Group Blog
 
<<
มกราคม 2553
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
7 มกราคม 2553
 
All Blogs
 

วิธีลดความอิจฉาตาร้อน



ถาม อยากเป็นคนดี แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองเลวทุกทีที่อดอิจฉาคนอื่นไม่ได้
ขอวิธีลดความอิจฉาตาร้อน คอยจ้องริษยาด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องทีครับ


ถ้าทุกคนมีญาณหยั่งรู้ สามารถทราบได้ถึงเหตุที่ใครต่อใครได้ดีหรือตกยาก
น่าเกลียดหรือหล่อสวย รวยหรือจน โชคดีบ่อยหรือโชคร้ายถี่ โลกนี้คงมีการอิจฉาริษยาน้อยลงมากครับ
เพราะใจจะเหลือแต่อุเบกขาอันเกิดจากความเห็นตามจริง ว่าใครทำอย่างไร
การกระทำของเขาก็ส่งให้มาเสวยผลตามนั้น

กิเลสมนุษย์ทำให้เรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องยาก บางทีเห็นอยู่ชัดๆว่าเพราะเขาขยัน เขาทุ่มเท เขาทำงาน
เขาต่อสู้อุปสรรค จึงประสบความสำเร็จ สอบได้ที่หนึ่ง หรือทำงานได้ตำแหน่งใหญ่โต
เห็นเหตุเห็นผลชัดๆอย่างนี้ก็ยังไม่วายอิจฉาตาร้อน จะป่วยกล่าวไปไยถึงคนที่รู้สึกว่าด้อยกว่าคุณ
ทั้งขี้เกียจ ทั้งเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ทั้งหนักไม่เอาเบาไม่สู้ แต่กลับได้ดีกว่าทุกด้าน หน้าก็หล่อ เมียก็สวย บ้านก็รวย
แน่นอนคุณต้องคิดว่านี่มันอะไรกัน ทำไมโลกช่างหาความยุติธรรมไม่ได้เอาเลย

เมื่อยังไม่อาจมีญาณหยั่งทราบเรื่องกรรมวิบากข้ามภพข้ามชาติ ก็ต้องใช้วิธีตรงไปตรงมาครับ
นั่นคือให้เพ่งโทษ เพ่งพิจารณาถึงแง่ลบของความอิจฉาริษยา เช่น

★๑) ดูจิตขณะอิจฉา
คือดูเข้ามาตรงๆให้เห็นสภาพจิตใจตนเองขณะอิจฉาริษยา ถามตัวเองว่าเย็นหรือร้อน
ถามตัวเองว่าอึดอัดหรือสบาย ถามตัวเองว่ากระวนกระวายหรือสงบสุข อย่าไปเพ่งเรื่องดีเรื่องเลวนะครับ
แล้วก็อย่าไปห้ามใจไม่ให้อิจฉาเอาดื้อๆ เพราะจะทรมานใจเปล่าเมื่อหยุดไม่ได้

การที่คุณยอมรับตามจริง ตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม ทราบชัดว่ากำลังร้อน กำลังอึดอัด กำลังกระวนกระวาย
จะเป็นชั่วขณะของการเกิดสติ คือมีความระลึกรู้ได้ว่าขณะนี้จิตกำลังอยู่ในสภาพย่ำแย่

แม้ว่าในความมีสติรู้เห็นเช่นนั้น ความคิดริษยายังไม่หยุดตัวลง แต่อย่างน้อยก็มีความชะงักงันชั่วขณะ
ชะงักที่ได้รู้ว่าผลของความคิดริษยาคือร้อน อึดอัด กระวนกระวาย
ตลอดจนเกิดแรงดันอยากทำอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่ง คล้ายเป็นผู้ร้าย ไม่ใช่พระเอก

ไม่ว่าคุณจะเห็นความร้อน ความอึดอัด หรือความกระวนกระวาย คุณจะเกิดปัญญาขึ้นมาทีละนิดทุกครั้งว่า
สภาพนั้นๆไม่ใช่ของดี ไม่ใช่ของน่ายึด การที่จิตรู้สึกอยู่บ่อยๆว่าอะไรไม่ดี อะไรไม่น่าเอา
ในที่สุดจิตจะเริ่มคิดได้เอง ปล่อยวางความยึดสิ่งนั้นไปเอง

ผลลัพธ์ในระยะยาวนะครับ เมื่อใดคุณอิจฉาริษยา เกิดความเร่าร้อนในอกในใจขึ้นมา
จิตจะไม่โจนทะยานออกไปให้ความร่วมมือกับตัวอิจฉา
จะไม่เพ่งจ้องบุคคลอันเป็นที่ตั้งของความอิจฉาแบบไม่ถอนสายตา
จะเห็นความเปล่าประโยชน์ของสภาพจิตใจตัวเอง ฉุกคิดได้ว่าจะร้อนเปล่าไปทำไม อึดอัดเปล่าไปทำไม
กระวนกระวายเปล่าไปทำไม

ชั่ววูบแห่งความระลึกได้เช่นนั้น คุณจะเห็นความอิจฉาริษยาดับไป
ยิ่งเห็นวูบแห่งความดับได้ชัดเท่าไร ใจก็จะยิ่งโปร่งสบายขึ้นเท่านั้น
ธรรมชาติของจิตเขาชอบความสบาย ในที่สุดเขาจะเลิกหาเรื่องอึดอัดใส่ตัว พูดง่ายๆคือหยุดหาเหาใส่หัวเสียที

ย้ำว่าอย่าไปพยายามเบรกตัวเองนะครับ เมื่อรู้ตัวว่าเกิดความอิจฉา อย่าไปสู้กับมัน
ตามดูตามรู้ เฝ้าสังเกตอย่างมีสติก็พอ ว่าในอกในใจมันร้อน อึดอัด หรือกระวนกระวายเพียงใด
การเห็นความไม่เที่ยงของอาการทางใจ จะทำให้คุณว่างหายสบายอกขึ้นได้เอง


★๒) เพ่งโทษความอิจฉา
คือพิจารณาให้เห็นโทษของความอิจฉาริษยา กล่าวคือ
สะกดรอยตามว่าความอิจฉาแตกแขนงออกเป็นนิสัยเสียอื่นๆได้แค่ไหน
อย่างเช่น คนที่สนุกกับการยุยงให้คนอื่นตีกัน
เพียงเพราะทนไม่ได้ ที่เห็นคนดีมีความสามารถเขาร่วมมือร่วมใจทำกิจอันเป็นมหากุศล
การยุให้คนเขาตีกันหรือแตกคอกัน เพียงเพื่อจะได้สะใจ ไม่มีใครดีกว่าตัวเอง
ผลคือจะไม่ได้อยู่เป็นสุข ต้องทะเลาะเบาะแว้ง ต้องตีกับคนใกล้ตัวไม่เลิกรา

ผมเคยรู้จักผัวเมียคู่หนึ่ง สองคนนี้นิสัยอย่างอื่นต่างกันหมด เหมือนอยู่อย่างเดียวคือชอบยุให้ชาวบ้านเขาผิดใจกัน
ตั้งคำถามเพื่อเอาคำตอบจากคนหนึ่ง แล้วใส่สีตีไข่คำตอบนั้น เพื่อเอาไปกระแทกหูอีกฝ่ายให้เกิดความเจ็บใจ

ผลที่เกิดขึ้นจับจิตของผัวเมียคู่นี้โดยตรงคือ คุยกันไม่รู้เรื่อง ฝ่ายหนึ่งพยายามพูดอธิบายไปทาง
อีกฝ่ายกลับเข้าใจไปอีกทาง และนับวันยิ่งหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ไม่สมเหตุสมผลขึ้นเรื่อยๆ

ความรุ่มร้อนอันเกิดจากความไม่เข้าใจกัน พูดจากันไม่รู้เรื่องระหว่างคนในบ้านนั้น
ถ้าใครเคยมีประสบการณ์คงเข้าใจนะครับว่าเป็นทุกข์ใหญ่หลวงเพียงใด

เรื่องของเรื่องคือผัวเมียคู่นี้เข้ากันไม่ได้ตั้งแต่เริ่ม
ตอนแรกเห็นข้อดีบางอย่างเช่นชอบธรรมะเหมือนกัน ก็น่าจะไปกันได้ อยู่ดีมีสุขร่วมกันได้
ทว่ายิ่งอยู่ด้วยกันนานขึ้นเท่าไร ความแตกต่างก็ยิ่งฉีกสองคนห่างจากกันมากขึ้นเท่านั้น
ทำอะไรก็เหมือนผิดไปหมด โง่ไปหมด

คราวนี้พอเห็นคนอื่นเขาอยู่ร่วมกันดีๆ มีความปรองดอง ก็เกิดความอิจฉาริษยา
พอปล่อยให้อำนาจความอิจฉาริษยาเข้าครอบงำจิตใจเต็มที่ ก็เกิดแรงขับดัน อยากยุให้รำตำให้รั่ว
เห็นเขาแตกคอกันแล้วมีความสุข

ผลกรรมที่เห็นทันตาของการยุยงที่สำเร็จ คือใจเพ่งโทษกันและกันหนักขึ้นหลายเท่า
ที่สำคัญคือได้ชื่อว่าก่อกรรมผูกมัดตัวเข้ากับเส้นทางเดิมๆ เมื่อเกิดชาติหน้าผัวเมียคู่นี้ก็ต้องเจอกันอีก
และถูกกรรมเก่าดลใจให้มาผูกติดกันอีก เพื่อทะเลาะเบาะแว้งกัน เห็นความเข้ากันไม่ได้
และงุนงงว่าทำไมถึงต้องมาอยู่ด้วยกันอย่างนั้น

ความอิจฉาริษยาเป็นรากของการมีศัตรู ไม่ใช่มีมิตร เป็นรากแห่งการทำลาย ไม่ใช่สร้างสรรค์
เป็นรากของความเดือดร้อนรำคาญจิต ไม่ใช่ความเยือกเย็นสบายใจ เป็นรากของความทุกข์ ไม่ใช่ความสุข
พิจารณาเห็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ในที่สุดคุณจะเลิกตามใจตัวเอง
พออิจฉาริษยาขึ้นมาเมื่อไร จิตจะไม่พลอยเอออวยเข้าร่วมพวกด้วยอีกต่อไปครับ



ถาม ทำบาปกับคนให้อภัยกับคนไม่ให้อภัย อันไหนให้ผลร้ายแรงกว่ากันคะ?

พระพุทธเจ้าตรัสว่า
การประทุษร้ายผู้ไม่มีเวร ผู้ไม่เบียดเบียนใคร เป็นบาปใหญ่ ให้ผลรุนแรงกว่าการประทุษร้ายผู้ยังผูกเวร
และเบียดเบียนใครๆ ทีนี้ถามว่าคนที่เขาพร้อมจะให้อภัยนั้น เข้าข่ายพวกที่เบียดเบียนหรือไม่เบียดเบียน
แน่นอนต้องตอบว่าเข้าข่ายผู้ไม่เบียดเบียน
ฉะนั้นคำตอบแบบตรงตัวคือทำบาปกับคนให้อภัยย่อมมีน้ำหนักบาปมากกว่า จะต้องได้รับผลแรงกว่า

อย่างไรก็ตาม ความดีเป็นสิ่งซึมซับกันได้ ถ้าหากคุณไม่มีจิตใจกระด้างหรือถูกห่อหุ้มด้วยโมหะหนาเกินไป
พอเห็นใครให้อภัย ไม่คิดจองเวร ก็ย่อมมีโอกาสสำนึกผิดได้
ยิ่งเขาแสนดีเท่าไร ใจคุณก็จะยิ่งสำนึกเร็วและแรงขึ้นเท่านั้น

พูดในแง่กรรมวิบาก กรรมสัมพันธ์ การให้อภัยเป็นการตัดวงจรอุบาทว์แห่งเวรระหว่างกัน
เขาอาจมีบาปผิดที่ต้องชดใช้คุณ เมื่อโดนคุณทำร้ายแล้วเขาไม่ถือสา ย่อมชักพาให้ใจคุณสำนึก
ต่างฝ่ายต่างอยากยุติศึก สิ่งที่ตามมาย่อมเป็นมิตรภาพ

พิจารณาในแง่นี้ ก็คงต้องกล่าวว่าทำกับคนให้อภัย ดีกว่าทำกับคนไม่ให้อภัย
เพราะทำกับคนไม่ให้อภัย ไม่มีทางพยากรณ์ได้เลยว่า จะต้องเปิดศึกจองเวรกันยืดเยื้อไปอีกกี่กัปกี่กัลป์
ผลัดกันเป็นฝ่ายราวีบีฑาอีกกี่พันกี่หมื่นหนครับ


ข้อมูลจาก //dungtrin.com/mag/?21.prepare
ที่มา : //larnbuddhism.com
ภาพจาก : //www.gloryin.com




 

Create Date : 07 มกราคม 2553
3 comments
Last Update : 7 มกราคม 2553 21:00:18 น.
Counter : 4583 Pageviews.

 

อนุโมทนาสาธุ กับ ธรรมะดีๆค่ะ

สวัสดีปีใหม่เจ้าของบล็อกค่ะ ขอให้เจริญในธรรมนะคะ

 

โดย: พิม IP: 58.137.94.181 8 มกราคม 2553 8:07:11 น.  

 

ส่วนใหญ่แล้วคนที่อิจฉามักไม่รู้ตัวว่าอิจฉาค่ะ รู้แต่ว่าหมั่นไส้ มันไม่เห็นจะดีตรงไหน ก็แค่โชคช่วย ฯลฯ อะไรแบบนี้แหละค่ะ กิเลสร้ายมากเหลือเกิน

แต่ถ้าคนเรายอมรับกับตัวเองด้วยใจปราศจากอคติว่า เออ เราอิจฉาเขานะ แบบนี้ก็แสดงว่า คนๆนั้น ไม่อิจฉาแล้วล่ะค่ะ แต่ในใจคิดอยากขวนขวายให้ได้อย่างเขา

ใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึงค่ะ ในหลักการเดียวกัน ใช้ไม่ได้กับคนที่เป็นอาการเดียวกันเสมอไปค่ะ

 

โดย: Chulapinan 8 มกราคม 2553 8:22:37 น.  

 

ทำไงดี กำลังเกิดความอิจฉา ในตัวเด็กคนนึง ที่เป็นคนที่คนรักของเรารักมาก เราพยายามห้ามความอิจฉา แล้วนะ พยายามรักจริงๆ แต่ทำไม่ได้เพราะเราไม่เคยใช้ชีวิตด้วยกัน ได้รับแต่ข้อมูล

 

โดย: Silitaaa IP: 124.120.57.218 27 พฤษภาคม 2556 11:23:08 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.