กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
เพชรพระมหามงกุฎ
แผ่นดินทอง
รัตนโกสินทร์ ๒๒๕ ยินดีต้อนรับ
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
พระราชสกุล
เที่ยวเมืองพระร่วง
ตำนานวังหน้า
ความ-ทรงจำ ในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
อธิบายเรื่องธงไทย
ตำนานภาษีอากร
บันทึกรับสั่งสมเด็จฯ
สารคดีที่น่ารู้ - ม.จ.หญิงพูนพิศมัย ดิศกุล
พระจอมเกล้าพระจอมปราชญ์
เทศาภิบาล
สิมอีสาน
ว่าด้วยตำนานเสภา เรื่องขุนช้างขุนแผน
ตำนานการสอบพระปริยัติธรรม
ตำนานพระแก้วมรกต
เรื่องทรงเที่ยวกลางคืน พระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จดหมายเหตุพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรจนถึงสวรรคต
พระราชหัตถเลขาในรัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสแหลมมลายูคราว ร.ศ. ๑๐๘
พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตอนเสวยราชย์
พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก่อนเสวยราชย์
ว่าด้วยประเทศสยามในจดหมายเหตุจีน
ว่าด้วยหน้าที่และพระอัธยาศัยในกรมพระราชวังบวรฯ กรุงรัตนโกสินทร์
ตำนานหนังสือพระราชพงศาวดาร
คำให้การหัวพันห้าทั้งหกในศึกฮ่อ
อำแดงเหมือน กับ นายริด
แผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง)
ว่าด้วยตำนานการเดินทางของฝรั่งมาสู่สยาม และมูลเหตุที่รับเป็นไมตรี
สำเภาเจดีย์ที่วัดยานนาวา
กรุงศรีอยุธยา ครั้งบ้านเมืองดี
ร.ศ. ๑๑๒
อธิบายเรื่องพระบาท
อธิบายตำนานรำโคม
วิจารณ์ว่าด้วยหนังสือ พราหมณศาสตร์ทวาทสพิธี
วินิจฉัยประเพณีแต่งงานอย่างโบราณ
พระราชหัตถเลขาอันเป็นมูลเหตุที่ตั้งหอพระสมุดวชิรญาณ
บรรดาศักดิ์ "เจ้าคุณ" ฝ่ายผู้หญิง
รับทูตฝรั่งครั้งกรุงรัตนโกสินทร์
ตำนานการที่ไทยเรียนภาษาอังกฤษ
ลักษณะการศึกษาของเจ้านายแต่โบราณ
คำให้การชาวอังวะ
แผ่นดินสมเด็จพระเอกาทศรฐมหาราช
"กรมสมเด็จ" กับ "สมเด็จกรม"
พระบรมราชาธิบายเรื่อง ตั้งกรมเจ้านาย
เปรียบนามสกุลกับชื่อแซ่
พระราชปุจฉาอันเป็นมูล "พระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชญดาญาณ"
คำให้การเฒ่าสา เรื่องหนังราชสีห์
ประกาศพระราชบัญญัติให้ใช้คำนำหน้าชื่อชนต่างๆ
ตำนานพระโกศ
ศึกเจ้าอนุเวียงจันทน์
ศึกถลาง
อธิบายเรื่องพระมหาอุปราช
เสด็จประพาสต้น ร.ศ. ๑๒๕
กำเนิดหัวเมืองในมณฑลอีสาน สรุป
กำเนิดหัวเมืองในมณฑลอีสาน ตอนที่ ๒
กำเนิดหัวเมืองในมณฑลอีสาน ตอนที่ ๑
อธิบายเรื่องวรรณยุกต์
ประกาศพระราชพิธีโสกันต์ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์
ประกาศขนานนามพระพุทธปฏิมากรประจำรัชกาล
ตั้งเจ้าพระยานครศรีธรรมราช
ว่าด้วยมูลเหตุแห่งการสร้างวัดในประเทศสยาม
เหตุเกิดเมื่อศักราช ๙๐๗ พระเทียรราชาได้ราชสมบัติ
เสด็จตรวจราชการมณฑลอีสาน มณฑลอุดร ตอนที่ ๑
เสด็จตรวจราชการมณฑลอีสาน มณฑลอุดร ตอนที่ ๒
เมื่อแผ่นดินทรงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๒ พระองค์
ว่าด้วยลักษณะการปกครองประเทศสยามแต่โบราณ
เสด็จประพาสต้น ร.ศ. ๑๒๓
พระราชมรดกในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ตำหนักทองที่วัดไทร
ด่านพระเจดีย์สามองค์
๒๓ ตุลาคม ๒๔๕๓ เมื่อแผ่นดินสยามร้องไห้
โรงเรียนมหาดเล็กหลวง
สร้างพระบรมรูปทรงม้า
สมเด็จพระปิยมหาราช
อั้งยี่
ตำนานเงินตรา
ตำนานอากรบ่อนเบี้ยและหวย
แผ่นดินพระร่วง
จดหมายเหตุเสด็จหว้ากอ ปีมะโรงสัมฤทธิศก
แรกมีอนามัยในเมืองไทย
แรกมีโรงพยาบาลในเมืองไทย - ศิริราชพยาบาล
พระราชพิธีคเชนทรัศวสนาน
พงศาวดารเมืองนครเชียงใหม่ เมืองนครลำปาง เมืองลำพูนไชย
แผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
แผ่นดินสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช
แผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
แผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
ภูมิสถานกรุงศรีอยุธยา
ตำนานกรุงศรีอยุธยา
ศึกคราวตีเมืองพม่า
ศึกเมืองทวาย
ศึกพม่าที่นครลำปางและป่าซาง
ศึกพม่าที่ท่าดินแดง
ศึกหินดาดลาดหญ้า
ค้นเมืองโบราณ
ว่าด้วยตำนานสามก๊ก
ธรรมเนียมราชตระกูลในกรุงสยาม
พระราชกรัณยานุสรณ์
หนังสือหอหลวง
ว่าด้วยยศเจ้านาย
อธิบายเรื่องพระบาท
เมืองพระพุทธบาท
อธิบายเรื่องพระบาท
การที่นับถือรอยพระพุทธบาทเป็นเจติยสถานดูเหมือนมูลเหตุจะเกิดขึ้นแต่ ๒ คติต่างกัน เป้นคติของชาวมัชฌิมประเทศอย่าง ๑ เป็นคติชาวลังกาทวีปอย่าง ๑ คติของชาวมัชฌิมประเทศนั้นเดิมถือกันตั้งแต่พุทธกาลว่าไม่ควรสร้างรูปเทวดาหรือมนุษย์ขึ้นไว้เซ่นสรวงสักการบูชา และคตินั้นถือกันมาจนพุทธกาลล่วงร้อยปีจึงได้เลิก เพราะฉะนั้นพระเจดีย์ที่พวกพุทธศาสนิกชนสร้างเมื่อก่อน พ.ศ. ๕๐๐ จึงทำแต่พระสถูปหรือวัตถุต่างๆ เป็นเครื่องหมายสำหรับบูชาแทนพระองค์พระพุทธเจ้า รอยพระพุทธบาทเป็นวัตถุอย่าง ๑ ซึ่งชอบทำกันในสมัยนั้น ทำเป็นรอยพระพุทธบาททั้งซ้ายขวาบ้าง ทำเป็นรอยพระพุทธบาทแต่เบื้องขวาบ้าง
แต่ฝ่ายพวกที่ถือศาสนาพราหมณ์นั้น ชอบอ้างภูเขาหรือสิ่งอื่นที่เป็นเอง แต่รูปสัณฐานแปลกประหลาด ว่าพระผู้เป็นเจ้าได้บันดาลให้เป็น โดยมีเรื่องตำนานอย่างนั้นๆ เช่นที่เมืองคยามีตำบลหนึ่งไม่ห่างจากตำบลพุทธคยาที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นัก เรียกว่าตำบลคยาศิระ บนเนินเขาตรงนั้นเป็นศิลาดำคล้ายรูปคนนอน และบนศิลานั้นมีรอยเหมือนรอยเท้าคนอยู่รอย ๑ เขาอธิบายเรื่องตำนานว่า เดิมมียักษ์ร้ายตนหนึ่ง พระวิษณุเทพเจ้าเสด็จลงมาปราบ เมื่อจะฆ่ายักษ์นั้นทรงเหยียบตัวไว้แล้วตัดศีรษะเสีย แล้วบันดาลให้ตัวยักษ์และรอยพระบาทกลายเป็นศิลาปรากฏอยู่ รอยนั้นเรียกกันว่า วิษณุบาท นับถือว่าเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ มีคนไปบูชาเนืองนิตย์จนบัดนี้ ที่ว่าเป็นส่วนคติที่นับถือกันมาในมัชฌิมประเทศ แม้ในบาลีก็หามีปรากฏอ้างว่า พระพุทธองค์ได้ทรงเหยียบรอยพระพุทธบาทประดิษฐานไว้ ณ ที่แห่งหนึ่งแห่งใดไม่
ส่วนคติที่ถือกันในลังกาทวีปนั้น เป็นการเกิดขึ้นชั้นหลัง อ้างว่าพระพุทธองค์ได้เหยียบรอยพระพุทธบาทไว้ให้เป็นที่สาธุชนสักการบูชา ๕ แห่ง คือที่เขาสุวรรณมาลิกแห่ง ๑ ที่เขาสุวรรณบรรพตแห่ง ๑ ที่เขาสุมนกูฏแห่ง ๑ ที่เมืองโยนกบุรีแห่ง ๑ ที่หาดในลำน้ำนัมทานทีแห่ง ๑ มีคาถาคำนมัสการแต่งไว้ สำหรับสวดท้ายสวดมนต์อย่างเก่าดังนี้
สุวณฺณมาลิเก สุวณฺณปพฺพเต
สุมนกูเฏ โยนกปุเร
นมฺมทาย นทิยา ปญฺจปาทวรํ
อหํ วนทามิ ทรูโต.
รอยพระพุทธบาท ๕ รอยที่กล่าวนี้ เดิมชาวเรารู้แห่งแต่รอยที่เขาสุมนกูฏ (เขาที่อังกฤษเรียกว่า อะดัมสปิก) อันอยู่ในลังกาทวีปแห่งเดียว พวกลังกาอธิบายตำนานมีอยู่ในเรื่องมหาวงศ์ ว่าครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จเหาะไปลังกาทวีป ทรงสั่งสอนพวกชาวเกาะนั้นให้เกิดความเลื่อมใส แล้วจะเสด็จกลับคืนไปยังมัชฌิมประเทศ จึงทำปาฏิหาริย์เหยียบรอยพระพุทธบาท (ใหญ่ยาวราวสักวา ๑) ประดิษฐานไว้บนยอดเขา สำหรับให้ชาวลังกาบูชาต่างพระองค์ แต่ฝ่ายพวกทมิฬที่ถือศาสนาพราหมณ์อ้างว่ารอยนั้นเป็นรอยวิษณุบาท ต่างพวกต่างบูชาด้วยความเชื่อต่างกันมาจนทุกวันนี้ ส่อให้เห็นว่า น่าจะเป็นเพราะพวกลังกาเอาคติของพวกที่ถือศาสนาในมัชฌิมประเทศ กับคติของพวกที่ถือศาสนาพราหมณ์มาระคลปนกัน จึงเกิดคติที่อ้างว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงเหยียบรอยพระพุทธบาทไว้ ฝ่ายพวกที่นับถือพุทธศาสนาตามลัทธิลังกาวงศ์ เช่นไทยเรา และพม่า มอญ แต่ก่อนย่อมเชื่อถือคติตามชาวลังกา ก็พากันศรัทธาพยายามไปนมัสการรอยพระพุทธบาทที่เขาสุมนกูฏ
จนถึงรัชกาลพระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ. ๒๑๖๓ ๒๑๗๑) มีพระภิกษุสงฆ์ไทยพวกหนึ่งออกไปถึงลังกาทวีป จะไปบูชารอยพระพุทธบาทที่เขาสุมนกูฏ พระสงฆ์ลังกาถามว่ารอยพระพุทธบาทที่มีอยู่ ๕ รอยนั้น เขาสุวรรณบรรพตก็อยู่ในสยามประเทศไทย ไม่ไปบูชารอยพระพุทธบาท ณ ที่นั้นดอกหรือ จึงต้องไปบูชาถึงลังกาทวีป พระภิกษุพวกนั้นนำมาทูลพระเจ้าทรงธรรม จึงโปรดฯ ให้มีตราสั่งหัวเมืองให้เที่ยวตรวจค้นดูตามภูเขาว่าจะมีรอยพระพุทธบาทอยู่ ณ แห่งใดหรือไม่ ครั้งนั้นผู้ว่าราชการเมืองสระบุรีสืบได้จากพรานบุณว่า ครั้งหนึ่งไปไล่เนื้อในป่าที่ริมเชิงเขา ยิงถูกเนื้อเจ็บลำบากหนีขึ้นบนไหล่เขาเข้าเซิงไม้ไป พอบัดเดี๋ยวเห็นเนื้อตัวนั้นวิ่งออกจากเซิงไม้ไปเป็นปกติดังเก่า พรานบุณนึกแปลกใจจึงขึ้นไปดูบนไหล่เขานั้น เห็นมีรอยอยู่ในศิลาเหมือนรูปเท้าคนขนาดยาวสักศอกเศษ และมีน้ำขังอยู่ในนั้น ก็สำคัญว่าเนื้อคงหายบาดแผลเพราะกินน้ำนั้น จึงตักเอามาลองทาตัวดู กลากเกลื้อนที่เป็นอยู่ช้านานก็หายหมด ผู้ว่าราชการเมืองสระบุรีไปตรวจเห็นมีรอยจริงดังพรานบุณว่าจึงบอกเข้ามายังกรุงศรีอยุธยา
พระเจ้าทรงธรรมเสด็จออกไปทอดพระเนตร ทรงพระราชดำริว่าคงเป็นรอยพระพุทธบาทตรงตามที่ลังกาบอกมาเป็นแน่แท้ ก็ทรงโสมนัสศรัทธาด้วยเห็นว่าเป็นบริโภคเจดีย์เนื่องชิดติดต่อถึงพระพุทธองค์ ประเสริฐกว่าอุเทสิกเจดีย์เช่นพระพุทธรูป ซึ่งเป็นของสร้างขึ้นโดยสมมติ จึงโปรดฯให้สร้างเป็นมหาเจดียสถาน มีพระมณฑปสวมรอยพระพุทธบาท และสังฆารามที่พระภิกษุสงฆ์บริบาล และสร้างบริเวณพระราชนิเวศน์ที่เชิงเขาพระพุทธบาทแห่ง ๑ ที่ท่าเจ้าสนุกริมลำน้ำสักแห่ง ๑ สำหรับประทับเวลาเสด็จไปบูชา แล้วโปรดฯ ให้ช่างฝรั่ง (ฮอลันดา) ส่องกล้องทำถนนแต่ท่าเรือขึ้นไปจนถึงสุวรรณบรรพต เพื่อให้เป็นทางมหาชนไปมาได้โดยสะดวก และทรงพระราชอุทิศที่โยชน์ ๑ โดยรอบพระพุทธบาทถวายเป็นพุทธบูชา กัลปนาผลซึ่งได้เป็นส่วนของหลวงในที่นั้น สำหรับใช้จ่ายในการรักษามหาเจดียสถานที่พระพุทธบาท และโปรดฯ ให้บรรดาชายฉกรรจ์อันตั้งภูมิลำเนาอยู่ในเขตที่ทรงพระราชอุทิศนั้นพ้นจากหน้าที่ราชการอื่น จัดให้เป็นพวกขุนโขลนข้าพระปฏิบัติรักษาพระพุทธบาทแต่อย่างเดียว ที่บริเวณซึ่งทรงพระราชอุทิศนั้นก็ได้นามว่าเมืองปรันตปะ เรียกกันเป็นสามัญว่าเมืองพระพุทธบาท และเกิดเทศกาลมหาชนขึ้นไปบูชาพระพุทธบาทกลางเดือน ๓ ครั้ง ๑ กลางเดือน ๔ ครั้ง ๑ แต่นั้นมา
แท้จริงรอยพระพุทธบาทอันเป็นที่มหาชนบูชาในประเทศนี้ มีมาก่อนพระเจ้าทรงธรรมแล้วช้านาน และมีอยู่หลายแห่ง ทำเป็นรอยพระพุทธบาทขนาดต่างกัน ๔ รอย อุทิศต่อพระพุทธเจ้าทั้ง ๔ พระองค์ เช่นที่เขาในแขวงเมืองเชียงใหม่ก็มี ทำเป็นรอยพระบาททั้งซ้ายขวา เช่นศิลาแผ่นใหญ่ซึ่งเดิมอยู่ในเมืองชัยนาท เดี๋ยวนี้อยู่ในวัดบวรนิเวศฯ และที่เรียกว่า พระยืน อยู่ในมณฑปใกล้พระแท่นศิลาอาสน์ก็มี ทำแต่รอบพระพุทธบาทข้างขวาข้างเดียวนั้นมาก จะกล่าวถึงแต่แห่งสำคัญ คือ ที่พระเจ้าลิไทกษัตริย์ในราชวงศ์พระร่วงทรงสร้างไว้บนเขานางทองในแขวงจังหวัดกำแพงเพชร มีอักษรจารึกเป็นรอยสำคัญรอยหนึ่ง อีกรอยหนึ่งจะเป็นผู้ใดสร้างหาปรากฏไม่ เดี๋ยวนี้อยู่ที่วัดพระรูปตรงศาลากลางจังหวัดสุพรรณบุรีข้าม พระบาทรอยนี้จำหลักบนแผ่นกระดานไม้แก่น ด้านหลังจำหลักรูปภาพเรื่องมารวิชัย แต่ตรงที่พระพุทธรูปทำเป็นพระพุทธอาสน์ หาทำพระพุทธรูปไม่ เป็นเค้าเงื่อนข้อสำคัญแสดงว่ารอยพระพุทธบาทที่สร้างขึ้นในประเทศนี้ ชั้นเดิมถือตามคติชาวมัชฌิมประเทศ คือสร้างขึ้นเป็นวัตถุที่บูชาแทนพระพุทธรูป มิได้อ้างว่าพระพุทธองค์ได้ทรงเหยียบรอยพระพุทธบาทไว้
เพราะฉะนั้นการที่พบรอยพระพุทธบาท ณ เขาสุวรรณบรรพต เมื่อรัชกาลพระเจ้าทรงธรรมจึงเป็นมูลเหตุให้คนทั้งหลายโดยมากเกิดเลื่อมใสศรัทธา โดยเชื่อมั่นว่า พระพุทธเจ้าได้เคยเสด็จมาถึงประเทศนี้ ต่อมาก็เกิดเจดียสถานที่เชื่อถือกันว่าเป็นพระพุทธบริโภคขึ้นอีกหลายแห่ง คือพระพุทธฉายและพระแท่นดงรังเป็นต้น แต่มหาชนเลื่อมใสศรัทธาที่พระพุทธบาทยิ่งกว่าเจดียสถานแห่งอื่นๆ ทั้งนั้น แม้พระเจ้าแผ่นดินซึ่งได้เสวยราชย์ ณ กรุงศรีอยุธยาต่อรัชการพระเจ้าทรงธรรมมาก็เสด็จไปทรงสักการบูชาและสมโภชเป็นนิจ บางพระองค์ทรงปฏิสังขรณ์และสถาปนาวัตถุสถานเพิ่มเติม มีปรากฏในหนังสือพระราชพงศาวดารว่า เมื่อรัชกาลพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ. ๒๑๗๓ ๒๑๙๘) โปรดฯ ให้แต่งธารทองแดงเป็นที่ประพาส และสร้างตำหนักที่ปีระทับเวลาเสด็จไปนมัสการพระพุทธบาทขึ้นที่ธารทองแดงนั้น ขนานนามว่าตำหนักธารเกษมแห่ง ๑ ตกแต่งพระตำหนักท่าเจ้าสนุก (แปลงเป็นเครื่องก่ออิฐถือปูน) แห่ง ๑ และให้ขุดบ่อน้ำทำศาลารายตามริมถนนหลวงทางขึ้นพระบาท สำหรับให้มหาชนไปมาได้อาศัยทุกระยะ และยังมีของโบราณซึ่งปรากฏอยู่ในบริเวณพระพุทธบาท มีเค้าเงื่อนว่าจะเป็นของสร้างครั้งพระเจ้าปราสาททอง แต่มิได้ลงในหนังสือพระราชพงศาวดารก็อีกหลายสิ่ง คือพระวิหารหลวง และกำแพงแก้วทำด้วยเครื่องศิลาอ่อน รอบชั้นทักษิณพระพุทธบาทเป็นต้น
ถึงรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. ๒๑๙๙ ๒๒๓๑) ปรากฏว่าโปรดฯ ให้สร้างถนนเป็นทางเสด็จพระราชดำเนิน ตั้งแต่เมืองลพบุรีไปจนถึงเขาสุวรรณบรรพตสาย ๑ ให้สร้างอ่างแก้วและกำแพงกันน้ำตามไหล่เขา ชักน้ำฝนให้ไหลไปลงอ่างแก้วขังน้ำไว้ให้มหาชนบริโภคอย่าง ๑ ในรัชกาลสมเด็จพระสุริเยนทราธิบดี (พระเจ้าเสือ พ.ศ. ๒๒๔๖ ๒๒๕๑) ปรากฏว่าทรงปฏิสังขรณ์พระมณฑป (พระมณฑปซึ่งสร้างครั้งพระเจ้าทรงธรรมทำเป็นยอดเดียว สร้างมาได้ ๗๐ ปีเศษ เห็นจะชำรุดทรุดโทรม) โปรดฯ ให้เปลี่ยนเครื่องบนแปลงเป็นพระมณฑป ๕ ยอด สิ่งอื่นทำนองก็จะปฏิสังขรณ์ทั่วทั้งพระอาราม เพราะความกล่าวในหนังสือพระราชพงศาวดารว่า ครั้งนั้นสมเด็จพระสังฆราช (ชื่อแตงโม เป็นชาวเมืองเพชรบุรี ที่เป็นผู้สร้างวัดใหญ่ ณ เมืองเพชรบุรีนั้น) ขึ้นไปช่วยปฏิสังขรณ์ จึงทรงมอบงานทั้งปวงให้สมเด็จพระสังฆราชบเป็นผู้อำนวยการดังนี้ แต่การปฏิสังขรณ์พระมณฑปครั้งนั้นค้างวอยู่ถึงรัชกาลสมเด็จพระภูมินทราธิบดี (พระเจ้าท้ายสระ พ.ศ. ๒๒๕๑ ๒๒๗๕) ทรงปฏิสังขรณ์ต่อมา ให้เอากระจกเงาแผ่นใหญ่ ประดับฝาผนังข้างในพระมณฑป และปั้นลายปิดทองประกอบตามแนวที่ต่อกระจก ในหนังสือพระราชพงศาวดารกล่าวความดังนี้
(เรื่องฝามณฑปพระพุทธบาทนี้ เมื่อพระมงคลทิพมุนี มุ่ย วัดจักรวรรดิราชาวาสเป็นเจ้าหน้าที่รักษาพระพุทธบาท ซ่อมฝาผนังข้างในพระมณฑปในรัชกาลพระมงกุฎเกล้าฯ ได้กะเทาะปูนที่โบกฝาผนังออกโบกใหม่ เห็นอิฐที่ก่อผนังเป็นโค้งและมีรอยก่ออิฐอุดโค้งนั้นเสียทุกด้าน ข้อนี้น่าสันนิษฐานว่าพระมณฑปที่สร้างครั้งพระเจ้าทรงธรรมเห็นจะเป็นมณฑปโถง จะมาก่อแปลงเป็นโค้งเมื่อครั้งทำเครื่องบนใหม่ในรัชกาลพระเจ้าเสือ และมาก่ออุดเป็นฝาขึ้นเมื่อครั้งพระเจ้าท้ายสระทรงปฏิสังขรณ์ต่อมา จึงให้ประดับด้วยกระจกเงา)
ในรัชกาลพระมหาธรรมราชาที่ ๒ (พระเจ้าบรมโกศ พ.ศ. ๒๒๗๕ ๒๓๐๑) ในหนังสือพระราชพงศาวดารกล่าวแต่ว่าทรงพระราชศรัทธาเสด็จไปนมัสการพระพุทธบาททุกปี และว่าครั้งหนึ่งจำเริญงาช้างต้นพระบรมจักรพาฬถึงไส้งาเกรงช้างจะเป็นอันตราย จึงโปรดฯ ให้ทำเครื่องสดผูกช้างนั้นปล่อยถวายเป็นพระพุทธบูชาที่พระพุทธบาทดังนี้ แต่สถานที่ต่างๆ ที่มีอยู่ ณ พระพุทธบาทส่อให้เห็นว่าจะได้ทรงปฏิสังขรณ์ในรัชกาลพระเจ้าบรมโกศอีกครั้งหนึ่ง มีสิ่งที่สร้างใหม่เล่ากันมาเป็นแน่นั้น คือบานประตูพระมณฑป ว่าสร้างเป็นบานมุกในครั้งรัชกาลพระเจ้าบรมโกศทั้ง ๘ บาน ความที่แต่งพรรณนาในฉันท์บุณโณวาท (ที่หอพระสมุดฯ พิมพ์) ก็พรรณนาสิ่งซึ่งมีอยู่ในรัชกาลพระเจ้าบรมโกศทั้งนั้น
ถึงรัชกาลพระเจ้าเอกทัศ (พระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์ พ.ศ. ๒๓๐๑ ๒๓๑๐) เมื่อพม่าเข้ามาตั้งล้อมกรุงฯ ในปีจอ พ.ศ. ๒๓๐๙ เดิมพวกจีนที่อยู่ในกรุงฯ อาสาต่อสู้ข้าศึก จึงจัดให้กองจีนตั้งค่ายอยู่ ณ ตำบลคลองสวนพูล ต่อมาจีนพวกนั้นคบคิดกันประมาณ ๓๐๐ คน คุมกันขึ้นไปยังพระพุทธบาท ไปเลิกทองคำที่หุ้มพระมณฑปน้อยอันทรงรอยพระพุทธบาท และแผ่นเงินที่ปูลาดพื้นพระมณฑป เอามาเป็นอาณาประโยชน์แล้วเลยเผาพระมณฑปเสีย เพื่อจะให้ความสูญ พระมณฑปพระพุทธบาทก็เป็นอันตรายยับเยิน ถึงครั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานีติดการศึก ก็ไม่มีเวลาที่จะได้สร้างพระมณฑปพระพุทธบาทให้คืนดีดังแต่ก่อน
มาจนถึงรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงโปรดฯ ให้สมเด็จพระอนุชาธิราชกรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท เสด็จขึ้นไปทรงอำนวยการปฏิสังขรณ์พระมณฑปพระพุทธบาท เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๐ ให้พระยาราชสงครามเป็นนายช่างปรุงเครื่องบนพระมณฑปขนขึ้นไปจากกรุงเทพฯ ครั้งนั้นกรมพระราชวังบวรฯ ทรงพระราชศรัทธารับแบกตัวลำยองเครื่องบนตัว ๑ ทรงพระราชดำเนินตั้งแต่ท่าเรือขึ้นไป จนถึงพระพุทธบาท ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ข้าราชการทั้งนายไพร่ที่ขึ้นไปทำการปฏิสังขรณ์ครั้งนั้น บานมุข ๘ บาน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกก็โปรดฯ ให้สร้างขึ้นใหม่ตามแบบอย่างที่พระเจ้าบรมโกศได้ทรงสร้างไว้ ยังปรากฏอยู่จนทุกบัดนี้ แต่ฝาผนังข้างใน (พระมงคลทิพมุนีว่าเมื่อกะเทาะปูนฝาผนังออก เห็นรอยถือปูนผนังเป็น ๓ ชั้น ชั้นแรกถือปูนแล้วทาสีแดง ชั้นที่ ๒ ปิดทองทึบ ชั้นที่ ๓ เขียนลายทอง เขียนลายทองนั้นทราบได้แน่ว่าเขียนในรัชกาลที่ ๕ เนื่องต่อการที่เสด็จไปสักการบูชาครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๓๔๑๔ จึงสันนิษฐานว่าครั้งปฏิสังขรณ์ครั้งรัชกาลที่ ๑ เห็นจะ) เป็นแต่ล่องชาดไม่ได้คาดแผ่นกระจกเงาดังแต่ก่อนอีกต่อมา นกจากพระมณฑปสิ่งอื่นที่ชำรุดทรุดโทรมก็ได้โปรดฯให้ซ่อมแซมในรัชกาลที่ ๑ ทั่วไป เพราะฉะนั้นในรัชกาลที่ ๒ ของที่ทรงบูรณะในรัชกาลที่ ๑ ยังบริบูรณ์อยู่จึงไม่ปรากฏว่าได้มีปรากฏว่าได้มีการปฏิสังขรณ์อย่างใดอีก
(๑)
ในรัชกาลที่ ๓ ปรากฏว่าได้ทรงปฏิสังขรณ์เครื่องพระมณฑปใหญ่ และมีเหตุไฟเทียนบูชาไหม้ม่านแล้วเลยไหม้พระมณฑปน้อยที่สวมรอยพระพุทธบาท ต้องทำใหม่ และบางทีจะปิดทองฝาผนังในคราวนี้ นอกจากนี้หาได้ทรงสร้างสิ่งใดไม่ กล่าวกันว่าเป็นเพราะพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ทรงเลื่อมใส ดำรัสว่าพระพุทธเจ้าได้ประทานพระธรรมเทศนาในหัตถิปโทปมสูตร สํยุตตนิกาย มหาวรรค (พระไตรปิฎกฉบับพิมพ์ในรัชกาลที่ ๕ หน้า ๕๔) ว่าขนาดรอยเท้าสัตว์ทั้งหลายย่อมอยู่ในรอยเท้าช้างฉันใด เหมือนกับธรรมทั้งหลายก็ย่อมอยู่ในอัปมาทธรรมดังนี้ ถ้าพระพุทธองค์ได้ทรงเหยียบรอยพระพุทธบาทไว้จริงไซร้ ก็จะทรงอุปมาว่ารอยเท้าสัตว์ทั้งหลายย่อมอยู่ในรอยเท้าของพระตถาคต เพราะรอยพระพุทธบาทใหญ่โตกว่า ๒ เท่ารอยเท้าช้าง เล่ากันมาดังนี้ แต่กรมพระราชวังบวรฯ ในรัชกาลที่ ๓ นั้นทรงเลื่อมใสพระพุทธบาทมาก เมื่อเสด็จกลับจากปราบขบถเวียงจันทน์ ทรงอุทิศถวายเครื่องสูงที่แห่เสด็จในการสงครามคราวนั้นไว้เป็นพุทธบูชา และทรงสร้างพระเจดีย์ตามแบบพระธาตุพนมไว้ด้วยองค์ ๑
ถึงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่า ถึงข้อเท็จจริงในเรื่องตำนานพระพุทธบาทจะเป็นอย่างไรก็ตาม พระพุทธบาทเป็นมหาเจดียสถานอันประชาชนเลื่อมใสศรัทธามากมาแต่โบราณ แม้เป็นอุเทสิกเจดีย์ก็ควรทำนุบำรุง จึงทรงบูรณปฏิสังขรณ์ สิ่งที่ทรงสร้างใหม่ก็มีหลายสิ่ง คือพระมงกุฎภัณฑเจดีย์ที่อยู่ใกล้พระมณฑปองค์ ๑ และโปรดฯ ให้สร้างเครื่องบนพระมณฑปใหญ่และสร้างพระมณฑปน้อย เปลี่ยนของซึ่งสร้างครั้งรัชกาลที่ ๓ ให้งดงามมั่นคงกว่าเก่า ทั้งให้เปลี่ยนแผ่นเงินปูพื้นพระมณฑปเป็นเสื่อเงิน แลทรงสร้างเทวรูปศิลาที่เขาตกด้วย ในรัชกาลที่ ๔ นั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จไปทรงนมัสการพระพุทธบาท และทรงยกยอดพระมณฑปและบรรจุพระบรมธาตุที่พระมงกุฎภัณฑเจดีย์ เมื่อปีวอก พ.ศ. ๒๔๐๓
ถึงรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จไปนมัสการพระพุทธบาท ๔ ครั้ง เสด็จชั้นก่อนมีรถไฟเมื่อปีวอก พ.ศ. ๒๔๑๕ ครั้ง ๑ เมื่อปีมะเมีย พ.ศ. ๒๔๒๕ ครั้ง ๑ เมื่อทำทางรถไฟแล้วเสด็จพระราชดำเนินอีก ๒ ครั้ง ในรัชกาลที่ ๕ ได้ทรงปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวง และซ่อมผนังข้างในพระมณฑปให้เขียนเป็นลายทอง และบันไดนาคทางขึ้นพระมณฑปนั้นเดิมเป็นบันได ๒ สาย โปรดฯ ให้สร้างเติมอีกสาย ๑ เป็น ๓ สาย และหล่อศีรษะนาคด้วยทองสัมฤทธิ์ที่เชิงบันได เติมของครั้งรัชกาลที่ ๑ ด้วย ต่อมาถึงปลายรัชกาล เครื่องพระมณฑปชำรุดมาก โปรดฯ ให้หล่อใหม่ ให้พระพุฒาจารย์ (มา) วัดจักรวรรดิราชาวาส เมื่อยังเป็นที่พระมงคลทิพมุนี ตำแหน่งผู้รักษาพระพุทธบาท เป็นนายงานทำการจนสำเร็จ ยังแต่จะยกพระจุลมงกุฎเหนือพุ่มข้าวบิณฑ์พระมณฑป สิ้นรัชกาลเสียก่อน ถึงรัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จขึ้นไปยกยอดพระมณฑปเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๖ และโปรดฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์ต่อมาจนสำเร็จ เรื่องตำนานพระพุทธบาทมีดังแสดงมา.
.........................................................................................................................................................
เชิงอรรถ
(๑) ในหนังสือพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ ๒ ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า พระมณฑปน้อยไฟไหม้ ได้ทรงสร้างใหม่ในรัชกลที่ ๒ นั้นผิดไป มาได้หลักฐานภายหลังว่าไฟไหม้พระมณฑปน้อยต่อรัชกาลที่ ๓
.........................................................................................................................................................
คัดจาก ประชุมพระนิพนธ์ในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
Create Date : 13 กรกฎาคม 2550
Last Update : 13 กรกฎาคม 2550 11:20:13 น.
2 comments
Counter : 2604 Pageviews.
Share
Tweet
มาเกี่ยวความรู้ค่ะ..แต่ยังอ่านไม่จบ..ทำเครื่องหมายไว้แล้ว ต้องกลับมาอีกรอบ..ขอบคุณนะคะที่แวะไปที่บล๊อคป้าปุ้ม..
เลยถือโอกาสนำรูป "เจ้าคุณพระประยูรวงศ์" มาฝากค่ะ
โดย:
Tante-Marz
วันที่: 14 กรกฎาคม 2550 เวลา:23:52:40 น.
ขอบพระคุณครับป้าปุ้ม
blog เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ มีรูปเสียที
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=rattanakosin225&month=22-03-2007&group=1&gblog=15
โดย:
กัมม์
วันที่: 15 กรกฎาคม 2550 เวลา:9:03:02 น.
Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
กัมม์
Location :
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [
?
]
วิชา ความรู้จะมีค่าเมื่อถูกถ่ายทอด
Bigmommy
NickyNick
เพ็ญชมพู
kenzen
สาวใหม
กระจ้อน
คนรักน้ำมัน
Why England
naragorn
biebie999
วรณัย
เซียงยอด
แม่สลิ่ม
รอยคำ
สุธน หิญ
นอกราชการ
BFBMOM
มณีไตรรงค์
karmapolice
เมื่อไรจะหายเหงา
เจ้าชายเล็ก
รักดี
ลุงนายช่าง
nidyada
mr.cozy
กวินทรากร
Mutation
พลังชีวิต
หนุ่มรัตนะ
Webmaster - BlogGang
[Add กัมม์'s blog to your web]
เครือข่ายกาญจนาภิเษก
หอมรดกไทย
เวียงวัง
มอญ
กฎหมายไทย
ประตูสู่อีสาน
พจนานุกรมไทย-อังกฤษ
พจนานุกรมไทย-บาลี
คำไท - คำถิ่น
คนโคราช
หนังสือหายาก E - Book
ลิลิตตะเลงพ่าย
สามก๊ก
บ้านมหา (หมอลำออนไลน์)
หมากรุกไทย และหมากกระดาน
ราชกิจจานุเบกษา
สมุดภาพเมืองไทยในอดีต
พระราชวังพญาไท
พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย
ฐานข้อมูลภาพถ่าย กรมศิลปากร
ปากเซ ดอท คอม
ศิลปวัฒนธรรมภาคใต้
มวยไชยา
ดำรงราชานุภาพ
พิพิธภัณฑ์ธงสยาม
ห้องสมุดพันทิป
สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า
จิตรกรรมฝาผนังวัดบุปผาราม
พิพิธภัณฑ์ศาลไทย
จิตรธานี
Wikimapia
ราชบัณฑิตยสถาน
Bloggang.com
MY VIP Friend
เลยถือโอกาสนำรูป "เจ้าคุณพระประยูรวงศ์" มาฝากค่ะ