Group Blog
 
<<
มกราคม 2552
 
8 มกราคม 2552
 
All Blogs
 
สังเวชนียสถาน ๔ ตำบล, ทำไมจึงเรียกสังเวชนียสถาน



พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า มีสังเวชนียสถาน ๔ ตำบลที่กุลบุตรผู้มีศรัทธาจะพึงไปไหว้
หลังจากพระองค์ปรินิพพานแล้ว

สังเวชนียสถาน ๔ ตำบล คือ
๑.สถานที่เจ้าชายสิทธัตถะประสูติ
๒.สถานที่พระโพธิสัตว์ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
๓.สถานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา
๔.สถานที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน

"ดูก่อนอานนท์ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา จักมาด้วยความเชื่อว่า
พระตถาคตประสูติในที่นี้ก็ดี พระตถาคตตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณในที่นี้ก็ดี
พระตถาคตยังอนุตรธรรมจักรให้เป็นไปในที่นี้ก็ดี พระตถาคตเสด็จปรินิพพานในที่นี้ก็ดี
ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่งเที่ยวจาริกไปยังเจดีย์ มีจิตเลื่อมใสแล้วจักทำกาละลง
ชนเหล่านั้นทั้งหมดเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์"

พุทธวจนะตรัสยืนยันไว้ดังนี้ ชาวพุทธทั้งหลายจึงควรหาโอกาสไปนมัสการ
สังเวชนียสถาน ๔ ตำบลนี้ให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิตไปด้วยจิตศรัทธา เคารพเลื่อมใส
มั่นในพระรัตนตรัยจริงๆให้สมกับคำว่า "จาริกแสวงบุญ" มิใช่จาริกแสวงบาป
หรือสักแต่ว่าไปเที่ยวเดินดูๆ เฉยๆ ดูไป เหยียบย่ำปูชนียสถานไป ส่งเสียงโหวกเหวกๆไป
คุยเรื่องเดอร์ตี้โจ๊กไปอย่างนี้ อย่าไปให้เสียเงินเสียทองเสียเวลาเลย
อยู่บ้านเฉยๆยังจะดีกว่า อย่างน้อยก็จะไม่ได้ทำบาปด้วยการลบหลู่ปูชนียสถาน

ทำไมจึงเรียกสังเวชนียสถาน

ทำไมเรียกสถานที่เหล่านี้ว่า "สังเวชนียสถาน" หรือสถานที่พึงสังเวช
คนไทยพอได้ยินว่า"สังเวช"มักรู้สึกไปในทำนองว่าน่าสมเพช น่าสงสารอะไรไปโน่นนะครับ

ในทางพระท่านเรียกเต็มๆว่า "ธรรมสังเวช" คือปลงใจให้ถูกต้องตามธรรมหรือตาม
หลักการที่ควรจะเป็น การได้มาเห็นสถานที่เหล่านี้ จะทำให้เรา "ปลงธรรมสังเวช"
คือกระตุ้นภายในจิตใจของเราให้มองเห็นคติธรรมดาของสังขารว่ามีเกิดขึ้น มีการตั้งอยู่
ชั่วขณะและมีการดับสลายในที่สุด พูดแบบพระก็ว่าเห็น อนิจจัง ทกขัง อนัตตา

เมื่อเราเข้าใจคติธรรมดาอย่างนี้ เราก็จะได้ไม่เศร้าโศกเสียใจ แต่มีใจผ่องใสเบิกบานอยู่ได้
เราเห็นสถานที่ทางพระพุทธศาสนาที่เคยรุ่งเรืองอยู่นา นเป็นร้อยๆพันๆปี ยิ่งใหญ่ขนาดไหน
แต่ทำไมเดี๋ยวนี้จึงสูญสิ้นเหลือแต่ซากปรักหักพัง ถ้าใจเรารู้ไม่เท่าทันไตรลักษณ์
เราอาจเศร้าโศกเสียใจ ไม่มีความสุขได้

เมื่อรู้และมองเห็นว่าสรรพสิ่งย่อมีการเกิดขึ้นและดั บสลายไปในที่สุด
ใจเราก็ผ่องใสเบิกบานอยู่ได้เป็นอิสระ การปลงธรรมสังเวชอย่างนี้
เป็นวิธีการปรับใจหรือทำใจอย่างถูกต้องตามหลักการที่ ควรจะเป็น

เมื่อคิดได้อย่างนี้แล้วก็จะเป็นเครื่องเตือนใจตนเอง เป็นบทเรียน มิให้ประมาท
โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้นึกถึงตัวเราให้มาก แม้เราจะไม่มีบุญวาสนาได้เกิดทันพระพุทธองค์
แต่ก็ยังดีที่มีบุญได้เกิดทันพระศาสนาของพระองค์
เราไม่ควรประมาทมัวเมาในชีวิต สิ่งใดที่เป็นคุณงามความดีที่เรายังไม่ได้ยังไม่ถึง
เราก็ควรขวนขวยปฏิบัติฝึกฝนตนเพื่อให้บรรลุถึงให้ได้ ในชีวิตนี้

ถ้าเราทำได้ แม้เราจะเกิดไม่ทันพระพุทธองค์ ก็นับว่า "ได้อยู่ใกล้ชิดพระองค์"
ดังพุทธวจนะที่ตรัสเตือนพระวักกลิว่า โย ธมฺมํ ปสฺสติ โส มํ ปสฺสติ
ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นชื่อว่าเห็นเรา ดีกว่านั่งเฝ้าพระพุทธองค์ทุกวันแต่ไม่เห็นธรรมเสียอีก

เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าตรัสว่า อีก ๓ เดือนข้างหน้าพระองค์จะปรินิพพาน
ภิกษุจำนวนหนึ่งปรึกษากันว่าพระศาสดาจะจากพวกเราไปแล้ว พวกเราควรจะหาโอกาส
ไปเฝ้าพระองค์ทุกวัน เพราะต่อไปจะไม่มีโอกาสได้เห็นพระองค์อีก
ว่าแล้วก็ชวนกันไปเฝ้าแวดล้อมพระองค์ ตั้งแต่เช้าจรดเย็น

มีภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งไม่ไปเฝ้าพระองค์กับภิกษุเหล่านั้นด้วย ตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนด้วยการ
ปฏิบัติสมาธิภาวนาอยู่คนเดียว ด้วยปณิธานแน่วแน่ว่าเราจะต้องพยายามปฏิบัติเพื่อบรรลุ
ผลชั้นใดชั้นหนึ่งให้ทันก่อนพระพุทะองค์ปรินิพพานให้ได้

ภิกษุรูปอื่นรู้เข้า ก็นำความไปฟ้องพระพุทธองค์ว่าภิกษุหนุ่มรูปนั้นแทนที่จะมาเฝ้า
พระพุทธองค์กลับไม่ใส่ใจ อย่างนี้เรียกว่าไม่เห็นเป็นห่วงพระศาสดา
(ถ้าใช้ภาษาสามัญ ก็คงจะพูดแบบนี้)

พระพุทธองค์ตรัสว่า ภิกษุหนุ่มนั้นทำถูกต้องแล้วเธอพยายามฝึกฝนตนเพื่อบรรลุมรรคผล
ให้ทันก่อนเราตถาคต ปรินิพพานแสดงถึงความไม่ประมาท เมื่อเธอได้บรรลุมรรคผลแล้ว
แม้เราตถาคตจะจากไปแล้วก็ตาม เธอก็นับว่าได้เห็นเรา ได้อยู่ใกล้เราตลอดไป

ภิกษุเหล่านั้นฟังแล้วก็ได้คิดว่า การมานั่งเฝ้าจ้องพระรูปกายของพระพุทธเจ้า
โดยที่ในใจมิได้ "สัมผัส" พระธรรมในระดับใดระดับหนึ่งนั้น
ไม่นับว่าเป็นการเห็นพระพุทธเจ้าแต่อย่างใด

ชาวพุทธที่ไป "เห็นสถานที่" เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าก็เช่นกัน ถ้าจะให้ดีก็ต้องพยายาม
"เห็นธรรม"ด้วยใจด้วย ถึงจะนับว่าได้เข้าเฝ้าพระพุทะเจ้าตามความหมายที่แท้ จริง

ที่มา หนังสือวาระสุดท้ายของพระพุทธองค์
เสฐียรพงษ์ วรรณปก


Create Date : 08 มกราคม 2552
Last Update : 8 มกราคม 2552 19:47:42 น. 2 comments
Counter : 917 Pageviews.

 
บทความดีมากเลยครับ


โดย: ksakda วันที่: 21 มกราคม 2552 เวลา:13:29:57 น.  

 
อืม...เพิ่งรู้นะนี่ว่าสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมไม่ใช่มีแต่วัด และรู้แจ้งเห็นจริงว่าตาเราควรเห็นธรรมด้วย

นาน ๆ เข้ามาอ่าน Blog ของคุณจรรโลงใจดีค่ะ ขอบคุณนะคะ


โดย: Tassanee วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:2:00:05 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.