10 หนังที่ชอบที่สุดของปี 2010
โดย merveillesxx
10. What I Love the Most (2010, Delfina Castagnino)
หนังความสัมพันธ์น้อยได้มากแบบที่เราได้เห็นบ่อยในหนังยุโรป แต่แทนที่จะเป็นหนังผัวเมียหรือคู่รักแบบ Everyone Else หนังเรื่องนี้เล่าถึงผู้หญิงสองคน คนหนึ่งเพิ่งเลิกรากับแฟน อีกคนเพิ่งเสียพ่อและต้องเฝ้ามองกิจการครอบครัวล้มมลายไป พวกเธอโต้ตอบกันไปมาแบบหวานอมขมกลืน มันหนักไปทางขมเสียมาก แล้วมาตบหวานรสฝาดในฉากสุดท้าย โดยเฉพาะเมื่อใคร่ครวญถึงชื่อหนังแล้วพบว่าสิ่งที่คนเรา ‘รัก’ มากที่สุดบางทีก็อาจไม่พ้นตัวเราเอง
9. Ruhr (2009, James Benning)
หนังที่สองชั่วโมงมีเพียงเจ็ดช็อตเท่านั้น แต่ละช็อตคือการตั้งกล้องนิ่งๆ ถ่ายสภาวะแวดล้อมของเขตรูห์ ประเทศเยอรมัน ในแง่หนึ่งหนังอาจใช้ความอดทนสูงและกลายเป็นมหกรรมการเดินออกจากโรง แต่ในอีกแง่หนึ่ง Ruhr นำเรากลับไปสัมผัสความสวยงามของการสังเกตการณ์อย่างสงบอีกครั้ง อันเป็นสิ่งที่แทบไม่หลงเหลือแล้วในภาพยนตร์ยุคนี้ ส่วนตัวแล้วนี่คือประสบการณ์ทางภาพยนตร์ที่รุนแรงพอๆ กับตอนดู Birth of the Seanema เมื่อปี 2005
8. The Social Network (2010, David Fincher)
อย่างหนึ่งที่ดีใจกับหนังเรื่องนี้คือ ช่วงหลังมาไม่ค่อยชอบงานของ เดวิด ฟินเชอร์ มากเท่าไร แต่มาเรื่องนี้ถือว่าถูกโฉลกเหลือเกิน ราวกับว่าผู้กำกับได้สร้างโลกเฉพาะส่วนตัวของหนังขึ้นมา เขาตีหัวถีบหน้ายันอกเราตั้งแต่ฉากแรก เพื่อให้รู้ตัวว่าเราต้องเจออะไรบ้างหลังจากสองชั่วโมงนี้ น่าประหลาดดีที่หนังที่มีจังหวะรวดเร็วติดจรวดมาตลอด กลับเลือกจบตัวเองอย่างนิ่งสงบ และมันก็กลายเป็นฉากที่ส่งผลทางอารมณ์อย่างรุนแรงหลอกหลอนที่สุด
7. Splice (2010, Vincenzo Natali)
น่าดีใจว่าท่ามกลางหนังไซไฟโลกแตก วันสิ้นโลก มนุษย์ต่างดาวบุกโลก เรายังมีหนังไซไฟที่สำรวจมนุษย์อย่างถึงแก่นจริงจังบ้าง ชอบการออกแบบตัวละครพระนางของเรื่องเป็นพิเศษ เพราะพวกเขาดูไม่น่าเอาใจช่วยเสียเลย แต่มันก็สมจริงมาก ยังชอบที่หนังสร้างความกระอักกระอ่วนใจให้กับคนดูได้ทุกเรื่อง -ศีลธรรม, เพศสภาพ, ครอบครัวประกอบสร้างอันบิดเบี้ยว และความสัมพันธ์แบบพ่อลูกที่ชวนขนลุก ถือเป็นการกลับมาที่ยิ่งใหญ่ของ วินเซนโซ นาตาลี และเขาควรจะได้ทำหนังมากกว่านี้
6. Please Give (2010, Nicole Holofcener)
หนังเรื่องนี้มีสิทธิจะกลายเป็นหนังตลกชั่วร้ายสุดขีดแบบหนังของ ทอดด์ โซลอนซ์ แต่ผู้กำกับกลับทำออกมาได้กุ๊กกิ๊กน่ารักและร้ายกาจไปพร้อมกัน ทุกตัวละครมีช่วงเวลาที่ได้แสดงความเลือดเย็น แต่ในอีกฉากหนึ่งพวกเขาก็แสดงความน่าเห็นอกเห็นใจออกมา อีกสิ่งที่ชอบคือไดอะล็อกคมกริบของหนัง เช่น "แม่จะไม่ซื้อกางเกงยีนส์ราคาสองพันดอลล่าร์ ให้ลูกหรอกนะ ตราบใดที่ยังมีคนจรจัดนอนอยู่หน้าบ้านเรา 45 คน" ลูกสาวตอบว่า "แล้วมันเกี่ยวอะไรล่ะแม่ คนพวกนั้นไม่ได้อยากได้ยีนส์นะ!"
5. Lourdes (2009, Jessica Hausner)
ดูแล้วรู้สึกว่า เจสสิก้า ฮอสเนอร์ นี่เธออัพเกรดตัวเองไปอีกขั้นแล้ว หนังดูออริจินอลดี ไม่เคยเจอหนังศาสนาหรือหนังคนพิการแบบนี้มาก่อนเลย มันเล่นกับเรื่องปาฏิหาริย์และความศรัทธาได้น่าสนใจ ถ้าเป็นหนังเรื่องอื่น (เช่น Sign ของ เอ็ม ไนต์ ชยามาลัน) มันจะบอกว่าปาฏิหาริย์คือสิ่งที่จะพิสูจน์ศรัทธา แต่หนังเรื่องนี้บอกกับเราว่าปาฏิหาริย์นี่แหละคือสิ่งที่อันตรายและท้าทายที่สุดต่อความศรัทธา ฉากสุดท้ายของหนังรุนแรงมาก ทำให้ตระหนักว่าสำนวน Careful What You Wish For น่ากลัวขนาดไหน
4. Evangelion: 2.0 You Can (Not) Advance (2009, Kazuya Tsurumaki + Masayuki)
นี่คือสิ่งที่เรียกว่า Cinematic Orgasm หรือการบรรลุสุดยอดทางภาพยนตร์ อย่างแท้จริง หนังมันไปสุดทางในทุกมิติจริงๆ -ซึ้งสุดขีด อลังการสุดขีด และเครียดสุดขีด- ดูจบแล้วหัวแทบระเบิด ในจุดนี้ต้องนับถือทีมผู้สร้างที่ใจกล้าบ้าบิ่นเปลี่ยนเนื้อเรื่องจากฉบับดั้งเดิมจนไม่เหลือชิ้นดี ทำให้มีความหวังว่าหนังที่ตามมาในภาคต่อๆ ไปความชิบหายจะยิ่งปะทุปะทังเข้าไปอีก การรู้จักพัฒนาดัดแปลงตัวเองกระมังที่ทำให้การ์ตูนเรื่องนี้มีชีวิตยืนยาวมาร่วม 15 ปีแล้ว
3. Honey (2010, Semih Kaplanoglu)
ตอนจบของไตรภาคยูซุฟที่ยืนยันกับเราว่า เซมีห์ แคปลาโนกลู คนนี้แกเก่งจริง จังหวะทางภาพยนตร์ของเขาแม่นยำมาก ภายใต้หนังอันนิ่งเรียบ กลับแทรกความสะเทือนใจซึมลึกกับผู้ชมเสมอ นับจาก Egg ที่เล่าถึงลูกชายที่ไม่ไยดีกับการตายของแม่, ย้อนไป Milk ที่เล่าถึงที่มาแห่งความห่างเหินของแม่ลูก จนกลับมาจุดเริ่มต้นที่ Honey กับการหายไปของพ่อ ผู้กำกับได้วางภาพรวมของหนังไว้อย่างน่าทึ่ง นอกจากการย้อนเวลาแล้ว มันคือการทวีขึ้นของความเศร้า
2. Black Swan (2010, Darren Aronofsky)
หนังหนักอย่างมากจนถึงหนักที่สุด เรียกได้ว่าเป็นมหกรรมของตึงเครียดแบบไม่สิ้นสุด (Limitless Intensity) จนบางทีแอบคิดว่าพวกที่เย้วๆ อยากดูในโรงเนี่ย รู้หรือยังว่าต้องเจอกับอะไร) นาตาลี พอร์ตแมนเหมือนถูกทุกสิ่งทุกอย่างในหนังรุมข่มขืน ไม่ว่าจะพวกตัวละครทั้งหลาย หรือเทคนิคภาพยนตร์ใดๆ พอดูเรื่องนี้จบก็คิดว่าเราควรโคลนนิ่ง ดาร์เรน อารอนอฟสกี้ เก็บไว้ได้แล้ว เพราะเขาทำหนังมา 5 เรื่อง และทุกเรื่องถือได้ว่าเป็นงานมาสเตอร์พีซ
1. Love Exposure (2008, Sion Sono)
สารภาพว่าเคยรู้สึกดูถูกดูแคลนผู้กำกับ ซิออน โซโนะ มาตลอด เพราะหนัง Suicide Club ของเขามันช่างเกรียนสิ้นดี แต่หลังจากได้ดูงานอื่นๆ ของเขา รวมทั้ง Love Exposure ก็ต้องเปลี่ยนความคิดไปอย่างสิ้นเชิง หนังเรื่องนี้มีความยาวถึง 4 ชั่วโมง แต่ห่างไกลจากคำว่าน่าเบื่อไปล้านปีแสง มันรวมประเด็นอื้อฉาวไว้มากมาย ลัทธิคลั่งศาสนา, แก๊งแอบถ่ายกางเกงใน, ผู้หญิงที่พยายามยั่วบาทหลวง, พ่อที่ข่มขืนลูกสาว ฯลฯ ทั้งหมดถูกนำเสนอในลีลาคัลต์รุนแรงและสนุกสุดเหวี่ยงชนิดที่คงมีหนังญี่ปุ่นเท่านั้นที่ทำได้ จึงขอคารวะผู้กำกับไว้ ณ ที่นี้
Honorable Mention: The Ghost Writer (2010, Roman Polanski), Greenberg (2010, Noah Baumbach), High-Rise (2009, Gabriel Mascaro), Life During Wartime (2009, Todd Solondz), Mother (2009, Bong Joon-ho), The Portuguese Nun (2009, Eugene Green), The Road (2009, John Hillcoat), Scott Pilgrim vs. The World (2010, Edgar Wright), A Serious Man (2009, Ethan & Joel Coens), Toy Story 3 (2010, Lee Unkrich), Winter’s Bone (2010, Debra Granik), Uncle Boonmee Who Can Recall His Past Life (2010, Apichatpong Weerasethakul)
========================
Film of the Year Love Exposure (2008, Sion Sono)
Short Film of the Year ผมจะหาเสรีภาพได้ที่ไหน? (2010, ภาส พัฒนกำจร) มั่นใจว่าคนไทยเกินหนึ่งล้านคนเกลียดเมธาวี (2010, นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์)
Guilty Pleasure of the Year Step Up 3D (2010, Jon Chu)
Drag Me To Hell of the Year I Give My First Love to You (2009, Takehiko Shinjo) ผู้หญิงห้าบาป 2 (2010, สุกิจ นรินทร์)
WTF of the Year การแบนภาพยนตร์เรื่อง Insects in the Backyard
สถิติบ้าๆบอๆ ดูหนังโรงทั้งหมด: 74 เรื่อง ดูคนเดียว: 72 ดูคนเพื่อน: 2 ดูกับกิ๊ก: 0 ดูกับแฟน: 0
Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2554 |
|
13 comments |
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2554 15:04:00 น. |
Counter : 3932 Pageviews. |
|
|
|
ดู Splice ทางเคเบิ้ลอ่ะ หนังก็ดีนะค่ะ พอถึงฉากสำคัญรีบเปลี่ยนแทบไม่ทันเพราะลูกสาวอายุ15 นะค่ะ