วันนี้มาแชร์ประสบการณ์ที่แสนวิเศษสำหรับบุ๊งเองค่ะ อิอิ
บุ๊งมีโอกาสได้ไปชิมอาหาร + เครื่องดื่มที่ร้านเปิดใหม่ใน ซ.ทองหล่อ
Perfume: Fragrance Bar & Aromatic Cuisine
8 Thonglor Building
Tel: 0-2714-8071
ที่พิเศษกว่านั้นคือ ค่ำคืนนั้นทางร้านร่วมกับ Johnnie Walker
จัดเมนูพิเศษ 6 จาน
A Notable Experience House of Walker Dinner Menu
ทานคู่กับ Johnnie Walker
Gold Label Reserve
Platinum Label
Blue Label
และ
Blue Label King George V
ราคา 8,900++
ซึ่งอาหารชุดนี้จะมีจัดเฉพาะคืนวันที่ 2 ต.ค. 2556 เท่านั้นค่ะ
พิเศษสุดๆๆๆ
เจ้าของร้านยังหนุ่มอยู่เลยค่ะ (สาวๆ ไม่เกี่ยวนะคะ อิอิ)
เชฟอิ๊กก็มาร่วมงานด้วย
ที่นั่งของแต่ละคนจะเป็นแบบนี้ค่ะ
ร้าน Perfume เน้นคอนเซปเรื่องกลิ่น และ รสของอาหาร
ทุกอย่างที่อยู่ในจาน สามารถทานได้ ไม่ได้มีไว้เพียงตกแต่งเท่านั้น
และยังมี gimmick ให้เล่นเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างรับประทานอาหารด้วย
นอกจากนี้ สิ่งที่โดดเด่นของร้านน่าจะเป็นเครื่องดื่มต่างๆ
ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ
สำหรับงานนี้ ทางร้านก็ได้คิดเมนูค็อกเทลขึ้นมาใหม่โดยเฉพาะ
โดยมี Johnnie Walker เป็นส่วนผสม
Green Lantern
แก้วนี้ดื่มง่ายค่ะ ออกเปรี้ยวๆ หวานๆ
สิ่งที่พิเศษคือใส่ melon caviar เวลาดื่มก็จะมี
caviar เม็ดเล็กๆ ทำจาก melon ค่ะ
Caramel Blitz
แก้วนี้บุ๊งชอบเป็นพิเศษ อิอิ presentation สวยเริ่ด
เครื่องดื่มรสชาติกำลังดี ไม่หวานเกินไป ไม่แรงเกินไปค่ะ
Lemon Candy
บุ๊งชิมไปนิดหน่อยค่ะ ชอบ Caramel Blitz มากกว่า
Nachos มาให้ทานเล่นๆ ระหว่างรออาหาร
จานแรกค่ะ
Bellisi Basilica
พาร์มาแฮม เสิร์ฟคู่กับ balsamic และโฟมโหระพา
พอเสิร์ฟจานแรก พนักงานก็มาสร้างสีสันด้วยกลิ่นหอมของน้ำหอมค่ะ
ระหว่างนี้ก็จะมีเสิร์ฟ Johnnie Walker ไปเรื่อยๆ
เริ่มจาก
Gold Label Reserve
ชอบน้ำแข็งมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ตามด้วย
Platinum Label
และ
Blue Label
ถ้าเทียบ 3 แก้วนี้ Blue Label ชนะเลิศค่ะ
คุณแจน brand ambassador ของ Johnnie Walker
แนะนำว่า การดื่ม Blue Label ให้อร่อยที่สุด
คือให้ดื่มน้ำเปล่าใส่น้ำแข็งเย็นๆ กลืนลงคอ
แล้วตามด้วย Blue Label
บุ๊งลองทำตามแล้ว อิอิ เริ่ดดดดดดดดด
มี Gimmick มาให้เล่นกันอีกแล้วค่ะ
ที่เห็นแผ่นสีขาว อันนั้นคือแผ่นแป้งที่ทำออกมาเป็นกระดาษ
ให้เราใช้ขนนกจุ่มหมึกเบอร์รี่ แล้วเอามาเขียนความในใจ
หลังจากนั้นทางร้านก็เก็บแผ่นนี้ไป บอกว่าให้รอชมตอนต่อไป
S.O.S
จานนี้บุ๊งนั่งมองอยู่สักพัก คือบนโต๊ะจะมีเมนูบอกว่า
ใน 6 จานมีอะไรบ้าง จานนี้เค้าบอกว่าเป็นหอยเชลล์
ทำไมเป็นแผ่นบางๆ????
พอชิมแล้ว โอ้ววววววววววววว หอยเชลล์จริงๆ ด้วยค่ะ
ทำมาเป็นแผ่นบางๆ ทานคู่กับซอสส้ม
ส่วนตัวบุ๊งชอบจานนี้ค่ะ
Quack Quaque
ซุปใสเป็ด กระดาษสีขาวๆ แผ่นนี้ทานได้ค่ะ
เอาไปแกว่งๆ ในซุปก็จะนิ่ม ทานได้เลย เป็นแผ่นแป้งกลิ่นซินนามอนค่ะ
From... Dear...
จานนี้อร่อยที่สุดในบรรดาทุกจานค่ะ
เป็นฟัวกราส์กับซอส Port Wine
ทอดมาได้กำลังดี ชิ้นหนา ไม่บาง ซอสอร่อย ไม่เลี่ยน
เห็นแผ่นขาวๆ นั่นมั้ยคะ นั่นก็คือแผ่นที่บุ๊งเขียนไว้เมื่อตอนแรก
เค้าเอาไปอบหรือยังไงไม่รู้ค่ะ ออกมาเป็นแผ่นกรอบ ทานได้ทั้งแผ่นเลยค่ะ
Upstream to the Garden
Main course มีให้เลือกระหว่างเนื้อวัว กับ แซลมอน
ซึ่งบุ๊งเลือกแซลมอนแน่นอน เพราะไม่ทานเนื้อวัว
จานนี้แอบผิดหวังค่ะ เพราะว่าแซลมอนทำมาสุกเกินไป
ทำให้เนื้อปลาแห้ง แข็งทานยากค่ะ
คั่นรายการกันด้วยขวดนี้ค่ะ
Blue Label
King George V
ขวดนี้ราคาประมาณ 25,000 บาทค่ะ
ถือว่าโชคดีจริงๆ ที่มีโอกาสได้ชิม
แก้วนี้แรงกว่าเพื่อนค่ะ
ปิดท้ายกันด้วยขนมหวาน
BurnBerry Cheese Cake
เป็นชีสเค้กราดด้วยซอสเบอร์รี่
มาพร้อม gimmick สุดท้ายค่ะ ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงมีเทียนวางไว้บนโต๊ะ
เอาไว้จุดไฟที่กระดาษ สักพักก็ พรึ่บ! กระดาษหายวับไปเลยค่ะ
เดินๆ เล่นภายในร้าน เจอขวดนี้ สวยมากกกกกกก
Johnnie Walker & Sons
Odyssey
ราคาประมาณ 40,000 บาทค่ะ
มองเฉยๆ ค่ะ ไม่ได้ชิม แหะๆ
จากที่คุณแจนเล่าให้ฟัง ขวดที่แพงสุดคือ
Johnnie Walker & Sons
Diamond Jubilee
ราคา 5,000,000 บาทค่ะ
(มี 0 หกตัวจริงๆ ค่ะ)
ก่อนกลับบ้านได้รับขวดนี้ค่ะ
กรี๊ดดดดดที่สุด ได้ Blue Label 750 ml
บุ๊งต้องขอขอบคุณทางร้าน Perfume: Fragrance Bar & Aromatic Cuisine
และคุณมิกะ มากๆ สำหรับประสบการณ์อาหารมื้อพิเศษคืนนั้นค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ