกเข้าขนาดเล็กแสดงขึ้นมาให้เห็นที่ บริเวณด้านบนของหน้าจอ

24. ปิดเครื่อง แต่ไม่ปิดการทำงานของแอปพลิเคชัน

โดย ปกติแล้วเมื่อเราทำการปิดเครื่อง หรือ รีสตาร์ทเครื่อง แอปพลิเคชันต่างๆ ที่เปิดใช้งานอยู่เบื้องหลังนั้นจะปิดตัวลงทันที แต่ระบบปฏิบัติการ Android OS เวอร์ชัน 5.0 (Lollipop) จะทำการบันทึกการใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ เอาไว้ให้ ก่อนจะปิดเครื่อง หรือรีสตาร์ทเครื่อง ซึ่งเมื่อเปิดเครื่องขึ้นมาใหม่ รายการของแอปพลิเคชันเบื้องหลังเหล่านั้นก็จะยังคงอยู่ และเรียกใช้งานต่อได้ทันที

25. ตรวจสอบรายละเอียดของการใช้งานข้อมูลเครือข่ายบน Notification Bar

Notification Bar นั้นยังสามารถตรวจสอบรายละเอียดของการใช้งานข้อมูลเครือข่ายได้ โดยแตะไปที่ไอคอนรูปสัญญาณเครือข่าย พร้อมทั้งสามารถตั้งขีดจำกัดการใช้งานข้อมูลมือถือได้ เพียงแตะที่การตั้งค่าเพิ่มเติม และเปิดการใช้งาน "ตั้งขีดจำกัดข้อมูลมือถือ"

26. แอปพลิเคชัน Google Fit

นับ ว่าเป็นแอปพลิเคชันที่มีประโยชน์ในชีวิตประจำวันไม่น้อยเลยทีเดียว สำหรับแอปพลิเคชันติดตามการออกกำลังกายที่มาพร้อมกับ Android 5.0 Lollipop ที่มีชื่อว่า Google Fit โดยแอปพลิเคชันนี้จะนับก้าวเดินในแต่ละวันของผู้ใช้งาน พร้อมทั้งยังสามารถเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ และ Android Wear ได้

เรียก ได้ว่าทั้ง 26 ฟีเจอร์ลับสุดเจ๋งที่แนะนำกันไปข้างต้น หากศึกษากันไว้ ก็น่าจะมีประโยชน์สำหรับผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนที่ทำงานอยู่บน ระบบปฏิบัติการ Android 5.0 Lollipop ไม่น้อยเลยทีเดียว และถึงแม้ว่าขณะนี้สมาร์ทโฟนในบ้านเราส่วนใหญ่ จะยังไม่ได้รับการอัพเดทเป็น Android 5.0 Lollipop อย่างเป็นทางการ

แต่ในเร็วๆ นี้บรรดารุ่นดังจากแบรนด์ต่างๆ ก็จะทยอยปล่อย Android 5.0 Lollipop ออกมาให้อัพเดทกันอย่างแน่นอน สุดท้ายนี้ก็ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามชม และหากใครเจอฟีเจอร์เจ๋งๆ เพิ่มเติมบน Android 5.0 Lollipop ก็ลองมาแชร์ให้เพื่อนๆ ทราบกันได้นะครับ สวัสดีครับ

ขอบคุณเนื้อหา และภาพประกอบ จาก Thaimobilecenter




 

Create Date : 15 ธันวาคม 2557    
Last Update : 15 ธันวาคม 2557 7:58:03 น.
Counter : 2404 Pageviews.  

วิธีตรวจสอบ iPhone ก่อนซื้อ ทำได้อย่างไรบ้าง?

[Tip & Trick] วิธีการตรวจสอบ และ iPhone 6 Plus ก่อนซื้อ ทำได้อย่างไรบ้าง?

วางจำหน่ายในไทยอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ที่ถือว่า เป็นไอโฟนที่หลายๆ คนรอคอยเช่นกัน และด้วยราคาค่าตัวเริ่มต้นที่สูงถึง 24,900 บาท สำหรับ iPhone 6 และ 28,900 บาท สำหรับ iPhone 6 Plus ทำให้คงต้องยอมเสียเวลาตรวจสอบเครื่องให้ละเอียด ก่อนนำออกจากร้าน เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดปัญหาที่ตามมาในภายหลัง

และในวันนี้ ทีมงานเว็บไซต์ techmoblog จะมาแนะนำ วิธีการตรวจสอบ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ในเบื้องต้น ก่อนซื้อและนำออกจากร้าน และเป็นวิธีที่สามารถนำไปทำตามได้เลย ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญแต่อย่างใด มาดูกันครับว่า สามารถทำได้อย่างไรบ้าง

ขั้นตอนที่ 1 : ตรวจสอบกล่องบรรจุตัวเครื่อง


ใครว่ากล่องไม่สำคัญ? แต่สำหรับ iPhone แล้ว จะต้องดูตั้งแต่กล่องกันเลยทีเดียวครับ อย่างแรกก็คือ พลาสติกห่อหุ้มจะต้องอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ไม่มีการตัดหรือแกะมาก่อน หรือมีการซีลที่ผิดปกติ ถ้าหากเจอแบบนี้ ให้ปฏิเสธการรับเครื่องไปได้เลย เพราะอาจจะเป็นเครื่องที่ถูกเปิดมาแล้วก่อนหน้านั้น และถูกซีลใหม่

นอกจากภายนอกกล่องแล้ว อุปกรณ์ภายในกล่องก็สำคัญเช่นกัน จะต้องทำการตรวจสอบว่า ได้มาครบถูกต้องและอยู่ในสภาพสมบูรณ์หรือไม่ ซึ่งประกอบไปด้วย สายชาร์จแบบ Lightning Cable, Adapter, หูฟังแบบ EarPods พร้อมกล่อง, คู่มือการใช้งาน และเข็มจิ้มถาดซิมการ์ดที่อยู่ภายในคู่มือ

ขั้นตอนที่ 2 : ตรวจสอบเลข IMEI

สำหรับการตรวจสอบเลข IMEI บน iPhone 6 และ iPhone 6 Plus สามารถทำได้ง่ายๆ ครับ ด้วยการพลิกไปที่ด้านหลังตัวเครื่อง ซึ่งด้านล่าง จะมีตัวเลข IMEI กำกับอยู่ ให้ทำการเช็คกับใต้กล่องว่า ตัวเลขตรงกันหรือไม่ ถ้าหากไม่ตรงกัน ให้ปฏิเสธการรับเครื่องทันที

ขั้นตอนที่ 3 : ตรวจสอบตัวเครื่อง


การตรวจสอบตัวเครื่อง ถือว่า เป็นขั้นตอนที่สำคัญมากครับ โดยสิ่งที่จะต้องทำการตรวจสอบ ได้แก่

• สภาพตัวเครื่องภายนอก จะต้องไม่มีรอยบุบ, รอยถลอก หรือรอยต่างๆ
• รอยต่อต่างๆ ควรจะต้องเรียบเสมอกัน ไม่มีช่องโหว่ หรือการเผยอออกมา
• ตรวจสอบถาดใส่ซิมการ์ด ด้วยการใช้เข็มจิ้มที่แนบมากับกล่องลองทดสอบดูว่า สามารถเปิดปิดได้ดีหรือไม่
• กระจกหน้าจอ จะต้องไม่มีรอยแตก หรือรอยร้าวใดๆ
• ช่องหูฟัง และช่องเสียบสายชาร์จ จะต้องสะอาด ไม่มีรอยไหม้ หรือรอยสนิม

ถ้าหากตรวจสอบแล้วพบว่า มีตำหนิ ให้ปฏิเสธการรับเครื่อง และเปลี่ยนเครื่องใหม่ทันที

ขั้นตอนที่ 4 : ใส่ซิมการ์ด และเปิดเครื่อง


หลังจากตรวจสอบตัวเครื่อง และไม่มีรอยตำหนิใดๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ การ activate ตัวเครื่องนั่นเอง ด้วยการใส่ซิมการ์ด และใส่ Apple ID เพื่อเปิดใช้งาน ซึ่งการตรวจสอบการใช้งานในเบื้องต้น มีดังนี้

• สังเกตทุกจุดบนหน้าจอด้วยว่า มี Dead Pixel ปรากฏหรือไม่ โดยสามารถเข้าไปตรวจสอบ Dead Pixel ได้ที่ //iphonedpt.awardspace.com/ แล้วทดสอบเปลี่ยนสีหน้าจอตามที่กำหนด

• ตรวจสอบ Touch Screen กันบ้าง ด้วยการสัมผัสลงไปบนหน้าจอทุกจุดว่า มีการทำงานผิดปกติหรือไม่ เช่น การปัดหน้าจอจากซ้ายไปขวา จากบนลงล่าง รวมไปถึงการพิมพ์บนคีย์บอร์ดว่า ตอบสนองต่อการสัมผัสทุกจุดด้วยหรือไม่

• ตรวจสอบปุ่มควบคุมการทำงานรอบๆ ตัวเครื่อง เช่น ปุ่มปรับระดับเสียง เมื่อกดแล้ว มีการแสดงผลที่หน้าจอหรือไม่ เสียงดังขึ้นหรือเบาลงหรือไม่ รวมไปถึงปุ่มปิดเสียง (ด้านบนปุ่มปรับระดับเสียง), ปุ่ม Power และปุ่ม Home ว่า ทำงานได้ปกติดีหรือไม่

• เนื่องจาก iPhone 6 และ iPhone 6 Plus มีฟีเจอร์ Touch ID หรือสแกนลายนิ้วมือในตัว ให้ลองทดสอบ Touch ID ด้วยการเพิ่มลายนิ้วมือเข้าไปครับ โดยสามารถตั้งค่าได้ที่ Settings > General > Touch ID & Passcode > Touch ID

• ตรวจสอบหน่วยความจำภายในตัวเครื่องว่า ตรงกับที่ซื้อหรือไม่ เช่น ซื้อ iPhone 6 ความจุ 16 GB มา แต่จะเหลือพื้นที่ว่างราวๆ 12 GB แต่ถ้าหากซื้อ iPhone 6 ความจุ 64 GB แต่เหลือพื้นที่ภายในเพียง 12 GB แบบนี้ถือว่า มีปัญหาครับ โดยสามารถตรวจสอบได้ที่ Settings > General > About > Available

• ทดสอบการปรับหน้าจอของตัวเครื่อง ทั้งแนวตั้งและแนวนอน

• ทดสอบการถ่ายรูปด้วยกล้องด้านหน้า และกล้องด้านหลัง โดยให้ทดสอบถ่ายทุกโหมดครับ ทั้งภาพนิ่ง, วีดีโอ, ถ่ายภาพรัว, พาโนรามา รวมไปถึงการโฟกัสภาพในแต่ละจุด, การซูมภาพ และการถ่ายภาพด้วยไฟแฟลช นอกจากนี้ ในส่วนของการถ่ายวีดีโอ เมื่อเปิดดูจะต้องมีเสียงติดเข้ามาด้วย

• ทดสอบลำโพง ด้วยการเปิดเสียงเรียกเข้าเพื่อทำการทดสอบ และให้ปรับระดับเสียง จากดังไปเบา หรือเบาไปดัง และสังเกตว่า ได้เสียงที่ผิดปกติหรือไม่

• ทดสอบการคุยโทรศัพท์ว่า ให้เสียงที่ดังฟังชัดหรือไม่ ด้วยการโทรไปหาเพื่อน นอกจากนี้ อย่าลืมทดสอบการโทรผ่านทางหูฟัง EarPods ด้วยนะครับ

• ทดสอบหูฟัง EarPods ว่า ให้เสียงดังปกติหรือไม่ รวมไปถึงปุ่มปรับระดับเสียง, เล่นเพลง, หยุดเพลง ว่า ปกติดีหรือไม่

• ทดสอบการชาร์จแบตเตอรี่ ด้วยสายชาร์จ Lightning Connector กับตัว Adapter ว่า มีไฟเข้าตัวเครื่องหรือไม่

• ทดสอบการใช้งานอินเทอร์เน็ต ทั้งการเชื่อมต่อ Wi-Fi กับ 3G/4G แล้วสังเกตว่า มีการเชื่อมต่อที่ปกติหรือไม่

สรุปส่งท้าย

สำหรับข้อมูลข้างต้น เป็นวิธีการตรวจสอบตัวเครื่อง, อุปกรณ์ และการใช้งานต่างๆ บน iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ในเบื้องต้น ที่แม้จะดูยุ่งยาก และเสียเวลาไปหน่อย แต่ก็ทำให้มั่นใจได้ว่า จะได้เครื่องที่สมบูรณ์ ไร้ปัญหา

และนำกลับบ้านไปใช้งานได้อย่างหมดห่วง นอกจากนี้ เพื่อให้ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus สามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้น ทีมงาน techmoblog แนะนำให้ไปติดฟิล์มกันรอยที่หน้าจอ รวมไปถึงการใส่เคส เป็นการถนอมเครื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเครื่องเกิดรอยก่อนเวลาอันควรนั่นเองครับ

สนับสนุนเนื้อหา: www.techmoblog.com




 

Create Date : 13 ธันวาคม 2557    
Last Update : 13 ธันวาคม 2557 8:24:01 น.
Counter : 1325 Pageviews.  

ปิด Wi-Fi บนเครื่องสมาร์ทโฟน ประหยัดแบตเตอรี่จริงหรือไม่???

ปิด Wi-Fi บนเครื่องสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ททำให้ประหยัดแบตเตอรี่ได้มากขึ้นจริงหรือไม่ ???

การเชื่อมต่อเพื่อที่จะเข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตบนอุปกรณ์สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ทนั้นสามารถที่จะทำได้ทั้งเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi หรือเชื่อมต่อผ่าน Mobile Data ของเครือข่ายที่คุณใช้งานนั้นๆ ครับ

หลายๆ ท่านอาจจะมีการสลับการใช้งานระหว่าง Wi-Fi หรือ Mobile Data กันไปมาตามความสะดวก แต่การที่จะต้องมาคอยเปิดๆ ปิดๆ Wi-Fi บ่อยๆ นั้นคงไม่ใช่เรื่องที่จะสนุกเท่าไรนัก วันนี้ผมมีข้อมูลดีๆ มาบอกทุกท่านครับว่าควรจะทำอย่างไร แล้วการใช้ Wi-Fi จะช่วยให้เราประหยัดแบตเตอรี่ได้มากขึ้นจริงหรือไม่ ติดตามกันได้เลยครับ

การทำงานของ Wi-Fi บนอุปกรณ์สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ท

แน่นอนครับว่าเมื่อมีการเปิด Wi-Fi ขึ้นมาเพื่อที่จะใช้งานนั้นย่อมมีการใช้งานพลังงานจากแบตเตอรี่ไปด้วยในเวลาเดียวกัน แต่เป็นที่ทราบกันดีในวงกว้างว่าการเชื่อมต่อแบบ Wi-Fi นั้นประหยัดแบตเตอรี่มากกว่าการเชื่อมต่อแบบ Mobile Data มากครับส่วนหนึ่งก็มาจากรูปแบบของสัญญาณที่ใช้นั้นต่างกัน(รวมไปถึงการกระจายสัญญาณซึ่งเป็นเรื่องทางเทคนิค) ทำให้อัตราการใช้พลังงานของการเชื่อมต่อแบบ Wi-Fi และ Mobile Data นั้นไม่เท่ากัน

โดยปกติทั่วไปแล้วสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ทของเราๆ ท่านๆ นั้นเมื่อมีการเปิด Wi-Fi เกิดขึ้น ตัวเครื่องจะทำการค้นหาจุดเชื่อมต่อเพื่อที่จะทำการเชื่อมต่อครับ โดยการหาจุดเชื่อมต่อนี้ก็ไม่ได้ทำอยู่ตลอดเวลาเหมือนกับการเชื่อมต่อแบบ Mobile Data ตัวอย่างเช่นสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการ Android บางรุ่นนั้นคุณจะสามารถที่จะทำการกำหนดได้ครับว่าจะให้เครื่องค้นหาจุดเชื่อมต่อ Wi-Fi ทุกๆ กี่นาที และเมื่อสามารถเชื่อมต่อจับสัญญาณได้แล้วก็ถือว่าจบกันครับ สามารถที่จะใช้งานได้ทันที

ช่วงเวลาที่การใช้ Wi-Fi ใช้พลังงานมากที่สุดนั้นก็คือในช่วงที่ทำการค้นหาจุดเชื่อมต่อครับ แต่เมื่อสามารถเชื่อมต่อได้แล้วอัตราการใช้พลังงานของการเชื่อมต่อของ Wi-Fi จะลดลงไป แต่ถ้ายังสามารถที่จะทำการเชื่อมต่อกับจุดเชื่อมต่อนั้นได้อยู่ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน อัตราการใช้พลังงานก็จะไม่เปลี่ยนแปลงไปครับ

ดังนั้นหากจะให้แนะนำอย่างถูกต้องแล้วถ้าคุณอยู่ในจุดที่มี Wi-Fi และสามารถเชื่อมต่อกับจุดเชื่อมต่อนั้นได้ก็เปิด Wi-Fi ไว้ดีกว่าครับเพราะเนื่องจากจะช่วยประหยัดแบตเตอรี่ให้กับสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ทแล้วยังจะช่วยสามารถทำให้คุณประหยุดการใช้งานโปรโมชันข้อมูลของ Mobile Data ได้อีกด้วยครับ

การใช้งาน Wi-Fi ไม่ได้ใช้เพื่อเฉพาะสำหรับการใช้งานเข้าสู่อินเทอร์เน็ตเท่านั้น

การเปิด Wi-Fi ไว้นั้นไม่ได้มีประโยชน์เฉพาะสำหรับใช้ในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเท่านั้นครับ แต่ว่าการเปิด Wi-Fi นั้นยังสามารถที่จะใช้ในการระบุตำแหน่งได้อีกด้วยครับ

โดยเราจะเรียกวิธีการนี้ว่า Wifi Positioning System หลายๆ ท่านอาจจะสงสัยว่า ถ้าเราอยู่บนท้องถนนไม่ได้เชื่อมต่อกับจุดเชื่อมต่อ Wi-Fi อะไรอยู่ แล้วไฉนเลย Wi-Fi จะสามารถมาช่วยบอกตำแหน่งของจุดที่เราอยู่ได้ ทั้งๆ ที่จริงน่าจะเป็นระบบ GPS ที่เอาไว้ใช้บอกตำแหน่งของเรามากกว่า ตรงนี้สามารถอธิบายได้ว่า

ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้ทำการเชื่อมต่อกับจุดเชื่อมต่อ Wi-Fi ใดๆ แต่เครื่องสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ทของเรานั้นสามารถที่จะรับรู้ได้ครับว่าตำแหน่งของจุดเชื่อมต่อ Wi-Fi ที่เราไม่ได้เชื่อมต่อนั้นอยู่ที่ตำแหน่งใด โดยระบบนี้จะถูกนำมาช่วยในการบอกตำแหน่งของคุณให้ถูกต้องมากขึ้นกว่าการใช้ GPS แต่เพียงอย่างเดียวครับ (การนำทางในห้างสรรพสินค้าก็ใช้หลักการนี้ด้วยครับ)

เปิด Wi-Fi ทิ้งไว้จะมีประโยชน์อย่างไร

ในปัจจุบันนั้นไม่ว่าเราจะเดินทางไปที่ไหนเราก็จะได้เห็นสัฐลักษณ์ Free Wi-Fi อยู่ทั่วไปหมดครับ แถมโปรโมชันของเครือข่ายมือถือบางรายยังมาพร้อมกับการให้คุณได้สามารถที่จะทำการเชื่อมต่อ Wi-Fi เพิ่มเติมจากโปรโมชันได้อีกด้วย แล้วในบ้านเราเองนั้นก็มี Free Wi-Fi ของกระทรวงไอซีทีอีก

ดังนั้นประโยชน์ที่สูงที่สุดของการเปิด Wi-Fi ไว้นั้นก็คือฟรีครับ หรือถ้าหากคุณอยู่ในบ้านหรือสถานที่ทำงานบางทีการใช้ Wi-Fi นั้นก็เร็วกว่าการเชื่อมต่อแบบ Mobile Data อยู่มากพอสมควรครับเพราะไม่ต้องแย่งแบนด์วิดธ์ในการใช้งานเพราะการเชื่อมต่อแบบ Wi-Fi นั้นมักจะมีการจำกัดความเร็วที่แน่นอนมาให้(ในกรณีที่เป็น Wi-Fi ฟรี หรือ Wi-Fi ตามร้านต่างๆ) ที่สำคัญก็คือการเชื่อมต่อ Wi-Fi ยังช่วยให้คุณสามารถที่จะประหยัดโปรโมชันข้อมูล Mobile Data ไว้ใช้ในเวลาที่จำเป็นได้อีกด้วยครับ

สรุปแล้วเปิด Wi-Fi ทิ้งไว้จะดีที่สุด

จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้นขอแนะนำเลยครับว่าการเปิด Wi-Fi ทิ้งไว้นั้นจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะนอกจากจะประหยัดแบตเตอรี่ได้มากกว่าการใช้ Mobile Data แล้ว ในเมืองไทยเราก็ยังมี Wi-Fi ฟรีให้ใช้ในหลายๆ ตำแหน่งอีกมากมาย

อย่างไรก็ตามถ้าหากว่าคุณไม่ได้อยู่ติดที่ ตัวอย่างเช่นออกต่างจังหวัด หรือออกไปในที่ที่คุณรู้อยู่แล้วว่าไม่มีจุดเชื่อมต่อ Wi-Fi ไหนที่คุณจะสามารถทำการเชื่อมต่อเพื่อใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ การปิด Wi-Fi ไว้นั้นก็จะช่วยทำให้ประหยัดแบตได้มากขึ้นครับ

หมายเหตุ - แต่ถ้าคุณมีแพกเก็จ Mobile Data แบบ Unlimited อยู่แล้ว คุณจะไม่ใช้การเชื่อมต่อ Wi-Fi เลยก็ไม่ว่ากันครับ

ที่มา : androidcentral

ขอบคุณเนื้อหา และภาพประกอบ




 

Create Date : 12 ธันวาคม 2557    
Last Update : 12 ธันวาคม 2557 7:29:06 น.
Counter : 985 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  110  111  112  113  114  115  116  117  118  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.