ทำบุญแล้วต้องเขียนชื่อผู้ที่เราอยากอุทิศหรือไม่
ถาม – มีหลายแห่งบอกว่า ถ้าทำบุญแล้วเขียนชื่อคนที่เราอยากให้เขาได้บุญด้วย อย่างนี้เขาจะพลอยได้รับจริงหรือไม่คะ? และถ้าเรามีความสัมพันธ์ไม่ดีกับใคร จะทำให้สัมพันธภาพดีขึ้นได้จริงด้วยวิธีนี้ไหม?
จริงๆ แล้วอาจเป็นรูปแบบอุบาย การแผ่เมตตาอย่างหนึ่งน่ะครับ ตอนคุณลงมือเขียนชื่อใคร ด้วยความอยากให้เขาได้บุญ ตอนนั้นเกิดกระแสเมตตาขึ้นมากกว่าคิดๆ นึกๆ ปกติแน่นอน และหากคุณทำบุญบ่อยๆ เขียนชื่อเขาบ่อยๆ ใจก็ย่อมเป็นเมตตาเต็มรอบมากขึ้นๆ ละลายหมอกควันความพยาบาทให้บางลงเรื่อยๆ
ถ้าแผ่เมตตาถึงใครออกมาจากใจบริสุทธิ์จริงเต็มๆ เมื่อเจอกันอีกครั้ง กระแสเมตตาของเราจะทำงานทันที โดยอยู่ในรูปพลังไร้ตนที่ดลใจให้เขาพลอยรู้สึกดีตาม จากที่มีเรื่องเคืองกันก็ไม่อยากเคืองกันต่อ จากที่เต็มไปด้วยทิฐิมานะก็ลดทิฐิมานะ อยากพูดอยากเจรจากันมากขึ้น
สรุปคือการทำบุญแล้วเขียนชื่ออุทิศกุศล อาจช่วยให้สัมพันธภาพระหว่างเรากับบุคคลอันเป็นเป้าหมายดีขึ้นจริง แต่คุณต้องเข้าใจ จับเหตุจับผลให้ถูก คือไม่ใช่ว่าดีขึ้นด้วยการเขียนชื่อ แต่ดีขึ้นด้วยการเจริญเมตตาต่อผู้เป็นอริต่างหาก
ถาม – รู้จักอยู่คนหนึ่ง เขาชอบทำบุญอยู่เรื่อยๆ แต่ใจกลับไม่เชื่อบุญบาป ไม่เชื่อว่ากรรมมีผล สรุปคือแม้แต่ทานที่เขาให้ไป เขาก็ไม่เชื่อว่าจะสนองคุณตกรางวัลเขาเมื่อไหร่ ที่ไหน อย่างนี้เขาจะได้บุญหรือรับผลบุญในอนาคตไหมครับ?
พระพุทธเจ้าตรัสว่าถ้าทำเหตุถูก แม้ไม่ต้องการผล ก็ต้องได้รับผลอยู่วันยังค่ำ อย่างเช่นการให้ก็คือการให้ เขาได้กระทำเหตุคือการให้ไว้แล้ว ก็ย่อมได้รับผลเป็นการได้ในภายหลัง ส่วนจะได้อย่างไพบูลย์หรือไม่ ต้องดูองค์ประกอบทางใจหลายๆ ข้อ ไม่ใช่แค่เชื่อ หรือไม่เชื่อวิบากกรรมแล้วจะได้รับรางวัลเพิ่มหรือลดฮวบฮาบ
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเขาให้ทานด้วยความตั้งใจสงเคราะห์ผู้รับอย่างแท้จริง แม้เขาเป็นผู้ไม่เชื่อเรื่องกรรมวิบากเลย ในกาลที่กรรมเผล็ดผล เขาก็จะเป็นผู้มีความสามารถซื้อหาสิ่งของน่าชอบใจ มาบำรุงสุขให้ตัวเองอย่างเหลือล้น และเขาย่อมเป็นที่น่าต้อนรับ เมื่อพลาดพลั้งต้องตกอับย่อมมีผู้เห็นแล้วสงสารอยากช่วยเหลือ เป็นต้น
ตรงข้าม แม้ปากบอกเชื่อเรื่องกรรมวิบาก แต่หากองค์ประกอบของการให้ทานบกพร่อง เช่น ตั้งหน้าตั้งตาทำบุญเพียงเพราะหวังได้ลาภอามิสสนองคืน อย่างนี้ในกาลที่กรรมเผล็ดผล เขาก็จะได้รับผลเพียงน้อยเท่านั้น และอาจจะเป็นพวกโลภมาก ใครเห็นก็นึกหมั่นไส้ไม่อยากช่วยเหลือแม้กำลังลำบากอยู่แท้ๆ
มีบางกรณีเหมือนกันครับ ที่ไม่เชื่อกรรมวิบากแล้วทำทาน ก็ต้องใช้กำลังใจอย่างใหญ่หลวง เช่น เศรษฐีบางคน สละทรัพย์ของตนให้เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนเกือบหมดเกลี้ยง โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ในชาตินี้ แล้วก็ไม่ได้มาดหมายว่ามีชาติหน้า ก็หมายความว่า เขาเล็งประโยชน์เพื่อผู้อื่นอย่างบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ให้ในความหมายของการให้อย่างถ่องแท้ ผลย่อมใหญ่ครอบโลกตามกำลังของจิตไปด้วย หมายความว่าเกิดใหม่ในจังหวะที่กรรมเผล็ดผล ย่อมไม่มีอะไรในโลกที่เขาอยากได้แล้วเกินกำลังซื้อหา
อย่างไรก็ตาม ต้องกล่าวตามสัจจะครับ ว่าถ้าองค์ประกอบของการให้ทานครบพร้อม คือคิดสงเคราะห์ด้วย เชื่อในผลของทานด้วย ก็ย่อมยังจิตให้เกิดศรัทธาปสาทะ ตั้งมั่นเป็นโสมนัสได้ยิ่งใหญ่ที่สุด
จากส่วนหนึ่งของ หนังสือตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่ม ๘ โดย ดังตฤณ ที่มา : //dungtrin.com
Create Date : 03 มิถุนายน 2553 |
Last Update : 3 มิถุนายน 2553 22:13:30 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1089 Pageviews. |
|
|
|
|
|