www.facebook.com/ibehindyou

ทุก comment ที่คุณให้มา ทำให้เรารู้ว่า เราไม่ได้สนุกกับการเขียน blog แล้วอ่านอยู่คนเดียว

Happy Birthday , มุมมองของคนคิดมากและไม่อิน



... บทความนี้อาจทำให้ผู้อ่านที่ปลาบปลื้มประทับใจกับหนัง HBD ขุ่นเคืองหรือ หงุดหงิดรำคาญ หรือ อาจมองว่า ผู้เขียน ดูหนังโดยใช้หัวคิดมากไป ใช้หัวใจน้อยกว่า

ซึ่งสารภาพว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะ ตลอดเวลาของช่วงท้ายๆของหนังเรื่องนี้ ผมมีความคิดขัดแย้งกับหนังตลอดเวลาในแง่ของแก่นความรักที่หนังพยายามนำเสนอ และ ข้อเท็จจริงทางการแพทย์กับเรื่องของสภาพจิตใจบางประการ

ซึ่ง โดยรวมแล้ว ถ้ามองแค่ในแง่ของความเป็นหนังเรื่องหนึ่งอันประกอบไปด้วยการกำกับ , การถ่ายภาพ, การแสดง ฯลฯ หนังไทยเรื่องนี้เป็นหนังที่ดี เพียงแต่ ผมไม่ชอบ ไม่อิน และ ไม่ประทับใจ


1.



ทั้งๆที่ตัวเอง เป็น แฟนของคงเดชตั้งแต่ สี่เต่าเธอ มาจน เฉิ่ม ที่กลายเป็นหนึ่งในสิบหนังไทยที่ชอบที่สุด และ ก็ชื่นชมการแท็คทีมของ คงเดชกับพงพัฒน์ใน me , myself ร่วมกับแอบปลื้มปนปิ๊ง น้องแอม-นักแสดงนำหญิงที่เล่นหนังได้เป็นธรรมชาติน่ารักน่าหยิกแท้ๆ

ทั้งๆที่ตัวเอง เป็น คนที่มักถูกจริตกับหนังแนว ความรัก พลัดพราก และ ความตาย ตัวเองเป็นคนบิวต์ง่าย แค่ตัวอย่างหนังเรื่องนี้ก็น้ำตาซึม

ทั้งๆที่ตัวเอง เป็นแฟนวงพราวตั้งแต่อัลบั้มแรกตอนเป็นนักศึกษา ตามเก็บกระทั่งเวอร์ชั่น music box ของเพลง เธอคือความฝัน ซึ่งแค่ได้ฟังเพลงในหนังก็ยิ้มอย่างอิ่มเอมใจ

ครั้นตีตั๋วเข้าไปดู ก็ปรากฎว่า


... ผมชอบครึ่งแรกมาก

หนังดูเป็นธรรมชาติ วางคาแรคเตอร์ตัวละครได้มีเสน่ห์ นักแสดงก็เล่นได้น่ารักเป็นธรรมชาติดี การถ่ายภาพก็สวยงามดูแล้วเคลิ้มอยากกลับไปแม่ฮ่องสอนอีกซักรอบ

จุดหักมุมของหนังตามตัวอย่าง คือ วันเกิดของพระเอก มาพร้อมกับ ภาวะโคม่าของนางเอก ซึ่งหนังเปลี่ยนอารมณ์จาก กุ๊กกิ๊กน่ารัก มาเป็น อึดอัดสะเทือนอารมณ์ ใน ครึ่งหลัง ผมก็ยังชอบ และ คิดว่า อนันดา แสดงได้หนังเรื่องนี้ได้ดีมาก เขาน่าจะเลือกเล่นหนังมีคุณภาพแบบนี้ มากกว่าจะรับเล่นหนังพร่ำเพรื่ออย่างในปีนี้จนหน้าช้ำ

บวกกับ ตัวหนังทำการบ้านเรื่อง ปฎิกิริยาของการสูญเสียได้ดี ที่ให้เห็นว่า คนที่สูญเสียคนรักจะมีทั้งปฏิเสธความจริง สับสน โกรธ ฯลฯ

อาจจะติดให้ติอยู่นิดนึง ก็แค่ครึ่งแรกของหนัง นอกจากเที่ยวต่างจังหวัดกับนั่งกินข้าว หนังยังไม่แสดงให้เห็นการใช้ชีวิตด้านอื่นๆที่ ร่วมทุกข์ร่วมสุขมากพอ ชวนที่จะให้คล้อยตาม ความรักของพระเอกในครึ่งหลัง


... ที่ชอบเป็นพิเศษ ก็ตอนเริ่มเรื่องที่ ให้ตัวละครคู่หนึ่งไปหาสถานที่ท่องเที่ยวจากหนังสือเก่าๆเล่มหนึ่ง แล้วเถียงกันว่า มันอาจไม่สวยเหมือนแต่ก่อน แล้วอีกคนแย้งว่า ถึงเวลาจะผ่านไปแต่ความงดงามหรือสิ่งดีๆก็น่าจะยังมีอยู่

ทำให้ผมนึกถึงประเด็น บางอย่างอาจเปลี่ยนไป แต่บางสิ่งนั้นก็ยังคงเดิม ซึ่ง สามารถโยงกับความรัก ที่คู่รักของเราอาจเป็นอัมพาตพิกลพิการหรือหลงลืม แต่ ความรักของเรานั้นก็ยังสามารถอยู่คงเดิมได้ไม่แปรเปลี่ยนตาม




...ปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวผมและทำให้ผมไม่เชื่อไม่อินไม่คล้อยตาม เกิดขึ้นหลังจากครึ่งหลังของหนังผ่านไปพักใหญ่

เมื่อหนังกำลังแสดง ความไม่สามารถปล่อยวาง เป็น รักแท้ , ปล่อยให้ภาวะป่วยของพระเอกเดินหน้าอย่างโหดร้าย ดำดิ่งลงเรื่อยๆ แต่ดันเปลี่ยนไปจบอย่างสวยงามไม่ทันตั้งตัว โดย พยายามเลี่ยงข้อเท็จจริงหลายๆอย่างเพื่อนำไปสู่จุดพีคของอารมณ์ในช่วงท้าย

รวมไปถึง ภาวะสมองตายและการุณยฆาต(euthanasia) ที่ผมมองว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอยู่พอสมควร


2.



ผมเชื่อว่ามีผู้ชายแบบพระเอกในหนัง และเคยเห็น ญาติๆหรือคู่รักที่พร้อมจะดูแลคนรักที่ป่วย เช่น พิกลพิการ , หลงลืมญาติ ฯลฯ ไปจนสิ้นลมหายใจ

แต่

ภาวะสมองตาย(brain death) ไม่เหมือนกับ ภาวะอัลไซเมอร์ หรือ อัมพาต หรือ พิกลพิการ ฯลฯ ไม่เหมือนเรื่องราวของ ตาลอบกับยายทอง

เพราะ

ภาวะสมองตาย(brain death) คือ ภาวะที่สมองไม่ตอบสนอง ไม่รับรู้เรื่องราวความรู้สึกใดๆ และ ไม่มีทางที่ผู้ป่วยจะฟื้นขึ้นมา ได้แต่รอวันตาย เพราะ สมองที่ควบคุมการหายใจ , ความคิดความรู้สึกฯลฯ หยุดทำงานแล้ว แต่ที่ผู้ป่วยยังหายใจเป็นเพราะอาศัยเครื่องจักรอย่างเครื่องช่วยหายใจ ไม่ใช่แค่ใช้ถังออกซิเจน

และ

ภาวะสมองตาย(brain death) สามารถตรวจวัดแล้วบอกได้ชัดเจน จากภาวะตอบสนองของระบบประสาท , ตรวจม่านตา , ตรวจการทำงานของสมอง ฯลฯ ไม่ใช่แค่ดูจาก คนไข้ไม่รู้สึกตัว เนื่องจาก ภาวะโคม่าอีกหลายๆกรณีนั้น สมองของคนไข้ก็ยังไม่เข้าข่ายสมองตาย



...ในโลกความเป็นจริงนั้น แทบจะวันเว้นวัน ในโรงพยาบาลใหญ่ๆประจำจังหวัด เราสามารถพบผู้ป่วยในภาวะ สมองตาย ที่หมอต้องให้ ญาติตัดสินใจว่า จะปล่อยให้ผู้ป่วยจากไปหรือไม่ หรือ จะต้องอาศัยเครื่องช่วยหายใจต่อไปเรื่อยๆ

กรณีที่แพทย์จะมาให้ญาติตัดสินใจเช่นนี้ จะไม่เกิดขึ้น หากคนไข้เป็น อัมพาต หรือ เส้นเลือดสมองแตก หรือ อัลไซเมอร์ ฯลฯ

ไม่มีแพทย์คนไหนที่จะมาบอกให้ญาติเลือกว่า จะช่วย คนไข้พิการหรืออัลไซเมอร์ต่อหรือไม่ เพราะกรณีเหล่านั้น คนไข้ยังมีชีวิตยังมีความรู้สึก

แต่ในกรณีสมองตาย ผู้ป่วยไม่สามารถรับรู้ใดๆแล้ว เพียงแค่ยังหายใจ ตามเครื่องช่วยหายใจเท่านั้น และ นับถอยหลังรอเสียชีวิต ผู้ป่วยไม่ได้รับรู้ว่า อีกฝั่งคิดหรือรู้สึกอย่างไร (ต่างกับ อัลไซเมอร์ที่ยังรู้สึกได้แค่หลงลืม)


... การเลือกที่จะ สู้ต่อ หรือ ปล่อยคนไข้ไป ไม่มีทางไหน ที่ผิด เพียงแต่ ถ้าเลือกที่จะสู้ต่อ ก็ต้องเผชิญข้อเท็จจริงว่า ผู้ป่วยจะไม่ฟื้นคืนมา อีกทั้ง ค่ารักษาพยาบาลก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ ญาติๆก็จะต้องมาเฝ้าดูแลทุกวัน โดยที่เจ้าตัวนั้นไม่ได้รับรู้อะไรอีกต่อไป

ในความเป็นจริง จึงมีทั้งญาติที่สู้ถึงที่สุด , สู้จนถึงพอจะทำใจได้ , สู้ให้นานพอให้ลูกหลานต่างจังหวัดกลับมาดูใจ และ ยอมปล่อยให้ผู้ป่วยจากไป


... จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะสู้แค่ไหน แต่ เมื่อถึงจุดที่ญาติต้องเลือก ญาติหลายคนไม่กล้าเลือกหยุดการรักษาในแรกเริ่ม เพราะ กลัวที่จะถูกมองว่าเห็นแก่ตัว กลัวที่จะกลายเป็นลูกที่ไม่ดี เป็นภรรยาที่ไม่สู้เต็มที่ เป็นพ่อแม่ที่ไม่สู้ถึงที่สุด ฯลฯ

และหากถึงที่สุด เมื่อญาติเลือกจะถอดเครื่องช่วยหายใจเพื่อปล่อยให้ผู้ป่วยไปสบาย แต่ หลังจากทำไปแล้ว ถ้าไม่ได้รับการ support จิตใจ ญาติส่วนใหญ่ก็แบกความรู้สึกผิด(guilt) ติดตัว


... ความรู้สึกไม่อินของผม เกิดขึ้นเมื่อรู้สึกว่า หนังกำลังนำเสนอให้เห็นว่า การสู้ขาดใจ เป็น ความรักแท้ ในขณะที่ ผมมองว่าเป็น การยึดติดและไม่ปล่อยวาง เพราะ โจทย์พื้นฐานของหนังตั้งอยู่บนภาวะ สมองตาย ไม่ใช่ อัมพาต หรือ พิการ ฯลฯ ที่เจ้าตัวยังรับรู้

ผมคิดๆว่า ลองนึกเล่นๆว่า ถ้าบังเอิญเป็นตัวเราเอง หรือ มีผู้ชมที่เคยอยู่ในฐานะญาติที่ตัดสินใจถอดเครื่องช่วยหายใจ พอมาดูหนังเรื่องนี้ ก็อาจจะทำให้ ความรู้สึกผิด ผุดกลับขึ้นมา เพราะคิดว่า ตัวเองยังทำไม่เต็มที่ ดูอย่างรักแท้ในหนังเรื่องนี้ซิ สู้เต็มที่แล้วไม่เห็นจะตาย แถมสุดท้ายยังดีขึ้น

หรือ ในอนาคตถ้าหมอมาบอกเราว่า ญาติของคุณอยู่ในภาวะสมองตาย จะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก อย่าทรมานเขาอีกเลย เราอาจจะไม่กล้าตัดสินใจถอดเครื่องช่วยหายใจ เพราะ มันกำลังจะแปลว่า เรารักไม่มากพอ


3.



... ภาวะสู้ขาดใจของเต็น ในมุมหนึ่งคือ รักแท้ที่ซื่อสัตย์ตามคำสัญญา แต่ขณะที่ผมเห็น พระเอกเสียงาน เสียการใช้ชีวิตในสังคม และ ทำเสมือนว่านางเอกยังรับรู้ได้เหมือนคนปกติ เช่น เข็นรถพาเธอไปห้าง ไปช็อปปิ้ง ไปดูหนัง ฯลฯ ความคิดที่เกิดขึ้นกับผมมากกว่า คือ ผมลุ้นเป็นระยะๆว่าจะมีใครพาเต็นไปหาหมอหรือพยายามช่วยเต็นให้ดีขึ้น

เพราะ ภาวะของเต็นน่าจะเข้าข่าย โรคซึมเศร้า หรือ ภาวะซึมเศร้าหลังการสูญเสียแบบจำเป็นต้องได้รับการรักษา(Pathological grief)

มีศัพท์คำหนึ่งชื่อว่า Grief คือ ภาวะเศร้าโศกหลังการสูญเสีย เช่น ซึมเศร้า , ร้องไห้ , กินข้าวไม่ได้ , นอนไม่หลับ , ได้ยินเหมือนเสียงคนที่ตายไปแล้วเรียกชื่อ ฯลฯ และเป็นเรื่องปกติที่ช่วงแรกๆ คนสูญเสีย จะรับไม่ได้ ไม่ยอมรับความจริง คิดว่าคนที่จากไปยังมีชีวิตอยู่ เหมือนเช่นกับ เต็น ที่คิดว่า เพา จะต้องฟื้นในช่วงต้น

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น ภาวะปกติที่พบได้ ไม่จัดเป็น อาการป่วย

แต่ ถ้าอาการของ Grief มีภาวะรุนแรง เช่น ซึมเศร้าถึงขั้นฆ่าตัวตาย , หูแว่วถึงขนาดได้ยินเสียงคนมาคุยเป็นเรื่องเป็นราว หรือ ใช้ชีวิตเหมือนคนที่ตายไปแล้วยังอยู่ เช่น จัดโต๊ะจัดจานให้กิน , ซักเสื้อผ้าให้ใส่ตู้ทุกวัน ฯ และ ถ้าอาการของ Grief ที่ว่าปกตินั้นเป็นเรื้อรัง ถือว่าเข้าข่ายภาวะผิดปกติที่เรียกว่า Pathological grief

ซึ่งส่วนหนึ่งของ Pathological grief เป็นโรคซึมเศร้าที่หากปล่อยทิ้งไว้ อาจเลยเถิดไปจนถึงการฆ่าตัวตาย


... ดังนั้น ตอนต้นของครึ่งหลัง ผมจึงยังซึ้งในรักแท้ของเต็น แต่พอเริ่มเข้าโหมด พานางเอกขึ้นรถเข็นไปดูหนังในโรงหนังด้วยกันพร้อมถังออกซิเจน , พาไปช็อปปิ้งซื้อเครื่องสำอางฯลฯ มันทำให้ผมเปลี่ยนจาก ความซึ้ง เป็น อึดอัดและสงสาร

สำหรับผม ความรักตั้งแต่กลางครึ่งหลัง ที่พระเอกทิ้งงาน ทิ้งโลกภายนอกและทำเสมือนนางเอกยังมีชีวิต คือ การยึดติดไม่สามารถปล่อยวาง มากกว่าจะเป็น รักแท้ที่งดงาม (แถมยังเป็นภาวะป่วยอีกต่างหาก)


... ยิ่งนึกเปรียบเทียบกับหนังที่เล่นประเด็นคล้ายๆกัน เกี่ยวกับ ความรัก การสูญเสีย grief และ ความตาย

ผมชอบการคลี่คลายไปสู่บทสรุปของ หนังฝรั่งที่ว่าด้วย สามีพยายามยื้อชีวิตภรรยาที่เป็นมะเร็งใน The Fountain หรือ หนังจีนที่ จางป๋อจือเล่นเป็นนางเอกที่ยังคงใช้ชีวิตเสมือนสามียังไม่ตายใน Lost in time และ พ่อแม่ที่สูญเสียลูกสาวใน รักแห่งสยาม มากกว่า


4.




... จุดถัดมานี้ ไม่ได้เกี่ยวกับ มุมมองส่วนตัว แต่มาจาก บทหนังที่ผมรู้สึกว่า เป็นเหตุให้ ฉากจบดูไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่ เพราะ ผมคิดว่า ถ้าหนังจะเลือกเดินเส้นทางที่ให้ การรักษาสัญญา เป็น รักแท้ที่งดงามของชายคนหนึ่ง โดยให้พระเอกเลือกที่จะดูแลตลอดไป

หนังก็ไม่ควรละเลยข้อเท็จจริงที่ปูไว้แต่ต้น บทสรุปไม่ควรจะสวยงามได้ง่ายแบบนั้น

เพราะ ฉากชีวิตของเต็นที่ควรจะเป็น หากยึดเอาจากข้อเท็จจริงที่หนังปูไว้คือ ถัดจากนี้พระเอกก็จะ ตกงาน , ไม่มีเงินรักษา ,เครียดเป็นบ้า เพราะต้องทำหน้าที่พยาบาลทุกสิบห้านาที ซึ่งปกติ ญาติๆผู้ป่วยอัมพาตจะผลัดกันดูแลหรือมีพยาบาลเป็นเวรๆ ,, นางเอกต้องติดเชื้อจากภาวะแผลกดทับหรือเสียชีวิตตามหลักทางการแพทย์ที่อยู่ได้ไม่นาน

แต่ หนังกลับข้ามข้อเท็จจริงเหล่านี้ เพื่อตั้งใจนำไปสู่ บทสรุปที่เซ็ทไว้สุดท้าย

...ทั้งๆที่ ถ้าอยากจะเน้นบทสรุปสุดท้ายเช่นนี้จริง ผมคิดว่า หลังการตัดสินในศาล แล้ว หนังน่าจะทำให้เห็นว่า พระเอกยังดูแลนางเอกอยู่ แต่ปรับตัวกับความเป็นจริงได้มากขึ้น เช่น เริ่มหางานใหม่ เริ่มมีเงินที่จะดูแล ไม่หมกมุ่นอยู่กับนางเอกจนเกินไป เริ่มปล่อยวางได้บ้าง

ซึ่งยังดูน่าเชื่อถือมากกว่า การตัดกลับมาอีกที มีแกลเลอรี่เสียแล้ว แถมนางเอกยังอาการดีขึ้นกว่าเดิมอีกต่างหาก


... ตัวอย่างของหนังที่อยากยกมาเปรียบเทียบ เพราะเพิ่งดูผ่านไป คือ หนังแผ่นเรื่อง Lars and the real girl ที่เป็นเรื่องราวของ พระเอกผู้ตกหลุมรักตุ๊กตายาง แล้วแบกไปไหนมาไหนเสมือนมันมีชีวิตเป็นแฟนของตัวเอง

ด้วยเค้าโครงเรื่องคร่าวๆของหนังเรื่องนี้ ดูไม่สมจริงยิ่งกว่า และ ไม่ตรงกับอาการป่วยใดๆทางการแพทย์ แต่ หนังสามารถทำให้คนดูคล้อยตาม เพราะ บทหนังแสดงให้เห็นความเป็นเหตุเป็นผลของเรื่องราว ที่ไม่พยายามจะชักจูงคนดูโดยจงใจเกินไป แต่เมื่อถึงบทสรุปกลับสร้างความประทับใจโดยไม่ตะขิดตะขวง

5.



หลังจากกลับมานั่งทบทวนเรื่องราวจากหนังทั้งหมด จากที่ตอนแรกผมคิดว่า ผมไม่อินไม่คล้อยตาม เพราะ ปัญหาข้อเท็จจริง และ การคิดมากเกินไป อีกสาเหตุหนึ่งที่ส่งเสริมให้ไม่อิน อาจเป็นเพราะ มุมมองต่อ รักแท้ ของผม กับ บทหนังของคงเดช อาจไม่ตรงกัน

จากผลงานของคงเดช จริงอยู่ที่ ผมชอบ เฉิ่ม เอามากๆ ชอบ กอด ประมาณหนึ่ง ชอบ Me...Myself ใกล้ๆกับ กอด แต่ ผมไม่อินตาม ความรักใน The Letter เอาเสียเลย

เพราะไม่เพียงแต่หนังบิวต์เกินความรู้สึกซึ้ง คือ บางฉากบางตอนหนังทำแค่นี้ก็ซึ้งสุดๆแล้ว แต่หนังไม่หยุดบิวต์ จนกลายเป็นความรู้สึกเฟ้อ

เหตุเพิ่มเติมที่ทำให้หนังจบแล้วผมไม่อิน ก็เพราะประเด็น ความรักที่พระเอกยังขอที่จะไม่ปล่อยนางเอกไป มันให้ความรู้สึกเดียวกับ ประเด็นที่พระเอกในหนังเรื่องนี้ไม่สามารถปล่อยวางนางเอกไป

...เพราะ เมื่อเกิดการสูญเสียจากความรัก ผมมองว่า รักแท้ ไม่ได้แปลว่า เราจะไม่รักใครอีกต่อไปแล้ว เราจะจมอยู่กับอดีตเท่านั้น หรือ ไม่สามารถปล่อยวางเดินหน้าต่อ

แต่ คือ การที่เราสามารถเก็บรักษาความทรงจำดีๆไว้ในลิ้นชักของหัวใจ ไปพร้อมๆกับ สามารถเดินหน้ามีชีวิตใหม่ได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิด

อีกทั้งคิดว่า ถ้าตัวเองหรืออีกหลายๆคน เป็นฝ่ายที่ต้องตายจากไป เราก็คงอยากที่จะให้คนอยู่ต่อเพียงระลึกถึงตัวเราบ้าง แต่ในขณะเดียวกัน ก็อยากให้เขาได้มีชีวิตใหม่ๆ สามารถมีความรักครั้งใหม่ สามารถมีความสุขได้ โดยไม่ต้องยึดติดกับตัวเรา

ผมจึงไม่ค่อยอินกับ มุมมองความรักที่พยายามจะรั้งอีกฝ่ายไว้ แต่จะอินไปกับ ความรักที่ปล่อยให้อีกฝ่ายมีความสุขมากกว่า


7



มาถึงตรงนี้ ต้องขออภัยกับผู้ชมที่ซาบซึ้งในหนังที่อ่านๆมาเสียยาว แล้วรู้สึกรำคาญกับเหตุผลมากมาย เพราะอย่างที่เกริ่นไว้แต่ต้นแล้วว่า บทความนี้ตั้งอยู่บน ความคิดมาก และ มีมุมมองต่อ ความรัก ที่ไม่ตรงกับบทหนัง ของเจ้าของบล็อกเท่านั้นเอง

แต่อย่างที่บอกข้างต้น ผมไม่ชอบ ก็ไม่ได้แปลว่า หนังไม่ดี

HBD เป็นหนังไทยที่ดีเรื่องหนึ่ง เสียอยู่ตรงบทและข้อเท็จจริงบางประการ ซึ่ง จริงอยู่ ที่หนังไม่ใช่สารคดี แต่ เมื่อหนังอาศัยแก่นของด้านใดก็น่าจะทำการบ้านมากขึ้น เช่น หนังเรื่องนี้ดำเนินเรื่องไปตามแกนของภาวะเจ็บป่วย ก็น่าที่จะทำการบ้านทางการแพทย์มากกว่านี้

หรือ ถ้าตั้งใจจะให้จบแบบในหนัง ก็น่าที่จะเพิ่มความหนักแน่นในช่วงครึ่งแรกให้เห็นชัดกว่านี้ว่าเพราะอะไร ผู้ชายคนหนึ่งถึงรักได้มากขนาดนี้ ไม่ใช่มีแค่ฉากไปเที่ยวกุ๊กกิ๊กกันแค่นั้น

หรือ น่าจะเสริมเติมให้เห็นซักนิดนึงว่า จากที่ พระเอกจนๆเงินหมดและเหนื่อยแทบบ้า มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร จึงทำให้แฮปปี้ในช่วงท้ายได้แบบนั้น มากกว่า ยึดตามคำมั่นสัญญาเพียงอย่างเดียว

หรือ ถ้าหนังไม่พยายามจะสรุปให้ต้องลงเอยด้วย ความงดงาม มากจนเกินไป ประเด็น สมองตาย , การุณยฆาต และ ความรัก ในหนังเรื่องนี้ มีอะไรให้เล่นได้อีกมาก

แต่นั่นก็เป็นเพียงจุดอ่อนเล็กๆน้อย ที่ผมเชื่อว่า ถ้าผู้ชมไม่ได้มีแนวคิดขัดแย้ง หรือ มีข้อเท็จจริงตั้งอยู่แล้วเหมือนตัวเอง น่าจะประทับใจกับหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยาก และ เป็นหนังไทยที่น่าสนับสนุนอีกเรื่องหนึ่ง




Link ของ บทความที่อ้างอิงถึง และ เกี่ยวข้อง


เฉิ่ม... , คุณ"สมบัติ" อาจไม่ "ดีพร้อม"แต่ก็ดีเพียงพอ

Me...Myself ขอให้รักจงเจริญ , แค่นี้ก็พอแล้ว

The Fountain , เรารู้จักความตายมากมายแค่ไหนกัน (ศาสนา+จิตวิทยา+วิทยาศาสตร์)

กอด , เพราะ การกอด ทำให้รู้ว่า เราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลก

รักแห่งสยาม , ทุกชีวิตเติบโตได้ด้วยความรัก





สามารถติดตามบทสรุป การให้คะแนน และบทวิจารณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้เพิ่มเติม หรือบทวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ พร้อมความเห็นของเพื่อนร่วมบล็อคที่รักการดูหนัง ได้ที่ //vreview.yarisme.com




พื้นที่แนะนำผลงาน{ตัวเอง}

(คลิกที่รูปหนังสือ เพื่อ อ่าน หรือ แสดงความเห็น ต่อหนังสือแต่ละเล่มได้เลยครับ)

ปีนี้ “ผมอยู่ข้างหลังคุณ” ขอฝากผลงานเล่มล่าสุดที่เพิ่งคลอดจ้า อันว่าด้วย 'ความรักและกำลังใจ' ผ่านแรงบันดาลใจจากชีวิตและภาพยนตร์ ในหนังสือที่ชื่อว่า

เมื่อฉันลืมตา แล้วโลกเปลี่ยนไป



และ ผลงานสองเล่มก่อน จากสองปีที่ผ่านมา



"หนังสือรัก" หนังสือที่หยิบยกความรักและความสัมพันธ์ในภาพยนตร์ มาช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง ได้มากขึ้นและลึกซึ้งกว่าเดิม กับ องศาที่ 361 หนังสือที่อาสาช่วยคุณค้นหามุมเล็กๆในตัวเองที่จะมีความสุขในชีวิตได้มากขึ้น โดยอาศัย'หนัง'เป็นสะพานพาไปเข้าใจตัวเอง


มีขายตามร้านหนังสือทั่วไป แต่ เพื่อนๆที่หาซื้อตามร้านไม่ได้ "หนังสือรัก"เข้าไปสั่งได้จากเว็บของสนพ.เลยจ้าที่ //www.bynatureonline.com/store/bookstore.php ส่วน องศาที่ 361 สั่งได้จากเว็บของซีเอ็ดครับผม






ชวนไปอ่านบทความเรื่องอื่นๆ คลิก

พูดคุยกับเจ้าของ Blog คลิก

เปิดหารายชื่อหนังเก่าๆนอกเหนือจากในหน้าสารบัญ คลิก





ขอคิดค่าบริการต่อการอ่าน 1 หน้าในอัตราเพียง

ความเห็น
ของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป


Create Date : 22 ธันวาคม 2551
Last Update : 24 ธันวาคม 2551 0:45:13 น. 54 comments
Counter : 7735 Pageviews.

 


โดย: สายของพิณ วันที่: 22 ธันวาคม 2551 เวลา:21:27:56 น.  

 
ยังไม่ได้ดูค่ะ และคิดว่าคงไม่ดู เพราะเราเป็นคนประเภท "อินไม่เลิก"
บวกกับเราเป็นคนที่นอนรพ.บ่อย เห็นหลายชีวิต พยายามยื้อชีวิต และละเลยการให้ความสำคัญกับชีวิตบ่อยๆ มัน...นะ ละไว้เพราะอธิบายยาก


โดย: หนูใบข้าว วันที่: 22 ธันวาคม 2551 เวลา:21:28:15 น.  

 
แอบเห็นด้วยค่ะ
แต่ในตอนท้าย ตีความตามความรูสึกของตัวเอง
บางทีนางเอกอาจจะไม่หาย
คือเหมือนเดิม แต่ภาพที่เราเห็นอาจจะยังเป็นจินตนาการของเต็นก็ได้ ว่านางเอกดีขึ้น

ภาพในหนังสวยมากเลยค่ะ

ป.ล.เข้ามาหลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่เคยมารายงานตัวสักที


โดย: เจ้าแห่งน้ำคือพระจันทร์ วันที่: 22 ธันวาคม 2551 เวลา:21:47:21 น.  

 
อ่านจากต้นจนจบ เหนื่อยนะ !
ขอพักดื่อน้ำผลไม้น้ำผัก พร้อมกับหายใจลึกๆ
และขอบคุณมา ณ ที่นี้....(:



โดย: ซ่อนรอยยิ้ม วันที่: 22 ธันวาคม 2551 เวลา:21:55:18 น.  

 
คิดมากจริงๆด้วย ยังไงก็เป็น หนัง หน่ะค่ะ ถึงไม่ชอบแต่คุณหมอยังแอบแทรกความรู้ให้ผู้อ่าน เยี่ยมจ้า


โดย: จอ IP: 124.120.32.16 วันที่: 22 ธันวาคม 2551 เวลา:21:55:56 น.  

 
ขอเข้ามาแสดงความเห็นครับ (อ่านของคุณหมอมานานแล้วครับ)

ผมว่าตอนจบของเรื่องที่ผมรับรู้ มันยังออกมาในทางจินตนาการของเต็นอยู่น่ะครับ คือตัวเต็นยังคงดำรงชีวิตต่อไปในลักษณะอยู่บนโลกคู่ขนานตลอด เสมือนว่าเภายังมีชีวิตอยู่จนแก่จนเฒ่าไปด้วยกัน ดังเช่นเพลง"เธอคือความฝัน" ครับ มันทำให้รู้สึกมีอารมณ์ร่วมกับเรื่องมากขึ้น แม้ที่จริง ถ้าหนังมันจะจบโดยที่ไม่มีทั้งฉากศาล,ตำรวจมารอจับ,และ ฉากบ้านในอนาคต จนเลื่อนหุ่นขี้ผึ้งเภาออกมา ^ ^ หนังเรื่องนี้จะมีความกลมกล่อมที่ "กำลังดี" จริงจริงครับ


โดย: นักเปลี่ยนแปลง IP: 58.8.180.5 วันที่: 22 ธันวาคม 2551 เวลา:22:50:07 น.  

 
อึม ถ้ามองตามเหตุผลจริงๆ เราคิดว่าเต็นไม่น่าจะรักเภาถึงขนาดยอมตามมาดูแลอะไรอย่างนี้เลยค่ะ แต่ยอมรับว่าอนันดาเล่นได้ดีนะ เพียงแต่เหตุผล หรือพล็อตมันหลวมไป ทำให้เราไม่อยากเชื่อว่า ผู้ชายคนนึงจะยอมเสียสละตัวเองเพื่อดูแลคนรักได้ขนาดนี้


ใจเราคิดว่าเภาตายไปตั้งแต่ตอนที่เต็นส่งเสียงเรียกเภา แล้วภาพมาที่เภาอยู่กลางทุ่งหญ้า เธอยิ้มร่าเริง และเหมือนจะได้ยินเสียงเต็นร้องเรียก เธอชะงักแต่ก็ยังคงมุ่งหน้าต่อไปตามทาง เราคิดว่าเธอน่าจะตายไปแล้วตั้งแต่ฉากนั้น และต่อไปหนังจะให้เธอสมองตายตามศัพท์การแพทย์หรืออย่างไรก็ตามแต่ใจเถอะ

แต่นี่ ฉากจบกลับกลายเป็นว่า ห้าสิบปีผ่านไป เต็นจับมือเภาไว้ โดยที่เภาดูเหมือนจะมีความรู้สึกขึ้นอีกครั้ง ตรงนี้งงนิดหน่อยเหมือนกันค่ะ เพราะความคิดเรา เราอยากให้มันจบแบบเภาโดนถอดเครื่องช่วยหายใจ แล้วต่อจากนั้นเต็นจะยังคงเก็บเภาไว้ในใจแต่ค่อยๆ ทำใจได้ หรือจะแต่งงานใหม่ก็ได้ เราว่ายังจะจบดีกว่า (ฉากจบเราไม่ชอบเลย ดูแล้วตลกๆ)


แต่สรุปเราชอบเรื่องนี้นะ มีหลายอย่างที่ทำให้เรามองความเป็นเหตุผลตรงนั้นผ่านไป แม้กระทั่งบางทีงงๆ กับการตัดต่อฉากที่สะดุดๆ คือมันไม่ปะติดปะต่อในอารมณ์ จนทำให้คนดูมึนรึเปล่า


อย่างน้อยๆ ดูหนังเรื่องนี้ ก็ทำให้รู้สึกดีมาบ้าง เนื่องจากชีวิตจริงที่เคยเจอเหตุการณ์นี้มาตรงๆ จากเพื่อน คือเพื่อนเราต้องผ่าตัดสมอง เธอไม่ได้ถึงขนาดก้านสมองตายหรอกค่ะ แต่เส้นเลือดฝอยในสมองแตก ต้องดร็อปเรียน ต้องเริ่มหัดพูด ต้องฝึกกายภาพบำบัด ตอนแรกแฟนก็ดูห่วงดี แต่ต่อมา ก็เลิกกันไปเพราะฝ่ายชายไม่อาจจมปลักกับฝ่ายหญิงได้ เราก็เข้าใจเหตุผลของทั้งคู่

นี่ล่ะมั้ง ชีวิตจริง เฮ้อออออ


โดย: ไกลนั้น วันที่: 22 ธันวาคม 2551 เวลา:23:44:40 น.  

 
เห็นด้วยมากที่สุด
เป็นหนังรักที่ดูแล้วไม่อิน ไม่เศร้า ไม่ซึ้ง ไม่เชื่อ ไม่อะไรทั้งนั้น

นักแสดงก็แสดงได้ดีค่ะ แต่ไม่ชอบพระเอกเลย รู้สึกว่าเป็นคนที่ยึดติด แถมยังดูหลอนๆน่ากลัว มันเกินไปน่ะ คือดูจิตๆเกิน
ไม่รู้ว่าอันนี้เป็นความตั้งใจของคนเขียนบทและผู้กำกับหรืเปล่านะคะ ที่จะให้เขาดูป่วยแบบนี้

ตอนแรกที่ดูหนังตัวอย่าง รู้สึกว่าน่าดูมากๆ
ครึ่งแรกก็ยังน่ารักอยู่
ฉากรถชนนี่ขนาดรู้มาก่อนก็ยังตกใจเหมือนเดิม
ถือว่าส่วนแรกนี่หนังไม่ได้แย่นะคะ

แต่พอสองพาร์ทหลังนี่ ไม่ชอบเอามากๆ
ทั้งๆที่เรื่องนี้พยายามใส่ฉากเรียกน้ำตา ตั้งหลายฉาก ก็ยังไม่รู้สึกคล้อยตาม
ยังหันไปมองหน้าเพื่อนที่ดูด้วยกันเลยว่า นี่เราต้องเศร้ากันแล้วใช่ไหมเนี่ย

จุดที่ขัดใจมากที่สุดก็คือความไม่สมจริงในเรื่องประเด็นการแพทย์
ซึ่งเป็นจุดอ่อนของหนังไทยตลอดมา
ถ้าคิดจะเล่นกับประเด็นการแพทย์แล้วไม่สมจริงมากๆขนาดนี้ มันเลยทำให้หนังdrama กลายเป็น ตลกไปได้นะคะ

ฉากที่ ครอบครัวจะปล่อยให้นางเอกจากไป แล้วเข้าไปอยู่ในห้องคล้ายๆห้องผ่าตัด
ตอนแรกแอบคิดว่าสุดท้ายหนังก็กลับตัวได้
คือนึกว่าจะจบแบบทุกคนปล่อยวาง ไม่ยึดติด และให้นางเอกเป็นผู้บริจาคอวัยวะ เป็นการให้ทานครั้งสุดท้ายอะไรแบบนี้ (แอบดีใจว่าจะเป็นการสนับสนุนorgan donationอีกทาง)

กลายมาเป็นตอนที่สามของหนังซึ่งหลุดโลก เกินจริงยิ่งกว่าเดิม

สรุปว่าผิดหวังนะคะ
คิดว่าหนังเรื่องนี้ไปเน้นการสร้างอารมณ์จนล้นไป
และในส่วนของข้อเท็จจริงเกี่ยวกับภาะสมองตายก็นำเสนอเหมือนกับไม่ได้ศึกษาอะไรมาเลย

ดูจบแล้วก็เลยรู้สึกว่างเปล่ามากๆค่ะ









โดย: YSL IP: 202.12.73.18 วันที่: 23 ธันวาคม 2551 เวลา:0:38:51 น.  

 
ไม่ชอบอะคับ ( หนังเขาก้อดีนะฮะ แต่ไม่ชอบ)

สงกะสัยหลายอย่าง เรื่องที่มากๆ ก้อคือ

ทำไมพระเอกใส่ดอกบัวหน้าพระพุทธรูป

แต่ไปขอแต่งงานในโบสถ์

งงอย่างแรง


โดย: MTO IP: 124.120.210.4 วันที่: 23 ธันวาคม 2551 เวลา:0:49:08 น.  

 
ผมยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ แต่อยากแสดงความเห็นเรื่องมุมมองของความรัก ผมซึ้งและประทับใจหนังเรื่อง be with you มากๆ ซึ่งนางเอกของเรื่องนั้นได้มาอยู่กับพระเอกในอนาคต ซึ่งทำให้รู้ล่วงหน้าแล้วว่าคนกำลังจะตายแล้วปล่อยให้พระเอกต้องอยู่อย่างเดียวดายกับลูกชาย นางเอกพยายามที่จะฝากฝังผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่รักพระเอกเหมือนกันให้เขาช่วยดูแล แต่ท้ายที่สุด นางเอกก็ได้บอกกับผู้หยิงคนนั้นว่า ต่อให้นางเอกรู้ แต่นางเอกก็รับไม่ได้หรอก ที่รู้ว่าพระเอกจะต้องไปอยู่กับคนอื่น ซึ่งตรงกับที่แฟนของผมคิด และผมก็เข้าใจได้
ผมได้ดูหนังอีกเรื่องหนึ่งคือ รักสามเศร้า หนังเรื่องนี้ก็ให้นางเอกตาย และนางเอกก้ได้ฝากฝังเพื่อนของเธอที่รักพระเอกเหมือนกัน ให้พระเอกช่วยดูแลด้วย หนังไม่ได้บอกว่าเธอรับได้หรือไม่กับประเด็นข้างต้นที่ผมยกเอาไว้ แต่ว่าเธออาจจะไม่ได้ยินดีก็ได้ ถ้าพระเอกจะไปอยู่กับคนอื่น หรือเธออาจจะรับความจริงได้ว่าพระเอกจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป หรือที่เธอรับได้เพราะว่าอีกคนนั้นเป็นเพื่อนรักของเธอ หรือถ้ากลับไปที่ be with you เพราะว่าพระเอกมีลูกชายเป็นโซ่คล้องใจเขากับนางเอก จึงไม่ต้องมีคนใหม่อีกแล้ว ก็ได้เหมือนกัน เรื่องพวกนี้ผมคิดว่า "บริบท" นั้นสำคัญมากๆ อย่างน้อย 2 เรื่องนี้ก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกขัดใจ แต่กลับเปิดมุมมองความรักของผมมากขึ้น เชื่อว่าแฟนของผมก็พยายามที่จะเข้าใจเช่นกัน แต่ความรู้สึกที่ว่าแฟนของเราจะไปอยู่กับคนอื่น กิจกรรมที่เราเคยได้ทำกับแฟน จะมีคนอื่นไปแทนที่ ผมว่ามันก็ทำใจได้ยากแบบที่แฟนผมว่าจริงๆ และไม่ได้เป็นการยึดติดเกินไป แต่เป็นตรรกมาตรฐานธรรมดานี่เอง
คำถามสุดท้ายที่แฟนผมทิ้งเอาไว้คือว่า เราสามารถรักคน 2 คนได้เท่ากันจริงๆหรือ ไม่ได้เป็นเพียงตัวแทน หรือว่าเราจะไม่ได้นึกถึงอดีตคนรักของเราที่จากไปเวลาที่เราอยู่กับคนใหม่ ซึ่งก็จะทำให้คนใหม่เกิดปมในใจไปตลอดได้ ซึ่งก็น่าคิดเหมือนกันนะครับ แต่ท้ายที่สุดผมว่ามันขึ้นอยู่กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่มากกว่าว่าเขาจะดำเนินชีวิตของตนอย่างไรต่อไป ซึ่งก็ขึ้นกับเงื่อนไขชีวิตของเขา ประสบการณ์ของเขาที่มีต่อคนรัก ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าเขาจะเลือกมีความรักใหม่หรือไม่ ความรักหใม่จะเป็นอย่างไร ก็ไม่อาจจะตำหนิเขาได้ แต่อย่างน้อย ก็ไม่อยากให้ต้องจมปลักกับความทุกข์แบบที่คุณว่า เพราะคนรักของเราคงไม่อยากให้เราเป็นแบบนั้น
ส่วนเรื่องที่ดูแล้วขัดใจเนี่ย ผแค่อ่านก็ขัดใจแล้วครับ แต่ก็คงจะไปดูด้วยตาของตนเอง อย่างน้อย แค่ได้ดูฉากสวยๆของแม่ฮ่องสอน ผมว่าก็น่าจะคุ้มละ


โดย: kappathai IP: 58.64.73.152 วันที่: 23 ธันวาคม 2551 เวลา:1:06:54 น.  

 
ผมเคยรู้สึกคล้ายๆกับที่คุณหมอเขียนตอนดูเรื่อง Me, Myself คือการที่หนังพยายามจบให้สวย โดยขัดกับข้อเท็จจริง ความรู้สึก หรือความเข้าใจในเรื่องที่กำลังพูดถึงอย่างจริงๆของผู้กำกับ จนมาถึง HBD ก็ยังรู้สึกเช่นนั้นอยู่ แต่ก็พยายามคิดว่าคนที่เขารักกันมากจริงๆก็คงทำอย่างนั้นมั้ง ก็ยังเชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง แต่ส่วนตัวยังเชื่อมากกว่า Me, Myself ที่ผู้กำกับเอามุมมองคนรักต่างเพศมาอธิบายคนรักร่วมเพศ และตัดสินให้เลยว่าควรเป็นยังไง


โดย: wu IP: 202.12.97.117 วันที่: 23 ธันวาคม 2551 เวลา:9:05:59 น.  

 
เห็นต่างนิดหน่อยค่ะ เรากลับไม่ได้รู้สึกว่าหนังนำเสนอว่าสิ่งที่พระเอกทำแปลว่าเป็นรักแท้นะคะ เหมือนกับปล่อยให้แต่ละคนคิดเอาเองมากกว่า ไม่ได้รู้สึกว่ายัดเยียดขนาดนั้น

แต่อย่างอื่นก็คิดล้ายๆกันค่ะ ชอบแค่ 2 part แรกเท่านั้น และพอตอนเพลงเธอคือความฝันขึ้น เรานึกว่าหนังจบแล้วซะอีก พอส่วนที่ต่อจากตอนนั้นก็เลยไม่ค่อยชอบ รู้สึกว่ามันลอยๆ ไม่มีอารมณ์ร่วม และก็ไม่ชอบตอนจบเหมือนกันค่ะ ภาพมันประหลาดและไม่เนียนเอามากๆ ถึงจะบอกว่าทำให้คิดว่าเป็นแค่จินตนาการของพระเอกได้ก็เถอะ

แต่ในภาพรวมก็ยังชอบมากกว่าไม่ชอบค่ะ เป็นหนังที่ภาพสวยมากจริงๆ จนรู้สึกว่าแค่ดูภาพก็คุ้มแล้ว

สงสัยว่าถ้าหนังตัวอย่างไม่บอกเยอะขนาดนั้น เนื้อเรื่องจะน่าติดตามกว่านี้หรือเปล่า เราว่าหนังตัวอย่างบอกเรื่องราวสำคัญๆทุกฉากไปหมดแล้วน่ะค่ะ

ชอบน้อยกว่า Me, myself ค่ะ อาจเพราะว่าเรื่องนั้นค่อนข้างไกลตัว เราเลยยังคิดว่าตอนจบแบบนั้นเป็นไปได้ แต่พอเรื่องนี้ใกล้ตัวมาก ยังไงก็คงไม่เชื่อว่าตอนจบจะเป็นจริงได้น่ะค่ะ


โดย: azzurrini IP: 61.7.241.83 วันที่: 23 ธันวาคม 2551 เวลา:13:13:17 น.  

 
จขบ.เขียนได้น่าสนใจจังค่ะ

อ่านแล้วก็เลยคิดว่า นานาจิตตังจริงๆ ด้วยค่ะ เพื่อนหลายคนบอกว่าหนังเรื่องนี้ดูแล้วไม่สุด

เราก็งงว่า ความหมายของคำว่าไม่สุดของเขาคืออะไร

เพราะในทัศนะของเรา ตัดสินหนังเรื่องนี้ว่า "ชอบ" และ "ซึ้ง"
และรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เข้าทางตัวเอง

จริงๆ คิดเหมือน จขบ.อยู่ช่วงหนึ่งค่ะ คือนึกด่าพระเอกอยู่ในใจว่า ทำไมเห็นแก่ตัวแบบนี้ หนังสื่อให้เรารู้สึกว่า โห อึดอัดกับตานี่จริงๆ

แต่พอหนังตัดสลับมา พระเอกบ้าจนหายบ้า ไม่ต้องบอกอะไรมาก แต่เรารู้สึกว่า เขาหลุดพ้น และเลือกที่จะอยู่ในโลกความจริงได้แล้ว

จขบ.บอกว่า ไม่อินเลย กับช่วงที่พระเอกพานางเอกไปไหนต่อไหน เพราะไม่ตรงกับหลักความจริง แต่กลับเป็นช่วงที่ทำให้เราน้ำตาไหลซะได้ 55+

ดูหนังเรื่องเดียวกัน แต่การรับรู้ไปกันคนละเรื่องเลยนะคะ

ดูเรื่องนี้คงต้องเป็นคนที่เปิดพื้นที่จินตนการไปด้วยนะคะ

แต่ก็ยังชอบเรื่องนี้น้อยกว่า Me, myself แต่เรื่องนี้กลับทำให้ร้องไห้ได้มากกว่านิดนึง


โดย: เสี่ยวลี่ IP: 118.175.64.153 วันที่: 23 ธันวาคม 2551 เวลา:13:24:13 น.  

 
โดยรวมชอบนะครับ แต่ก็ตะขิดตะขวงใจกับประเด็นที่คุณหมอเขียนไว้เหมือนกัน

ผมคิดว่าตอนจบนั่นเป็นจินตนาการของพระเอกนะ (ขอเชื่อว่า)นางเอกตาย ส่วนพระเอกก็กลายเป็นคนมีอาการทางจิตเต็มรูปแบบ อยู่กับจินตนาการของตัวเองไปตลอด50ปี


โดย: yatiko IP: 118.173.156.154 วันที่: 23 ธันวาคม 2551 เวลา:15:45:07 น.  

 
เห็นด้วยว่าหนังพยายามให้เราอินจนดูล้นๆ
แต่ผมขอคิดว่าตอนจบน่าจะเปนแค่จินตนาการน่ะครับ


โดย: ชอบดูหนังไทย IP: 203.147.14.3 วันที่: 23 ธันวาคม 2551 เวลา:16:13:23 น.  

 
จุดขายของหนังเสนอเรื่องอารมณ์
จขบแค่ไม่อินเพราะคิดมากและยึดอยู่ในหลักข้อเท็จจริงเท่านั้นเองค่ะ


โดย: pangjang IP: 58.8.98.234 วันที่: 23 ธันวาคม 2551 เวลา:17:28:51 น.  

 
ถ้ามันเป็นหนังสั้น มันจะเป็นหนังสั้นที่ดีเรื่องนึงเลยล่ะ เราเชื่ออย่างนั้นค่ะ

หนังช่วงแรกทำมาได้ดีเลยค่ะ การแสดงที่เป็นธรรมชาติของนักแสดงนำทั้งสองคน ทำให้เชื่อเลยล่ะว่าเค้ารักกันจริงๆ (แถมยังเผลออมยิ้มอีกต่างหาก^^)

แต่ก็จริงค่ะ ที่ว่าหนังไม่ได้ให้น้ำหนักอะไรกับช่วงแรกเลย ก็แค่ไปเที่ยวกัน จับมือกัน แต่เราไม่รู้เลยว่านอกจากนี้มันมีอะไรมากกว่านี้ ช่วงเวลามันยาวนานขนาดไหน มันยังไม่รู้สึกว่าเค้าจะรักกันได้ขนาดที่หนังช่วงหลังเป็นน่ะค่ะ

แล้วก็ไม่รู้ว่ามันเป็นการจงใจหรือเปล่า เพราะดูเหมือนตัวละคร พ่อแม่ โดนวางเอาไว้เกือบๆ จะเป็นตัวร้ายไปซะแล้ว ดูไม่ค่อยจะมีเหตุผลเท่าไหร่ ว่าทำไมถึงให้ลูกไปอยู่ในการดูแลของคนอื่น ทำไมไม่ถอดเครื่องช่วยหายใจไปตั้งแต่แรก ทำไมๆๆๆ

มันเหมือนหนังเพียงแค่แตะทุกอย่างเพียงผิวเผิน ให้ตัวละครแต่ละตัวมันโผล่มาตามหน้าที่เพื่อให้ครบถ้วนตามหลักความเป็นจริง ที่เภาจะต้องมีพ่อ แม่ เพื่อน แต่หนังไม่ได้ให้ความสำคัญ หรือเพิ่มเติมมิติให้พวกเขาเลย ซึ่งเราว่าน่าเสียดายค่ะ

แต่มันก็เป็นหนังไทยที่สร้างมาจากความตั้งใจ ยังไงก็สนับสนุนให้ไปชมกันค่ะ ^^


(แต่ถ้าอยากเปลี่ยนอารมณ์ไปขำดูบ้าง ต้อง "ซุปเปอร์แหบฯ" ค่ะ ตลกจริง )


โดย: ยิ่งยง นั่งยองยอง วันที่: 23 ธันวาคม 2551 เวลา:18:48:14 น.  

 
อ่านหลายๆกระทู้

สรุปกะตัวเองได้แล้วว่า

รอดูซีดีเช่าเอาแล้วกัน



โดย: นนนี่ (นนนี่มาแล้ว ) วันที่: 23 ธันวาคม 2551 เวลา:22:57:09 น.  

 
สารภาพว่าเป็นอีกคนที่ไปดูมาแล้ว และมีมุมมองไม่ต่างกัน นึกว่าจะคิดไปเองคนเดียวซะอีกค่ะ

ขอบคุณมากนะคะสำหรับเนื้อความดีๆ ที่อ่านเพลินเชียวล่ะ ^^


โดย: อุนจิโกะ IP: 58.136.94.205 วันที่: 23 ธันวาคม 2551 เวลา:23:24:56 น.  

 
สนใจหนังเรื่องนี้ในแง่มุมนี้เหมือนกันค่ะ เพื่อนคงเห็นแบบนั้นเลยส่งลิงค์หน้านี้มาให้อ่าน อ่านจบแล้วต้องบอกว่าเห็นด้วยทุกประการค่ะ (สำหรับเรื่อง happy birthday นะคะ เพราะเรื่องอื่นๆ อีกหลายเรื่องไม่ได้ติดตามดูค่ะ)

มีความเห็นนิดหน่อยที่เคยตอบไว้ที่ pantip ยกมาให้อ่านด้วยค่ะ เผื่ออยากจะอ่าน :)
//www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A7342874/A7342874.html#23


โดย: วันดี IP: 58.9.19.86 วันที่: 24 ธันวาคม 2551 เวลา:0:21:51 น.  

 
ยังไม่ได้ดูครับ แต่อ่านจากที่คุณหมอเล่าก็ตัดสินใจไม่ไปดูแน่นอนแล้ว รอแผ่นดีกว่า เพราะส่วนตัวก็ไม่ชอบหนังที่ build มากจนเกินเหตุ และถ้าหนังจะเลือกจบโดยให้พระเอกรู้จัก ปล่อยวาง มันคงจะดีกว่านี้ อย่างน้อยก็เป็นประโยชน์ต่อคนทั่วไป มากกว่าที่จะทำให้คนดูเข้าใจผิดๆ ว่าต้องพยายามให้ถึงที่สุดแล้วผู้ป่วยสมองตายจะฟื้นคืนมาได้


โดย: AOTaLo IP: 124.120.235.61 วันที่: 24 ธันวาคม 2551 เวลา:2:07:23 น.  

 
คิดเหมือนกันเลยคะ ชอบในส่วนของครึ่งแรก
แต่พอหลังจากเหตุการณ์รถชน อึดอัด และสงสารปนสมเพชพระเอกอ่ะคะ ยิ่งนึกถึงข้อเท็จจริง ยิ่งขัดใจในความไม่สมจริง
ไม่อินเรื่องนี้พอพอกับไม่อินกับ the letter คะ

แต่ว่าเพลงเธอคือความฝัน เพราะมากนะคะ เข้ากับหนังได้ดีจนนึกว่าแต่งมาสำหรับหนังเรื่องนี้โดยเฉพาะ


โดย: bitoei IP: 58.64.62.214 วันที่: 24 ธันวาคม 2551 เวลา:14:37:11 น.  

 
เห็นด้วยเลยครับ หนังตอนแรกยังไม่ปูให้คล้อยตามว่ารักกันมากจริงๆ ซักเท่าไหร่เลย แฮ่ๆ

ตอนจบก็น่าจะทำให้เนียนกว่านี้หน่อย
นี่โผล่มาแบบดูแล้วน่าเวทนามากไปหน่อย แฮ่ๆ

"...ทั้งๆที่ ถ้าอยากจะเน้นบทสรุปสุดท้ายเช่นนี้จริง ผมคิดว่า หลังการตัดสินในศาล แล้ว หนังน่าจะทำให้เห็นว่า พระเอกยังดูแลนางเอกอยู่ แต่ปรับตัวกับความเป็นจริงได้มากขึ้น เช่น เริ่มหางานใหม่ เริ่มมีเงินที่จะดูแล ไม่หมกมุ่นอยู่กับนางเอกจนเกินไป เริ่มปล่อยวางได้บ้าง "

ข้างบนนี่เห็นด้วยเต็ม 100% เลยครับ
ดูตอนหลังพระเอกป่วยๆ แล้วอึดอัด


โดย: lkunl IP: 58.8.11.95 วันที่: 24 ธันวาคม 2551 เวลา:19:49:42 น.  

 
จบละดูละมัน ไม่เชิงซึ้งอะ

แต่ถ้าคิดว่า คนๆนึง รักคน ๆ นึงได้ขนาดนี้ก็ น่าประทับใจ มาก


โดย: arcobaleno IP: 125.24.17.224 วันที่: 24 ธันวาคม 2551 เวลา:23:12:34 น.  

 
ชอบทุกอย่างในเรื่องนี้ เลยแอบเสียดายตอนจบเหมือนกัน ถ้าจะตัดตอนสุดท้ายออกก็คงจะดีกว่านี้ ระหว่างดูจะว่อกแว่กแอบคิดว่าพระเอกจะหาทางออกกับการดำเนินชีวิตยังไง ในที่สุดหนังก็ไม่พูดถึง

เรื่องประเด็นการแพทย์พอมองข้ามได้ แต่เรื่องการดำเนินชีวิต มันสรุปง่ายไปหน่อย

เหมือนดู A.I. ที่จบแบบปลอบใจคนดู เพียงแต่เรื่องนี้มันคาใจกว่ากัน

แต่ยังไงก็ชอบและยังเป็นแฟนของทีมงานเรื่องนี้ต่อไป


โดย: ท่าเรือรามา IP: 202.44.73.150 วันที่: 25 ธันวาคม 2551 เวลา:18:09:21 น.  

 
เพิ่งไปดูมาวันนี้ เลยนั่งหา Review เพราะไม่ชอบช่วงท้ายเป็นอย่างมาก แต่ได้ยินคนส่วนใหญ่ชอบกันมาก บางคนถึงกับบอกว่า หนัง Perfect เลยผมก็เลยรู้สึกสงสัยว่าตัวเองจะผิดปรกติรึเปล่า ผมเลยนั่งหา Review ก็หลงเข้ามาเจอ Blog นี้
พอได้อ่านเเล้วตกใจมาก Review ของพี่เหมือนที่ผมคิดเลยครับ เลยย้อนไปอ่านทุกบทความของพี่
พออ่านจบหมด รู้สึกเหมือนมีเพื่อนสนิทเพิ่มมาอีกคนเลยครับ หนังที่พี่ Review ส่วนใหญ่ผมได้ดูแล้ว และก็มีความรู้สึกคล้ายๆพี่เลย เเต่ไม่รู้จะเอาไปคุยกะใคร ^ ^

สุดท้าย ขอขอบคุณ สำหรับบทความดีๆ


โดย: Le Samourai IP: 125.24.76.78 วันที่: 26 ธันวาคม 2551 เวลา:4:48:14 น.  

 
เห็นด้วยครับ....part หลังของหนังง่วงมากครับ...ไม่ซึ้งเท่าตัวอย่างเลย ชอบตัวอย่างหนังมาก ชอบ me myself พอควร.....แต่เสียดายครึ่งหลังของหนัง...มันล้นจริงๆล่ะครับผม


โดย: ยนนยนน IP: 161.200.255.162 วันที่: 26 ธันวาคม 2551 เวลา:15:56:25 น.  

 
อ๊าาา ยังไม่ได้ดู แต่เข้ามาอ่านเพราะอยากรู้ตอนจบค่ะพี่ จบแบบนั้นเหรอคะ

ดูตัวอย่างหนัง นึกว่าสุดท้าย ก็จะ" Real Life" เพราะแหม..ช่างทำเหมือน มีtracheosด้วยยยย ฮ่าๆ


มองว่าเพ้อไปหน่อย..ที่จบแบบนั้นค่ะ


แต่ ความเพ้อ อาจจะดีก็ได้นะคะ
อาจจะเป็นแรงให้คนดูบางคน"ฮึดสู้"ในบางเรื่อง (คำว่าดันทุรังของคนหนึ่ง.... ในอีกแง่มุมหนึ่งของอีกคนอาจจะคือคำว่า ฮึดสู้ ขึ้นอยู่กับแรงใจ กำลังใจ และความตั้งใจ...)

ไม่ว่าจะแง่ไหนของใคร ฮึดสู้VS brain deathก็คือ ดันทุรัง เอ๊ะ งงๆ..นั่นแหละ เลยไม่ชอบตอนจบเล้ยย


โดย: Aom IP: 202.91.19.194 วันที่: 26 ธันวาคม 2551 เวลา:18:08:22 น.  

 
ดูแล้วชอบมากครับ
ตอนจบสำหรับผม ผมเลือกว่าเภาตาย และพระเอกยังคงติดอยู่ในจินตนาการจนถึงแก่
เชื่อว่ามีใครหลายคนที่บ้าพอจะเป็นอย่างเต็นได้

แต่สิ่งที่ไม่เชื่ออย่างเดียวในหนังก็คือ หนังไม่ได้เล่าเลยว่าทำไมเต็นถึงรักเภามากขนาดนั้น ???


โดย: Tar IP: 124.121.122.108 วันที่: 27 ธันวาคม 2551 เวลา:1:57:00 น.  

 
ผมเพิ่งดูเมื่อคืน
ไม่คิดว่าท่านจะคิดเหมือนผมทุกประการ

ผมขออนุญาตนำไปต่อยอดที่เวปผมนะครับ
หากไม่อนุญาติโปรดแจ้งนะครับ
ลบออกได้ครับ
ขอบคุณครับ

//www.phuketdog.com/webboard/index.php?topic=668.0


โดย: phuketdog IP: 118.173.75.53 วันที่: 27 ธันวาคม 2551 เวลา:16:15:25 น.  

 
อ่านบทความของคุณจบแล้ว
แม้ผมจะไม่เคยดูหนังเรื่องนี้
ผมตัดสินใจ จะพยายาม ไม่ดูหนังเรื่องนี้เด็ดขาด
สาเหตุหลัก คงเป็นเพราะ ผมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เคยเจอภาวะ “การุณฆาต”
คือ คุณพ่อช็อค จนต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
และผมเชื่อหมอ ที่ออกความเห็นให้หยุดการรักษา โดยยื้อแค่ชั่วโมงกว่าๆ

คนไม่เคยเจอเหตุการณ์นี้ ไม่เข้าใจหรอกครับ ว่ารู้สึกอย่างไร
และผมก็มั่นใจ ว่าจินตนาการของ “ผู้กำกับ” ก็คงได้แต่คาดฝันเอาไว้เท่านั้น
เพราะพล็อตหนัง คงแค่กำหนดให้ “มีฉากสมองตาย” กับ “แฮปปี้เอนดิ้ง” เท่านั้น
ตรงกลาง ก็ลากเส้นอย่างไร ให้บรรจบได้ก็เพียงพอ
โดยลืมนึกถึงเส้นทางบนหลักความจริง ว่า ถนน มันต้องโรยด้วยอิฐ ก่อนลาดด้วยซีเมนต์หรือยางมะตอย
ไม่ใช่โรยด้วยกลีบกุหลาบ หรือขวากหนามแต่อย่างใด

(คุณพงษ์พัฒน์เคยให้สัมภาษณ์ในรายการทีวี ว่าเห็นญาติพี่น้องคนพิการ
ต้องดูแลผู้ป่วยตลอด เขาจะคิดอย่างไร ก็เลยเอาประเด็นนี้มาสร้างหนัง
โดยลืมทำการบ้านทางวิชาการให้เพียงพอมั้งครับ)

ประเด็นอื่นๆ เนื่องจากผมไม่เคยดูหนังเรื่องนี้
วิจารณ์ไปมากกว่านี้ ก็คือนั่งเทียนเขียน
แต่ไม่เป็นไร และขอบคุณที่ช่วยบอกเล่าถึงสิ่งตะหงิดใจที่คุณเจอ
ขอบคุณมากครับ



โดย: thanachott IP: 124.120.91.62 วันที่: 28 ธันวาคม 2551 เวลา:18:49:49 น.  

 
ไม่ได้ดูหนังและอ่านบล็อกของคุณหมอเสียนาน ล่าสุดได้ดูเรื่องนี้เมื่อวานครับ (เป็นเรื่องแรกนับจาก Eagle Eye) ดูจบแล้วปวดหัวตึ้บเลย พูดกับน้องที่ไปดูด้วยว่า "บอกไม่ถูกว่าชอบหนังเรื่องนี้รึเปล่า" นึกว่าเป็นอยู่คนเดียวเสียอีก แหะๆๆ ส่วนเรื่องอื่นๆ อนันดาแสดงดีเหมือนเดิม จนบางครั้งเกิดเครียดแทน ส่วนน้องนางเอกก็น่ารักซะ

ว่าแต่ คนดูหนังเรื่องนี้แล้ว อาจจะอยากไปเที่ยวปางอุ๋งก็ได้ เพราะในหนังวิวสวยมากกกกกกกกกกกกกกกกก


โดย: absent-minded IP: 158.108.54.249 วันที่: 29 ธันวาคม 2551 เวลา:14:30:31 น.  

 
เข้ามาบอกว่า เห็นด้วยเกือบจะทั้งหมดเลยค่ะ...

ปกติเป็นคนที่อินง่ายมาก แต่กับเรื่องนี้ไม่ยักเสียน้ำตาซักหยด
แต่ก็ยังคิดว่าเป็นหนังที่ดีเรื่องนึงค่ะ ^^


โดย: frogsz IP: 58.64.108.52 วันที่: 29 ธันวาคม 2551 เวลา:19:36:00 น.  

 
You speaks my mind....


โดย: wiwi IP: 115.67.238.201 วันที่: 1 มกราคม 2552 เวลา:13:30:13 น.  

 
เห็นด้วยในส่วนที่ว่า หนังเรื่องนี้ขาดการปูเนื้อเรื่องว่ามีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้นางเอก และพระเอกผูกพันกันมากจนยอมทุ่มเทให้อีกคนได้ขนาดนี้

อย่างเช่นเรื่องราวของของคุณตาที่ดูแลคุณยายทำเป็นอัมพาตย์ (จำชื่อท่านทั้งสองไม่ได้ ขอโทษมากๆครับ) ผมเข้าใจเพราะว่าท่านทั้งสองอยู่ด้วยกันมากว่า50 ปีแล้ว เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา แต่ในเรื่องนี้มีน้อยมาก

อย่างอื่นๆก็มีบ้างแต่ดูท่าบล็อกนี้จะแสดงความคิดเห็นในส่วนผมไปหมดและได้ดีกว่าผมอีก


โดย: jimmie IP: 222.123.231.138 วันที่: 1 มกราคม 2552 เวลา:18:18:44 น.  

 
ครึ่งแรกดูสนุก น่ารักดี
ครึ่งหลังดูน่าเบื่อมาก เพราะยืดยาวเยิ่นเย้อเกินไป
ความสมจริงทั้งการแพทย์แย่มากๆ อย่างเช่น
ปกติเวลาให้อาหาร จะต้องกินอาหารเหลวผ่านท่อสายยาง
ซึ่งจะสอดผ่านรูจมูกลงไปถึงกะเพาะอาหาร
หมอเค้าจะสอดทิ้งไว้เลย เพราะมันจะเจ็บมากเวลาสอด

ในเรื่องกินอาหารที ก็ค่อยสอดสายยางทีนึง


โดย: Bandai IP: 58.8.175.182 วันที่: 1 มกราคม 2552 เวลา:22:22:36 น.  

 
เห็นด้วยค่ะ...ชอบช่วงแรก ๆ มากกว่า...ช่วงหลัง แอบหาวไปหลายครั้ง..ไม่คิดว่าจะมีผู้ชาย..ที่เป็นได้เหมือนพระเอกในเรื่อง...


โดย: New.. IP: 203.153.170.53 วันที่: 2 มกราคม 2552 เวลา:14:39:41 น.  

 
เห็นด้วยกับบทความนี้เป็นอย่างยิ่ง ช่วงแรกๆ ของหนังชอบมากกว่า เพราะธรรมชาติ เป็นไปตามวิถีที่ยังเป็นไปได้ แต่ช่วงหลัง...ห่างไกลกับความเป็นจริงมากเหลือเกิน..เพราะหากหนังหยุดเพียงแค่ครึ่งแรกอาจจะได้ใจคนดู
มากกว่านี้


โดย: joke IP: 125.25.29.187 วันที่: 2 มกราคม 2552 เวลา:20:25:19 น.  

 
ได้อ่านความคิดเห็นแล้วรุสึกเหนด้วยค่ะ

เวลาที่บอกใครว่าไปดูหนังเรื่องนี้มาแล้วจะตอบได้แค่ว่าเหนังเค้าดีนะ แต่ไม่ค่อยตอนจบ

ตอนดูรู้สึกขัดๆอยู่
อ่านบทความนี้เเล้วเข้าใจอะไรมากขึ้นค่ะ^^

บทความดีมากขอบคุณที่ให้ความรู้เยอะแยะ


โดย: Lin IP: 58.9.215.18 วันที่: 4 มกราคม 2552 เวลา:14:10:40 น.  

 
หลังจากเพลง เธอคือความฝัน จบ (ฉากที่เภาเเละเต็นอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่)
ก็เฟดภาพที่หลุมศพของเภา
พร้อมไดอาล่อคดีๆที่เต็นพูดกับเภานิดหน่อย
ต่อด้วยการมีชีวิตใหม่ของเต็น

เท่านี้ก็พอเเล้วครับ
สำหรับการสื่อให้คนดูเห็นถึงความรักที่ผู้ชายคนนึงจะมีให้ได้


โดย: เมื่อฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี IP: 124.120.86.21 วันที่: 5 มกราคม 2552 เวลา:11:27:16 น.  

 
ถ้าลองเปลี่ยนให้ทั้งคู่ไปฉลองปีใหม่กันที่ซานติก้าผับนี่เปลี่ยนชื่อเรื่องให้เป็น Happy New Year ได้เลยนะเนี่ย

ปล.ถ้าเห็นว่าไม่เหมาะสม ช่วยลบทิ้งได้เลยครับ


โดย: malatankian IP: 158.108.12.64 วันที่: 6 มกราคม 2552 เวลา:20:10:47 น.  

 
ตอนแรกก็ชอบหรอกนะคะ ตอนเป็นเทรลเลอร์
โอย...ร้องไห้เลย คือหลอกเราจนไปดูหนังเรื่องนี้ได้อ่ะ เราก็ไปดูกับแฟน กะว่าจะร้องไห้ให้สมกับที่อยากดูมานาน

ตอนต้นๆก็รับได้ ของเค้าสวยจริง มุมภาพก็ดี เนื้อเรื่องก็โอเค นางเอกเล่นได้ดี อนันดาก็เล่นได้เรื่อยๆ(ตามระดับของอนันดา)
ไม่ติดขัดไรนัก แต่ก็อยากเห็นอนันดาเป็นอย่างอื่น นอกจากช่างภาพเหมือนกัน เพราะว่าเห็นเล่นเป็นช่างภาพมาตั้งแต่
Shutterแล้วนับแต่นั้นมา ก็เป็นช่างภาพอีก2-3เรื่องแน่ะ

แต่พอตอนท้ายนี่ตั้งแต่ครึ่งหลังไป...พูดตรงๆค่ะ อยากออกจากโรงเลย มันคือความยัดเยียดสุดๆของการบีบบังคับให้มันเศร้า
มีหลายข้อสังเกตที่ใครหลายๆคนในที่นี้ไม่รู้มีใครเห็นเหมือนเรามั้ย คือ

1.คนสองคนนี้รักกันพอให้ถึงขั้นเสียสละในขั้นนั้นได้แล้วหรือคะ? ตามเนื้อบทสองคนนี้รักกันมาไม่นานนัก
2.ผกก.ลืมคิดไปในอีกแง่นึงรึเปล่าว่า ถ้าเป็นคนที่เรารักมากจริงๆ ไม่มีใครหรอกค่ะที่จะเห็นคนที่ทุกข์ทรมาน ตายไม่ตายแหล่อย่าง
คนในเรื่อง อยู่แบบนั้นไปอีกเป็นปี เป็นเรา เราจะปล่อยให้เขาไปอย่างสงบ
3.ในตอนท้ายทำออกมามันแบบบ้าไปหน่อย คืออนันดาเล่นดูออกมาเป็นบ้ามากกว่าจะ เพี้ยนหรือหลงเพราะความรัก
คือเราดูแล้วตลกอ่ะ ไม่ซึ้งนะคะ คิดว่ามีการแสดงออกทางความรักที่ดีได้มากกว่านี้

ตามความสัตย์จริง วันที่ไปดูวันนั้น เราเห็นคนเดินออกจากโรงในช่วงครึ่งหลังของเรื่องถึง2คู่นะคะ แต่ก็อย่างว่าล่ะค่ะ
ใครชอบก็ไม่ว่ากันนะ อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของเราเฉยๆค่ะ เราขอวิจารณ์ในระดับของผู้บริโภคคนนึงนะ อาจจะไม่ลึกมาก
แต่ก็สรรเสริญคนทำหนังอย่างคุณพงษ์พัฒน์ค่ะ อาจจะไม่ดีที่สุด แต่ก็ทำออกมาเรื่อยๆแล้วกันค่ะ


โดย: PaMePursE IP: 125.24.191.47 วันที่: 9 มกราคม 2552 เวลา:16:31:55 น.  

 
ก่อนดูหนัง คิดไว้ในใจว่า ขออย่าให้หนังทำอนันดาแก่ตอนจบเลย เพราะรู้สึกว่า หลอกตา หลอกความรู้สึก แล้วก็แก่จริงๆ ค่ะT_T แต่ก็เสียน้ำตาไปหลายหยด รู้สึกว่า นางเอกเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์มากๆ เลย แนวโน้มความคิดส่วนใหญ่คล้าย ๆ กับคุณผมอยู่ข้างหลังคุณ ความหนักแน่นยังไม่เกิด แต่ยอมรับว่า แพ้ใจกับหนังภาพสวยๆ จริงๆ เห็นแล้วอยากไปเที่ยวทั่วไทยจัง^_^
ปล.แฟนเรานั่งร้องไห้ ร้องก่อนเราอีกอ่ะ อิอิ


โดย: ทะเล IP: 125.27.64.4 วันที่: 13 มกราคม 2552 เวลา:21:59:28 น.  

 
ถึงแม้ว่าจะออกจากโรงหนังด้วยอาการเหมือนไปดูหนังเรื่องอื่นๆ ในช่วงนี้คือ เฉยๆ อารมณ์เปล่าๆ
แต่ต้องยอมรับค่ะว่า หนังรีดน้ำตาของตัวเองออกมาได้เหมือนกัน


โดย: kenmania วันที่: 15 มกราคม 2552 เวลา:23:44:17 น.  

 
โดยส่วนตัวต้องบอกก่อนว่าผมยกให้คงเดช เป็นมือเขียนบทมือต้นๆของเมืองไทย และมีความสามารถพอที่จะขึ้นเป็นมือหนึ่งได้อย่างไม่อยาก
หากเพียงแต่เจ้าตัวจะยอมประนีประนอมมากกว่านี้สักนิด



จุดอ่อนที่สุดของคงเดชก็คือการไม่สามารถผสมผสานสไตล์แฟนตาซีที่เค้าชอบ ให้เข้ากับตัวหนังได้อย่างแนบเนียน ( ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเจ้าตัวอยากจะผสมผสานหรือเปล่า หากดูหนังทุกเรื่องที่เค้าเขียนบทก็จะทราบดี) แต่ในกรณี Happy Birthday นี้ มันเลวร้ายที่สุดตรงที่ดันไปอยู่ในส่วนไคลแมกซ์ของเรื่อง



สุดท้ายอยากให้พี่คงเดช เข้าใจว่า การเขียนลายเซ็นบนกระดาษแต่ละชนิดนั้นต่างกัน ถ้าไม่เลือกปากกาให้เหมาะสม ดึงดันที่จะใช้ปากกาแท่งเดียวเขียนอยู่เรื่องไป ร่องรอยเปอะเปื้อนย่อมปรากฏให้เห็นบนกระดาษครับ


โดย: chandler bing IP: 114.128.246.34 วันที่: 25 เมษายน 2552 เวลา:3:55:50 น.  

 
เพิ่งดูเมื่อคืนค่ะ
ดูจบแล้วคิดเลยว่า จะต้องมาหาต่อในบล็อคนี้ให้ได้

พอได้อ่านแล้วก็รู้สึกตรงกันทุกอย่างเลยค่ะ


โดย: SFFC IP: 125.27.17.34 วันที่: 27 เมษายน 2552 เวลา:17:35:58 น.  

 
ขอบคุณ คุณหมอ มากครับ

ดูเรื่องนี้ครึ่งหลัง อึดอัด สุด ๆ เลย
นึกในใจ "โห ไม่คิดจะปล่อยให้หายใจหายคอกันหน่อยหรอ"

แนวแบบนี้ ผมนึกถึงเรื่อง The Secret ขึ้นมาทันทีเลย
แต่ The Secret มันดูสมบูรณ์กว่านะเนี้ยะ T-T


โดย: platezero IP: 58.147.107.20 วันที่: 5 มิถุนายน 2552 เวลา:23:30:21 น.  

 
คำถามเดียวครับ
คนป่วยขนาดนี้ ติดถังออกซิเจนด้วย แล้วพาไปดูหนังในโรงนี่นะ แถมเข็นไปเข็นมาในห้างอีก แค่นี้มันก็เกินจริงไปมากแล้วครับ

ส่วนตอนจบ ทางผู้กำกับคงอยากให้ตีความกันไปต่าง ๆ นา ๆ แบบที่คิดกัน ว่าบางคนคิดว่าจริง บางคนคิดว่าเป็นจินตนาการของพระเอก


โดย: tum IP: 125.24.44.75 วันที่: 16 มิถุนายน 2552 เวลา:11:45:24 น.  

 
ผมสงสัยอย่างหนึ่งคือ พ่อแม่หายไปไหนตลอดทั้งเรื่อง ถึงจะบอกว่าไม่มีเงิน หรือ ทำใจให้เต็นดูแล แต่ตามความเป็นจริงแล้ว พ่อแม่ที่รักลูก(ซึ่งในหนังก็ปูมาเช่นนั้น) จะไม่มีทางปล่อยให้ผู้ชายคนหนึ่งที่เพิ่งรู้จักกับลูกตัว มาดูแลหรอก หรืออย่างน้อยก็ต้องมาดูแลแทบทุกวัน


โดย: ไข่ IP: 58.8.92.30 วันที่: 29 มิถุนายน 2552 เวลา:0:11:45 น.  

 
ครึ่งแรกดูดีนะครับชอบเลย
แต่ครึ่งหลังจากนางเอกติดล้อ นี่เริ่มเละแล้ว



โดย: sanya IP: 58.8.167.171 วันที่: 30 มิถุนายน 2552 เวลา:17:18:31 น.  

 
ผมว่าเอาแค่นางเอกเป็นอัมพาท หรือหลับไปชั่วคราวดีกว่า สมองตายนะ

ถ้าสมองตายแล้วฟื้นผมว่าต้องเปลี่ยนเนื้อเรื่องเยอะเลยละถึงสมเหตุสมผล


โดย: sanya IP: 58.8.167.171 วันที่: 30 มิถุนายน 2552 เวลา:17:24:37 น.  

 
เห็นด้วย... แต่ไม่ทั้งหมดครับ

ผมดูเรื่องนี้แบบไม่คาดหวังอะไร
ทำใจลอยๆ ดูไปเรื่อยๆ

ปรากฏว่า สิ่งที่ไม่สมจริงทั้งหมดในหนังเรื่องนี้
มันเป็นตัวปลดล๊อคจินตนาการของผม
ให้คิดต่อไปเอง ในหลายๆเรื่อง
หลายๆเหตุผล

อาจจะเพราะดูแบบ "ไม่คิดมาก" ละมั้ง
เลยรู้สึกว่า "เออ ชอบว่ะ" กับหนังเรื่องนี้

:)


โดย: hAmlet IP: 124.121.140.27 วันที่: 22 สิงหาคม 2552 เวลา:5:03:15 น.  

 
ลองดูหนังเกาหลีเรื่อง A moment to remember นะคะ หนังนานมาแล้วล่ะ
แต่มีความรู้สึกว่า เกาหลีทำดีกว่า
อินจนเราร้องไห้ฟูมฟายเลย

เป็นหนังที่ทำให้ร้องไห้ตาบวม..
ธีมเรื่องคล้ายๆ HBDเนี่ยล่ะ เเต่เราว่ามีเหตุผลแล้วก็ดูสมจริงมากกว่า


โดย: ผ่านมา IP: 58.64.85.47 วันที่: 24 กันยายน 2552 เวลา:18:16:26 น.  

 
ตอบโจทย์เป็นอย่างดีว่า "ทำไมเราดูแล้วเกือบซึ้ง ไม่ถึงกับร้องไห้"


โดย: NuiSmiLe IP: 180.183.113.162 วันที่: 23 ตุลาคม 2554 เวลา:20:50:45 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
22 ธันวาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.