ควรมิควรสุดแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรด
ขอถวายพระพรพระครูปาโมกขมุนี
ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า นายชิด
วันที่ ๑๙ วันนี้ตื่นสายไป แล้วพระวิเชียรพาคนผมแดงมาให้ดู อันลักษณะผมแดงนั้นเป็นผมม้า แดงอย่างอ่อนหรือเหลืองแก่ ผมที่แดงนี้มาข้างพันธุ์พ่อ ถ้าผู้หญิงไปได้ผัวผมดำ ลูกออกมาก็ผมดำไปด้วย ผมแดงนั้นเปลี่ยน ๓ อย่าง แรกแดงครั้นอายุมากเข้าก็ดำหม่น ลงแก่ก็เลยขาวทีเดียว บอกพืชพันธุ์ว่า ทราบว่าตัวมาแต่เวียงจันทน์ แต่มาก่อนอนุเป็นขบถ จะได้ตั้งอยู่นานเท่าไรไม่ทราบ พูดเป็นไทยประพฤติอาการกิริยาก็เป็นไทย เฉพาะมีมากอยู่ที่เมืองขาณุ ที่กำแพงเพชรนี้มี แต่กระเส็นกระสาย ออกเรือเวลา ๓ โมงตรง
เกือบ ๕ โมงจึงได้ขึ้นเรือเหลืองทำกับข้าวแวะเข้าจอดที่ที่ประทับร้อนเพราะระยะสั้น แต่จืดไปไม่สนุก จึงได้ไปจอดหัวหาดแม่ลาด ซึ่งมีต้นไม้ร่ม กินข้าวและถ่ายรูปเล่นในที่นั้น แล้วเดินทางต่อมา หมายว่าจะข้ามระยะไปนอนคลองขลุง แต่เห็นเวลาเย็น ที่พลับพลาตำบลบางแขมนี้ทำดี ตั้งอยู่ที่หาดและพลับพลาหันหน้าต้องลม จึงได้หยุดพอเวลาบ่าย ๔ โมงตรงอาบน้ำ แล้วมีพวกชาวบ้านลงมาหา เล่าถึงเรื่องไปทัพเงี้ยว เวลาเย็นขึ้นไปเที่ยวบนบ้านและไปที่ไร่ ระยะทางเวลาวันนี้ สองฝั่งน้ำระยะบ้านห่างลง มีป่าคั่นมาก แลดูเหมือนจะไม่จับฝั่งตะวันตกเช่นตอนล่างๆ มีตะวันตกบ้างตะวันออกบ้าง เช่นบ้านบางแขมนี้ก็เป็นบ้านหมู่ใหญ่อยู่ฝั่งตะวันออก ราษฎรอยู่ข้างจะขี้ขลาด(๖๑)กว่าตอนข้างล่าง ไม่ใคร่รู้อะไร สังเกตตามเรื่องราวที่ยื่นเป็นขอไม่ให้ต้องทำอะไร ไม่ให้ต้องเสียอะไรมาก
วันที่ ๒๐ ออกเรือเกือบ ๓ โมงเช้า ๔ โมงครึ่งขึ้นเรือเหลือง ทำกับข้าวมาจนถึงที่ประทับร้อนไม่แวะ เลยขึ้นมาข้างเหนือแวะฝั่งตะวันออกตลิ่งชันแลสูงมากแต่ต้นไม้งาม ปีนขึ้นไปกินข้าวบนบก สำหรับถ่ายรูปแล้วลงเรือมาถึงวังนางร้างเป็นที่แรม บ่าย ๓ โมงเท่านั้นครั้นจะเลยไปอื่นระยะก็ห่าง จึงลงเรือเล็กไปถ่ายรูปฝั่งน้ำข้างตะวันออก แล้วข้ามมาตะวันตก หมายจะเข้าไปถ่ายในป่า ท่วงทีจะเป็นทุ่งเลยไม่ได้ไปถ่าย กลับบ่าย ๔ โมง พลับพลาตั้งฝั่งตะวันออก ที่นั้เป็นหมู่บ้านคนบ้านหนึ่งซึ่งอยู่ในระยะทาง ตั้งแต่มาถึงที่นี้ เกือบจะว่าไม่มีบ้านคนก็ได้ เป็นป่าทั้งนั้น ไม้สักก็มี
วันที่ ๒๑ ออกเวลาเช้า ๒ โมงเศษ ๔ โมงครึ่งขึ้นเรือเหลือง ชายยุคลเจ็บ เจอะชายบริพัตร(๖๒)จับขึ้นเรือมาทำฉู่ฉี่ ถึงปึกผักกูดที่ประทับร้อน ไม่ได้หยุดเพราะกับข้าวยังไม่แล้ว ระยะสั้นจึงเลยไปจนถึงเกาะธำรงซึ่งจัดไว้เป็นที่แรม ก็เพียงเที่ยง เห็นควรจะย่นทางได้ หยุดกินข้าวเเล้วออกเรือต่อมา
หยุดพักร้อนที่บ้านขี้เหล็ก ถึงบ่าย ๔ โมงครึ่งพอฝนตก ที่พัก อาศัยไม่ได้ ต้องมุงหลังคา เลยอุดกันอยู่ในเรือเลี้ยงขนมกันอีกครั้งหนึ่ง จนกระบวนเรือใหญ่มาถึงเวลาย่ำค่ำครึ่ง ทายถูกว่าพระยาอมรินทรคงกลัวพายุ แต่ที่จริงเรือเหลืองไม่ได้ถูกพายุเลยด้วยบังตลิ่ง เรือโมเตอร์ที่มาถึงก่อนบอกว่า พลับพลาจะพังเสียให้ได้ ทางที่มาวันนี้ตั้งแต่พลับพลาวังนางร้าง ฝั้งตะวันตกมีบ้านเรือนมาก มีเรือจอดมาก มีหีบเสียงเล่นด้วย เพราะเป็นท่าสินค้ามาแต่ดอน ต่อขึ้นมาก็มีเรือนเรียงรายๆ แต่งฝั่งตะวันออกเป็นป่า จนถึงบ้านโคน ซึ่งเดาว่าจะเป็นเมืองเทพนคร แต่ไม่มีหลักฐานอันใด(๖๓) บ้านเรือนดี มีวัดใหญ่เสาหงส์มากเกินปกติอยู่ฝั่งตะวันออก มาจนถึงบ้านท่าขี้เหล็ก อยู่ฝั่งตะวันตก พลับพลาตั้งอยู่ฝั่งตะวันออก เมื่อคืนนี้ฝนตกเกือบตลอดรุ่ง วันนี้ก็โปรบปรายเล็กๆน้อยๆไปมีเวลาแดดออกน้อย จนต้องกินข้าวที่พลับพลาประทับร้อน ตั้งแต่บ่าย ๔ โมงเศษก็ตกมาจนเวลานี้ ๒ ทุ่มเกือบครึ่ง ที่ก็จะตลอดรุ่ง ที่พักอยู่ข้างจะกันดารเหตุด้วยเอาร้อนเป็นแรม
วันที่ ๒๒ เมื่อคืนนี้ฝนตกพร่ำเพรื่อไปยันรุ่ง แรกนอนรู้สึกว่าจะเย็น ต่อหลับไปตื่นขึ้นจึงรู้สึกเย็นเยือกไปทั้งตัว ท้องก็แข็งขลุกขลักอยู่เป็นนาน จนเอาสักหลาดขึงอุดหมดจึงนอนหลับ ตื่น ๒ โมงครึ่งออกเรือจวน ๓ โมง มาจากท่าขี้เหล็กเลี้ยวเดียวก็ถึงวังพระธาตุ อยู่ฝั่งตะวันตก มีบ้านเรือนเรียงรายตลอดขึ้นมา แต่อยู่ฟากตะวันตก ฟากตะวันออกเป็นป่า ตั้งแต่พ้นคลองขลุงขึ้นมามีต้นสักชุม แต่เป็นไม้เล็กๆซึ่งเป็นเวลาหวงห้าม เดินเรือวันนี้รู้สึกว่าไปในกลางป่าสูง ได้ยินเสียงนกร้องต่างๆอย่างชมดงเพรียกมาตลอดทาง
ตำบลที่เรียกชื่อคลอง เช่น คลองขลุง หรือแม่อะไรต่ออะไรใช่ว่าเราจะแลเห็นในเวลานี้ ปากคลองแห้งอยู่ในหาด ได้พยายามจะไปดูคลองขลุงก็เข้าไปไม่ถึง ด้วยหาดกว้าง คลองขลุงนี้เป็นปลายน้ำอันหนึ่ง วันนี้แลเห็นเขาประทัดซึ่งปันแดนยืนเป็นแถว ที่วังพระธาตุนี้เป็นชื่อของชาวเรือตั้ง วังไม่ได้แปลว่าบ้าน แปลว่าห้วงน้ำ พระธาตุนั้นคือพระธาตุซึ่งตั้งอยู่ตรงวังนั้น จอดเรือที่ที่เหนือวังพระธาตุนิดหนึ่ง พระธาตุนี้มีแท่นซ้อน ๓ ชั้น แล้วถึงชั้นคูหาบนเป็นรูปกลม ซึ่งกรมหลวงนริศ(๖๔)เรียกว่าทนาน ถัดขึ้นไปจึงถึงบัลลังก์ปล้องไฉน ๗ ป้อง ปลี แล้วปักฉัตร ไม่ผิดกับพระเจดีย์เมืองฝางที่เห็น ซึ่งแก้เป็นพระเจดีย์มอญเสีย
เขาว่าสุโขทัยสวรรคโลกเป็นรูปนี้ทั้งนั้น ของแผ่นดินฝ่ายเหนือเห็นจะไม่แปลกกันมาก องค์พระเจดีย์ชำรุดพังลงมาเสียซีกหนึ่ง มีรากระเบียงรอบวิหาร ๔ ทิศ วิหารใหญ่ที่บูชาอยู่ทิศใต้ พระอุโบสถซึ่งมีสีมาเป็นสำคัญอยู่ทิศตะวันออก เยื้องไม่ตรงกลาง เขาปลูกโรงหลังคามุงกระเบื้องในที่ใกล้พระเจดีย์ด้านตะวันออก มีพระพุทธรูปทั้งยืนทั้งนั่งหลายองค์ พระพุทธรูปหน้าตาดีแปลกกว่าที่เคยเห็น เป็นช่างได้ทำได้ถ่ายรูปที่เหล่านี้ไว้ เวลานี้มีพระซึ่งขึ้นมาแต่เมืองนนท์ เป็นคนเคยรู้จักมาแต่ก่อน ขึ้นมาจำพรรษาอยู่ในที่นี้ คิดจะปฏิสังขรณ์ปลูกกุฏิซึ่งอยู่เยื้องหน้าพระธาตุ ห่างจากศาลามุงกระเบื้องเดิมซึ่งอยู่ข้างริมน้ำใต้ลงไป(๖๕)
เดินจากวังพระธาตุไปตามลำน้ำข้างเหนือ ทาง ๒๖ เส้น ถึงคูด้านใต้ของเมืองไตรตรึงส์ คูนั้นใหญ่กว้างราว ๑๕ วา ลึกลงเสมอพื้นหาด แต่น้ำแห้งยืนเข้าไปจนถึงเชิงเทิน หลังเมืองไปมีถนนข้ามเข้าเมืองอยู่กลางย่านด้านใต้ แต่ด้านเหนือไม่มีถนน มีแต่ลำคูมาบรรจบด้านใต้ กำหนดเชิงเทินยาวตามลำแม่นำ ๔๐ เส้น ยืนเข้าไปทางตะวันตกตะวันออก ๓๗ เส้นเห็นเป็นเมืองใหญ่โตอยู่ พื้นพื้นดินไปทั่วทั้งนั้น ในท้องคูก็เป็นแลง เข้าไปในเมืองหน่อยหนึ่งก็พบโคก เห็นจะเป็นวิหาร เจดีย์หักพังตั้งอยู่เบื้องหลัง ถัดเข้าไปอีกหน่อยเรียกว่าเจดีย์ ๗ ยอด จะเป็นด้วยผู้ที่มาตรวจตราค้นพบสามารถจะถางเข้าไปได้แต่ ๗ ยอด แต่ที่จริงคราวนี้เขาได้ถางดีกว่าที่ได้ถางมาแต่ก่อน จึงได้ไปพบว่ากว่า ๗ คือพระเจดีย์ใหญ่ขนาดพระมหาธาตุริมน้ำอยู่กลาง มีพระเจดีย์ราย ๓ ด้าน วิหารด้านเหนือวางเลอะๆทำนองนี้ นอกนั้นพระเจดีย์ล้อม ๑๔ องค์
ที่เขาค้นถากถางเข้ามาให้ดูได้เพียงเท่านี้ นกอกนั้นยังเป็นป่าทึบอยู่มากไม่ใช่รกอย่างกรุงเก่า เป็นป่าสูงไม้ใหญ่ ข้างล่างโปร่ง ทั้งในเมืองนอกเมือง เหตุด้วยทิ้งร้างเป็นป่ามาช้านานกว่ากันมาก ข้อซึ่งจะโจษสงสัยว่าเป็นเมืองไตรตรึงส์แน่ละหรือ เพราะมีข้อสงสัยว่าเจ้าแผ่นดินลงมาแต่เชียงราย เวลานั้นเมืองกำแพงเพชรก็มีเจ้า เหตุไฉนจะข้ามลงไปสร้างเมืองไตรตรึงส์ขึ้นในที่ใกล้ ห่างกันเพียง ๔๐๐ เส้น ความที่เดาว่าเมืองกำแพงเพชรมีเจ้าอยู่ในเวลานั้น น่าจะเดาจากบัญชีเมืองประเทศราชครั้งแผ่นดินพระเจ้าอูทอง ในท้องเรื่องที่ว่าเจ้าเชียงรายยกลงมา ไม่ได้กล่าวว่าตีเมืองกำแพงเพชร ไปตั้งเมืองแปบเป็นเมืองไตรตรึงส์ทีเดียว จึงเกิดสงสัย ที่จริงจะได้เมืองกำแพงเพชรแล้ว แต่หากจะย้ายไปสร้างเมืองใหม่ให้เป็นเกียรติยศ หรือด้วยความขัดข้องประการใด เมืองกำแพงเพชรที่อยู่ฝั่งตะวันออก คงจะเกี่ยวดองหรืออยู่ในอำนาจเมืองสวรรคโลก สุโขทัย พิษณุโลก จึงได้ตั้งฝั่งทางที่เป็นแผ่นดินเดียวกัน ถ้าพวกเยงรายจรมาจะไปตั้งฝั่งตะวันตกก็จะได้เพราะถูกต้องความในจดหมายเหตุว่า ข้ามแม่น้ำโขงไปตั้งฝั่งตะวันตกเมืองกำแพงเพชร เห็นว่าจะเป็นเมืองไตรตรึงแน่
กลับเวลาเที่ยงลงเรือเหลืองมาถึงพลับพลาประทับร้อนไม่แวะ ด้วยจะฉ้อวันให้ได้อีก ๑ วัน ระยะเขากะ ๑๐ วัน เป็นฉ้อได้ ๒ วัน คง ๘ วัน ฝนตกเป็นคราวๆ มาแวะกินข้าวที่บ้านไร่ เป็นบ้านนายเทียน อำแดงแจ่ม ท่วงทีบ้านเรือนสบาย พื้นบ้านเตียนหมดจด มีไม้ดอกไม้ผลหลายอย่าง ผิดกันกับบ้านแถบนี้ เจ้าของบ้านก็ไม่ออกมาทักทายตามอย่างที่เคยแวะมา ออกจะหลบๆ ครั้นเมื่อจะไปสั่งสนทนา จวนตัวเข้าจะหายกลัวด้วยเห็นเป็นคนแปลกหน้า ถ้าจะไม่มีอันตราย จึงได้ขยายว่าเป็นคนเมืองนนท์ ขึ้นมาอยู่ได้ ๑๐ ปี หน้าตาแยบคายชอบกล เป็นคนฉลาดรู้อะไรๆมากและลงหนังสือขอมทั่วทั้งตัว จึงลงเนื้อเห็นกันว่า ที่จะเป็นผู้ร้ายคนโตหลบขึ้นมาอยู่ในที่นี้ ออกจากบ้านไร่มาก ถูกฝนอีกมาก ถึงกำแพงเพชรจอดหน้าเมืองเก่าเกือบทุ่ม ๑ ที่นี่เขาทำพลับพลาขึ้นไปบนฝั่งแอบปะรำ จอดเรืออีกหลังหนึ่ง วันนี้ได้ตั้งตาอ้นเป็นเจ้าหมื่นเสมอใจราช
วันที่ ๒๓ แต่เช้าฝนตกประปรายอยู่เสมอ ๓ โมงต้องไปทั้งฝน ถ่ายรูปทั้งฝน ไปตามถนนบนฝั่งน้ำชั้นบนขึ้นไปข้างเหนือผ่านวัดเล็กๆทำด้วยเเลง และที่ว่าการซึ่งยังทำไม่แล้ว เลี้ยวเข้าประตูน้ำอ้อยทิศตะวันตก หน้าประตูนี้เป็นทำลึกลงไปจากฝั่งจนถึงท้องคู แล้วจึงขึ้นเมือง เมืองตั้งอยู่ในที่ดอนน้ำไม่ท่วม เลียบไปทางริมกำแพงซึ่งเขาว่าได้ตัดแล้ว รอบเมืองนี้ไม่ได้ทำเป็นเหลี่ยม โอนไปตามรูปน้ำ ประมาณว่าด้านเหนือด้านใต้ ๕๐ เส้น ด้านสกัดทิศใต้ ๑๒ เส้น สกัดข้างเหนือ ๖ เส้นรูปสอบ ใช้พูนดินเป็นเชิงเทิน คิดทั้งท้องคูข้างนอกสูงมาก กำแพงก่อด้วยแลงใบเสมาเป็นรูปเสมาหยักแต่ใหญ่ คออ้วน เหลืออยู่น้อย ตามประตูน่าจะเป็นป้อมทุกแห่ง แต่ที่ได้เห็น ๓ ประตู คือประตูน้ำอ้อย ประตูบ้านโนน ประตูดั้น ประตูหลังยังคงมีป้อมก่อด้วยแลง ปรากฏป้อมนั้นเป็นลับแลอยู่ปากคูข้างนอก ตรวจว่าจะชักเข้ามาติดกำแพงอย่างเมืองนครศรีธรรมราชหรืออินเดีย ก็ไม่มีร่องรอย แต่เป็นเมืองอย่างมั่นคงดีกว่าเมืองนครศรีธรรมราชและนครราชสีมา
ที่สำคัญคงอยู่ฝ่ายเหนือซึ่งเป็นที่ตั้งวัดใหญ่ ที่ตกลงกันเรียกว่าวัดพระแก้ว อยู่ข้างเหนือ วังอยู่ใต้ใกล้กัน วัดนั้นมีกำแพงแลงทั้งท่อนตั้งมีทับหลังสูงสัก ๒ ศอกเศษ ไม่ใช่สร้างคราวเดียว ไปเข้าทางช่องกลาง กลางย่านของวัดสิ่งที่ก่อสร้างภายในเป็นแลงเป็นพื้น เห็นจะซ่อมแซมด้วยอิฐภายหลัง หย่อมต้นเป็นฐานทักษิณอันเดียวยาว จะเป็นพระเจดีย์เหลี่ยมหรือพระปรางค์อยู่ท้าย กลางเป็นมณฑป ตอนหน้าเป็นวิหารใหญ่ ลักษณะอันเดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญ์ที่กรุงเก่า เห็นจะเอาอย่างไปจากนี้ เหมือนกันกับหมู่พุทธปรางค์(กรุงเทพฯ)เอาอย่างไปจากวัดพระศรีสรรเพชญ์ ต่อมามีระยะกันถึงวิหารใหญ่พระเจดีย์กลมลอมฟางอยู่หลังวิหารอีกหน่อยหนึ่ง หย่อมนี้จะเป็นชั้นลังกา แต่เจดีย์นั้นทำงามมาก ชั้นล่างเป็นซุ้มคูหารอบ มีสิงห์ยืนในคูหา ถัดขึ้นไปอีกชั้นหนึ่งเป็นคูหาไว้พระพุทธรูปขนาดเดียวกับพระโบโรบุโด ซึ่งเชิญมาไว้ในวัดพระแก้วแต่คะเนยังไม่ได้ว่าจะเป็นท่าต่างๆหรือไม่ ถัดขึ้นไปจึงถึงองค์พระเจดีย์บัวคว่ำบัวหงาย ที่รับปากระฆังเป็นบัวหลังเบี้ยสลับกลีบกันงามเข้าทีมาก บัลลังก์มีซุ้มยื่นออกมา ๔ ทิศไว้พระ ๔ ปาง ไม่เห็นมีเสารับยอดซึ่งกรมหลวงนริศสงสัยว่าจะเป็นทวย ถัดขึ้นไปเป็นปล้องไฉนแต่ยอดด้วน ประมาณว่าจะสูงราว ๑๕ วา ต่อนั้นเป็นวิหารโถงมีกำแพงแก้ว
กำแพงก่อด้วยแลงแต่ปั้นปูนเป็นรูปรามเกียรติ์ ทำให้เห็นชัดได้ว่าเครื่องแต่งตัวโบราณนั้นไม่ได้นุ่งผ้าแน่แล้ว สวมกางเกง ๒ ชั้น ชั้นหนึ่งยาวหุ้มแข้งชั้นนอกเขินเพียงหัวเข่า แล้วคาดผ้าปล่อยชายยาวลงมาทั้งสองข้าง จึงสวมเสื้ออย่างน้อยซึ่งมีชายเสื้อทับผ้าคาด แล้วสวมเสื้อแขนสั้นทับอีกชั้นหนึ่ง ในระหว่างชายเสื้อกับเสื้อแขนสั้นคาดเข็มขัด แต่หมวกจะเป็นอย่างไรพิจารณายังไม่เห็นชัด เพราะชำรุดมากเวลาไม่พอ ผู้หญิงก็ดูเหมือนจะนุ่งผ้า ๒ ผืนคล้ายเทวรูป แต่ยังเห็นไม่ชัด
ในวิหารโถงนี้มีพระนอน แล้วมีพระเจดีย์องค์เล็กๆรายอยู่ที่ฐานชุกชี รอบที่หน้ากระดานและที่บัลลังก์ พระเจดีย์เล็กๆนี้ทำเป็นซุ้มพระพุทธรูปเล็กๆเรียงติดกันไปรอบ มีผู้ไปสร้างพระองค์ใหญ่นั่งอยู่ข้างหลังพระนอน หน้าพระเจดีเติมขึ้นอีก ๒ องค์ เห็นชัดว่าคงจะเติมภายหลัง เพราะเบียดเสียดกันมาก รูปพรรณก็เลวทราม วิหารโถงนี้คล้ายกันกับที่ท้ายวัดพระศรีสรรเพชญ์กรุงเก่านั้นอีก
ในระหว่างพระเจดีย์และวิหารโถงนี้ มีมณฑปตั้งพระพุทธรูปใหญ่ๆอยู่ ๓ มณฑป แต่ไม่ใช่แนวเดียวกัน กลางถลำลงไปหน่อยหนึ่ง บางทีจะสร้างแทรกเติมขึ้น พ้นจากหมู่วิหารโถงนี้เป็นวิหารใหญ่อีกหย่อมหนึ่ง มีพระระเบียงล้อมรอบ พระหน้าตาชนิดหนึ่งซึ่งรู้จักอยู่และมีที่วัดเบญจมบพิตรหลายองค์นั้น เดิมไม่ได้กล่าวกันว่าเป็นพระเมืองกำแพง บัดนี้รู้จักกันแล้วว่า พระหน้าตาชนิดนี้เป็นพระเมืองกำแพง
ถัดนั้นไปอีกหย่อมหนึ่งมีกำแพงคั่น เขาเรียกต่างชื่อไปว่าเป็นวัดช้างเผือก แต่เห็นว่าจะไม่ใช่เพราะมีถนนคั่นชำรุดทรุดโทรมมาก ไม่ได้ไปดูถึงที่ ส่วนข้างด้านหน้าหมู่ต้นนั้นเข้าก็เรียกเป็นวัดอื่นต่างหาก เพราะห้อยออกไป มีวิหารใหญ่ มีพระปรางค์ แต่ที่จริงเห็นจะเป็นวัดเดียวกันทั้งนั้น เจ้าแผ่นดินวงศ์หนึ่งหรือคนหนึ่ง ก็จะสร้างเติมๆออกไปเป็นวัดยาวเลื้อยเหมือนอย่างวัดหน้าพระธาตุ เมืองลพบุรี ทีจะมีพระเจดีย์วิหารเล็กๆรายข้างๆอีกมากแต่พังเสียหมด ชื่อวัดนี้ไม่ปรากฏ ถ้าจะเรียกตามลพบุรีก็เป็นวัดหน้าพระธาตุ ถ้าจะเรียกตามกรุงเก่าก็เป็นวัดพระศรีสรรเพชญ์ ซึ่งยอมรับว่าจะเรียกวัดพระแก้วก็ได้ทั้งนั้น เพราะเหตุที่มีในตำนานว่าพระแก้วได้เคยมาอยู่เมืองนี้ ถ้าหากว่าได้มาอยู่คงจะไม่ได้อยู่วัดอื่น คงอยู่วัดนี้เป็นแน่
ออกจากวัดไปที่หลักเมือง ซึ่งอยู่มุมท้ายวัด อยู่ในระหว่างวัดกับวัง แล้วไปที่วัง วังนี้มีแนวเชิงเทินดินต่ำๆรอบ ไม่เห็นมีกำแพงเหลือเลย เห็นจะใช้ระเนียดไม้ เช่นเมืองพม่าเขาก็ยังใช้ ยาวอยู่ ๖ เส้น กว้าง ๕ เส้น ไว้ชานในระหว่างระเนียดชั้นนอกพอสมควร พอการพิทักษ์รักษาและบริษัทบริวารจะอยู่ ชั้นในขุดคูรอบคงจะมีระเนียดปากคูข้างในอีกชั้น ๑ มีถนนเดินเข้า ๓ ด้าน เว้นด้านหนึ่งดู๓มิฐานคล้ายสระแก้วเมืองพิษณุโลก ในกลางวังมีสระใหญ่รูปรีสระหนึ่ง ไม่มีร่องรอยก่อสร้างเลย เห็นจะเป็นเรือนไม้ทั้งนั้น
เขาปลูกพลับพลาและประรำที่พักในที่นี้ มีราษฎรมาประชุมอยู่เป็นอันมาก ภรรยาข้าราชการ และผู้ดีในเมืองนี้ทำสำรับมาเลี้ยงหลายสิบสำรับ หน้าพลับพลาทำเป็นรูปเต่ารูปช้างเผือกโพล่จากดิน รูปเสือและรูปงูอยู่ที่ต้นไม้ริมพลับพลา เป็นความคิดนายอำเภอบ้านพรานกระต่ายทำ ได้กินของเลี้ยงและถ่ายรูปคนงามเมืองกำแพงเพชร(๖๖) ซึ่งได้สั่งให้เลือกหาไว้ก่อน เขาคัดเอาแต่ลูกผู้ดี ความจริงราษฎรที่มานั่งอยู่ทั้งหมู่หน้าตาดีกว่าก็มี ผู้หญิงเมืองนี้นับว่ารูปพรรณสันฐานดีกว่าเมืองอื่นในข้างเหนือ คนงามทั้ง ๔ ที่จะมาถ่ายรูปนั้นเขาให้ถือกระเช้าหมากคอยแจกเลี้ยง คือ หวีด บุตรหลวงพิพิธอภัย อายุ ๑๖ ปี คนนี้รูจักนั่งโปสต์ถ่ายรูป จึงได้ถ่ายรูปเฉพาะคนเดียว ยังอีก ๓ คนนั้นชื่อ ประคอง ลูกหลวงพิพิธอภัยเหมือนกัน อายุ ๑๗ ปี ริ้ว ลูกพระพง อายุ ๑๗ พิง ลูกพระยารามรณรงค์ อายุ ๑๖ ปี อาหารที่เลี้ยงกันเป็นกับข้าวอย่างเก่าๆพอกินได้ ดีกว่าบ้านนอกแท้
กลับออกจากวังแวะที่วัดอีกหน่อยหนึ่ง แล้วจึงไปเทวสถาน เขาเรียกว่าพระอิศวร แต่ที่แท้เห็นจะเป็นสถานเดียวรวมกับลักษณะศาลพระกาฬ เมืองลพบุรี คือคงจะเป็นปรางค์แล้วมีเทวสถานต่อข้างหน้า อยู่ในฐานชุกชีอันเดียวกัน ที่นี่ซึ่งคนเยอรมันได้มาลักรูปพระอิศวรที่อยู่(พระที่นั่ง)พุทไธศวรรย์เดี๋ยวนี้ ไปตามกลับมาได้ยังคงเหลืออยู่บัดนี้ แต่พระอุมาและพระนารายณ์ซึ่งเอาศีรษะไปเสียแล้ว และเทวรูปเล็กน้อย ฝีมือดีทันกันกับพระอิศวรองค์ใหญ่นั้น ได้เห็นบ่อกรุ ๒ บ่อแต่ตื้นต้นไปเสียแล้ว ที่เขาว่ายังดีอยู่ก็มี บ่อกรุรายทั่วไปในเมือง มีวัดอื่นที่ย่อมๆลงไปอีก กลับบ่าย ๓ โมง เวลาเย็นพายุจัดฝนตกไม่สู้มาก ได้ข่าวว่ารูปที่ส่งไปล้างบางกอก ได้ส่วน ๑ เสีย ๒ ส่วน เห็นจะเป็นด้วยน้ำยาไม่ถูกกัน หรือจะชื้นจะรั่วประการใด นึกเสียดายเมื่อไรจะได้มาถ่ายรูปเมืองกำแพงเพชรอีก จึงได้จัดการโอนเอาห้องอาบน้ำเป็นห้องล้างรูป ทนล้างเอาในวันนี้ ประดักประเดิดมาก ๒ ยามเศษจึงได้หมด ได้รับหนังสือบางกอกซ้ำเข้ามาด้วย
วันที่ ๒๔ วันนี้ขึ้นเดินบกไปโดยทางเดิมจนถึงถนนเลี้ยวประตูน้ำอ้อย ไม่เลี้ยวตรงไปตามทางข้างทิศตะวันตกแต่โอนเหนือ พบวัดใหญ่บ้างเล็กบ้าง อย่างก่อด้วยอิฐกำมะลอ ๒ - ๓ วัด แล้วเลี้ยวเข้าประตูดั้นซึ่งออกไปดูเมื่อวานนี้ เดินเลียบตามในกำแพงต่อไป จนถึงทางที่เคยเลี้ยวเข้าวัด ที่เรียกกันว่าวัดพระแก้วเมื่อวานนี้เป็นที่สุดทางที่ได้ไป แล้วจึงเดินเลียบกำแพงนั้นต่อไปอีก ยังเป็นทิศตะวันตกอยู่นั้นเอง มีป้อมๆหนึ่งไม่มีชื่อ เป็นป้อมสามเหลี่ยมเหมือนกับป้อมอื่นๆ ฝีมือวิชเยนทร ใกล้ป้อมนั้นมีประตูอีกประตูหนึ่ง เรียกว่าประตูเจ้าอินเจ้าจัน ในระยะนี้ไปมีกำแพงที่ยังดีอยู่หลายตอน เป็นอันได้รู้ว่าก่อแลงเสริมขึ้นเป็นเชิงเทินหลังเนินดินสูงประมาณ ๓ ศอก ๔ ศอก แล้วจึงตั้งฐานเสมาเจาะช่องปืนใต้เสมา เสมานั้นคล้ายอย่างอินเดียเสี้ยมปลาย แต่ไม่หยักเม็ด ป้อมมุมตะวันตกต่อกับเหนือ หมายว่าจะแปลกก็ไม่แปลกอันใด เท่ากัน ถัดไปจึงถึงประตูเขาเรียกชื่อว่าประตูหัวเมือง ประตูนี้มงกุฎราชกุมารคะเนว่าจะเป็นประตูชัย แต่เห็นจะไม่ถูก เพราะไม่ใช่ตรงข้างเหนือแท้ ที่คะเนนั้นคะเนโดยเห็นมีหอรบ ๒ ข้างประตู
เมื่อถึงด้านตะวันออกเริ่มต้นเป็นประตูผีออก ซึ่งยังมีกำแพงอยู่ดีกว่าประตูอื่นๆ ถัดไปถึงป้อมซึ่งพระวิเชียรให้ชื่อไว้ว่าป้อมเพชร เพราะเป็นด้านเหนือ เขาถือว่าเป็นป้อมสำคัญ ขึ้นไปดูก็ไม่เห็นแปลกอะไรเป็นป้อมสามเหลี่ยมชุดเดียวกันกับป้อมทั้งนั้น ต่อไปอีกจึงถึงประตู เขาเรียกไว้ว่าสะพานโดม ซึ่งน่าจะเรียกหว่าประตูไชย เพราะเป็นทางไปและมากับเมืองสุโขทัย ประตูนั้นเป็นประตูใหญ่ลักษณะประตูเพนียดลพบุรี ลงไปลึกจึงถึงถนนข้ามคู ปลายถนนข้ามคูเป็นที่ลุ่มลึกใหญ่ มีเกาะอยู่กลาง ซึ่งเขายังไม่ได้แปลว่าอะไรนั้น แลเห็นได้ถนัดว่าเป็นป้อมประจำประตู อย่างประตูดั้น แต่ใหญ่กว่า เมื่อไปพบป้อมนั้นจึงขึ้นถนน ขุดดินเป็นร่อง ๒ ข้างขึ้นพูนเป็นถนนสูง กว้างประมาณ ๘ วา ตรงลิ่วเรียกว่าถนนพระร่วง
ถนนพระร่วงชนิดนี้มีในระหว่างสุโขทัยกับสวรรคโลก เหมือนถนนสายนี้ไปสุโขทัย แต่ขาดเป็นห้วงเป็นตอน เชื่อแน่ได้ว่าเป็นถนนพระร่วงจริง เมื่อไปได้ประมาณ ๒๐ เส้นเศษ ย้ายลงเดินจากถนนไปข้างซ้ายมือ ที่นั่นดูเป็นที่ลุ่มต่ำลงไปจนถึงเป็นน้ำเป็นโคลน แล้วจึงไปขึ้นดินสูง ที่สูงนั้นพื้นเป็นแลงทั้งสิ้น ที่เป็นแลงแลเห็นเป็นแท่งๆก็มี ที่ป่นเป็นทรายแดงไปก็มี พอขึ้นที่สูงนั้นหน่อยหนึ่งก็ถึงวัด เป็นวัดใหญ่ๆแต่ไม่มีชื่อทั้งนั้น ด้วยเป็นวัดทิ้งอยู่ในป่าเสียแล้ว วัดเหล่านี้ใช้แลงแผ่นยาวๆตั้ง ๒ ศอกเศษ หน้ากว้างคืบเศษหรือศอก ๑ หนา ๕ นิ้ว ๖ นิ้ว ตั้งเรียงกันเป็นระเนียด มีกรอบแลเหลี่ยมลอกมุมทับหลังเหมือนกันทุกๆวัด
แต่วัดที่เขาใช้ชื่อว่าวัดกำแพง งามเป็นเรียบร้อยดีกว่าทุกแห่ง ทีจะทำภายหลังวัดอื่น การข้างในจึงไม่มีสลักสำคัญอันใด เห็นจะไม่แล้ว วัดต้นทางที่ไปไม่มีชื่อ ถัดไปถึงวัดพระนอนซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน วัดเหล่านี้มีมักจะมีวิหาร หรืออุโบสถใหญ่อยู่ข้างหน้า มีทักษิณชั้นล่างชั้นหนึ่งแล้วจึงถึงฐานปัทม์ ลักษณะวัดสุทัศน์ วิหารเหล่านี้ไม่เกิน ๕ ห้อง แต่คงมีมุขเด็จด้านหน้าอย่างวัดหน้าพระธาตุเมืองลพบุรี พนักเป็นช่องลูกฟักเสาเป็น ๘ เหลี่ยม ตัดแลงเป็น ๘ เหลี่ยมทีเดียว ด้านหลังมีมุขตั้งทักษิณชั้นล่างจนผนัง และเสาใช้แลงอย่างเดียวไม่มีอิฐปูน ใช้พื้นโบสถ์พื้นวิหารสูง ไม่ต่ำเหมือนอย่างกรุงเก่า เหตุที่เขารวยแลง แต่หลังคาจะหาตัวอย่างให้เห็นว่าเป็นอย่างไรไม่มีสักหลังคาเดียว ถัดโบสถ์หรือวิหารนี้ไปจึงมีก้อนกลางต่างๆกันชิ้นหลังก็ยักไปต่างๆกัน บางทีมี ๒ ชิ้น
จะว่าด้วยวัดพระนอนนี้ วิหารหน้าใหญ่มาก แต่โทรมไปไม่มีอะไรอัศจรรย์ ในทักษิณชั้นล่างตั้งสิงห์เบือนเห็นจะมากคู่ แต่เดี๋ยวนี้เหลือ ๒ ตัว ชิ้นกลางเป็นวิหาร ๕ ห้อง กันไว้ข้างหน้า ๒ ห้อง ข้างหลัง ๒ ห้อง เหมือนวิหารพระศาสดาวัดบวรนิเวศและวิหารพระอัฐรสวัดสระเกศแต่ใหญ่มาก เสาใช้แลงท่อนเดียวเป็น ๔ เหลี่ยมสูงใหญ่ ห้องข้างหน้ามีพระนอน ห้องข้างหลังมีพระนั่ง ๒ องค์ ชิ้นหลังเป็นพระเจดีย์ฐาน ๘ เหลี่ยม ระฆังกลมรูปแจ้งามมาก เกือบจะสู้พระเจดีย์กลางถนนเมืองย่างกุ้งได้ ยังดีไม่ซวดเซอันใด เหตุด้วยพื้นเป็นแลงแข็งไม่ต้องทำราก ชั่วแต่ยอดหักแต่ที่เหลืออยู่บัดนี้สูงกว่า ๑๕ วา ที่หน้าพระเจดีย์นี้มีที่บูชาเป็นหลังคา ๒ ตอน ลักษณะเดียวกับที่ทูลกระหม่อม(๖๗)สร้างไว้ในที่ต่างๆ ต่อไปข้างหลังมีฐานโพธิ์และมีวิหารอะไรอีกหลังหนึ่ง ชำรุดดูไม่ออก เป็นวัดใหญ่มาก แต่จะเรียกว่าวัดพระนอนก็ควร เพราะมีพระนอนเป็นสำคัญ
ตั้งแต่วัดนี้ไปมีกำแพงอีกหลายวัดอยู่ชิดๆกันอย่างวัดกรุงเก่า แต่ไม่มีเวลาจะแวะดู ทางที่ไปเป็นป่าไม้หลวง เป็นพื้นโปร่งๆ เมื่อพ้นวัดกำแพงงามจึงถึงวัดเขาตั้งชื่อไว้ว่าวัดพระยืน มีสะพานข้ามคู เสาล้วนแต่ศิลาแลงทั้งนั้น วิหารใหญ่ด้านหน้าจนโตกว่าวัดสุทัศน์ แต่ไม่มีอะไรหลงเหลือเลยนอกจากพระเศียรพระ เล็กๆน้อยๆ ชิ้นกลางเห็นจะเป็นวิหารยอดจตุรมุข แต่สูงใหญ่เหลือเกิน มุขหน้าเป็นพระเดิน มุขหลังเป็นพระยืน มุขซ้ายเป็นพระนอน มุขขวาเป็นพระนั่ง ที่มุมปั้นเป็นรูปนารายณ์ขี่ครุฑใหญ่มาก จะรับหลังคาอย่างไรน่าคิด แต่พระเหล่านี้เป็นพระปั้นด้วยปูน ใครจะมาซ่อมมาทำเพิ่มเติมทอย่างไรภายหลัง แต่รูปพรรณสัณฐานคงเป็นพระกำแพง ไม่ใช่ช่างเมืองอื่นมาทำ พระยืนนั้นขนาดพระโลกนาถวัดพระเชตุพน แต่ประเปรียวกว่า เห็นว่าให้ชื่อไว้ว่าวัดพระยืนนั้นไม่เข้าเค้า จึงเปลี่ยนให้เรียกวัดพระเชตุพนไปพลางกว่าจะมีชื่ออื่นดีกว่า เหตุด้วยเมืองสุโขทัยมีวัดพระเชตุพน บางทีเขาจะตั้งชื่อซ้ำกันบ้าง
ต่อนั้นไปจึงถึงวัดใหญ่ซึ่งมีวิหารอย่างเดียวกัน กลางเป็นรูปไม้สิบสอง จะเป็นเจดีย์ปรางค์อันใดพังเสียหรือไม่แล้ว ด้านหลังก็เป็นวิหารใหญ่อีกหลังหนึ่ง ในลานวัดนั้นเต็มไปด้วยพระเจดีย์ที่เป็นฐานเดียวกันหลายๆองค์บ้าง องเดียวบ้าง ลักษณะเดียวกับวัดหน้าพระธาตุลพบุรี และวัดพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช จะเป็นวัดอื่นนอกจากวัดหน้าพระธาตุไม่ได้เลย วัดนี้ดูบริบูรณ์มากกว่าวัดอื่น ซุ้มประตูใหญ่น้อยก็ยังมี ข้างหน้าวัดมีสระสี่เหลี่ยมกว้างยาวลึกประมาณสัก ๕ วา ขุดลงไปในแลงเหมือนอ่างศิลา ไม่มีรอยก่อเลย มีห้องฝาแลงกั้นสำหรับพระสรงน้ำ คงจะใช้โพงคันชั่ง น้ำในนั้นมีบริบูรณ์ใช้ได้อยู่จนบัดนี้ เมื่อเห็นวัดนี้เข้าแล้ว เป็นการจำเป็นที่จะยืนยันรับรองว่า วัดในเมืองจะเป็นวัดพระแก้วไม่ได้เลย ถ้าพระแก้วได้อยู่ในเมืองนี้คงจะอยู่วัดนี้ ใช่แต่เฉพาะว่าวัดใหญ่ เกี่ยวด้วยกาลเวลาเสียด้วย เป็นอันลงสัณฐานได้ในเรื่องเมืองกำแพงเพชร นี้ดังที่จะว่าต่อไป
.............................................................................................................................................