พระควรเกี่ยวข้องกับมาตุคามอย่างไร
พระอานนท์พุทธอนุชากราบทูลถามข้อหนึ่งว่า "ข้าพระองค์ (ภิกษุทั้งปวง)
จะพึงปฏิบัติตนต่อสตรีอย่างไร" พระองค์ตรัสว่า "ไม่เห็นเป็นดีที่สุด อานนท์" "ถ้าจำต้องเห็นล่ะ พึงปฏิบัติอย่างไร พระเจ้าข้า" "ไม่เจรจาด้วย" "ถ้าจำเป็นจะต้องเจรจา จะพึงปฏิบัติอย่างไร พระเจ้าข้า" "ถึงตั้งสติไว้ อานนท์"
พระอานนท์นั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่รอบคอบที่สุดรูปหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงยกย่องว่าท่านเป็น เอตทัคคะ(มีความเป็นเลิศ) หลายด้าน เช่น เป็นพหูสูต เป็นผู้มีสติรอบคอบ เป็นผู้มีธิติ (ความเพียร) เป็นผู้มีคติ (มีวิธีจำพุทธวจนะอย่างเยี่ยม)
ครั้งหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลนิมนต์พระสงฆ์ไปฉันภัตตาหารเป็นประจำในวัง พระก็ไปฉัน ติดต่อกันมา แต่ต่อมาภายหลังพระเจ้าแผ่นดินทรงมีภารกิจอย่างอื่นมากมาย ทรงลืมสั่งให้ตระเตรียมภัตตาหารภวายพระ พระสงฆ์อื่นๆโดนเข้าครั้งสองครั้งก็ไม่ไปอีก คงมีแต่พระอานนท์รูปเดียวไปอย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่งพระเจ้าปเสนทิโกศลรำลึกขึ้นได้ และทรงขอโทษพระอานนท์ พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลเรื่องนี้ให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ พระพุทธองค์ตรัสว่า "อานนท์เธอเป็น "การณวสิก" (การณวสิก = เป็นคนมองการณ์ไกล, เป็นคนหนักในเหตุในผล)
ในเมื่อท่านเป็นคนมีสติรอบคอบ มองการณ์ไกล ท่านจึงพยายามทูลถามแนวปฏิบัติต่างๆ จากพระพุทธองค์เท่าที่มีเวลาให้ เพราะอีกไม่นานก็จะไม่มีโอกาสแล้ว ข้อซักถามหลายต่อหลายเรื่องท่านมิได้ถามเพื่อตัวท่านเอง หากถามเพื่อพระสงฆ์และพุทธบริษัททุกหมู่เหล่า ดังคำถามเกี่ยวกับสตรีนี้ ก็ถามเพื่อเป็นแนวปฏิบัติสำหรับพระสงฆ์ทั้งปวง พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ควรเห็น แต่ถ้าต้องเห็น ก็ไม่ควรเจรจา ถ้าจำเป็นต้องเจรจาก็ให้เจรจาด้วยสติ
นี้มิได้หมายความว่าเป็นการ "ดูหมิ่น" สตรี ดังที่บางคนอาจเข้าใจ ต้องเข้าใจว่า "พรหมจรรย์" คือการงดเว้นเมถุนธรรม บุรุษที่ประพฤติพรหมจรรย์ก็ต้อง ระวังมิให้เกี่ยวข้องกับสตรี สตรีที่ประพฤติพรหมจรรย์ก็ต้องระวังมิให้เกี่ยวข้องกับบุรุษ "เกี่ยวข้อง" ในที่นี้หมายถึง ไม่พึงคลุกคลีจนเกินพอดี เกินงาม เพราะอะไร? เพราะจะทำให้พรหมจรรย์มัวหมองไป และอาจทำให้เสียพรหมจรรย์ในที่สุด เป็นธรรมดาอยู่แล้วมิใช่หรือ "ผาณิตผิชิดมด ฤาจะอดกระไรไหว" บุรุษกับสตรีใกล้ชิดกันบ่อยและนานเข้า ไม่ว่าใครท้ายที่สุดก็ "ไฟฟ้าชอร์ต" เข้าจนได้
เมื่อบวชเข้ามา ตั้งใจประพฤติพรหมจรรย์แล้ว ไม่ว่าหญิงหรือบุรุษ ก็พึงปลีกตนห่างเพศตรงข้ามให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ถ้ามีเหตุจะเจรจาด้วยก็ให้มีสติ
ประเภทที่บวชมาแล้วยินดีคลุกคลีกับสีกา ไปไหนมาไหนมีคาราวานสตรีล้วน ทั้งสาวแก่แม่ม่ายไฮโซฯ ขี้เหงาล้อมหน้าล้อมหลังนั้น มิใช่ปฏิปทาของสาวกพระพุทธเจ้า เขาเรียกว่าปฏิปทาของ "ฉัพพัคคีย์"(อลัชชี ๖ คน) วิญญูชนเห็นก็พยากรณ์ได้ทันทีว่า ปฏิปทาอย่างนี้ไปไม่รอด ในที่สุดก็จะวิบัติฉิบหาย "ตกหล่น" จากพระศาสนา เรียกว่า "เน่าตั้งแต่ยังไม่ตาย"
โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก
Create Date : 27 มกราคม 2552 |
Last Update : 27 มกราคม 2552 23:07:23 น. |
|
2 comments
|
Counter : 1665 Pageviews. |
|
|
|