กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
เพชรพระมหามงกุฎ
แผ่นดินทอง
รัตนโกสินทร์ ๒๒๕ ยินดีต้อนรับ
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
พระราชสกุล
เที่ยวเมืองพระร่วง
ตำนานวังหน้า
ความ-ทรงจำ ในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
อธิบายเรื่องธงไทย
ตำนานภาษีอากร
บันทึกรับสั่งสมเด็จฯ
สารคดีที่น่ารู้ - ม.จ.หญิงพูนพิศมัย ดิศกุล
พระจอมเกล้าพระจอมปราชญ์
เทศาภิบาล
สิมอีสาน
ว่าด้วยตำนานเสภา เรื่องขุนช้างขุนแผน
ตำนานการสอบพระปริยัติธรรม
ตำนานพระแก้วมรกต
เรื่องทรงเที่ยวกลางคืน พระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จดหมายเหตุพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรจนถึงสวรรคต
พระราชหัตถเลขาในรัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสแหลมมลายูคราว ร.ศ. ๑๐๘
พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตอนเสวยราชย์
พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก่อนเสวยราชย์
ว่าด้วยประเทศสยามในจดหมายเหตุจีน
ว่าด้วยหน้าที่และพระอัธยาศัยในกรมพระราชวังบวรฯ กรุงรัตนโกสินทร์
ตำนานหนังสือพระราชพงศาวดาร
คำให้การหัวพันห้าทั้งหกในศึกฮ่อ
อำแดงเหมือน กับ นายริด
แผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง)
ว่าด้วยตำนานการเดินทางของฝรั่งมาสู่สยาม และมูลเหตุที่รับเป็นไมตรี
สำเภาเจดีย์ที่วัดยานนาวา
กรุงศรีอยุธยา ครั้งบ้านเมืองดี
ร.ศ. ๑๑๒
อธิบายเรื่องพระบาท
อธิบายตำนานรำโคม
วิจารณ์ว่าด้วยหนังสือ พราหมณศาสตร์ทวาทสพิธี
วินิจฉัยประเพณีแต่งงานอย่างโบราณ
พระราชหัตถเลขาอันเป็นมูลเหตุที่ตั้งหอพระสมุดวชิรญาณ
บรรดาศักดิ์ "เจ้าคุณ" ฝ่ายผู้หญิง
รับทูตฝรั่งครั้งกรุงรัตนโกสินทร์
ตำนานการที่ไทยเรียนภาษาอังกฤษ
ลักษณะการศึกษาของเจ้านายแต่โบราณ
คำให้การชาวอังวะ
แผ่นดินสมเด็จพระเอกาทศรฐมหาราช
"กรมสมเด็จ" กับ "สมเด็จกรม"
พระบรมราชาธิบายเรื่อง ตั้งกรมเจ้านาย
เปรียบนามสกุลกับชื่อแซ่
พระราชปุจฉาอันเป็นมูล "พระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชญดาญาณ"
คำให้การเฒ่าสา เรื่องหนังราชสีห์
ประกาศพระราชบัญญัติให้ใช้คำนำหน้าชื่อชนต่างๆ
ตำนานพระโกศ
ศึกเจ้าอนุเวียงจันทน์
ศึกถลาง
อธิบายเรื่องพระมหาอุปราช
เสด็จประพาสต้น ร.ศ. ๑๒๕
กำเนิดหัวเมืองในมณฑลอีสาน สรุป
กำเนิดหัวเมืองในมณฑลอีสาน ตอนที่ ๒
กำเนิดหัวเมืองในมณฑลอีสาน ตอนที่ ๑
อธิบายเรื่องวรรณยุกต์
ประกาศพระราชพิธีโสกันต์ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์
ประกาศขนานนามพระพุทธปฏิมากรประจำรัชกาล
ตั้งเจ้าพระยานครศรีธรรมราช
ว่าด้วยมูลเหตุแห่งการสร้างวัดในประเทศสยาม
เหตุเกิดเมื่อศักราช ๙๐๗ พระเทียรราชาได้ราชสมบัติ
เสด็จตรวจราชการมณฑลอีสาน มณฑลอุดร ตอนที่ ๑
เสด็จตรวจราชการมณฑลอีสาน มณฑลอุดร ตอนที่ ๒
เมื่อแผ่นดินทรงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๒ พระองค์
ว่าด้วยลักษณะการปกครองประเทศสยามแต่โบราณ
เสด็จประพาสต้น ร.ศ. ๑๒๓
พระราชมรดกในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ตำหนักทองที่วัดไทร
ด่านพระเจดีย์สามองค์
๒๓ ตุลาคม ๒๔๕๓ เมื่อแผ่นดินสยามร้องไห้
โรงเรียนมหาดเล็กหลวง
สร้างพระบรมรูปทรงม้า
สมเด็จพระปิยมหาราช
อั้งยี่
ตำนานเงินตรา
ตำนานอากรบ่อนเบี้ยและหวย
แผ่นดินพระร่วง
จดหมายเหตุเสด็จหว้ากอ ปีมะโรงสัมฤทธิศก
แรกมีอนามัยในเมืองไทย
แรกมีโรงพยาบาลในเมืองไทย - ศิริราชพยาบาล
พระราชพิธีคเชนทรัศวสนาน
พงศาวดารเมืองนครเชียงใหม่ เมืองนครลำปาง เมืองลำพูนไชย
แผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
แผ่นดินสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช
แผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
แผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
ภูมิสถานกรุงศรีอยุธยา
ตำนานกรุงศรีอยุธยา
ศึกคราวตีเมืองพม่า
ศึกเมืองทวาย
ศึกพม่าที่นครลำปางและป่าซาง
ศึกพม่าที่ท่าดินแดง
ศึกหินดาดลาดหญ้า
ค้นเมืองโบราณ
ว่าด้วยตำนานสามก๊ก
ธรรมเนียมราชตระกูลในกรุงสยาม
พระราชกรัณยานุสรณ์
หนังสือหอหลวง
ว่าด้วยยศเจ้านาย
ร.ศ. ๑๑๒
คงได้เคยอ่านและเคยซาบซึ้งกับบทพระราชนิพนธ์นี้
ก่อนจะถึงจุดนี้ ต้องเท้าความกันยาว เล่าสังเขปได้ความว่า
เกิดขบถในเวียดนาม องเชียงสือหนีมาอยู่ที่ไซ่ง่อน ชาวไซ่ง่อนนับถือยกย่องให้ครองเมือง แต่ก็รักษาเมืองต่อสู้ไม่ไหว จำต้องหนีมาอยู่ที่เกาะกระบือในแดนเขมร และได้อาศัยเรือพระยาชลบุรี ซึ่งลาดตระเวนอยู่บริเวณนั้น พาครอบครัวเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
อยู่ได้ ๔ ปี องเชียงสือได้สัญญาจากฝรั่งเศสว่าจะช่วยกอบกู้บ้านเมืองให้ องเชียงสือเขียนหนังสือทูลลาวางไว้บนที่บูชา เนื้อความในหนังสือนั้นว่า "ตั้งแต่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ทำนุบำรุงเป็นอเนกประการ ถึงให้กองทัพไทยไปช่วยตีเมืองไซ่ง่อนพระราชทานก็ครั้ง ๑ แต่การยังไม่สำเร็จ เพราะกรุงเทพฯ ติดทำสงครามอยู่กับพม่า จะรอต่อไปก็เกรงว่าพรรคพวกทางเมืองญวนจะรวนเรไปเสีย ครั้นจะกราบถวายบังคมลาโดยเปิดเผยก็เกรงจะมีเหตุขัดข้องจึงหนีไป เพื่อจะไปคิดอ่านตีเอาเมืองไซ่ง่อนคืน ถ้าขัดข้องประการใดขอพระบารมีเป็นที่พึ่งทรงอุดหนุนด้วย เมื่อได้เมืองแล้วจะมาเป็นข้าขอบขัณฑสีมาสืบไป" (จากประชุมพระนิพนธ์ในสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เรื่อง
ตำนานรำโคม
) แล้วหนีไป ตั้งแต่นั้นมาฝรั่งเศสก็มีอำนาจในญวน
ฝ่ายไทย เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงทราบ ก็ทรงไม่อยากให้เกิดศึกขึ้นอีกทาง ในขณะที่เตรียมรับศึกพม่าอยู่ทางนี้นั้น จึงทรงพระกรุณาองเชียงสือต่อไป สนับสนุนเสบียงอาหารและศัสตราวุธตามสมควร พวกญวนที่ตามองเชียงสือเข้ามาครั้งนั้นโปรดฯ ให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บางโพ และสืบเชื้อสายกันมาจนบัดนี้ แต่การหนีขององเชียงสือยังให้กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงพระพิโรธ แล้วทรงพยากรณ์ไว้ว่า ต่อไปญวนจะทำความเดือดร้อนให้กับลูกหลานเป็นแน่
ก็เป็นจริงดังพระพยากรณ์ในกรมพระราชวังบวรฯ ในรัชกาลที่ ๓ เกิดศึกอนุเวียงจันทน์ เจ้าอนุแพ้ก็หนีไปพึ่งญวน พระเจ้าแผ่นดินญวนมีพระราชสาส์นเข้ามาทูลขอโทษเจ้าอนุ และพาเจ้าอนุมาส่งยังเมืองเวียงจันทน์ ฝ่ายแม่ทัพนายกองซึ่งรักษาเวียงจันทน์มิได้มีความระวังสงสัย พอตกค่ำเจ้าอนุและพวกก็ระดมยิงและฆ่าฟันทหารไทย หนีข้ามน้ำมาได้สักสี่สิบห้าสิบคน ทหารไทยอีกฟากหนึ่งต้องยืนดูพวกเพื่อนถูกไล่ฆ่าอยู่ชายหาดหน้าเมือง จนเจ้าพระยาบดินทร์เดชา(สิงห์)ยกทัพมารบชนะได้เมืองเวียงจันทน์ แต่เจ้าอนุหนีเข้าแดนเมืองพวนไปได้อีก แล้วเจ้าน้อยเมืองพวนก็จับตัวได้ มีหนังสือบอกส่งตัวเจ้าอนุลงมากรุงเทพฯ
พระเจ้าญวนก็ให้ญวนถือหนังสือเข้ามาอีกครั้ง ว่าจะเข้ามาขอโทษเจ้าอนุ พระยาวิชิตสงครามซึ่งตั้งอยู่ ณ เมืองหนองคายจับญวนผู้ถือหนังสือ จึงมีหนังสือบอกมายังเจ้าพระยาบดินทรเดชา เจ้าพระยาบดินทรเดชาตอบไปว่า ครั้งก่อนซึ่งเสียท่วงทีแก่อนุ ก็เพราะญวนเข้ามาเป็นนายหน้า ครั้งนี้จะล่อลวงอีกประการใดก็ไม่รู้ ให้จับฆ่าเสียให้สิ้น พระวิชิตสงครามจึงให้จับญวนมาฆ่าเสีย (พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเรื่อง
เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
) ฝ่ายพระเจ้าญวนเมื่อทราบเหตุก็ให้หาตัวเจ้าน้อยเมืองพวนไปเมืองญวน และรับสั่งประหารชีวิตเสีย แต่นั้นมาก็เกิดศึกญวนขึ้นเกือบตลอดรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฝรั่งชาติตะวันตกออกหน้าเรื่องอิทธิพลอำนาจเหนือแผ่นดินแถบนี้ ตั้งใจจะครอบงำประเทศต่างๆ ในทางตะวันออกนี้ และเริ่มต้นรุกรานด้วยอุบายต่างๆ ทุกทิศทุกทาง แต่พระปรีชาสามารถในองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงนำพาประเทศชาติได้จนตลอดรอดฝั่ง ฝรั่งต่างชาติไม่สามารถอ้างเหตุที่จะรุกรานไทยได้เลย ก็สงบอยู่
จนกระทั่งเกิดศึกฮ่อขึ้นในหัวพันห้าทั้งหก ไทยได้ส่งกองทหารขึ้นไปปราบหลายครั้ง เมื่อฮ่อแตกหนีไปก็ซุ่มซ่อนอยู่ในป่าบ้าง เข้าแดนญวนไปบ้าง พอกองทัพไทยกลับลงมา พวกฮ่อก็พากันยกกลับเข้ามาปล้นฆ่าก่อกวนอีก เป็นอย่างนี้เรื่อยไป จะกระทั่งฝรั่งเศสอ้างเหตุว่าไทยไม่สามารถปราบปรามฮ่อได้ และพวกฮ่อก็เข้าไปก่อกวนในแดนญวนประเทศในอาณัติฝรั่งเศสด้วย ด้วยเหตุนี้จึงยกกองทัพรุกล้ำเข้าในพระราชอาณาเขต อ้างว่าจะช่วยปราบปรามฮ่อ แล้วไม่ยอมถอนทหารกลับออกไปจากพระราชอาณาเขต จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ ขึ้น
Blog นี้ให้ชื่อว่า "ร.ศ. ๑๑๒"
คัดจากประชุมพงศาวดารภาคที่ ๔ เหตุสงครามระหว่างฝรั่งเศส
เป็นเหตุการณ์ที่ช่วยชาวไทยทุกคนได้ร่วมกันต่อสู้กับผู้รุกรานอธิปไตย ถึงแม้อาวุธยุทโธปกรณ์จะสู้กับผู้รุกรานไม่ได้ แต่ก็มีความกล้าหาญ ความอดทนเสียสละเพื่อชาติบ้านเมืองของตนก็พอจะทดแทนส่วนที่บกพร่องได้บ้าง บ่อยครั้งในการศึกแต่ละสนามที่ผู้รุกรานซึ่งมีอาวุธทันสมัยกว่าเพลี่ยงพล้ำให้แก่ฝ่ายเรา แต่อย่างไรก็ตามด้วยอาวุธที่ทันสมัยกว่าฝ่ายเราจะเสียเปรียบมาโดยตลอด จนในที่สุดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในฐานะจอมทัพไทย ก็ทรงนำพาประเทศชาติให้รอดพ้นอีกครั้งหนึ่ง ด้วยพระสติปัญญาความสุขุมคัมภีรภาพ และกลยุทธที่ทุกคนต้องยกย่องพระองค์ท่าน
ในภาวะของความขัดแย้งในบ้านเมืองอย่างทุกวันนี้ เราลองหันไปดูความสามัคคีของคนไทยสมัยนั้นดูบ้างนะครับ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
.......................................................................................................................................................
เหตุสงครามระหว่างฝรั่งเศส
วันที่ ๓๑ มีนาคม รัฐบาลฝรั่งเศสแต่งให้เรสิดองปัสตา เป็นแม่ทัพ พร้อมด้วยนายร้อยเอกโทเรอ และนายร้อยตรีโมโซ และมิงซิเออร์ปรุโซ คุมทหารญวนเมืองไซ่ง่อน ๒๐๐ คน และกำลังเมืองเขมรพนมเปญเป็นอันมากลงเรือ ๓๓ ลำ พร้อมด้วยศัสตราวุธ ยกเป็นกระบวนทัพขึ้นมาตามลำน้ำโขง เข้ามาในพระราชอาณาเขต ขับไล่ทหารซึ่งรักษาด่านบงขลา แขวงเมืองเชียงแตง และด่านเสียมโบก ยึดเอาด่านทั้ง ๒ ตำบลได้แล้ว
ครั้นลุรัตนโกสินทร์ศก ๑๑๒ วันที่ ๒ เมษายน ฝรั่งเศสก็ยกกระบวนทัพล่วงเข้ามาถึงเมืองเชียงแตง บังคับขับไล่หลวงพิพิธสุนทร (อิน) และนายร้อยโทคร้าม ข้าหลวงกับทหาร ๑๒ คนซึ่งอยู่รักษาเมืองเชียงแตง ให้ข้ามไปอยู่เมืองธาราบริวัตรฝั่งโขงตะวันตก โดยอ้างเหตุว่า ดินแดนในฝั่งโขงตะวันออกและเกาะดอนในลำน้ำโขงเป็นเขตแขวงของญวน ซึ่งอยู่ในบำรุงฝรั่งเศส
เวลานั้นข้าหลวงและผู้รักษาเมืองกรมการ ราษฎรเมืองเชียงแตงมิทันรู้ตัว ก็พากันแตกตื่นควบคุมกันมิติด เพราะมิได้คิดเห็นว่าฝรั่งเศสอันเป็นพระราชไมตรีกับประเทศสยามจะเป็นอมิตรขึ้น ในก่อนที่จะประกาศแสดงขาดทางพระราชไมตรี ฝ่ายข้าหลวงกับพลทหาร ๑๒ คน ก็จำต้องออกจากเมืองเชียงแตง ข้ามมาอยู่ ณ เมืองธาราบริวัตร ครั้นฝรั่งเศสได้เมืองเชียงแตงแล้ว ก็แต่งนายทัพนายกองคุมทหารแยกย้ายกัน ยกเป็นกระบวนทัพล่วงเข้ามาตั้งอยู่ตามเกาะดอนต่างๆ ณ แก่งลีผี และเดินกระบวนทัพเข้ามาโดยทางบก ตลอดฝั่งโขงตะวันออกจนถึงเมืองหลวงพระบาง
เวลานั้นพระประชาคดีกิจ (แช่ม) ซึ่งเป็นข้าหลวงหน้าที่หัวเมืองลาวฝ่ายใต้ พักอยู่ ณ เมืองสีทันดร เห็นว่าฝรั่งเศสประพฤติผิดสัญญาทางพระราชไมตรี จึงได้แต่งให้ข้าราชการฝ่ายทหารและพลเรือนซึ่งอยู่ในบังคับบัญชาคุมกำลังแยกย้ายไปตั้งป้องกันกองทัพฝรั่งเศสไว้ แล้วมีหนังสือไปห้ามปรามกองทัพฝรั่งเศสตามทางพระราชไมตรี เพื่อให้ฝรั่งเศสถอนกองทัพกลีบออกไปเสียให้พ้นพระราชอาณาเขตโดยดี ฝ่ายฝรั่งเศสก็หาฟังไม่ กลับยกกองทัพรุดล่วงเข้ามาเป็นอันดับ และกองทัพฝรั่งเศสกองหนึ่ง มีกำลังทหารพร้อมด้วยศัสตราวุธประมาณ ๔๐๐ คนเศษ ยกมาโดยกระบวนเรือ ๒๖ ลำ เข้าจอด ณ ดอนละงา ขึ้นเดินบกเป็นกระบวนมาบนดอน ขณะนั้นหลวงเทเพนทรเทพ ซึ่งคุมกำลังยกไปตั้งกันอยู่ ณ ดอนนั้น จึงได้ออกไปทักถามนายทหารฝรั่งเศส และได้บอกให้ฝรั่งเศสยกกองทัพกลับออกไปจากพระราชอาณาเขตสยาม ฝรั่งเศสกลับว่าที่ตำบลเหล่านั้นเป็นของฝรั่งเศส ให้หลวงเทเพนทร์ยกกำลังไปเสีย ถ้าไม่ไปจะรบ แล้วฝรั่งเศสก็เป่าแตรเรียกทหารเข้าแถวเตรียมรบ ฝ่ายหลวงเทเพนทร์เห็นว่าห้ามปรามทหารฝรั่งเศสมิฟัง จึงได้ถอนมาตั้งอยู่ ณ ดอนสม และแจ้งข้อราชการยังพระประชา
พระประชาจึงได้เขียนคำโปรเตสสำหรับยื่นกับฝรั่งเศส ลงเรือน้อยไปหาฝรั่งเศส ณ ค่ายดอนสาร ถามได้ความว่า นายทหารฝรั่งซึ่งเป็นแม่ทัพในกองนี้นั้นชื่อ เรสิดองโปลิติก ๑ กอมมันดิงมิลิแตร์ ๑ พระประชาจึงได้แจ้งต่อนายทัพฝรั่งเศสว่า ที่ตำบลเหล่านี้เป็นพระราชอาณาเขตสยาม การซึ่งฝรั่งเศสยกเป็นกระบวนทัพล่วงเข้ามาดังนี้ ผิดด้วยสัญญาทางพระราชไมตรี ขอให้ฝรั่งเศสยกทหารกลับออกไปเสียให้พ้นพระราชอาณาเขต ฝ่ายนายทัพฝรั่งเศสตอบว่าราชทูตไทยที่ปารีสกับรัฐบาลสยามที่กรุงเทพฯ ได้ยอมยกที่ตำบลเหล่านี้และตามลำแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศสแล้ว พระประชาจึงตอบว่า จะตอมเชื่อตามถ้อยคำของฝรั่งเศสที่กล่าวนี้มิได้ เพราะยังมิได้รับคำสั่งจากรัฐบาลสยาม ขอให้ฝรั่งเศสยกทหารถอยออกไปเสียให้พ้นพระราชอาณาเขตก่อน ฝ่ายฝรั่งเศสก็หายอมเลิกถอนไปไม่ พระประชาจึงยื่นคำโปรเตสไว้ต่อนายทัพฝรั่งเศส แล้วลากลับมา
ฝ่ายฝรั่งเศสก็ยกกระบวนทัพรุดล่วงเข้ามาเป็นอันดับ และซ้ำระดมยิงเอากองรักษาฝ่ายสยามซึ่งไปตั้งรักษาขึ้นก่อน ถึงกระนั้นกองรักษาฝ่ายสยามก็หาได้ยิงโต้ตอบต่อสู้ไม่ โดยถือว่ากรุงฝรั่งเศสกับประเทศสยาม ยังมิได้ขาดจากสัญญาทางพระราชไมตรีกัน เพราะรัฐบาลสยามยังหาได้มีคำสั่งไปให้ต่อสู้กับฝรั่งเศสประการใดไม่ จึงได้จัดการแต่เพียงให้ตั้งรักษามั่นอยู่ และได้พยายามทุกอย่างที่จะมิให้มีคงวามบาดหมางต่อทางพระราชไมตรี และทั้งได้มีหนังสือห้ามปรามซ้ำไปอีก ข้างฝรั่งเศสก็กลับรบรุกระดมยิงปืนใหญ่น้อยมายังกองรักษาฝ่ายสยามเป็นสามารถ ฝ่ายสยามจึงได้ยิงโต้ตอบไปบ้างแต่เล็กน้อย โดยมิได้เจตนาที่จะทำลายชีวิตผู้คนอย่างใด เป็นแต่แสดงให้เห็นว่าฝ่ายไทยก็มีปืนบ้างเหมือนกันเท่านั้น
แต่ข้างฝ่ายฝรั่งเศสก็ยิ่งหนุนเนื่องรุกรบเข้ามาทุกที จนเจ้าหน้าที่ฝ่ายสยามเห็นว่าเหลือกำลังที่จะห้ามปราม และปฏิบัติจัดการโดยดีกับฝรั่งเศสได้แล้ว จึงจำเป็นต้องจัดการออกระดมยิงต่อสู้บ้าง เพื่อรักษาความเป็นอิสรภาพ และทั้งป้องกันชีวิตของประชาชนชายหญิง อันอยู่ในความปกครองไว้ และทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องอาวุธป่วยตาย และตั้งประชันหน้ากันอยู่
เวลานั้นพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิติปรีชากร ข้าหลวงใหญ่หัวเมืองลาวกาว ซึ่งประทับอยู่ ณ เมืองอุบล เมื่อได้ทรงทราบว่าฝรั่งเศสแสดงเป็นอมิตรขึ้นดังนั้นแล้ว จึงได้โปรดให้เกณฑ์กำลังเมืองศรีสะเกษ เมืองขุนันธ์ เมืองสุรินทร์ เมืองมหาสารคาม เมืองร้อยเอ็ด เมืองละ ๘๐๐ คน และเมืองสุวรรณภูมิ เมืองยโสธร เมืองละ ๕๐๐ คน และให้เกณฑ์เมืองขุขันธ์อีก ๕๐๐ คน ให้พระศรีพิทักษ์ (หว่าง) ข้าหลวงเมืองขุขันธ์คุมไปตั้งรักษาอยู่ ณ เมืองมโนไพร และเมืองเซลำเภา โปรดให้พลวงเทพนรินทร์ (วัน) ซึ่งกลับจากหน้าที่เมืองตะโปนไปเป็นข้าหลวงแทนพระศรีพิทักษ์ อยู่เมืองขุขันธ์
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าคัคณางคยุคล กรมหลวงพิชิตปรีชากร
และให้นายสุจินดา ขุนอินทรประสาท(กอน) นาร้อยตรีคล้าย นายร้อยตรีโชติ คุมทหาร ๑๐๐ คน และกำลัง ๕๐๐ คน พร้อมด้วยศัสตราวุธ เป็นทัพหน้า รีบยกออกจากเมืองอุบลแต่วันที่ ๑๐ เมษายน ลงไปสมทบช่วยพระประชา ณ เมืองสีทันดร และโปรดให้เมืองใหญ่ทุกเมืองในลาวกาว เรียกคนพร้อมด้วยเครื่องศัสตราวุธ มาเตรียมไว้กับบ้านเมือง เมืองละ ๑๐๐๐ คน แล้วให้ท้าววรกิติกา(ทุย) เพี้ยเมืองซ้าย(เถื่อน) กรมการเมืองอุบล คุมคนเมืองอุบล ๕๐๐ คน พร้อมด้วยศัสตราวุธไปสมบทกองนายสุจินดา
วันที่ ๒๐ เมษายน ฝรั่งเศสชื่อกองซือ กับทหารญวน ๑๙ คน อาวุธครบมือ มาที่เมืองอัตปือ บังคับว่ากล่าวมิให้ผู้ว่าราชการ กรมการ และราษฎรเมืองอัตปือ เชื่อฟังบังคับบัญชาไทย เวลานั้นราชบุตร และนายร้อยพุ่ม ซึ่งรักษาราชการอยู่ ณ เมืองอัตปือจึงขับไล่ฝรั่งเศสและมหาญวนล่องเรือไปจากเมืองอัตปือ
วันที่ ๒๘ เมษายน ฝรั่งเศสคุมทหารประมาณ ๘๐๐ คนยกมาเมืองตะโปน ขับไล่เจ้าหน้าที่ฝ่ายสยาม ถอยมาอยู่ ณ เมืองพิน
พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร จึงโปรดให้นายร้อยโทเล็ก ๑ ท้าวบุตรวงศา(พั่ว) กรมการเมืองอุบล ๑ คุมคนเมืองอุบล ๕๐๐ คน และคนเมืองสองคอนดอนดง ๕๐๐ เมืองพลาน ๒๐๐ เมืองลำเนาหนองปรือ ๘๐๐ รวมเป็น ๒๐๐๐ คน ไปตั้งรักษาอยู่บ้านตังหวายห้วยค้นแทะใหญ่ ปากดงกระเพาะภูกะไดแก้ว และให้ขุนอาสาสงคราม(สวน)ข้าหลวง ราชบุตรเมืองมหาสาคาม พระพิทักษ์นรากร(อุ่น)ผู้ว่าราชการเมืองวาปีปทุม คุมคน ๑๐๐ คน ไปตั้งรักษาอยู่ ณ ภูด่านแดนด่านแขวงฆ้อง
วันที่ ๒๙ เมษายน โปรดให้ราชวงศ์ ราชบุตร เมืองยโสธร คุมคนเมืองยโสธร ๕๐๐ และให้อุปฮาด(บัว)เมืองกมลาสัย คุมคนเมืองศรีสะเกษ ๕๐๐ รวมเป็น ๑๐๐๐ คน พร้อมด้วยศัสตราวุธ ยกไปสมทบกองทัพพระประชา นายสุจินดา ณ เมืองสีทันดร และให้พระไชยภักดี ผู้ช่วยเมืองศรีสะเกษ คุมคนเมืองศรีสะเกษ ๕๐๐ พร้อมด้วยศัตราวุธยกไปตั้งรักษาอยู่ ณ ช่องโพย และด่านพระประสบแขวงเมืองขุขันธ์
ฝ่ายทางพระประชา ได้จัดให้หลวงพิพิธสุนทร(อิน) ซึ่งมาแต่เมืองธาราบริวัตร คุมคนไปตั้งรักษาอยู่ท้ายดอนเดช ให้นายสุจินดา และนายร้อยโทพุ่ม ซึ่งมาแต่เมืองอัตปือ คุมคน ๔๐๐ ไปตั้งรับอยู่ ณ ดอนสาคร ให้หลวงเทเพนทรเทพ ขุนศุภมาตรา นายร้อยตรีถมยา คุมคน ๔๐๐ คนไปรักษาท้ายดอนสะดำ และท้ายดอนสาคร ให้เจ้าราชบุตรจำปาศักดิ์ คุมกำลังตามสมควรไปรักษาอยู่ท้ายดอนสม และหัวดอนเดช
ครั้นวันที่ ๕ พฤษภาคม นายสุจินดาล่องเรือถึงหัวดอนสาคร ฝรั่งเศสซึ่งตั้งค่ายอยู่ ณ ดอนสาครแลเห็น ให้ทหารระดมปืนใหญ่น้อยออกมาตั้งแต่บ่ายโมง จนถึงบ่าย ๒ โมง
ฝ่ายหลวงเทเพนทรเทพได้ยินเสียงปืนหนาแน่น จึงแบ่งให้ขุนศุภมาตราไปท้ายดอนสะดำ ส่วนหลวงเทพเนทรเทพกับนายร้อยตรีถมยา แยกเข้าท้ายดอนนางชมด้านตะวันออกดอนสาคร ขึ้นตั้งค่ายประชิดค่ายฝรั่งเศสประมาณ ๑๖ ๑๗ วา ฝ่ายฝรั่งเศสก็ระดมยิงกราดมาเป็นอันมาก กองทัพไทยเข้าตั้งในวัดบ้านดอนเป็นที่มั่นได้ จึงได้ยิงโต้ตอบฝรั่งเศสบ้าง ก็สงบไป
วันที่ ๖ พฤษภาคม พระประชาไปตรวจค่ายที่ดอนสาคร ขณะนั้นกองทัพฝรั่งเศสยิงปืนมาเป็นอันมา ถูกนายสีพลทหารตายคนหนึ่ง ฝ่ายทัพสยามได้ยิงตอบถูกทหารฝรั่งที่ส่องกล้องอยู่บนหอรบคน ๑ และทหารแตรคน ๑ พลัดตกลงมา ฝรั่งเศสก็สงบยิง
พระประชาจึงได้มีหนังสือห้ามทัพมิให้ยิงปืน และให้ฝรั่งเศสยกกองทัพแกไปให้พ้นพระราชอาณาเขต ให้หญิงชาวบ้านถือไปให้แม่ทัพฝรั่งเศส ณ ค่ายดอนสาคร ฝรั่งเศสก็หาตอบหนังสือไม่ แต่ต่างก็สงบยิงทั้งสองฝ่ายอยู่จนบ่าย ๔ โมง ฝรั่งเศสก็กลับระดมยิงทัพสยามมาอีก ทัพสยามได้ยิงโต้ตอบฝรั่งเศส ถูกทหารฝรั่งเศสพลัดตกจากหอรบอีกคนหนึ่ง ฝรั่งเศสก็ยิ่งระดมยิงกองทัพสยามเป็นอันมาก แต่ฝ่ายสยามหาได้ยิงตอบสักนัดไม่
ในวันนี้ เรือลาดระเวนฝ่ายสยาม ซึ่งอยู่ในบังคับขุนศุภมาตรา จับนายสิง นายสุทาชาวบ้านดอนสาคร ซึ่งฝรั่งเศสใช้ให้ถือหนังสือจะไปส่งให้ฝรั่งเศส ณ เมืองเชียงแตง เพื่อให้ส่งกองทัพเพิ่มเติมมานั้น ได้ถามให้การรับ พระประชาได้พร้อมด้วยนายทัพนายกองปรึกษาโทษ เอาตัวนายสิง นายสุทา ประหารชีวิตตามบทพระอัยการศึก
และในวันนั้น กัปตันโทเรอนายทหารฝรั่งเศส คุมเรื่องเสบียงอาหารจะมาส่งยังกองทัพฝรั่งเศส ณ แก่งลีผี พอมาถึงหางดอนสะดำ พบเรือลาดตระเวนฝ่ายสยาม ฝ่ายสยามได้ห้ามปรามให้หยุด เรือกัปตันโทเรอหาหยุดไม่ มิหนำซ้ำกลับยิงเอาเรือลาดตระเวนฝ่ายสยาม ฝ่ายสยามได้ออกสกัดยิงตอบเรือกัปตันโทเรอถอยกลับลงไป ขุนศุภมาตราจึงได้ให้เรือลาดตระเวนไล่ตามไป ฝ่ายกองทัพราชวงศ์ ราชบุตรเมืองสพังภูผา และกองพระภักดีภุมเรศ พระวิเศษรักษา ซึ่งตั้งรักษาอยู่ ณ บ้านพละคัน ก็ลงเรือช่วยกันตามจับ ได้กัปตันโทเรอ และนายตี๋ล่าม ๑ ทหารญวน ๓ คน ลาวเมืองเชียงแตง ๑๓ คน ส่งไปยังพระประชา พระประชาได้ส่งมายังเมืองอุบล ส่วนกองทัพสยามและฝรั่งเศสก็ตั้งประชิดกันอยู่โดยกำลังสามารถ ณ ดอนสาคร
ฝ่ายกองทัพฝรั่งเศส ณ เมืองตะโปน ก็ยกกองทัพเข้ามาทางเมืองนอง จับหลวงบริรักษ์รัษฎากร นายบรรหารภูมิสถิต และหลวงสำแดงฤทธิ์เจ้าหน้าที่รักษาฝ่ายสยามอันมิได้ต่อรบนั้นได้
พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร จึงได้ให้หลวงพิทักษ์สุเทพ(รอด) ท้าวไชยกุมาร(กุคำ) คุมคนเมืองยโสธร ๕๐๐ ไปตั้งอยู่ ณ เมืองเขมราษฎร์ และให้จัดนายกองคุมคนไปช่วยนายร้อยโทเล็ก
ฝ่ายกองทัพฝรั่งเศสเมืองนองก็ยกกองทัพรีบรุดล่วงเข้ามาทางเมืองพิน เมืองพ้อง เมืองพลาน เมืองสองคอนดอนดง ส่วนกองนายร้อยโทโทเล็ก และท้าวบุตรวงศา ราชบุตรวาปี ต้องล่าหนีข้ามโขมมา ฝรั่งเศสก็เดินกองทัพมาจนถึงฝั่งโขงโดยรวดเร็ว แล้วก็เลิกทัพกลับไป แล้วฝรั่งเศสได้ปล่อยหลวงบริรักษ์รัษฎากร มาพร้อมกับหลวงมลโยธานุโยค ข้าหลวงเมืองเชียงฮม ซึ่งฝรั่งเศสจับได้ไว้ทางมณฑลลาวพวน แต่ส่วนนายบรรหารภูมิสถิตย์นั้น ฝรั่งเศสส่งไปเมืองกวางตี้ แต่ภายหลังก็ได้ปล่อยกลับมา
กองทหารไทยในศึกฝรั่งเศส
วันที่ ๒๐ พฤษภาคม พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร โปรดให้อุปฮาด(อำคา)เมืองสุวรรณภูมิ ๑ พระศรีเกษตราธิชัย(ศิลา)ผู้ว่าราชการเมืองเกษตรวิสัย ๑ คุมคนเมืองสุวรรณภูมิ ๕๐๐ และให้พระสุนทรพิพิธ ผู้ว่าราชการเมืองโกสุม ๑ หลวงจำนงวิชัย ผู้ช่วยเมืองร้อยเอ็ด ๑ คุมคนมหาสารคาม และร้อยเอ็ด ๓๐๐ รวม ๘๐๐ ยกออกจากเมืองอุบลไปช่วยพระประชา ณ ค่ายดอนสาคร
และให้นายร้อยตรีหุ่น ๑ คุมคนเมืองจตุรพักตร ๑๐๕ เมืองร้อยเอ็ด ๒๑๐ เมืองมหาสารคาม ๒๑๐ รวม ๕๒๕ คน ยกไปตั้งรักษาอยู่ ณ เมืองมโนไพร และธาราบริวัตร และด่านลำจาก เปลี่ยนเอาพระศรีพิทักษ์(หว่าง) กลับมาตั้งรักษาอยู่ ณ ช่องโพย และให้นายร้อยตรีวาด ไปเรียกคนเมืองขุขันธ์อีก ๕๐๐ คน สำหรับส่งไปเพิ่มเติมยังกองพระศรีพิทักษ์(หว่าง) และให้ขุนไผทไทยพิทักษ์(เกลื่อน) ข้าหลวงเมืองศรีสะเกษ เป็นหน้าที่ส่งเสบียงไปยังกองพระศรีพิทักษ์
วันที่ ๒๑ พฤษภาคม หลวงเสนานนท์ ๑ หลวงอนุรักภักดี(พุด) ๑ หลวงวิจารณ์ภักดี ๑ พระสิทธิศักดิ์สมุทรเขต(บุษย์) ๑ หลวงสิทธิเดชสมุทรขันธ์(ล้อม) ๑ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คุมเครื่องศัสตราวุธ ไดไปถึงเมืองอุบล
วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ฝรั่งเศสคุมกองทัพเพิ่มเติมยกมาถึงบ้านพละคันอีกประมาณพันเศษ พระประชาเห็นศึกเหลือกำลังกล้า จึงให้เลิกค่ายท้ายดอนไปรวมตั้งรับที่ดอนสะดำ และเลิกค่ายหัวดอนคอนไปรวมตั้งรับ ณ ค่ายดอนเดช ดอนสม และในวันนี้เวลาบ่าย ๕ โมงเศษ กองทัพฝรั่งเศสยกขึ้นมาตั้งที่บ้านเวินยางฝั่งตะวันตก ตรงค่ายกองทัพสยามที่ดอนสะดำ และฝรั่งเศสระดมปืนใหญ่น้อย และกระสุนแตกมาที่ค่ายสยาม ณ ดอนสะดำเป็นอันมาก หลวงเทเพนทรเทพ นายร้อยตรีถมยา เห็นจะตั้งรับอยู่ที่ดอนสะดำมิได้ จึงได้ล่าถอยมาตั้งค่ายรับอยู่ ณ ดอนโสม
วันที่ ๒๓ พฤษภาคม ฝรั่งเศสยกกองทัพมาขึ้นท่าสนามท้ายดอนคอน ครั้นบ่าย ๔ โมง ฝรั่งเศสยกมาตีค่ายสยามหัวดอนคอน หลวงอภัยเมืองสีทันดร และท้าววรกิติกา(ทุย)กรมการเมืองอุบล ซึ่งพระณรงค์วิชิต(เลื่อน)ให้เป็นนายกองอยู่ ณ ค่ายหัวดอนคอน ต้านทานกองทัพฝรั่งเศสมิหยุด จึงยกล่าถอยข้ามมาดอนเดช ฝรั่งเศสตามจับหลวงอภัยได้ ฝ่ายค่ายสยามที่ดอนเดชได้ยิงต่อสู้กองทัพฝรั่งเศส ฝรั่งเศสก็ระดมยิงมาที่ค่ายดอนเดชเป็นสามารถ พลสยามที่ดอนเดชทานกำลังลูกแตกมิได้ ก็ล่าถอยมาตั้งรับอยู่ ณ ค่ายดอนสม พอเวลาพลบค่ำ กองทัพฝรั่งเศสก็เลิกไปค่าย
วันที่ ๒๔ พฤษภาคม พระณรงค์วิชิต(เลื่อน)ได้ให้กำลังไปรักษาค่ายที่ดอนเดชไว้ตามเดิม และแต่งกองซุ่มไปอยู่ดอนตาล ดอนสะดำ คอยตีตัดมิให้ฝรั่งเศสเวียนเดินเรือเข้ามาในช่องได้ และเพี้ยศรีมหาเทพนครจำปาศักดิ์พาพล ๑๙ คนหนี อุปฮาด(บัว)เมืองกมลาสัย ซึ่งตั้งค่ายอยู่ตำบลชลเวียงจับได้ พระประชา(แช่ม)ได้ปรึกษาโทษให้ประหารชีวิตตามบทพระอัยการศึก ฝ่ายนายทัพนายกองได้ขอชีวิตไว้ พระประชา(แช่ม)จึงได้ให้ทำโทษเฆี่ยนเพี้ยศรีมหาเทพ ๙๐ ที พวกพลคนละ ๓๐ ที
วันที่ ๒๖ พฤษภาคม ฝรั่งเศสยกกองทัพขึ้นตั้งดอนเดชประชิดค่ายสยาม แล้วระดมยิงกระสุนแตกมาที่ค่ายสยามเป็นอันมาก ฝ่ายกองทัพสยามมิได้ยิงตอบ ครั้นฝรั่งเศสยกกองทหารรุกเข้ามาใกล้ ฝ่ายสยามจึงได้ระดมยิงกองทัพฝรั่งเศส ทหารฝรั่งเศสถูกกระสุนปืนล้มตายหลายคน แตกถอยกลับไป ฝ่ายสยามถูกกระสุนปืนเจ็บป่วย ๓ คน ในวันนี้พระประชา(แช่ม)ได้จัดให้นายทัพนายกองคุมกำลังไปตั้งค่ายรับที่ดอนสมอีกครั้งหนึ่ง
ระหว่างนี้ฝ่ายฝรั่งเศส และสยามต่างก็ตั้งมั่นรักษาอยู่
กองทหารไทยเข้าสู่สมรภูมิในสมัยศึกฝรั่งเศสคงไม่ต่างจากภาพนี้เท่าไร
ในภาพเป็นการซ้อมรบกับปืน ร.ศ. ครั้งแรก
ในเดือนนี้ฝ่ายรัฐบาลฝรั่งเศส และสยามได้ปรึกษาตกลงกันเลิกสงคราม และฝ่ายสยามได้เรียกให้กองทัพทุกๆ กองกลับ และได้ตกลงสัญญากันเมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม
(เหตุตามรายวัน) พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากรมีบอกกราบบังคมทูลพระกรุณา ขอราชวงศ์สีทันดร และท้าวสิทธิสารเมืองมูลปาโมกข์ ซึ่งคุมช้างเผือกลงมา ณ กรุงเทพฯ เป็นผู้ว่าราชการเมืองสีทันดร และเมืองมูลปาโมกข์
วันที่ ๕ เมษายน ๑๑๒ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตรให้ราชวงศ์เมืองสีทันดร เป็นพระอภัยราชวงศา ผู้ว่าราชการเมืองสีทัน พระราชทานครอบเงินกลีบบัวถมดำเครื่องในพร้อมสำรับ ๑ ลูกประคำร้อยแปดเม็ดสาย ๑ ผ้าม่วงจีนผืน ๑ แพรขวาห่มเพลาะ ๑ แพรสีทับทิมติดขลิบ ๑ และพระราชทานสัญญาบัตรให้ท้าวสิทธิสาร เป็นพระวงศาสุรเดช ผู้ว่าราชการเมืองมูลปาโมกข์ ขึ้นเมืองสีทันดร พระราชทานเครื่องยศตามบรรดาศักดิ์
วันที่ ๒๓ เมษายน พระยาราชเสนา(ทัด) ได้รับพระราชทานสัญญาบัตร เลื่อนเป็นพระยาศรีสิงหเทพ และได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุติยจุลจอมเกล้า และพานทองคำเครื่องพร้อม ๑ คนโททองคำ ๑
วันที่ ๑๐ พฤษภาคม พระศรีพิทักษ์(หว่าง) ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็น พระราชวรินทร์
วันที่ ๑ มิถุนายน นายสุจินดา(เลื่อน) ได้รับพระราชทานสัญญาบัตร เลื่อนเป็นพระณรงค์วิชิต
วันที่ ๒ มิถุนายน กรมหลวงวิชิตปรีชากรโปรดให้พระสิทธิศักดิ์สมุทรเขต(บุษย์) เป็นข้าหลวงบังคับเมืองมหาสารคาม เมืองร้อยเอ็ด เมืองสุวรรณภูมิ ตั้งอยู่ ณ เมืองมหาสารคาม ให้หลวงสิทธิเดชสมุทรขันธ์(ล้อม) เป็นข้าหลวงบังคับเมืองกมลาสัย เมืองกาฬสินธุ์ เมืองภูแล่นช้าง ตั้งอยู่ ณ เมืองกาฬสินธุ์ ให้พระสุจริตรัฐการี(ทำมา) กรมการเมืองอุบล ไปเป็นข้าหลวงประจำเมืองร้อยเอ็ด ให้พระดุษฎีตุลกิจ(สง) ข้าหลวงเมืองสุวรรณภูมิ ไปช่วยพระสิทธิศักดิ์อยู่ ณ เมืองมหาสารคาม ถอนนายร้อยตรีพรหม ข้าหลวงเมืองมหาสารคาม มาอยู่เมืองสุวรรณภูมิ
วันที่ ๑๕ มิถุนายน พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากรได้โปรดให้นายร้อยตรีพึ่ง กับพลทหาร ๑๒ คน คุมกัปตันโทเรอ นายตี๋ล่าม และทหารญวน ๓ คน ออกจากอุบลมาส่งกรุงเทพฯ และได้ทรงจ่ายเงิน ๓๒๕ บาท ๕๐ อัฐ ให้เป็นเงินเดือนแก่กัปตันโทเรอ และล่าม และทหารญวนด้วย พวกนี้ปล่อยที่ชายแดน ไม่ได้ส่งเข้ามาถึงกรุงเทพฯ
ในระหว่างเดือนนี้ พระยาภักดีศรีสิทธิสงคราม ผู้ว่าราชการเมืองธาราบริวัตได้อพยพครอบครัวหนีไปอยู่ ณ ดอนสาย
มิสเตอร์วิลเลี่ยม ซึ่งกรมไปรษณีย์ได้ให้ไปจัดการไปรษณีย์มณฑลลาวกาวได้ไปเปิดการส่งไปรษณีย์ ณ เมืองอุบลในเดือนนี้
วันที่ ๒ กรกฎาคม พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ช้างเผือกสยามชั้นที่ ๒ จุลวราภรณ์ ๑ และเหรียญดุษฎีมาลา ๑ พระยาภักดีณรงค์(สิน) และพระราชวรินทร์(หว่าง) ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์มงกุฎสยามชั้นที่ ๔ ภัทราภรณ์
วันที่ ๒๒ กรกฎาคม พระภักดีณรงค์(สิน) ได้รับพระราชทานสัญญาบัตร เป็นพระยาภักดีณรงค์ พระประชาคดีกิจ(แช่ม) เป็นพระยาประชากิจกรจักร
วันที่ ๒๔ กรกฎาคม พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร โปรดให้นายร้อยตรีเกิด ไปเป็นข้าหลวงช่วยหลวงธนสารสุทธารักษ์(หว่าง) ณ เมืองสุรินทร์
วันที่ ๒๖ กรกฎาคม โปรดให้จ่าการประกอบกิจ ไปเป็นข้าหลวงช่วยหลวงสิทธิเดชสมุทรขันธ์(ล้อม) อยู่ที่เมืองกาฬสินธุ์
วันที่ ๗ สิงหาคม โปรดให้พระยาศรีสหเทพ(ทัด) ออกจากอุบล นำข้อราชการไปทูลพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสรรพสิทธิประสงค์ ณ เมืองนครราชสีมา และโปรดให้หลวงธนะผลพิทักษ์(ดิศ) ๑ ขุนชาญรณฤทธิ์(ชม) ๑ ข้าหลวงนครราชสีมามารับราชการมณฑลลาวกาว
วันที่ ๑๔ สิงหาคม โปรดให้นายเพิ่มพนักงานแผนที่ไปตรวจทำแผนที่ตั้งแต่เมืองชานุมานมณฑล ไปโขงเจียงปากมูล และตามสันเขาบรรทัด จนถึงช่องโพยแขวงเมืองขุขันธ์
วันที่ ๓ กันยายน นายร้อยโทพุ่มได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็นนายร้อยเอกขุนโหมหักปัจนึก นายร้อยตรีถมยา เป็นนายร้อยเอกขุนอธึกยุทธกรรม
วันที่ ๑๔ ตุลาคม นายร้อยตรีเชิด เป็นลมชิวหาสดมภ์ถึงแก่กรรม หลวงจักรพาฬภูมิพินิจ(ใหญ่) พนักงานแผนที่มณฑลลาวกลาง มารับราชการมณฑลลาวกาว
วันที่ ๒๕ ตุลาคม พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร โปรดให้พระณรงวิชิต(เลื่อน) เป็นข้าหลวงตรวจจัดราชการเมืองกาฬสินธุ์ กมลาสัย ภูแล่นช้าง เมืองร้อยเอ็ด เมืองสุวรรณภูมิ เมืองมหาสารคาม และให้หลวงธนะผลพิทักษ์(ดิศ) ขุนชาญรณฤทธิ์(ชม) เป็นข้าหลวงบังคับเมืองกาฬสินธุ์ เมืองกมลาสัย เมืองภูแล่นช้าง ตั้งอยู่ ณ เมืองกาฬสินธุ์ พร้อมด้วยจ่าการประกอบกิจ หมื่นวิชิตเสนา ถอนหลวงสิทธิเดชสมุทรขันธ์(ล้อม) ไปเป็นข้าหลวงอยู่ ณ เมืองสุรินทร์
วันที่ ๔ พฤศจิกายน โปรดให้ขุนอาสาสงคราม(สวน) ไปเป็นข้าหลวงช่วยนายร้อยตรีพรหมอยู่ ณ เมืองสุวรรณภูมิ
วันที่ ๖ พฤศจิกายน พระชาตสุเรนทร์ ๑ จมื่นอินทรเสนา ๑ จ่าแล่นประจญผลาญ ๑ ออกจากอุบลกลับกรุงเทพฯ
วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน มองซิเออร์มอง มองซิเออร์ลูเว มองซิเออร์ลูเย นำเรือกลไฟจักรท้าย ๒ สกรู ชื่อมาซี ปากกว้าง ๖ ศอกเศษ ยาว ๑๑ วาเศษ กินน้ำลึกศอกเศษลำหนึ่ง และเรือกลไฟชื่อฮำรอง ปากกว้างวาเศษ ยาว ๘ วาลำหนึ่ง มาที่บ้านด่านปากมูล และเรือชื่อมาซีมาเที่ยวที่แก่งตนะลำน้ำมูล แล้วกลับไป
วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน จ่าฤทธิพิไชย ออกจากอุบลกลับกรุงเทพฯ ในเดือนนี้นายฉัตรซึ่งกรมโทรเลขให้ออกไปจัดการโทรเลข ได้ไปถึงเมืองอุบล
วันที่ ๒ ธันวาคม มิงซิเออร์มอง มองซิเออร์ลูเว นำเรือกลไฟมาซี และฮำรอง ไปแวะที่นครจำปาศักดิ์ ขึ้นหาขุนวิชิตชลหาร(ต่อ) ภายหลังเป็นหลวงพลอาศัย ข้าหลวงแจ้งว่าจะมาเยี่ยมเจ้านครจำปาศักดิ์ ครั้นรุ่งขึ้นวันหลัง มองซิเออร์มองและมองซิเออร์ลูเว ได้ไปหาเจ้ายุติธรรมธร เจ้านครจำปาศักดิ์ พูดจาโดยอ่อนหวานต่างๆ และว่ารัฐบาลฝรั่งเศสจะยอมให้เจ้านครจำปาศักดิ์ มีอำนาจบังคับบัญชาตลอดถึงฝั่งโขงตะวันออก เจ้านครจำปาศักดิ์ตอบว่า ฝั่งโขงตะวันออกตกเป็นของฝรั่งเศส ส่วนเจ้านครจำปาศักดิ์เป็นข้าสยาม จะยอมรับบังคับมิได้ แล้วมองซิเออร์มอง มองซิเออร์ลูเว ก็ลากลับไป
วันที่ ๓ ธันวาคม พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร โปรดให้ข้าหลวงภักดีนุชิต เป็นพระสุนทรบริรักษ์ ว่าที่ผู้ช่วยเมืองสุรินทร์ และให้ขุนจงราชกิจ ไปเป็นข้าหลวงเมืองร้อยเอ็ด วันนี้ พระไชยณรงค์ภักดี(จัน) ปลัดผู้รักษาเมืองสุรินทร์เป็นไข้พิษถึงแก่กรรม
วันที่ ๙ ธันวาคม พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงใหญ่มณฑลลาวกลาง ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ไปเป็นข้าหลวงต่างพระองค์มณฑลลาวกาว เปลี่ยนพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากรนั้น พร้อมด้วยพระอนุรักษ์โยธา(นุช) ๑ หลวงจัตุรงค์โยธา ๑ หลวงพิไชยชำนาญ ๑ หม่อมราชวงศ์ปฐมเลขา ๑ ขุนเวชวิสิฐ(นิ่ม)แพทย์ ๑ ขุนพิไชยชาญยุทธ ๑ นายร้อยโทสอนทำการพลเรือน ๑ นายเลื่อนมหาดเล็ก ๑ นายร้อยเอกหม่อมราชวงศ์ร้าย ๑ นายร้อยโทพลัด ๑ ไปถึงเมืองอุบล
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์
วันที่ ๑๐ ธันวาคม พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ได้ให้ประชุมข้าราชการฝ่ายทหารพลเรือน ฟังกระแสตราพระราชสีห์ ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้มอบหน้าที่ราชการมณฑลลาวกาว ถวายพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสรรพสิทธิประสงค์ และได้ทรงมอบหน้าที่ราชการถวายกรมหมื่นสรรพสิทธิประสงค์ในวันนั้น
วันที่ ๑๑ ธันวาคม พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร เสด็จออกจากเมืองอุบล พร้อมด้วยพระราชวรินทร์(หว่าง) ๑ จมื่นศักดิบริบาล ๑ นายร้อยเอกหลวงพิทักษ์นรินทร์(กอน) ๑ นายร้อยเอกขุนโหมหักปัจนึก(พุ่ม) ๑ นายร้อยเอกขุนอธึกยุทธกรรม(ถมยา) ๑ นายร้อยตรีโชติ ๑ นายร้อนตรีคล้าย ๑ นายร้อยตรีผล ๑ กลับกรุงเทพฯ โดยทางช่องตะโก และมณฑลปราจีน
วันที่ ๑๙ ธันวาคม นายร้อยตรีเราซิง ๑ หลวงจัตุรงค์โยธา ๑ หลวงพิไชยชำนาญ ๑ จาสสรวิชิต ๑ นายเลื่อนมหาดเล็ก ๑ ออกจากอุบลกลับกรุงเทพฯ
วันที่ ๓๐ ธันวาคม พระณรงวิชิต(เลื่อน) ออกจากอุบลกลับกรุงเทพฯ
อนึ่ง เมื่อพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากรเสด็จกลับกรุงเทพฯ ถึงบ้านเพี้ยราม แขวงเมืองสุรินทร์นั้น ได้โปรดให้พระพิไชยนครบวรวุฒิ(จรัญ) ยกกระบัตรเมืองสุรินทร์ เป็นผู้ครองเมืองสุรินทร์
วันที่ ๑๑ มกราคม เป็นวันแรกที่สายโทรเลขเมืองอุบลและระหว่างเมืองขุขันธ์ ใช้การได้จนตลอดถึงกรุงเทพฯ
วันที่ ๒๒ มกราคม พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสรรพสิทธิประสงค์ ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ปฐมจุลจอมเกล้า ๑ และช้างเผือกสยามชั้นที่ ๑ มหาวราภรณ์ ๑
พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสรรพสิทธิประสงค์ โปรดให้นายร้อยโทสอนไปเป็นข้าหลวงอยู่เมืองยโสธร และให้อุปฮาดรับราชการตำแหน่งผู้รักษาเมือง ให้ราชบุตรรับราชการตำแหน่งอุปฮาด ให้หลวงศรีวรราชผู้ช่วยพิเศษ รับราชการตำแหน่งราชบุตรเมืองยโสธร
ในปีนี้ ขุนเทพคชกิรินีหมอ นายเอาะควาญ บ้านดงมันเมืองสุวรรณภูมิ คล้องได้ช้างพังสำคัญสูง ๓ ศอก ๖ นิ้วช้าง ๑ ได้โปรดให้ส่งมาเลี้ยงรักษาไว้ ณ เมืองอุบล เพื่อได้ส่งกรุงเทพฯ ต่อไป ช้างนี้เป็นช้างเผือกโทส่งมาถึงเมืองนครราชสีมาแล้วเอาขึ้นรถไฟมากรุงเทพฯ สมโภชโรงในขึ้นระวางเป็น พระศรีเศวตวรรณิกา
เรื่อง "เหตุสงครามระหว่างฝรั่งเศส" หมดฉบับเพียงเท่านี้ครับ
Create Date : 27 กรกฎาคม 2550
Last Update : 29 กรกฎาคม 2550 9:02:51 น.
4 comments
Counter : 5185 Pageviews.
Share
Tweet
ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ ละเอียดมากเลย
โดย:
แพนด้ามหาภัย
วันที่: 27 กรกฎาคม 2550 เวลา:19:31:12 น.
ขอบคุณเช่นกันครับ
วิชา ความรู้จะมีค่าเมื่อถูกถ่ายทอด,
โดย:
กัมม์
วันที่: 28 กรกฎาคม 2550 เวลา:13:52:55 น.
โอ้โห...ความรู้เพียบเลย ขอบคุณค่ะ คุณ --- กัมม์ ---
โดย:
naragorn
วันที่: 8 สิงหาคม 2550 เวลา:21:20:46 น.
ขอบพระคุณครับที่แวะมาเยี่ยม
ไปชมต้นลองกองมาแล้วครับ
โดย:
กัมม์
วันที่: 9 สิงหาคม 2550 เวลา:8:50:16 น.
Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
กัมม์
Location :
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [
?
]
วิชา ความรู้จะมีค่าเมื่อถูกถ่ายทอด
Bigmommy
NickyNick
เพ็ญชมพู
kenzen
สาวใหม
กระจ้อน
คนรักน้ำมัน
Why England
naragorn
biebie999
วรณัย
เซียงยอด
แม่สลิ่ม
รอยคำ
สุธน หิญ
นอกราชการ
BFBMOM
มณีไตรรงค์
karmapolice
เมื่อไรจะหายเหงา
เจ้าชายเล็ก
รักดี
ลุงนายช่าง
nidyada
mr.cozy
กวินทรากร
Mutation
พลังชีวิต
หนุ่มรัตนะ
Webmaster - BlogGang
[Add กัมม์'s blog to your web]
เครือข่ายกาญจนาภิเษก
หอมรดกไทย
เวียงวัง
มอญ
กฎหมายไทย
ประตูสู่อีสาน
พจนานุกรมไทย-อังกฤษ
พจนานุกรมไทย-บาลี
คำไท - คำถิ่น
คนโคราช
หนังสือหายาก E - Book
ลิลิตตะเลงพ่าย
สามก๊ก
บ้านมหา (หมอลำออนไลน์)
หมากรุกไทย และหมากกระดาน
ราชกิจจานุเบกษา
สมุดภาพเมืองไทยในอดีต
พระราชวังพญาไท
พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย
ฐานข้อมูลภาพถ่าย กรมศิลปากร
ปากเซ ดอท คอม
ศิลปวัฒนธรรมภาคใต้
มวยไชยา
ดำรงราชานุภาพ
พิพิธภัณฑ์ธงสยาม
ห้องสมุดพันทิป
สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า
จิตรกรรมฝาผนังวัดบุปผาราม
พิพิธภัณฑ์ศาลไทย
จิตรธานี
Wikimapia
ราชบัณฑิตยสถาน
Bloggang.com
MY VIP Friend