|
คนใจดี (ท.เลียงพิบูลย์)
คนใจดี โดย ท.เลียงพิบูลย์ จากหนังสือกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๒
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๕ ข้าพเจ้าได้พบกับชายหนุ่มชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง ซึ่งเดินทางมาจากบ้านเกิดเมืองนอนเข้าสู่ประเทศไทย ชายหนุ่มผู้นี้ชอบพูดภาษาไทยกับข้าพเจ้า และรู้สึกว่าแกชอบภาษาไทยมาก นอกจากภาษาเดิมของแกแล้วยังพูดภาษาอังกฤษได้บ้างไม่มากนัก
เราจึงสนทนากันเป็นภาษาไทย ข้าพเจ้าถามแกว่า แกเรียนภาษาไทยมาจากไหน พอมาถึงก็อยากจะพูดไทยทั้งที่ไม่เคยมาเมืองหลวงเลย แกยิ้มอย่างภาคภูมิใจบอกว่าเรียนมาจากเมืองญี่ปุ่น แม้แกจะพูดไทยแต่สำเนียงของแกเป็นญี่ปุ่น ฟังดูแล้วกว่าจะจับใจความได้แต่ละประโยค ข้าพเจ้าก็ต้องเหนื่อยใจ แต่เห็นว่าแกมีใจศรัทธา สนใจในภาษาไทย ข้าพเจ้าก็ยินดีทนฟังจนรู้เรื่องโดยตลอด
เมื่อคิดถึงคำพูดและสำเนียงที่เข้าใจยาก ทำให้ข้าพเจ้าหวนไปนึกถึงเมื่อข้าพเจ้ากับพวกเพื่อน ๗-๘ คน เดินทางโดยรถยนต์ออกจากกรุงเทพฯ เข้าไปท่องเที่ยวในดินแดนอินโดจีน เริ่มทางเข้าทางอรัญประเทศ ไปประเทศเขมร ท่องเที่ยวชมนครวัด ตลอดจนเข้าไปในประเทศเวียดนามใต้ เวลานั้นโงดินห์เดียมยังเป็นประธานาธิบดี แม้ญวนจะถูกแบ่งแยกเป็นฝ่ายเหนือใต้แล้วก็ตาม แต่เหตุการณ์ในสมัยนั้นก็อยู่ในความสงบปกติ การเดินทางท่องเที่ยวก็สะดวกและปลอดภัย
ครั้งนั้นพวกเราเดินทางจากไซ่ง่อนไปดาลัต ซึ่งเป็นเมืองอยู่บนเขา มีอากาศหนาวเย็นตลอดปี ผู้นำทางบอกเราว่า ควรจะแวะระหว่างทาง เพื่อเยี่ยมหมู่บ้านเผ่าไทยที่อยพยพหนีพวกแดง มาจากแคว้นดินแดนสิบสองจุไทย ข้าพเจ้ามีความยินดีเพราะเคยสนใจเผ่าไทยนอกประเทศมานานแล้ว อยากจะพบปะสนทนาศึกษาหาความรู้ เมื่อเราไปถึงลงจากรถมองเห็นหมู่บ้านในบริเวณนั้น ก็นึกรู้ว่าเป็นคนเผ่าไทยแน่ เพราะการแต่งกายและกิริยาท่าทางที่เดินที่พูดไม่กระด้าง ผู้หญิงก็มีแต่ความนิ่มนวล เหมือนนิสัยชาวไทยเราสมัยก่อนทั่วไป
ผู้นำทางพาพวกเราเข้าไปในเขตบ้านหลังใหญ่ ผู้เป็นหัวหน้าเผ่าไทย ผู้เป็นนายหมู่บ้าน เราใช้ภาษาไทยทักทายพูดกันเป็นครั้งแรกที่เห็นหัวหน้าเผ่าไทย พร้อมทั้งภรรยาและบุตรชายหญิงเดินยิ้มแย้ม ออกมาต้อนรับเราด้วยความยินดี และเชิญให้เข้าไปในบ้านด้วยความไมตรี เราพยายามใช้คำไทยในการสนทนาก็รู้สึกว่า คำพูดไม่ค่อยจะถูก ยังไม่ค่อยจะเข้าใจกันมากนัก แต่เมื่อสนทนากันไปได้ไม่นานนักก็พอจะพูดกันรู้เรื่องดี แม้จะต้องเอาภาษาต่างประเทศเข้าช่วยบ้าง เพราะพวกเราที่ไปนั้นคนไทยล้วน แต่บางท่านก็รู้หลายภาษา
หัวหน้าเผ่าไทยรูปร่างสูงใหญ่ ผิวเนื้อขาว ส่วนภรรยารูปร่างเอวบางร่างเล็ก ต่างให้ความสนิทสนมเป็นกันเอง บางคำที่แกพูดใช้สำเนียงไทยได้ชัดเจนดี และก็มีบางคำที่ตัว ร. ออกเสียงเป็น ฮ. คล้ายกับภาคเหนือและภาคอีสานของเรา แต่มีคำที่ชัดเจน เช่น หัว หู ปาก คอ แขน ขา เป็นต้น เห็นจะเป็นคำดั้งเดิมของเผ่าไทยมาแต่โบราณ ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปตามท้องถิ่นและประเทศที่อยู่
การต้อนรับพวกเราก็คล้ายกับคนไทยรุ่นเก่า หรือชาวชนบททั่วไปในประเทศไทย พอรู้ว่าเราเป็นคนไทยบางกอกก็แสดงความยินดีเป็นกันเอง คำว่าไทยบางกอกเป็นคำเก่าแก่ จึงเข้าใจกันง่ายในต่างประเทศ ไม่ต้องอธิบายให้เหนื่อยว่าบางกอกอยู่ที่ไหน
หัวหน้าเผ่าไทยบอกว่าเคยได้ยินชื่อไทยบางกอกก่อนแล้วว่า เป็นเมืองที่ใหญ่โตและสวยงามมาก มีผู้คนมากมาย และได้เล่าให้ฟังว่า บรรพบุรุษเคยเป็นขุนนางจีนมาก่อนและแกบอกว่าแกมีบุตรชายหญิง และเวลานี้บุตรชายยังศึกษาอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ส่วนตัวแกนั้นพูดภาษาฝรั่งเศสได้ดี นอกจากนั้น ยังเล่าเรื่องถิ่นเดิมของแคว้นสิบสองจุไทยไลเจาและลางเซิง ที่ได้ถูกพวกแดงเข้ารุกรานอย่างป่าเถื่อน ไม่มีมนุษยธรรม โหดร้ายทารุณต่อเผ่าไทยผู้รักสงบและความอิสระ ตัวแกเป็นหัวหน้าคุมพวกไทยอาสาสมัครเข้าต่อสู้ เพื่อดินแดนที่แสนรักและแสนหวงกับผู้รุกรานอย่างทรหด น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ทั้งอาวุธที่ทันสมัยก็มีไม่พอจะใช้ต่อต้านผู้บุกรุก ที่สุดชาวไทยซึ่งมีกำลังน้อยกว่าก็พ่ายแพ้แก่พวกแดง ซึ่งมีกำลังพลมากกว่าและอาวุธดีกว่า
พวกแดงมีความโกรธแค้นมาก เพราะแกเป็นหัวหน้าเผ่าที่เข้มแข็งไม่ยอมอ่อนน้อม จึงพาทหารออกตามล่าตัว แกจึงจำเป็นตัดสินใจครั้งสุดท้าย พาครอบครัวขึ้นเครื่องบินเข้ามาในดินแดนเวียดนามใต้ พร้อมทั้งบริวารที่ติดตามมาภายหลังอีกห้าสิบหกสิบหลังคาเรือน แกพูดแล้วก็มีความเสียใจ แสนรักแสนอาลัยชาวไทยที่ได้ร่วมสู้รบกันมาเพื่ออิสระ ต้องแตกพ่ายแยกกันหลบหนีไปคนละทิศคนละทาง แกเศร้าถึงชะตากรรมของชาวไทยสิบสองจุไทย ร่วมสู้รบจำนวนแสน ต้องอยู่ในถิ่นเดิมตกอยู่ในความยึดครองของพวกแดง คงจะตกเป็นทาสงานอย่างน่าสงสาร พวกเราได้ยินได้ฟังเรื่องจากหัวหน้าเผ่าไทย ซึ่งเคยเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในดินแดนสิบสองจุไทยครั้งอดีตก็เศร้าใจ พลอยมีความสงสารชาวไทย ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะสิ้นชะตากรรม แต่ก็นึกว่าโลกย่อมเป็นธรรมเสมอ ผลสุดท้ายธรรมะย่อมชนะพวกอธรรมก็ค่อยรู้สึกสบายใจขึ้น
การที่ข้าพเจ้าได้สนทนากับหัวหน้าเผ่าในครั้งนั้น ไม่เหนื่อยใจเหมือนการสนทนากับหนุ่มชาวอาทิตย์อุทัยประเทศผู้นี้เลย ที่สุดก็จับใจความได้ว่าหนุ่มญี่ปุ่นผู้นี้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า อาผู้เป็นน้องของพ่อได้เคยเป็นทหารในกองทัพญี่ปุ่น เวลาสงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้ถูกส่งมาประเทศไทย และมีหน้าที่ควบคุมเชลยศึกทั้งฝรั่งและแขก โดยบังคับให้สร้างทางรถไฟสายมรณะที่บ้านโป่งและเมืองกาญจนบุรี อาของแกเล่าให้ฟังว่า เมื่อแรกๆ พวกทหารลูกพระอาทิตย์โกรธพวกชาวบ้านและคนไทยมาก ที่ชอบแอบเอาขนมและผลไม้ไปให้พวกเชลย แต่มีคนไทยบางพวกชอบหากินกับพวกเชลย ทำการแลกเปลี่ยนซื้อขาย จนพวกเชลยไม่มีอะไรเหลือพันกาย แต่คนไทยส่วนมากมีใจเมตตากรุณา เมื่อเห็นพวกเชลยศึกหิวผอมโซได้รับความลำบากทำงานหนักก็มีความสงสาร จึงเอาของแอบให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เช่น พวกคนไทยที่ขึ้นรถไฟผ่านไปมา มองเห็นเชลยทำงานอยู่ข้างทางรถไฟ ต้องอยู่กลางแดดที่ร้อนจัด ตัวแดงจนดำเพราะไม่มีเสื้อผ้าใส่ ต่างก็มีใจสงสาร พวกเชลยนี้อดอยาก เมื่อเห็นคนไทยโดยสารรถไฟผ่านไปผ่านมา โผล่หน้าต่างรถไฟดูพวกเชลยยกมือสองนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากแล้วก็แบมือ
คนที่อยู่บนรถไฟก็รู้ความหมายดี เมื่อรถชะลอค่อยๆ ผ่าน พวกไทยใจบุญ ขี้สงสารต่างก็แอบโยนสิ่งของโดยไม่ให้พวกผู้คุมทหารญี่ปุ่นเห็น ทั้งไม่หวังสิ่งใดเป็นเครื่องตอบแทน พวกทหารญี่ปุ่นที่คอยควบคุมรู้ก็มีความโกรธมาก คิดว่าคนไทยชอบเป็นมิตรกับพวกเชลยมากกว่าเป็นมิตรกับชาวญี่ปุ่น ต่างก็เป็นเดือดเป็นแค้น เพราะเข้าใจว่าประชาชนไม่ยอมร่วมมือกับกองทัพญี่ปุ่น กลับพยายามช่วยเหลือพวกเชลย
เหตุการณ์อะไรในโลกนี้ย่อมจะเปลี่ยนแปลงไปได้ ไม่มีอะไรแน่นอน ทหารญี่ปุ่นซึ่งชนะสงครามตอนแรกๆ แต่ที่สุดก็ต้องแพ้สงครามอย่างราบคาบ ทหารญี่ปุ่นในประเทศไทยก็ถูกฝ่ายชนะเข้ามาปลดอาวุธ และควบคุมกลับเปลี่ยนเป็นเชลยศึกบ้าง
อาของแกก็ตกเป็นเชลยศึกอยู่ในประเทศไทย ต้องทำงานหนักได้รับความลำบาก ต้องมีความอดทนและอดอยาก แม้บุหรี่ตัวเดียวก็ต้องแบ่งกันสูบหลายคน แต่แล้วก็ได้อาศัยชาวไทยผู้ใจดีได้หยิบยื่นทั้งผลไม้ อาหารข้าวปลา โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน อาของแกจึงรู้ว่าคนไทยส่วนมากเป็นคนใจบุญ มีเมตตากรุณา เมื่อได้เห็นคนตกทุกข์ได้ยากอยู่ในความลำบาก ไม่ว่าเป็นชาติใด ภาษาใด ศาสนาใดก็ช่วยเหลือด้วยจิตใจบริสุทธิ์
ต่อมาเมื่อคู่สงครามลงนามตกลงทำสัญญาสงบศึก ยุติการทำสงครามทั้งสองฝ่าย อาของแกก็ถูกปล่อยส่งกลับไปสู่บ้านเดิมในประเทศญี่ปุ่น เมื่อได้พบญาติพี่น้องก็ดีใจ เมื่อลูกหลานถามถึงชีวิตในเมืองไทยแกก็เล่าให้ฟัง ทำให้ลูกหลานหลายคนอยากมาเมืองไทย
ตัวชายหนุ่มก็เป็นหลานคนหนึ่งที่ฝันถึงคนไทยเมืองไทยตลอดมา จึงได้อุตส่าห์พยายามเรียนพูดไทยกับชาวญี่ปุ่น ผู้ที่เคยมาอยู่เมืองไทยมาก่อน จนได้มีโอกาสเดินทางมาเมืองไทยคราวนี้ ความเมตตาสงสารของคนไทยในคราวนั้นทำให้พวกเชลยศึก ทั้งฝรั่งและญี่ปุ่นซาบซึ้งในน้ำใจอันดี ในความเมตตาจิตแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก จนเป็นที่ประทับใจอยู่ในความทรงจำของพวกเชลยทั้งสองฝ่าย
เรื่องความใจดียังมีอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าได้ฟังจากท่านผู้หนึ่ง ท่านผู้นั้นเล่าให้ฟังว่า คุณป้าของท่านอยู่จังหวัดทางใต้ ซึ่งมีรถไฟผ่านแต่ไม่ห่างไกลจากพระนครมากนัก คุณป้าเป็นคนใจบุญ และมีความขยันขันแข็งแม้จะเป็นผู้มีอันจะกิน แต่ไม่ชอบอยู่นิ่งหรืออยู่กับบ้านเฉยๆ เป็นคนอยู่ไม่สุขแต่ก็ไม่รู้จะทำอะไรดี จึงคิดทำขนมถ้วยจากบ้านแล้วหาบออกมาขาย และชอบมานั่งขายข้างที่ทำการศาลากลางประจำจังหวัดเสมอ เวลานั้นทางการเขาจ่ายนักโทษออกไปทำงานนอกเรือนจำ มีการถางหญ้า ตัดต้นไม้ ทำความสะอาดสถานที่ราชการเป็นประจำ คุณป้าหาบขนมขาย เห็นนักโทษทำงานหนักก็มีใจสงสาร เมื่อถึงเวลานักโทษหยุดพัก ก็นำขนมถ้วยมาแจกจ่ายให้นักโทษพวกนั้นกินโดยไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน ทั้งไม่ห่วงว่าจะขาดทุนหรือได้กำไร คิดแต่เพียงว่าการได้บริจาคขนมให้พวกนักโทษกินในเวลาหิว และมีความลำบากเช่นนี้ย่อมเป็นบุญกุศลในการบริจาคทานเหมือนกัน
การที่คุณป้าได้บริจาคขนมให้ทานให้แก่นักโทษบ่อยครั้ง ทำให้นักโทษมีความรักใคร่นับถือเพราะความใจดี พากันเรียกว่า "คุณแม่" และคุณป้าก็เป็นสุขทางใจ เมื่อได้เห็นนักโทษผู้น่าสงสารได้กินขนมที่บริจาคอย่างหิวกระหาย
ต่อมาคืนหนึ่ง ทางจังหวัดถูกโจมตีด้วยเครื่องบิน เพราะเป็นเวลาสงครามโลกครั้งที่ ๒ ทางเรือนจำถูกระเบิด กำแพงพังไปแถบหนึ่ง ทำให้นักโทษมีโอกาสหลบหนีออกมาได้ และแฝงความมืดพากันหลบซ่อนตัวอย่างมิดชิดในเวลากลางวัน
แม้พวกพนักงานผู้คุมเรือนจำจะได้พากันเที่ยวติดตามค้นหา เพื่อจะได้นำตัวเข้าสู่เรือนจำแต่ก็ค้นไม่พบ พอตกเวลากลางคืนพวกนักโทษก็ออกมาพากันตัดช่องย่องเบา ลักขโมยของชาวบ้าน และพวกเจ้าทรัพย์ก็พากันนอนอย่างสลบไสล ตลอดทั้งสุนัขที่เลี้ยงไม่เห่า เพราะหลับคล้ายกับถูกมนต์สะกดหรือยารม ชาวบ้านแถวนั้นถูกลักของไปแทบทุกหลังคาเรือน
แต่ที่น่าอัศจรรย์ก็เพราะมีแต่บ้านคุณป้าผู้ขายขนมถ้วยบ้านเดียว ที่ไม่มีของสิ่งใดหาย ชาวบ้านที่รู้จักคุ้นเคยต่างก็พากันประหลาดใจ คิดว่าคุณป้าคงจะมีของดีทำให้พวกผู้ร้ายจังงัง ไม่กล้าหยิบของไปได้ ทั้งที่คุณป้าก็ถูกตัดรั้วสังกะสีพอตัวคนจะลอดเข้าไปในบ้าน และในห้องซึ่งมีของหลายอย่าง ที่มีราคาที่ผู้ร้ายควรจะลักขโมยเอาไปได้ แต่ก็ไม่ได้เอาอะไรไป
ชาวบ้านพากันสงสัยถามคุณป้าว่า มีของดีอะไรป้องกันหรือมีคาถาอาคมดีจึงป้องกันภัยจากโจรผู้ร้ายได้ คุณป้าได้แต่ยิ้มแล้วพูดว่า ไม่มีของดีหรือคาถาอาคมที่จะป้องกันโจรภัยได้ นอกจากใจของเราที่ได้แผ่เมตตาจิตเท่านั้น
ต่อมาเมื่อทางการเห็นชาวบ้านได้รับความลำบากเดือดร้อน เพราะผู้ร้ายชุกชุม ทางการก็ได้ระดมพวกเจ้าหน้าที่จำนวนมาก พร้อมกันออกกวาดล้างเป็นการใหญ่ ได้จับกุมพวกนักโทษหนีคุก กลับเข้าไปรับกรรมเพิ่มโทษได้หลายคน การที่บ้านของคุณป้าไม่ถูกโจรกรรมเหมือนบ้านอื่น มาทราบภายหลังว่าพวกนักโทษหัวขโมยตัดช่องย่องเบาเหล่านั้น พอตัดรั้วสังกะสีบ้านคุณป้าลอดเข้าไปถึงในบ้านได้ เมื่อเห็นของมีราคาหลายอย่างก็ดีใจ จัดแจงหยิบใส่ถุงผ้าเตรียมไว้แล้ว เพื่อจะนำออกจากบ้าน แต่ไม่ลืมจะแวะเข้าไปในครัวเพื่อจะได้อาหารติดมือไปด้วย แต่พอโผล่เข้าไปก็พบสาแหรก ไม้คานหาบกระจาด และถ้วยทำขนม พอจำได้ก็ชะงัก นึกถึงบุญคุณของคุณป้าผู้ใจดีเคยให้ขนมถ้วยกินเมื่อยามยากยามหิว แม้ว่าตัวเองจะเป็นคนใจชั่วก็ยังมีความกตัญญูเหลืออยู่บ้าง จ้องดูหาบขนมถ้วยแล้วน้ำตาไหล พูดพึมพำออกมาว่า
"แม่จ๋า ลูกไม่รู้ว่าแม่อยู่ที่นี่ แม้ลูกจะเป็นคนชั่วอย่างไร เมื่อรู้ว่าเป็นของแม่แล้ว ลูกจะไม่ขอแตะต้องเป็นอันขาด" พูดแล้วก็รีบนำสิ่งของที่ตั้งใจขโมยกลับไปไว้ที่เดิม แล้วก็รีบถอยออกจากบ้านไปโดยเร็ว นี่ก็ชี้ให้เห็นว่า คนชั่วก็ยังมีเวลาที่จะนึกถึงความดีของผู้มีคุณไว้บ้าง เป็นเรื่องที่น่าคิด
.......................... เอวัง ..........................
เธอเป็นเพียงแม่ค้าขายขนม แต่จิตใจน่านิยมสมศักดิ์ศรี พวกต้องโทษเรียกแม่เพราะความดี เพราะเธอมีเมตตาชอบทำทาน ผลจิตใจปรานีที่ทำไว้ โจรกลับใจไม่ทำร้ายและหักหาญ ยิ่งได้เห็นหาบขนมกับไม้คาน คือสิ่งผสานหยุดใจไม่ขโมย
ท.เลียงพิบูลย์
ที่มา : //www.dhammajak.net
Create Date : 12 พฤษภาคม 2553 |
Last Update : 13 พฤษภาคม 2553 9:28:32 น. |
|
2 comments
|
Counter : 792 Pageviews. |
|
|
|
โดย: นนนี่มาแล้ว วันที่: 16 พฤษภาคม 2553 เวลา:23:05:41 น. |
|
|
|
|
|
|
|