Group Blog
 
<<
มกราคม 2552
 
5 มกราคม 2552
 
All Blogs
 
ฝนตกจึง "ไม่ต้อง" และเมื่อฟ้าร้องก็จึง "ไม่ถึง"



ท่านพุทธทาสภิกขุเป็นตัวอย่างของครูผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งทำอย่างที่สอนและก็สอนอย่างที่ทำ
(ยถาวาที ตถาการี) ซึ่งมีคนไม่มากนักที่จะทำได้อย่างนี้ แม้ผู้เขียนเองก็เถิด
ทุกครั้งที่เอ่ยอ้างถึงครูบาอาจารย์ชั้นนำทั้งหลาย ก็ยังรู้สึกตัวเองอยู่เสมอว่า
ตัวเราช่างกระดำกระด่างเสียเหลือเกิน ไม่เห็นผุดผ่องเป็นยองใยเหมือนอย่าง
ครูบาอาจารย์ท่านเลย แต่ก็เอาเถิด ถึงอย่างไรก็ไม่เคยหมดหวังที่จะศึกษาพัฒนาตน
ให้เป็นคนดี คิดอยู่เสมอว่า คนเราไม่เคยมีใครดีงามล้ำเลิศดุจแท่งทองชมพูนุทออกมา
ตั้งแต่อ้อนแต่ออก คงต้องศึกษากันไป ปฏิบัติกันไป จนกว่าวัยและวันเวลา
จะช่วยเยียวยาขัดเกลาให้เข้าที่เข้าทางบ้างไม่มากก็น้อยในวันหนึ่งข้างหน้านั่นแหละ

ท่านพุทธทาสภิกขุอุทิศตนศึกษาพุทธธรรมโดยตรง ไม่เคยสนใจเรื่องอย่างอื่นที่เป็น
"เปลือก" เลย แต่ทั้ง ๆ ที่ไม่สนใจ กระนั้น "เปลือกแห่งพระพุทธศาสนา" และ
"เปลือกแห่งชีวิต" ไม่รู้กี่เปลือกก็เป็นฝ่ายเดินทางมาหาท่านเองถึงสวนโมกข์ฯ
อย่างเรื่องสมณศักดิ์หรือยศช้างขุนนางพระ เป็นต้น

เป็นที่รู้กันดีในหมู่ผู้ศึกษาผลงานของท่านพุทธทาสภิกขุว่า ท่านไม่เคยวิ่งเต้นทำเรื่อง
ขอรับพระราชทานสมณศักดิ์เลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยสนใจ
ท่านกลับได้รับพระราชทานสมณศักดิ์มาโดยลำดับ ตั้งแต่เป็นพระครูธรรมดาๆ
รูปหนึ่งจนกระทั่งได้เลื่อนเป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ "พระธรรมโกษาจารย์"
ซึ่งขยับอีกเพียงครั้งเดียวก็จะเป็นรองสมเด็จพระราชาคณะและสมเด็จพระราชาคณะตามลำดับ

ช่วงที่ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ใหม่ ๆ มีคนเคยไปขอให้ท่านคืนสมณศักดิ์เสีย
เพราะเห็นว่าไหน ๆท่านก็แสดงจุดยืนมาตลอดอยู่แล้วว่าไม่ต้องการสมณศักดิ์แล้วนี่จะ
มานั่งกอดนอนกอดสมณศักดิ์อยู่อย่างนี้ ก็ดูจะสวนทางกันกับปณิธานที่ประกาศเอาไว้
แต่แทนที่ท่านพุทธทาสจะบ้าจี้ตาม ท่านกลับตอบอย่าง
คมคายว่า "จะต้องเอาไปคืนเขาทำไม ในเมื่อเราไม่ได้รับมาตั้งแต่ต้นแล้ว"

เรื่องความเป็นตัวของตัวเองของท่านก็เช่นกัน ท่านยืนหยัดมั่นคงนัก
ซึ่งผิดกับคน(รวมทั้งพระสงฆ์) ทั่วไปที่มักจะหวั่นไหวเสมอถ้าหากมี"ผลประโยชน์"
เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่กับท่านพุทธทาสภิกขุแล้ว ต่อให้เงินทองไหลมาเป็นห่าฝน
ท่านก็คงไม่เปลี่ยนจุดยืนที่ยินดีจะอยู่เคียงข้างธรรมะไปตลอด จนกว่าชีวิตจะหาไม่
คราวหนึ่งมีภริยาของท่านผู้ใหญ่ในบ้านเมืองคนหนึ่งไปกราบท่านถึงสวนโมกข์ฯ
พอไปถึงก็อยากจะแสดงความสำคัญ (อัตตา) ของตนต่อหน้าธารกำนัล
จึงทวงถามความทรงจำเก่า ๆ กับท่านขึ้นว่า ตนเคยบริจาคสนับสนุนทุนสร้างสวนโมกข์ฯ
เป็นเงินจำนวนหนึ่ง ไม่ทราบว่าท่าน (เจ้าคุณอาจารย์) จำโยมได้หรือไม่
ท่านพุทธทาสตอบไปตามธรรมดาว่า "จำไม่ได้หรอกโยม" นี่คือ "ความเป็นตัวของตัวเอง"
ของพระแท้ซึ่งหยัดยืนอยู่ในกรอบของธรรมะ
โดยไม่เคยแสดงอาการ "ประจบโยม" อย่างเด็ดขาด

ถ้าเป็นพระอลัชชีที่ไม่มียางอายคงจะตอบออกไปแล้วว่า
"แหม..มหาอุบาสิกาอย่างคุณโยม อาตมาจำไม่ได้ก็แย่แล้ว"
ตอบอย่างนี้ ทั้งพระทั้งโยมก็กิเลสพองตัวพอ ๆ กัน การกล้ายืนหยัดอยู่ในธรรมอย่างนี้
นับวันจะหาได้ยากยิ่งนักในหมู่พระสงฆ์องคเจ้าของเรา เพราะส่วนมากจะถูกญาติโยมยกเอาผลประโยชน์มาประเคนให้
จนไม่กล้าทำอะไรเพื่อพระธรรมกันแล้ว (เพราะน้ำท่วมปาก) จะพูด จะคิด จะทำอะไร
ก็นึกถึงจิตใจของคุณโยมเป็นหลัก ถ้ากระทบโยมละก็ อาตมาทำไม่ได้
แต่ถ้ากระทบพระธรรมละก็ ไม่เป็นไร พอหยวน ๆ กันไปก่อน
ทัศนคติอย่างนี้กำลังระบาดมากมายในหมู่พระสงฆ์ไทยของเรา

เรื่อง "กิน กาม เกียรติ" ก็เหมือนกันเห็นแย่งกันอยากได้อยากเป็นนัก
ทั้งชาววัดชาวบ้าน บางท่านตัวเองไม่ได้เป็นพระอรหันต์แต่เพราะอยากเป็นหน้ามืด
ก็สู้อุตส่าห์ให้ลูกศิษย์ประกาศสถาปนาตัวเองเป็นเลยกลายเป็นพระอรหันต์จากการแต่งตั้งสมใจ
บางท่านไม่ได้เป็นคุณหญิง ก็ยอมแต่งตัวเป็นคุณหญิงเก๊เพื่อให้ได้ถ่ายรูปติดโชว์หราในบ้าน
บางคนได้ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์มาใบหนึ่ง ก็อุตริให้บริวารเรียกขานตัวเองว่าเป็น
"ด็อกเตอร์" พิมพ์นามบัตรแจกเป็นพัน ๆ ใบ ใครมาใกล้เป็นได้รับแจกอย่างทั่วถึง

ซึ่งผิดกันเป็นอย่างมากกับปฏิปทาของท่านพุทธทาสภิกขุ เพราะท่านได้รับปริญญามาไม่รู้กี่ใบ
แต่ท่านไม่เคยให้ความสนใจหลงใหลไปกับโลกธรรมเหล่านี้เลย
ยิ่งความเป็น "พระอรหันต์" แห่งยุคสมัยด้วยแล้วท่านยิ่งไม่สนใจใหญ่

"เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยสนใจที่จะมีเกียรติ ไม่สนใจจะบรรลุนิพพานหรือไม่ เป็นพระอรหันต์หรือไม่
ไม่อยู่ในความคิด รู้แต่ว่าอยู่อย่างไม่มีทุกข์เรื่อย ๆ ไปก็พอแล้ว
ทำประโยชน์ให้เพื่อนมนุษย์ให้มากที่สุดด้วย ตัวเองก็สบายดีด้วย
ทำให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์อย่างที่เราได้รับด้วยเรื่อย ๆ ไป แค่นี้ก็พอแล้ว"

"จะเป็นอะไรสักแค่ไรไม่สนใจ เรื่องความบัญญัติว่าเป็นอย่างนั้นว่าเป็นอย่างนี้
เป็นโสดา สกทาคา อรหันต์ เดี๋ยวนี้ไม่อยู่ในความสนใจ ไม่อยู่ในความรู้สึก
เพราะต้องการเพียงว่า เราจะไม่มีความทุกข์
ทำประโยชน์ให้ผู้อื่นพร้อมไปในตัวอย่างมากที่สุดเท่าที่จะมากได้
แล้วก็ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านั้น ไม่ต้องการจะเป็นอะไรมากไปกว่านั้น..."

"นี่แหละเรื่องที่พูดได้มีแค่นี้ ถ้าใครเห็นด้วย มันก็ทำตามได้โดยไม่ยากเลย
ถ้าไม่เห็นด้วยก็ไม่มีทางที่จะทำอะไรได้ เพราะเขาต้องการจะเป็นนั่นเป็นนี่ได้นั่นได้นี่
อะไรก็ไม่รู้ อุดมคติบ้า ๆ บอ ๆ เราไม่ต้องการ ต้องการแต่วันหนึ่ง ๆ ไม่มีความทุกข์"

คนเราลงว่าไม่ต้องการแม้แต่จะเป็นพระอรหันต์เสียแล้วย่อมมองเห็นคำชมคำด่าในราคาเดียวกัน
"ผมติดตามงานของพระเดชพระคุณหลวงพ่อมาตลอด
พระเดชพระคุณหลวงพ่อทำงานหลายด้านผม "ปลื้ม" มากครับ"
ศิษย์คนหนึ่งเผยความในใจ "เป็นเรื่องของตัวคุณ" หลวงพ่อตอบ

นั่นคือเรื่องของคำชม ส่วนเรื่องของคำด่า ท่านก็ได้รับมาไม่น้อยไปกว่ากัน
แต่ท่านก็นิ่งเหมือนภูผาไศลจนลูกศิษย์อดสงสัยไม่ได้ว่าท่านมีวิธีรับมือกับคำด่าอย่างไร
จึงนิ่งได้ถึงเพียงนั้น "เรื่องของหมาเห่าตีนช้างน่ะ อย่าไปสนใจเลย" เพราะท่านพุทธทาสภิกขุ
"แจ่ม" และ "แจ้ง" ในธรรมถึงเพียงนี้นั่นเอง ฝนตกจึง "ไม่ต้อง"
และเมื่อฟ้าร้องก็จึง "ไม่ถึง"ตัวท่านสักที

(นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 124)


Create Date : 05 มกราคม 2552
Last Update : 5 มกราคม 2552 16:08:48 น. 2 comments
Counter : 917 Pageviews.

 


โดย: wildbirds วันที่: 5 มกราคม 2552 เวลา:16:26:42 น.  

 
ได้ยินชื่อเสียงท่านมาบ้างแต่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวท่านเลย ว่าง ๆ ช่วยเอาประวัติความเป็นมาของท่านมาลงให้อ่านบ้างสิคะ


โดย: Tassanee วันที่: 24 มกราคม 2552 เวลา:21:40:38 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.