Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2553
 
12 พฤษภาคม 2553
 
All Blogs
 
คนใจดี (ท.เลียงพิบูลย์)

ธรรมะ
คนใจดี โดย ท.เลียงพิบูลย์
จากหนังสือกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๒


เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๕ ข้าพเจ้าได้พบกับชายหนุ่มชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง
ซึ่งเดินทางมาจากบ้านเกิดเมืองนอนเข้าสู่ประเทศไทย ชายหนุ่มผู้นี้ชอบพูดภาษาไทยกับข้าพเจ้า
และรู้สึกว่าแกชอบภาษาไทยมาก นอกจากภาษาเดิมของแกแล้วยังพูดภาษาอังกฤษได้บ้างไม่มากนัก

เราจึงสนทนากันเป็นภาษาไทย ข้าพเจ้าถามแกว่า แกเรียนภาษาไทยมาจากไหน
พอมาถึงก็อยากจะพูดไทยทั้งที่ไม่เคยมาเมืองหลวงเลย แกยิ้มอย่างภาคภูมิใจบอกว่าเรียนมาจากเมืองญี่ปุ่น
แม้แกจะพูดไทยแต่สำเนียงของแกเป็นญี่ปุ่น ฟังดูแล้วกว่าจะจับใจความได้แต่ละประโยค ข้าพเจ้าก็ต้องเหนื่อยใจ
แต่เห็นว่าแกมีใจศรัทธา สนใจในภาษาไทย ข้าพเจ้าก็ยินดีทนฟังจนรู้เรื่องโดยตลอด

เมื่อคิดถึงคำพูดและสำเนียงที่เข้าใจยาก ทำให้ข้าพเจ้าหวนไปนึกถึงเมื่อข้าพเจ้ากับพวกเพื่อน ๗-๘ คน
เดินทางโดยรถยนต์ออกจากกรุงเทพฯ เข้าไปท่องเที่ยวในดินแดนอินโดจีน เริ่มทางเข้าทางอรัญประเทศ
ไปประเทศเขมร ท่องเที่ยวชมนครวัด ตลอดจนเข้าไปในประเทศเวียดนามใต้
เวลานั้นโงดินห์เดียมยังเป็นประธานาธิบดี แม้ญวนจะถูกแบ่งแยกเป็นฝ่ายเหนือใต้แล้วก็ตาม
แต่เหตุการณ์ในสมัยนั้นก็อยู่ในความสงบปกติ การเดินทางท่องเที่ยวก็สะดวกและปลอดภัย

ครั้งนั้นพวกเราเดินทางจากไซ่ง่อนไปดาลัต ซึ่งเป็นเมืองอยู่บนเขา มีอากาศหนาวเย็นตลอดปี ผู้นำทางบอกเราว่า
ควรจะแวะระหว่างทาง เพื่อเยี่ยมหมู่บ้านเผ่าไทยที่อยพยพหนีพวกแดง มาจากแคว้นดินแดนสิบสองจุไทย
ข้าพเจ้ามีความยินดีเพราะเคยสนใจเผ่าไทยนอกประเทศมานานแล้ว อยากจะพบปะสนทนาศึกษาหาความรู้
เมื่อเราไปถึงลงจากรถมองเห็นหมู่บ้านในบริเวณนั้น ก็นึกรู้ว่าเป็นคนเผ่าไทยแน่
เพราะการแต่งกายและกิริยาท่าทางที่เดินที่พูดไม่กระด้าง
ผู้หญิงก็มีแต่ความนิ่มนวล เหมือนนิสัยชาวไทยเราสมัยก่อนทั่วไป

ผู้นำทางพาพวกเราเข้าไปในเขตบ้านหลังใหญ่ ผู้เป็นหัวหน้าเผ่าไทย ผู้เป็นนายหมู่บ้าน
เราใช้ภาษาไทยทักทายพูดกันเป็นครั้งแรกที่เห็นหัวหน้าเผ่าไทย พร้อมทั้งภรรยาและบุตรชายหญิงเดินยิ้มแย้ม
ออกมาต้อนรับเราด้วยความยินดี และเชิญให้เข้าไปในบ้านด้วยความไมตรี
เราพยายามใช้คำไทยในการสนทนาก็รู้สึกว่า คำพูดไม่ค่อยจะถูก ยังไม่ค่อยจะเข้าใจกันมากนัก
แต่เมื่อสนทนากันไปได้ไม่นานนักก็พอจะพูดกันรู้เรื่องดี แม้จะต้องเอาภาษาต่างประเทศเข้าช่วยบ้าง
เพราะพวกเราที่ไปนั้นคนไทยล้วน แต่บางท่านก็รู้หลายภาษา

หัวหน้าเผ่าไทยรูปร่างสูงใหญ่ ผิวเนื้อขาว ส่วนภรรยารูปร่างเอวบางร่างเล็ก ต่างให้ความสนิทสนมเป็นกันเอง
บางคำที่แกพูดใช้สำเนียงไทยได้ชัดเจนดี และก็มีบางคำที่ตัว ร. ออกเสียงเป็น ฮ.
คล้ายกับภาคเหนือและภาคอีสานของเรา แต่มีคำที่ชัดเจน เช่น หัว หู ปาก คอ แขน ขา เป็นต้น
เห็นจะเป็นคำดั้งเดิมของเผ่าไทยมาแต่โบราณ ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปตามท้องถิ่นและประเทศที่อยู่

การต้อนรับพวกเราก็คล้ายกับคนไทยรุ่นเก่า หรือชาวชนบททั่วไปในประเทศไทย
พอรู้ว่าเราเป็นคนไทยบางกอกก็แสดงความยินดีเป็นกันเอง
คำว่าไทยบางกอกเป็นคำเก่าแก่ จึงเข้าใจกันง่ายในต่างประเทศ ไม่ต้องอธิบายให้เหนื่อยว่าบางกอกอยู่ที่ไหน

หัวหน้าเผ่าไทยบอกว่าเคยได้ยินชื่อไทยบางกอกก่อนแล้วว่า เป็นเมืองที่ใหญ่โตและสวยงามมาก มีผู้คนมากมาย
และได้เล่าให้ฟังว่า บรรพบุรุษเคยเป็นขุนนางจีนมาก่อนและแกบอกว่าแกมีบุตรชายหญิง
และเวลานี้บุตรชายยังศึกษาอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ส่วนตัวแกนั้นพูดภาษาฝรั่งเศสได้ดี
นอกจากนั้น ยังเล่าเรื่องถิ่นเดิมของแคว้นสิบสองจุไทยไลเจาและลางเซิง ที่ได้ถูกพวกแดงเข้ารุกรานอย่างป่าเถื่อน
ไม่มีมนุษยธรรม โหดร้ายทารุณต่อเผ่าไทยผู้รักสงบและความอิสระ
ตัวแกเป็นหัวหน้าคุมพวกไทยอาสาสมัครเข้าต่อสู้ เพื่อดินแดนที่แสนรักและแสนหวงกับผู้รุกรานอย่างทรหด
น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ทั้งอาวุธที่ทันสมัยก็มีไม่พอจะใช้ต่อต้านผู้บุกรุก
ที่สุดชาวไทยซึ่งมีกำลังน้อยกว่าก็พ่ายแพ้แก่พวกแดง ซึ่งมีกำลังพลมากกว่าและอาวุธดีกว่า

พวกแดงมีความโกรธแค้นมาก เพราะแกเป็นหัวหน้าเผ่าที่เข้มแข็งไม่ยอมอ่อนน้อม จึงพาทหารออกตามล่าตัว
แกจึงจำเป็นตัดสินใจครั้งสุดท้าย พาครอบครัวขึ้นเครื่องบินเข้ามาในดินแดนเวียดนามใต้
พร้อมทั้งบริวารที่ติดตามมาภายหลังอีกห้าสิบหกสิบหลังคาเรือน แกพูดแล้วก็มีความเสียใจ
แสนรักแสนอาลัยชาวไทยที่ได้ร่วมสู้รบกันมาเพื่ออิสระ ต้องแตกพ่ายแยกกันหลบหนีไปคนละทิศคนละทาง
แกเศร้าถึงชะตากรรมของชาวไทยสิบสองจุไทย ร่วมสู้รบจำนวนแสน
ต้องอยู่ในถิ่นเดิมตกอยู่ในความยึดครองของพวกแดง คงจะตกเป็นทาสงานอย่างน่าสงสาร
พวกเราได้ยินได้ฟังเรื่องจากหัวหน้าเผ่าไทย ซึ่งเคยเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในดินแดนสิบสองจุไทยครั้งอดีตก็เศร้าใจ
พลอยมีความสงสารชาวไทย ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะสิ้นชะตากรรม
แต่ก็นึกว่าโลกย่อมเป็นธรรมเสมอ ผลสุดท้ายธรรมะย่อมชนะพวกอธรรมก็ค่อยรู้สึกสบายใจขึ้น

การที่ข้าพเจ้าได้สนทนากับหัวหน้าเผ่าในครั้งนั้น
ไม่เหนื่อยใจเหมือนการสนทนากับหนุ่มชาวอาทิตย์อุทัยประเทศผู้นี้เลย
ที่สุดก็จับใจความได้ว่าหนุ่มญี่ปุ่นผู้นี้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า อาผู้เป็นน้องของพ่อได้เคยเป็นทหารในกองทัพญี่ปุ่น
เวลาสงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้ถูกส่งมาประเทศไทย และมีหน้าที่ควบคุมเชลยศึกทั้งฝรั่งและแขก
โดยบังคับให้สร้างทางรถไฟสายมรณะที่บ้านโป่งและเมืองกาญจนบุรี
อาของแกเล่าให้ฟังว่า เมื่อแรกๆ พวกทหารลูกพระอาทิตย์โกรธพวกชาวบ้านและคนไทยมาก
ที่ชอบแอบเอาขนมและผลไม้ไปให้พวกเชลย แต่มีคนไทยบางพวกชอบหากินกับพวกเชลย
ทำการแลกเปลี่ยนซื้อขาย จนพวกเชลยไม่มีอะไรเหลือพันกาย แต่คนไทยส่วนมากมีใจเมตตากรุณา
เมื่อเห็นพวกเชลยศึกหิวผอมโซได้รับความลำบากทำงานหนักก็มีความสงสาร
จึงเอาของแอบให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เช่น พวกคนไทยที่ขึ้นรถไฟผ่านไปมา
มองเห็นเชลยทำงานอยู่ข้างทางรถไฟ ต้องอยู่กลางแดดที่ร้อนจัด ตัวแดงจนดำเพราะไม่มีเสื้อผ้าใส่
ต่างก็มีใจสงสาร พวกเชลยนี้อดอยาก เมื่อเห็นคนไทยโดยสารรถไฟผ่านไปผ่านมา
โผล่หน้าต่างรถไฟดูพวกเชลยยกมือสองนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากแล้วก็แบมือ

คนที่อยู่บนรถไฟก็รู้ความหมายดี เมื่อรถชะลอค่อยๆ ผ่าน
พวกไทยใจบุญ ขี้สงสารต่างก็แอบโยนสิ่งของโดยไม่ให้พวกผู้คุมทหารญี่ปุ่นเห็น
ทั้งไม่หวังสิ่งใดเป็นเครื่องตอบแทน พวกทหารญี่ปุ่นที่คอยควบคุมรู้ก็มีความโกรธมาก
คิดว่าคนไทยชอบเป็นมิตรกับพวกเชลยมากกว่าเป็นมิตรกับชาวญี่ปุ่น ต่างก็เป็นเดือดเป็นแค้น
เพราะเข้าใจว่าประชาชนไม่ยอมร่วมมือกับกองทัพญี่ปุ่น กลับพยายามช่วยเหลือพวกเชลย

เหตุการณ์อะไรในโลกนี้ย่อมจะเปลี่ยนแปลงไปได้ ไม่มีอะไรแน่นอน
ทหารญี่ปุ่นซึ่งชนะสงครามตอนแรกๆ แต่ที่สุดก็ต้องแพ้สงครามอย่างราบคาบ
ทหารญี่ปุ่นในประเทศไทยก็ถูกฝ่ายชนะเข้ามาปลดอาวุธ และควบคุมกลับเปลี่ยนเป็นเชลยศึกบ้าง

อาของแกก็ตกเป็นเชลยศึกอยู่ในประเทศไทย ต้องทำงานหนักได้รับความลำบาก ต้องมีความอดทนและอดอยาก
แม้บุหรี่ตัวเดียวก็ต้องแบ่งกันสูบหลายคน แต่แล้วก็ได้อาศัยชาวไทยผู้ใจดีได้หยิบยื่นทั้งผลไม้ อาหารข้าวปลา
โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน อาของแกจึงรู้ว่าคนไทยส่วนมากเป็นคนใจบุญ มีเมตตากรุณา
เมื่อได้เห็นคนตกทุกข์ได้ยากอยู่ในความลำบาก ไม่ว่าเป็นชาติใด ภาษาใด ศาสนาใดก็ช่วยเหลือด้วยจิตใจบริสุทธิ์

ต่อมาเมื่อคู่สงครามลงนามตกลงทำสัญญาสงบศึก ยุติการทำสงครามทั้งสองฝ่าย
อาของแกก็ถูกปล่อยส่งกลับไปสู่บ้านเดิมในประเทศญี่ปุ่น เมื่อได้พบญาติพี่น้องก็ดีใจ
เมื่อลูกหลานถามถึงชีวิตในเมืองไทยแกก็เล่าให้ฟัง ทำให้ลูกหลานหลายคนอยากมาเมืองไทย

ตัวชายหนุ่มก็เป็นหลานคนหนึ่งที่ฝันถึงคนไทยเมืองไทยตลอดมา
จึงได้อุตส่าห์พยายามเรียนพูดไทยกับชาวญี่ปุ่น ผู้ที่เคยมาอยู่เมืองไทยมาก่อน
จนได้มีโอกาสเดินทางมาเมืองไทยคราวนี้
ความเมตตาสงสารของคนไทยในคราวนั้นทำให้พวกเชลยศึก ทั้งฝรั่งและญี่ปุ่นซาบซึ้งในน้ำใจอันดี
ในความเมตตาจิตแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก จนเป็นที่ประทับใจอยู่ในความทรงจำของพวกเชลยทั้งสองฝ่าย

เรื่องความใจดียังมีอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าได้ฟังจากท่านผู้หนึ่ง
ท่านผู้นั้นเล่าให้ฟังว่า คุณป้าของท่านอยู่จังหวัดทางใต้ ซึ่งมีรถไฟผ่านแต่ไม่ห่างไกลจากพระนครมากนัก
คุณป้าเป็นคนใจบุญ และมีความขยันขันแข็งแม้จะเป็นผู้มีอันจะกิน แต่ไม่ชอบอยู่นิ่งหรืออยู่กับบ้านเฉยๆ
เป็นคนอยู่ไม่สุขแต่ก็ไม่รู้จะทำอะไรดี จึงคิดทำขนมถ้วยจากบ้านแล้วหาบออกมาขาย
และชอบมานั่งขายข้างที่ทำการศาลากลางประจำจังหวัดเสมอ
เวลานั้นทางการเขาจ่ายนักโทษออกไปทำงานนอกเรือนจำ มีการถางหญ้า ตัดต้นไม้
ทำความสะอาดสถานที่ราชการเป็นประจำ คุณป้าหาบขนมขาย เห็นนักโทษทำงานหนักก็มีใจสงสาร
เมื่อถึงเวลานักโทษหยุดพัก ก็นำขนมถ้วยมาแจกจ่ายให้นักโทษพวกนั้นกินโดยไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน
ทั้งไม่ห่วงว่าจะขาดทุนหรือได้กำไร คิดแต่เพียงว่าการได้บริจาคขนมให้พวกนักโทษกินในเวลาหิว
และมีความลำบากเช่นนี้ย่อมเป็นบุญกุศลในการบริจาคทานเหมือนกัน

การที่คุณป้าได้บริจาคขนมให้ทานให้แก่นักโทษบ่อยครั้ง
ทำให้นักโทษมีความรักใคร่นับถือเพราะความใจดี พากันเรียกว่า "คุณแม่"
และคุณป้าก็เป็นสุขทางใจ เมื่อได้เห็นนักโทษผู้น่าสงสารได้กินขนมที่บริจาคอย่างหิวกระหาย

ต่อมาคืนหนึ่ง ทางจังหวัดถูกโจมตีด้วยเครื่องบิน เพราะเป็นเวลาสงครามโลกครั้งที่ ๒
ทางเรือนจำถูกระเบิด กำแพงพังไปแถบหนึ่ง ทำให้นักโทษมีโอกาสหลบหนีออกมาได้
และแฝงความมืดพากันหลบซ่อนตัวอย่างมิดชิดในเวลากลางวัน

แม้พวกพนักงานผู้คุมเรือนจำจะได้พากันเที่ยวติดตามค้นหา เพื่อจะได้นำตัวเข้าสู่เรือนจำแต่ก็ค้นไม่พบ
พอตกเวลากลางคืนพวกนักโทษก็ออกมาพากันตัดช่องย่องเบา ลักขโมยของชาวบ้าน
และพวกเจ้าทรัพย์ก็พากันนอนอย่างสลบไสล ตลอดทั้งสุนัขที่เลี้ยงไม่เห่า
เพราะหลับคล้ายกับถูกมนต์สะกดหรือยารม ชาวบ้านแถวนั้นถูกลักของไปแทบทุกหลังคาเรือน

แต่ที่น่าอัศจรรย์ก็เพราะมีแต่บ้านคุณป้าผู้ขายขนมถ้วยบ้านเดียว ที่ไม่มีของสิ่งใดหาย
ชาวบ้านที่รู้จักคุ้นเคยต่างก็พากันประหลาดใจ คิดว่าคุณป้าคงจะมีของดีทำให้พวกผู้ร้ายจังงัง
ไม่กล้าหยิบของไปได้ ทั้งที่คุณป้าก็ถูกตัดรั้วสังกะสีพอตัวคนจะลอดเข้าไปในบ้าน
และในห้องซึ่งมีของหลายอย่าง ที่มีราคาที่ผู้ร้ายควรจะลักขโมยเอาไปได้ แต่ก็ไม่ได้เอาอะไรไป

ชาวบ้านพากันสงสัยถามคุณป้าว่า มีของดีอะไรป้องกันหรือมีคาถาอาคมดีจึงป้องกันภัยจากโจรผู้ร้ายได้
คุณป้าได้แต่ยิ้มแล้วพูดว่า
ไม่มีของดีหรือคาถาอาคมที่จะป้องกันโจรภัยได้ นอกจากใจของเราที่ได้แผ่เมตตาจิตเท่านั้น

ต่อมาเมื่อทางการเห็นชาวบ้านได้รับความลำบากเดือดร้อน เพราะผู้ร้ายชุกชุม
ทางการก็ได้ระดมพวกเจ้าหน้าที่จำนวนมาก พร้อมกันออกกวาดล้างเป็นการใหญ่
ได้จับกุมพวกนักโทษหนีคุก กลับเข้าไปรับกรรมเพิ่มโทษได้หลายคน
การที่บ้านของคุณป้าไม่ถูกโจรกรรมเหมือนบ้านอื่น
มาทราบภายหลังว่าพวกนักโทษหัวขโมยตัดช่องย่องเบาเหล่านั้น
พอตัดรั้วสังกะสีบ้านคุณป้าลอดเข้าไปถึงในบ้านได้ เมื่อเห็นของมีราคาหลายอย่างก็ดีใจ
จัดแจงหยิบใส่ถุงผ้าเตรียมไว้แล้ว เพื่อจะนำออกจากบ้าน
แต่ไม่ลืมจะแวะเข้าไปในครัวเพื่อจะได้อาหารติดมือไปด้วย แต่พอโผล่เข้าไปก็พบสาแหรก ไม้คานหาบกระจาด
และถ้วยทำขนม พอจำได้ก็ชะงัก นึกถึงบุญคุณของคุณป้าผู้ใจดีเคยให้ขนมถ้วยกินเมื่อยามยากยามหิว
แม้ว่าตัวเองจะเป็นคนใจชั่วก็ยังมีความกตัญญูเหลืออยู่บ้าง จ้องดูหาบขนมถ้วยแล้วน้ำตาไหล พูดพึมพำออกมาว่า

"แม่จ๋า ลูกไม่รู้ว่าแม่อยู่ที่นี่ แม้ลูกจะเป็นคนชั่วอย่างไร เมื่อรู้ว่าเป็นของแม่แล้ว ลูกจะไม่ขอแตะต้องเป็นอันขาด"
พูดแล้วก็รีบนำสิ่งของที่ตั้งใจขโมยกลับไปไว้ที่เดิม แล้วก็รีบถอยออกจากบ้านไปโดยเร็ว
นี่ก็ชี้ให้เห็นว่า คนชั่วก็ยังมีเวลาที่จะนึกถึงความดีของผู้มีคุณไว้บ้าง เป็นเรื่องที่น่าคิด


.......................... เอวัง ..........................


เธอเป็นเพียงแม่ค้าขายขนม
แต่จิตใจน่านิยมสมศักดิ์ศรี
พวกต้องโทษเรียกแม่เพราะความดี
เพราะเธอมีเมตตาชอบทำทาน
ผลจิตใจปรานีที่ทำไว้
โจรกลับใจไม่ทำร้ายและหักหาญ
ยิ่งได้เห็นหาบขนมกับไม้คาน
คือสิ่งผสานหยุดใจไม่ขโมย


ท.เลียงพิบูลย์


ที่มา : //www.dhammajak.net


Create Date : 12 พฤษภาคม 2553
Last Update : 13 พฤษภาคม 2553 9:28:32 น. 2 comments
Counter : 792 Pageviews.

 
อ่านแล้วประทับใจมากค่ะ อืม..โดยเฉพาะเรื่องแม่ค้าขนมถ้วย


โดย: angelina_jerry วันที่: 14 พฤษภาคม 2553 เวลา:16:01:21 น.  

 


โดย: นนนี่มาแล้ว วันที่: 16 พฤษภาคม 2553 เวลา:23:05:41 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.