Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2552
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
13 กรกฏาคม 2552
 
All Blogs
 
วิธีทำใจเมื่อใกล้ตาย

ข้อคิดธรรมะ,วิธีทำใจเมื่อใกล้ตาย

ในสมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว
ท่านพระมหากัจจายนะอาศัยอยู่ในป่าแห่งหนึ่งในชายแดนบ้านนอก
สมัยนั้น พระเจ้าอัสสกราชครองราชสมบัติในโปตลินคร แคว้นอัสสกะ พระราชกุมารพระนามว่า สุชาตะ
เป็นพระโอรสของอัครมเหสีของพระเจ้าอัสสกราช มีพระชนมายุได้ ๑๖ พรรษา
ออกจากเมือง เพราะยื้อแย่งราชสมบัติกับพระเทวีน้อย จึงเข้าป่า อาศัยอยู่กับพวกพรานในป่า

เล่ากันว่า พระราชกุมารนั้นเคยบวชเป็นภิกษุในสมัยพระพุทธเจ้า พระนามว่า กัสสปะ
ดำรงอยู่ในคุณเพียงแค่ศีล ได้ตายอย่างปุถุชน บังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้วท่องเที่ยวอยู่ในสุคตินั้น
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้ได้ ๓๐ พรรษา ได้บังเกิดในพระครรภ์ของอัครมเหสีของพระเจ้าอัสสกะ

เมื่อพระอัครมเหสีสิ้นพระชนม์ พระเจ้าอัสสกราชได้ตั้งพระเทวีองค์อื่นเป็นพระอัครมเหสี
ต่อมาพระนางได้ประสูติพระโอรส พระราชาทรงเอ็นดูโอรสของพระนาง
ได้ประทานพรให้พระนางถือเอาสิ่งที่ปรารถนา พระนางรับพรไว้ แต่ไม่ขอพรในทันที

เมื่อสุชาตกุมารมีชันษาได้ ๑๖ พรรษา พระนางอ้างถึงพรที่ประทานไว้ กราบทูลขอราชสมบัติให้แก่โอรสของตน
พระราชาทรงปฏิเสธ พระเทวียืนคำบ่อยๆ ก็ไม่อาจผูกพระทัยพระราชาได้

วันหนึ่ง พระเทวีกราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่เทวะ ถ้าพระองค์ยังดำรงอยู่ในสัจจะ ก็โปรดพระราชทานเถิด

พระราชาทรงเสียพระทัยที่นางพูดเช่นนี้ แต่ก็ทรงปฏิเสธไม่ได้

สุชาตกุมารทราบเรื่องก็ทูลลาไปอยู่ในป่า พระราชาไม่ทรงเห็นด้วย
แต่พระกุมารยืนยันว่าจะไป พระราชาจึงทรงอนุญาตทั้งน้ำพระเนตร


พระราชกุมารเข้าป่าอาศัยพวกพรานอยู่ วันหนึ่ง ไปล่าเนื้อ
เทพบุตรองค์หนึ่งเคยเป็นสหายกันในครั้งที่เขาเป็นสมณะ จำแลงรูปเป็นเนื้อมาล่อเขาด้วยความหวังดี
วิ่งไปใกล้ที่อยู่ของท่านพระมหากัจจายนะแล้วหายไป พระราชกุมารวิ่งไล่จับเนื้อตัวนั้นไป
จนถึงที่อยู่ของพระมหากัจจายนะ ไม่เห็นเนื้อ เห็นแต่พระมหากัจจายนะนั่งอยู่นอกบรรณศาลา
จึงได้ยืนถือธนูอยู่ในที่ใกล้พระมหากัจจายนะ

พระมหากัจจายนะทราบเรื่องของเขาทั้งหมด แต่ทำเป็นไม่รู้ เพื่อจะอนุเคราะห์เขา จึงถามเขาว่า
ท่านสะพายธนูซึ่งทำด้วยไม้แก่น อันมั่นคง ท่านเป็นใครหนอ

พระราชกุมารตรัสว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าชื่อ สุชาตะ เป็นโอรสของพระเจ้าอัสสกะ
เที่ยวลัดเลาะไปในป่าใหญ่แสวงหาหมู่เนื้อ ไม่เห็นเนื้อ เห็นแต่ท่าน จึงได้ยืนอยู่

พระมหากัจจายนะทูลว่า ท่านผู้มีบุญมาก การมาจากที่ไกลของท่านชื่อว่า มาดีแล้ว
ขอจงตักน้ำล้างเท้าของท่าน แล้วเชิญดื่มน้ำอันเย็นใสสะอาด และขอเชิญนั่งบนพื้นอันปูลาดไว้แล้วเถิด

พระราชกุมารตรัสว่า ข้าแต่พระมหามุนี วาจาของท่านช่างไพเราะ จับใจ มีแต่ประโยชน์
ท่านอยู่ในป่า ยินดีอะไร โปรดบอกทีเถิด

พระ มหากัจจายนะทูลว่า ดูก่อนพระราชกุมาร เราชอบการไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งปวง การไม่ลักขโมย
การไม่ประพฤติล่วงเกินทางกาม การไม่เสพของมึนเมา และชอบการไม่ทำบาป ความประพฤติสงบ
ความเป็นพหูสูต ความกตัญญู เพราะธรรมเหล่านี้วิญญูชนสรรเสริญ

จากนั้นพระมหากัจจายนะได้ตรวจ ด้วยอนาคตังสญาณ เห็นอายุของพระราชกุมารเหลืออีก ๕ เดือนเท่านั้น
เพื่อให้เขาสลดใจแล้วตั้งอยู่ในสัมมาปฏิบัติ จึงทูลว่า ดูก่อนพระราชกุมาร ความตายของท่านใกล้เข้ามาแล้ว
ท่านจักตายใน ๕ เดือน ขอท่านจงรู้แล้วรีบปลดเปลื้องตนเถิด

พระราชกุมารถามถึงอุบายหลุดพ้นว่า
ข้าพเจ้าพึงไปที่ไหน ทำการงานอะไร ทำกิจอะไรของบุรุษ หรือพึงเล่าเรียนวิชาอะไรหนอ จึงจะไม่แก่ ไม่ตาย

พระมหากัจจายนะ ทูลว่า ดูก่อนพระราชกุมาร ไม่มีสถานที่ใดที่สัตว์ไปแล้วจะไม่แก่ไม่ตาย
ไม่มีการงาน กิจของบุรุษ หรือวิชา ที่สัตว์กระทำหรือเล่าเรียนแล้วจะไม่แก่ไม่ตาย

ผู้มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก เป็นกษัตริย์ปกครองแว่นแคว้น มีทรัพย์และข้าวเปลือกมากมาย
ท่านเหล่านั้นจะไม่แก่ ไม่ตาย ก็หาไม่

ท่านที่มีเพลงอาวุธอันได้ศึกษาแล้ว แกล้วกล้า อาจหาญ สามารถประหารฝ่ายศัตรู
แม้ท่านเหล่านั้นก็ถึงความสิ้นอายุ จะดำรงยั่งยืนเหมือนพระอาทิตย์พระจันทร์ ก็หาไม่

กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร คนจัณฑาล คนขนขยะ และชนชาติอื่นๆ แม้คนเหล่านั้น จะไม่แก่ ไม่ตาย ก็หาไม่

ท่านที่เรียนมนต์พรหมจินดาอันมีองค์ ๖ ท่านที่เรียนวิชาอื่นๆ แม้ท่านเหล่านั้น จะไม่แก่ ไม่ตาย ก็หาไม่

อนึ่ง พวกฤาษีผู้สงบ สำรวมตน บำเพ็ญตบะ แม้ท่านเหล่านั้น ก็จำต้องละทิ้งร่างกายไปตามกาล

แม้พระอรหันต์ทั้งหลาย ผู้อบรมตนแล้ว เสร็จกิจแล้ว ไม่มีกิเลส สิ้นบุญและบาป ก็ยังต้องทอดทิ้งร่างกายนี้ไป

พระราชกุมารตรัสว่า
ข้าแต่พระมหามุนี ข้าพเจ้าโล่งใจเพราะวาจาอันท่านกล่าวดีแล้ว ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้าเถิด

พระเถระกล่าวว่า
ท่านอย่าถึงอาตมภาพเป็นที่พึ่งเลย จงถึงพระพุทธเจ้าผู้เป็นพระมหาบุรุษที่อาตมาถึงเป็นที่พึ่ง ว่าเป็นที่พึ่งเถิด

พระราชกุมารตรัสถามว่า พระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครูของท่าน เวลานี้ประทับอยู่ในชนบทไหน
ข้าพเจ้าจักไปเฝ้าพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้หาบุคคลเปรียบปานมิได้

พระเถระตอบว่า
พระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครู ทรงเป็นบุรุษอาชาไนย ประทับอยู่ทางทิศตะวันออก แต่พระองค์ปรินิพพานเสียแล้ว

พระราชกุมารตรัสว่า ถ้าพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครูของท่านพึงยังดำรงพระชนม์อยู่ไซร้
ถึงจะประทับอยู่ไกลพันโยชน์ ข้าพเจ้าก็จะไปเฝ้าให้จงได้ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว
ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าซึ่งเสด็จปรินิพพานแล้ว กับทั้งพระธรรมและพระสงฆ์สาวกเป็นที่พึ่ง
ข้าพเจ้าของดเว้นจากการฆ่าสัตว์และการลักขโมย ไม่ประพฤติล่วงเกินในทางกาม ไม่พูดเท็จ และไม่ดื่มน้ำเมา

เมื่อพระราชกุมารตั้งอยู่ในสรณะและศีลแล้ว พระเถระก็ทูลว่า ดูก่อนราชกุมาร ไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ในป่านี้
ท่านจักสิ้นพระชนม์ใน ๕ เดือน ฉะนั้น ท่านควรไปยังสำนักพระราชบิดาของท่าน
ทำบุญทั้งหลายมีทาน เป็นต้น พึงเป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า

จากนั้น พระเถระได้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุให้พระราชกุมาร

พระราชกุมารตรัสว่า ข้าพเจ้าจักไปตามคำของท่าน แม้ท่านก็พึงไปในที่นั้น เพื่ออนุเคราะห์ข้าพเจ้า

เมื่อพระเถระรับนิมนต์แล้ว พระราชกุมารก็ทำความเคารพ แล้วเสด็จกลับไปนครของพระบิดา
กราบทูลเรื่องราวให้ทรงทราบ

พระราชาทรงสดับแล้ว มีพระราชประสงค์จะอภิเษกให้พระราชกุมารครองราชสมบัติ

พระราชกุมารกราบทูลว่า ข้าพระองค์มีอายุน้อย อีก ๔ เดือนก็จักตาย
ประโยชน์อะไรด้วยราชสมบัติ ข้าพระองค์จักอาศัยพระองค์ทำบุญเท่านั้น

จากนั้นพระราชกุมารได้ตรัสสรรเสริญคุณของพระรัตนตรัย และคุณของพระมหากัจจายนะ

พระราชาสดับแล้วทรงเลื่อมใสในพระรัตนตรัยและพระเถระ
โปรดให้สร้างวิหารใหญ่แล้วทรงส่งทูตไปรับพระมหากัจจายนะ นิมนต์ให้เข้าวิหาร
บำรุงด้วยปัจจัยสี่โดยเคารพ ตั้งอยู่ในสรณะและศีล

พระราชกุมารสมาทานศีล บำรุงพระเถระและภิกษุทั้งหลายโดยความเคารพ ให้ทาน ฟังธรรม
ล่วงไปสี่เดือนก็สิ้นพระชนม์ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

..จาก (จูฬรถวิมานวัตถุ ๒๖/๖๓)





เรื่องของพระราชกุมารนี้ มีสาระที่ควรกล่าวถึง ดังนี้

*๑. คุณค่าของคนอยู่ที่ความดี สุชาตกุมารแม้อายุจะสั้น แต่มีโอกาสทำความดี เช่น ให้ทาน รักษาศีล ฟังธรรม
ก็ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ดีกว่าบุคคลประเภท โตเพราะกินข้าว เฒ่าเพราะเกิดนาน
ซึ่งแก่แค่อายุ ไม่แก่ด้วยคุณงามความดี ปล่อยให้ชีวิตล่วงเลยไปเปล่าๆ ไม่ได้สร้างความดีไว้เลย

*๒. พระมหากัจจายนะให้การต้อนรับอย่างดี ครบถ้วนด้วยธรรมและอามิส ทำให้สุชาตกุมารทรงเลื่อมใส
ในทางโลกก็เช่นกัน ห้างร้านใดให้การต้อนรับดี ลูกค้าก็มาอุดหนุนมาก
ดังนั้น การต้อนรับจึงเป็นเหตุอย่างหนึ่ง แห่งความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม

*๓. คนดีกับคนชั่วย่อมยินดีต่างกัน คนดีย่อมยินดีในศีลธรรม เห็นของเขาลืมทิ้งไว้ แม้มีโอกาสก็ไม่ลักขโมย
ส่วนคนชั่วย่อมตรงกันข้าม ของที่เขาเก็บซ่อนหรือรักษาไว้อย่างมั่นคงในบ้าน
ยังพยายามหาทางลักของเขาไปจนได้

*๔. ชีวิตคนเราไม่เที่ยง แม้เด็กก็อาจตายก่อนผู้ใหญ่ แม้ลูกก็อาจตายก่อนพ่อแม่
เพราะคนเราเมื่อเกิดมาแล้ว ก็แก่พอจะตายได้ทุกคน ดังนั้น จึงไม่ควรมัวเมาประมาทในชีวิตว่า เราจะอยู่ไปอีกนาน
เรายังไม่ตายง่ายๆ ควรใช้เวลาที่ยังเหลืออยู่ให้เป็นประโยชน์ อย่าปล่อยให้เวลาล่วงไปเปล่า
แต่ละวันจะน้อยหรือมากก็ให้ได้อะไรบ้าง

*๕. ทุกคนล้วนต้องตาย ไม่ใช่เราคนเดียว เมื่อความตายมาถึง ไม่มีทางหนีหรือป้องกันได้
การดิ้นรนขัดขืนมีแต่ทำให้ทุกข์ใจมากยิ่งขึ้น จึงควรยอมรับและเผชิญหน้ากับความตายอย่างมีสติ
วิธีทำใจก่อนจะไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น มีดังนี้

๕.๑ ละความห่วงใยในบุคคล
ต่างคนต่างเกิด ต่างคนต่างตาย ทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง การมาอยู่ร่วมกันในโลกนี้ก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น
เทียบได้กับจุดเล็กๆ จุดเดียวในสังสารวัฏอันหาที่สุดมิได้ เมื่อถึงเวลาทุกคนก็ไปตามยถากรรมของตน
แม้จะห่วงใย เราก็ต้องจากไปสู่โลกหน้าเพียงลำพัง ไม่อาจช่วยเหลือใครได้ จึงควรละความห่วงใยคนอื่นๆ เสีย


๕.๒ ละความห่วงใยในทรัพย์สิน
เมื่อเกิดก็มามือเปล่า เมื่อตายก็ไปมือเปล่า จะเอาทรัพย์สินติดตัวไปไม่ได้เลย
วัตถุต่างๆ เป็นของคู่โลกที่ถูกยืมมาใช้ชั่วคราว ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
ไม่ใช่สมบัติของเราหรือใครๆ จึงควรละความห่วงใยในทรัพย์สินเสีย

๕.๓ ลืมเรื่องเศร้าในอดีตเสีย
เพราะผ่านไปแล้วแก้ไขไม่ได้ และอย่ากังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง จะเป็นอย่างไรก็ช่าง
อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไป จงทำปัจจุบันให้ดี แล้วอนาคตย่อมดีไปเอง

๕.๔ ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย ด้วยความเลื่อมใสอันมั่นคง
เพราะเป็นที่พึ่งอันแท้จริง ทรัพย์สิน ญาติมิตร ... หาใช่ที่พึ่งอันแท้จริงไม่


๕.๕ รับศีลจากพระหรือสมาทานศีลด้วยตนเองว่า
“ข้าพเจ้า ขอสมาทานศีล ๕“ (สมาทาน = รับมาปฏิบัติ)


๕.๖ ระลึกถึงบุญกุศลหรือความดีที่เคยกระทำมา ก็จะเกิดปีติยินดี อิ่มใจ สุขใจ

๕. ๗ มีสติอยู่กับวิปัสสนากรรมฐาน
เช่น ระลึกว่า ไม่มีใครแก่ ไม่มีใครเจ็บ ไม่มีใครตาย ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น ต่างหาก มันแก่ มันเจ็บ มันตาย
นึกจนใจเป็นกลาง ไม่ยินดีต่อความเป็น ไม่กลัวต่อความตาย

เมื่อทำใจดังกล่าวมานี้ ได้ชื่อว่า ตายดี กล่าวคือ
๕.๑-๕.๖ ย่อมเป็นไปเพื่อสุคติ
ข้อ ๕.๗ ย่อมเป็นไป เพื่อมรรคผลนิพพาน

ด้วยความปรารถนาดีเพื่อคุณ

ที่มา //www.thaimisc.com/freewebboard/php/v...&topic=6435



Create Date : 13 กรกฎาคม 2552
Last Update : 13 กรกฎาคม 2552 22:02:46 น. 1 comments
Counter : 1208 Pageviews.

 
l member death all time


โดย: loso_21 IP: 114.128.202.241 วันที่: 18 กรกฎาคม 2552 เวลา:20:30:37 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.