Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2552
 
11 มิถุนายน 2552
 
All Blogs
 
ดื่มเหล้าเคล้านารีเป็นผีลงนรก

ดื่มเหล้าเคล้านารีเป็นผีลงนรก

ครั้งหนึ่งในสมัยที่พระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ พระองค์พร้อมด้วยพระสาวกประมาณ ๒๐,๐๐๐ รูป
ได้เสด็จมาถึงพระนครแห่งหนึ่ง ซึ่งปรากฏชื่อว่าพระนครพาราณสีในปัจจุบัน
ชาวเมืองทั้งหลาย ครั้นได้เห็นพระองค์พร้อมด้วยพระสงฆ์ที่เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด ต่างก็พากันตื่นเต้นดีใจ
ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาเป็นอันมาก ชักชวนกันบริจาคทรัพย์ถวายอาคันตุกทานเป็นการใหญ่
ชาวบ้านได้รวมตัวกัน ๒ คน บ้าง ๓ คนบ้างเป็นเจ้าภาพภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์เป็นเวลาหลายวัน


คราวหนึ่ง ยังมีลูกชายเศรษฐี ๔ คน ซึ่งพ่อแม่ของพวกเขาต่างก็มีทรัพย์มากมายถึงคนละ ๔๐ โกฏิ
ลูกชายของ เศรษฐีทั้ง ๔ นั้น กำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่น และเป็นเพื่อนรักกันมาก เมื่อเห็นชาวบ้านพากันบริจาคทาน
ถวายอาหารเลี้ยง พระภิกษุสงฆ์เป็นการใหญ่เช่นนั้น แทนที่จะเกิดความเลื่อมใสร่วมใจกันทำบุญกับเขา
กลับมีใจดูหมิ่นเหยียดหยาม โดยได้คิดไปว่า “พวกคนเหล่านี้เป็นคนโง่เขลา เพราะบ้าศรัทธา
ทำไปทำไมกันบุญทาน ทำแล้วก็ไม่เห็นได้ประโยชน์อะไรเลย มีแต่สิ้นเปลืองทรัพย์สมบัติไปเปล่าๆ
การบูชาพระพุทธเจ้า และการรักษาศีลก็เหมือนกัน จะทำไป ทำไม?
คิดไปเท่าไรๆ ก็มองไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์ เสียเวลาเปล่า”

ว่าแล้วทั้ง ๔ คน ก็ปรึกษากันว่า จะจัดการกับทรัพย์สมบัติเหล่านี้ อย่างไรดี
เพราะพ่อแม่ได้หาทรัพย์สมบัติไว้ให้มากมาย ลำพังจะกินจะใช้อีกกี่สิบชาติก็คงจะไม่หมดไปง่ายๆ

เพื่อนคนหนึ่งก็เสนอขึ้นว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกเรา พากันไปหาซื้อสุราอย่างดีที่สุด เอามาดื่ม
โดยมีเนื้อที่มีรสชาติดีที่สุดเป็นกับแกล้ม เป็นประจำ อย่างนี้ชีวิตของพวกเราคงมีรสชาติขึ้น
ทุกคนเห็นด้วยกับเราหรือไม่?”

ทุกคนต่างก็เห็นดีเห็นงาม กับคำเสนอของเพื่อน และมีคนหนึ่งเสนอเพิ่มเติมว่า นอกจาก จะดื่มสุราที่มีรสดีที่สุด
เท่าที่จักหาได้ในเมืองนี้แล้ว ควรให้คนใช้หาข้าวปลาอาหาร ชนิดที่มีรสเลิศต่างๆ มาบริโภคเป็นประจำตลอดไป
ขณะที่อีกคนหนึ่งก็เสนอว่า กินเหล้าเมายาบริโภคอาหารดีๆ ถ้าหากว่า ขาดนารีสวยๆ มันจะเป็นท่าอะไร
ฉะนั้น พวกเราจะใช้เงินเป็น เครื่องล่อใจ ดึงดูดสตรีมาประเล้าประโลมพวกเราด้วย

ตั้งแต่วันนั้น เป็นต้นมา ชายหนุ่มทั้ง ๔ ต่างก็ตั้งหน้าประกอบอกุศลกรรม ทำความชั่ว เสพสุรายาเมาเป็นประจำ
(ผิดศีลข้อ ๕) นอกจากนั้นยังกล้าประพฤติผิดลูกเมียคนอื่น (ผิดศีลข้อ ๓) คือ เมื่อเห็นสตรีสาวทั้งหลาย
ไม่ว่าจะเป็น ลูกเขาเมียใคร เมื่อตนพอใจแล้ว เป็นต้องหาอุบายเอาตัวมา เป็นเครื่องบำเรอความสุขของตนจนได้
โดยใช้เงินที่มีอยู่จำนวนมากเป็นเครื่องล่อใจ พวกเขาพากันล้างผลาญทรัพย์สมบัติที่พ่อแม่สั่งสมไว้ให้
ไปในทางที่ชั่วช้าลามกอยู่อย่างนี้ เป็นประจำ

เมื่อพวกเขาทั้ง ๔ คนตายไปแล้ว กรรมชั่วทั้งหลาย ที่ได้กระทำไว้ ทำให้ต้องไปเกิดในอเวจีมหานรก
ทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสหาประมาณมิได้ ต้องถูกไฟในอเวจีมหานรกอันแรงร้าย เผาไหม้ร่างกายอยู่ตลอดเวลา
ไม่ว่างเว้นเลย แม้แต่วินาทีเดียว!!

อันว่าสัตว์นรกที่เสวยทุกข์โทษ ถูกไฟนรกในอเวจีมหานรกไหม้ร่างกาย ก็ได้รับความแสบปวดแสบร้อนอยู่นาน
สิ้นเวลาพุทธันดรหนึ่งแล้วก็ สิ้นกรรม จึงพากันจุติจากอเวจีมหานรกนั้น แต่ว่าเศษกรรมชั่วที่ทำไว้ยังไม่หมดสิ้น
ดังนั้น พวกเขาจึงพากันมาเป็นสัตว์นรก ในนรก ‘โลหกุมภี’ ซึ่งมีความกว้างใหญ่ประมาณ ๖๐ โยชน์
ต้องเวียนว่ายให้ไฟไหม้ เผากายตนอยู่ในนรกโลหกุมภีอันกว้างใหญ่นั้น
ครั้นเวียนว่ายอยู่ภายในหม้อนรกเหล็กแดงโลหกุมภี สิ้นเวลานานนักหนาแล้ว ก็พยายามกระเสือกกระสน
จะว่ายขึ้นมาเบื้องบนให้ได้ พวกเขาต้องใช้ความมานะพยายามเป็นอย่างมาก
โดยหวังที่จะว่ายขึ้นไปถึงปากหม้อนรกโลหกุมภีให้จงได้ บางครั้งพอจวนจะถึงปากหม้อก็ต้องกลับจมลงไปอีก
ทั้งนี้ก็เพราะสภาพของสัตว์นรกที่ตกลงไปในหม้อนรกเหล็กแดงใหญ่ที่ชื่อว่า โลหกุมภี นั้น ย่อมมีสภาพเหมือน
กับข้าวสารที่เขาเอาใส่แล้วต้มเคี่ยวในหม้อน้ำซึ่งกำลัง เดือดพล่าน!!
มีอาการดำผุดดำว่ายโผล่ขึ้นมาแล้วก็จมลงไป และโผล่ขึ้นมา อีกแล้วก็จมลงไปอีก เป็นอยู่อย่างนี้เรื่อยไปเป็นนิตย์

ชายหนุ่มเจ้าสำราญทั้ง ๔ คนนี้ก็เหมือนกัน ขณะนั้นพวกเขามีสภาพเหมือนกับเมล็ดข้าวสารที่กำลังถูกเคี่ยวอยู่ใน
หม้ออันเดือดพล่าน การจะโผล่ศีรษะขึ้นมาปากหม้อ จึงเป็นความหวังอันเลือนลางเต็มที!!
แต่พวกเขาก็หาหมดความพยายามไม่ อุตสาหะว่ายตะเกียกตะกายเรื่อยไป

และในที่สุดหลังจากที่ได้ใช้ความพยายามอยู่เป็นเวลาถึง ๖๐,๐๐๐ ปี (นับปีในมนุษย์โลก)
คราวหนึ่งทั้ง ๔ ซึ่งอยู่ในนรกโลหกุมภี เสวยทุกข์โทษอย่างแสนสาหัสมาเป็นเวลาช้านาน
ได้ผงกศีรษะขึ้นมาเจอหน้ากันอย่างพร้อมเพรียงที่ปากหม้อพอดี ต่างคนต่างดีใจ
ใคร่จะระบายความทุกข์ให้เพื่อนฟัง ถึงความผิดที่ตนได้เคยกระทำไว้ แต่ทุกคนก็พูดได้เพียงคนละคำ เท่านั้น
ก็ต้องจมหายลงไปในหม้อนรกอีก และดำผุดดำว่ายทนทุกขเวทนาอยู่ในหม้อเหล็กใหญ่ที่มีน้ำเดือดพล่านในนรก
นั้นอีกนานแสนนาน

จากเรื่องที่เล่ามาจะเห็นว่า ลูกชายเศรษฐีทั้ง ๔ คนนั้น แต่เดิมทีเป็นผู้มีทรัพย์สมบัติมาก
แต่มีความประมาท และโง่เขลา ทั้งๆ ที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมาในโลก
และเสด็จมาโปรดประชาชนยังบ้านเมืองของตน แทนที่พวกเขาจะมีใจเลื่อมใสรีบขวนขวายประกอบการกุศล
เช่นคนทั้งหลายอื่น กลับมีน้ำใจชั่วช้าคิดดูหมิ่นในบุญ ประกอบแต่กรรมชั่วต่างๆนานา
ครั้นตายไปจึงต้องตกนรกอเวจีและโลหกุมภี ครั้นไปเกิดเป็นสัตว์นรกได้รับความทุกข์ทรมานหนักๆเข้า
จึงได้รู้สึกสำนึกตน แต่การที่พวกเขาเพิ่งมาสำนึกตน และได้แต่พร่ำบ่นรำพันอยู่ในนรกนั้น มันก็สายไปเสียแล้ว

ส่วนพวกเราที่ยังมีชีวิตอยู่ขณะนี้ ยังไม่สายเกินไป สำหรับการกลับตัวกลับใจ
อดีตที่ผ่านไปแล้วเราไม่สามารถ ทำอะไรได้ แต่ปัจจุบันเราสามารถเปลี่ยนตัวเองเป็นคนดีได้
หากเคยทำความชั่วก็จงกลับตัวกลับใจ แล้วเร่งรีบประกอบ คุณงามความดี อันเป็นบุญเป็นกุศลไว้ให้มากๆ
เพราะกุศลกรรมความดีที่เราทำไว้ในวันนี้จะช่วยส่งผลให้เราพบแต่ความสุข ไม่ว่าโลกนี้ หรือโลกหน้า
แต่ถ้ายังมีจิตใจชั่ว เกิดความมัวเมาประมาท พลาดพลั้งกระทำแต่อกุศลกรรมอยู่เนืองๆ โดยไม่นึกถึงวันตายเลย
กรรมชั่วที่ทำไว้นี้ก็จะส่งผล ให้เราเจอแต่ความทุกข์ทรมานอยู่ร่ำไป

ปัจจุบันมีคนจำนวนมากที่ไม่กลัวบาปกรรม มัวแต่เพลิดเพลินกับความสุขเพียงเล็กน้อย มีกิ๊ก ดื่มเหล้าเคล้า นารี
ทำผิลศีลธรรมต่างๆนานา สิ่งเหล่านี้หากคิดพิจารณาให้ดีจะเห็นว่ามันสร้างความทุกข์ให้กับตัวเองทั้งในชาตินี้
และชาติต่อไป ฉะนั้น คนที่ดำเนินชีวิตเช่นนี้ จงกลับตัวกลับใจ และนำตัวเองออกจากขุมนรกตั้งแต่วันนี้ดีกว่า
ก่อนที่จะสายเกินไป

จากหนังสือธรรมลีลา


Create Date : 11 มิถุนายน 2552
Last Update : 11 มิถุนายน 2552 22:00:43 น. 0 comments
Counter : 1143 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.