Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2552
 
18 พฤศจิกายน 2552
 
All Blogs
 
รถเมล์สายวัฏฏะ



บทนำ

นี่เป็นเรื่องสมมุติ สมมุติว่า…ถ้ามีรถเมล์สักคันสามารถเดินทาง...ท่องไปทั่ววัฏสงสาร
ผู้โดยสารบนนั้น จะมีโอกาส...พบสิ่งใดบ้าง?

๑.ข้าพเจ้านั่งอยู่บนรถเมล์คันหนึ่ง นานเท่าใดมิอาจรู้ เนื่องจากนั่งติดกับประตูจึงเห็นคนขึ้น – ลงมากมาย

๒.ภายในรถมีคนไม่มากนัก แต่ละคนมีอิริยาบถต่างกัน บ้างนั่งเฉย บ้างคุยกับคนข้างเคียง
บ้างอ่านหนังสือ บ้างมองซอกแซกนอกหน้าต่าง...ที่มีแต่ความมืด…

๓.นอกจากผู้โดยสารเช่น ข้าพเจ้ากับคนอื่นแล้ว ยังมีกระเป๋ารถคนหนึ่ง ซุกตัวเงียบ ๆ หลังเก้าอี้คนขับ
รถคันนี้ไม่ได้วิ่งอยู่บนถนน แต่เป็นหนทางใดยากจะทราบ มันเบานิ่ม ราวกับล่องลอย ล้อไม่ติดพื้น

๔.ข้าพเจ้ารู้สึกร้อน เมื่อเข้าถึงเขตหนึ่ง ข้างทางมีแสงสีแดงฉายโชนวูบวาบ คล้ายถูกเปลวไฟลามเลีย

๕.รถจอดสนิท กระเป๋ารถเรียกหลายคนลงไป บางคนยอมลงโดยดี บางคนขัดขืน
ข้าพเจ้าได้ยินเสียงคร่ำครวญจากด้านนอก พอหันออกไปมองนอกหน้าต่าง
กลับไม่เห็นสิ่งใด นอกจากเปลวไฟสีแดง ทุกคนที่ลงจากรถ...หายวับ…

๖.กระเป๋ารถมองนิ่งที่ข้าพเจ้าจนคิดว่า...ผู้ที่ต้องลงรายต่อไปคือตนเอง
แต่ก็ต้องโล่งอก…เมื่อรถแล่นออกจากบริเวณนี้แล้ว

๗.เสียงคร่ำครวญ โหยหวนลอยมา มันสั่นประสาทข้าพเจ้า เหงื่อแห่งความกลัวโชกร่าง
“เสียดายที่เจ้าไม่ได้เห็น...ทัณฑ์ที่คนบาปเหล่านั้นได้รับ” กระเป๋ารถพูดกับข้าพเจ้า
“มัน ผู้ไม่เคยเชื่อในผลของกรรม
มัน ผู้มีจิตใจพอกหนาด้วยกิเลส อวิชชา
มัน ผู้ยินดีเบียดเบียนผู้อื่นเพื่อให้ตนสุขสบาย
มัน ผู้ยินดีทำทุกอย่างเพื่อสนองกิเลสฝ่ายต่ำของตน
มัน ผู้ไม่รู้จักคุณงามความดี
บัดนี้...กฏแห่งกรรมส่งผลแล้ว”

๘.รถเมล์แล่นต่อไปในความมืด “มันสำนึกเมื่อสาย เหตุใดไม่คิดก่อนกระทำ
...เจ้าจงฟัง เสียงร้องคร่ำครวญนี้
...จงฟัง และฝังไว้ในใจเจ้า
...ยามใดกิเลสรั้งพาทำชั่ว
...เจ้าจงระลึกถึงเสียงเหล่านี้
เสียงของผู้ที่กำลังชดใช้กรรมชั่วของตน”

๙.กระเป๋ารถเมล์พูดกับข้าพเจ้าเช่นนั้น แม้จะฟังไม่เข้าใจนัก ข้าพเจ้าก็ไม่คิดถาม

๑๐.ข้าพเจ้ามองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง
แสงสีแดงเริ่มเห็นเป็นจุดเล็ก ๆ เปลวร้อนจางลง เสียงคร่ำครวญกลับยังก้องในหู

๑๑.ภายในรถมีผู้โดยสารมากขึ้น ไม่ทราบว่าขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด พวกเขามีลักษณะต่างกัน
บางคนนั่งเก้าอี้เรียบร้อย บางคนนอนบนพื้น บางคนยืนโหนราว สีหน้าแต่ละคนล้วนเศร้าหมอง

๑๒.รถแล่นต่ำลง ข้าพเจ้ามองออกนอกหน้าต่าง เห็นท้องฟ้าสีหดหู่
บางส่วนเป็นเทาเข้มทะมึนน่ากลัว บางส่วนแดงสด ราวถูกลิ่มเลือดมาป้าย
แผ่นดินแตกระแหง ต้นไม้ยืนตายซาก กลิ่นเหม็นชวนคลื่นเหียนโชยมา

๑๓. รถจอด ผู้โดยสารหลายคนโดนสั่งให้ลง ข้าพเจ้าเบิกตาโพลง
ทันทีที่เท้าพวกเขาสัมผัสพื้น ทุกคนต่างแปรสภาพ จากร่างกายปกติ กลายร่างวิกลวิกาล
บ้างสูงลิบลิ่ว บ้างเตี้ยติดดิน ใบหน้าอัปลักษณ์ยากบรรยาย
ข้าพเจ้าเกาะขอบหน้าต่างแน่น รู้สึกคลื่นเหียนและ “กลัว”

๑๔.กระเป๋ารถมองข้าพเจ้า “ไม่ใช่เจ้า” เขาบอก
ข้าพเจ้าถอนใจ “สถานที่นี้เป็นเพียงที่ชดใช้เศษกรรมและเป็นที่อยู่ของคนบาป ที่ยังไม่ต้องไปถึงนิรยภูมิ”

๑๕.“อบายภูมิสี่ เป็นสถานที่รองรับ สำหรับผู้กระทำกรรมชั่ว
สัตว์โลกผู้ใด ยังเพลิดเพลิน มัวเมาในอกุศล ผู้นั้นย่อมได้มายังที่นี้
อบายเป็นทางลาดต่ำ เหล่าสรรพสัตว์จึงมักไหลเวียนมา…ไม่ขาดแคลน...”

๑๖.“มาสิ สัตว์โลกทั้งหลาย เร่งกระทำกรรมชั่วเข้า เร่งเบียดเบียนเพื่อนร่วมโลก แย่งชิงลักขโมย
พรากของรัก พูดจาปลิ้นปล้อน กลับกลอก เสพสิ่งพรากสติ
เพียงเท่านี้ ประตูอบายย่อมเปิดรับอย่างไม่เหนื่อยแรง
...รับมาสู่ทัณฑ์ ที่ไม่เคยมีในโลกมนุษย์ และในที่ใด ๆ
...มันจะเป็นเวลาเนิ่นนาน จนเจ้าไม่กล้านับเป็นปีคืน
...เวลาแห่งความทุกข์ทรมาน...เนิ่นนานเสมอ"

๑๗.“ถ้าเจ้าเยาะหยันว่า ผลแห่งการกระทำโดยเจตนานั้นไม่มี ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว...ไร้สาระ ไม่เที่ยงตรงแน่นอน
เช่นนั้น...เจ้าก็เร่งประกอบกรรมชั่วเข้าสิ แล้วเจ้าจะได้รู้ว่า…พลังของกรรม...มีอานุภาพเพียงใด"

๑๘.ข้าพเจ้าขนลุกซู่ ประกายตากระเป๋ารถเมล์คนนั้นวาวโรจน์ ราวกับบรรจุด้วยเพลิงแห่งนิรยภูมิ

๑๙.“บนรถเมล์สายวัฏฏะนี้ เคยนำพาบุคคลผู้ดีแสนดีและเลวแสนเลว…
ตลอดเวลาที่ข้าอยู่บนรถคันนี้ ข้าเคยซาบซึ้ง อิ่มเอมกับความดีของผู้มีปัญญา
ขณะเดียวกัน ข้าก็เคยเกลียดชังความชั่วช้าของเหล่าสรรพสัตว์ผู้โง่เขลา
มันไม่เคยเชื่อว่า...ทำชั่วได้ชั่ว…แม้ยามก้าวสู่นิรยภูมิ...เพื่อรับผลของกรรมชั่วนั้น”

๒๐.“เราใกล้จะออกจากอบายภูมิหรือยัง” ข้าพเจ้าถาม
“เจ้าคงชังมันเต็มทนละสิ ข้าเองก็ชัง...แต่ทำอย่างไรได้เล่า
ตราบใดที่สรรพสัตว์ยังเป็นทาสกิเลส ยอมแพ้อำนาจความชั่ว
กระทำตนโดยขาดหิริ โอตตัปปะ ตราบนั้น...อบายภูมิยังไม่สิ้น...”

๒๑.“เอาเถอะ…ตอนนี้รถแล่นผ่านแดนน่าสะพรึงมาแล้ว เจ้าคงสบายใจชั่วคราว จุดหมายต่อไปคือ...มนุษยภูมิ”

๒๒.ข้าพเจ้าเอาแขนพาดขอบหน้าต่าง นัยน์ตามองความมืด ไกลลิบ ๆ มีแสงสว่างเรืองเป็นจุด ๆ
อากาศเย็นสบายขึ้น ข้าพเจ้าเสยผม...แล้วความทรงจำก็ปรากฏขึ้นมาง่าย ๆ

๒๓.รถคันนี้ผ่านมนุษยภูมิบ่อยครั้ง โดยมากจะรับ – ส่งผู้โดยสารที่นี่เป็นหลัก
นานครั้งถึงรวบรวมผู้โดยสารไปส่งนิรยภูมิสักที
ทั้งคนขับและกระเป๋ารถไม่ใคร่ชอบลงไปที่นั่นนัก...ข้าพเจ้านึกถึงอบายภูมิ…
ที่จริงก็เคยไปพร้อมกับรถหลายครั้งแล้ว แต่พอขึ้นมามนุษยภูมิไม่นาน...ก็ลืมความน่ากลัวในอบายภูมิ
เหตุนี้กระมัง ทำให้รถเมล์คันนี้ ไม่เคยว่างเว้น ต้องแวะเวียนไปส่งผู้โดยสาร...ที่อบายภูมิเสมอ

๒๔.บนรถว่าง เหลือข้าพเจ้า กระเป๋ารถ และคนขับ ทั้งหมดเงียบงัน

๒๕.ข้าพเจ้าเบื่อ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ความทรงจำ ทำให้เกิดระลึกย้อนได้
ถึงกระนั้น ข้าพเจ้าก็ตอบไม่ได้ว่า มาอยู่บนรถคันนี้นานเพียงใด และตอบไม่ได้ ก่อนมาอยู่ที่นี่...เคยอยู่ไหนมาก่อน

๒๖.เมื่อรู้สึกตัวตอนแรก ก็มานั่งที่นี่แล้ว คำถามแรกจากกระเป๋ารถคือ “จะไปลงที่ไหน”
“ไม่ทราบ” ข้าพเจ้าตอบ
กระเป๋ารถถอนใจ “พวกเดินทางด้วยความ “ไม่รู้” อีกราย!”

๒๗.จากวันนั้น ข้าพเจ้าก็มานั่งอยู่ตรงนี้ ดูผู้คนขึ้น – ลง โดยตอบตนเองไม่ได้ เมื่อใดจะถึงวาระของตน

๒๘.ถึงมนุษยโลก ข้าพเจ้าหดหู่ใจ รถจอดท่ามกลางการสู้รบ เปลวไฟและควันปืน ดูไม่ต่างจากอบายภูมิ
กระเป๋ารถเกาะประตู มองดูสนามรบอย่างเศร้า ๆ
เขาชี้มือยังชายคนหนึ่ง ที่กำลังถือปืนเข้าประหัตประหารเพื่อนร่วมโลก
“เขาคืออดีตน้องชายข้า น่าสลดใจนัก...เมื่อก่อนเขาร่ำร้องขอความเป็นมนุษย์ พอกุศลเปี่ยมพอส่งเป็นคนได้
เขากลับถูกพอกหนาด้วยความโง่เง่า งมงาย กระหายเข่นฆ่าผู้คนที่มีความคิดขัดแย้งกับเขา
เมื่อเขาดับชีพลง...ต้องใช้เวลาอีกนานเพียงไรหนอ ถึงจะได้ความเป็นมนุษย์อีกครา...”

๒๙.รถแล่นจากไป ทิ้งควันปืนและแสงไฟจากลูกระเบิดไว้เบื้องหลัง กระเป๋ารถหันไปยิ้มเศร้า ๆ กับคนขับ
“ขอบคุณที่ให้โอกาสข้าพบกับเขา…แต่ขอโอกาสให้ข้าได้พบอีกสามคนเถอะ...”

๓๐.บุคคลแรกที่เขาต้องการพบ เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ตำแหน่งใหญ่โต แต่…
“คอรัปชั่น เบียดเบียนประชาชน เห็นแก่ความสุขส่วนตน กอบโกยผลประโยชน์เข้าตัวและพรรคพวก
เขาหารู้ไม่...มหาทรัพย์สินที่เขามีอยู่...ที่เพียรหามาจาก…ความลำบากของมหาชนเช่นนี้
มันไม่สามารถ ช่วยให้เขา…อยู่เหนือ กฎแห่งกรรม ได้เลย”

๓๑.“แม้ว่าเขาจะยิ่งใหญ่ ด้วยมหากุศลเก่าส่งเสริม
แต่อีกไม่นาน...ข้าก็ต้องมารับเขา ลงไปยังนิรยภูมิ…นี่คืออดีตบิดาข้า...”
กระเป๋ารถพูดเสียงแผ่ว

๓๒.บุคคลต่อไปเป็นครูในโรงเรียนกลางเขา เธอไม่ใช่หญิงสาวสะสวย ออกจะขี้เหร่ด้วยซ้ำ
“พี่สาวข้า…แม้เธอมิได้มีใบหน้างดงาม ไม่มีชายใดเหลียวแล สนใจ แต่จิตใจเธองดงาม มีน้ำใจกว่าหญิงงามใด ๆ
เธอรักสันโดษ ให้การศึกษาแก่เด็ก ๆ ด้วยความรัก เมตตา หวังดีต่อพวกเขาจากใจจริง
ในสายตาเด็กเหล่านี้ เธอคือผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก”

๓๓.ใบหน้าเขาแช่มชื่นขึ้น รอยยิ้มค่อยปรากฏ
รถเมล์แล่นต่อไป แล่น...ลอยบนท้องฟ้า ผ่านผืนนภาครามใส ปุยเมฆขาวลอยฟ่องใกล้จนคล้ายสัมผัสถึง
บนรถมีกลิ่นหอมตลบอบอวล...กลิ่นแห่งคุณงามความดี…

๓๔.รถแล่นลงมาจอดยังสถานที่แห่งหนึ่ง
ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ ข้าพเจ้าเห็นหญิงวัยกลางคนศีรษะโล้นสวมอาภรณ์ขาว กำลังกวาดใบไม้
กระเป๋ารถเกือบถลาลงจากรถ ถ้าไม่ได้ยินเสียงท้วงติง “เจ้ายังไม่มีสิทธิลง” เสียงจากคนขับรถ

๓๕.กระเป๋ารถทรุดนั่งบนบันไดขั้นสุดท้าย น้ำตาไหล ก้มลงกราบ ข้าพเจ้าสะท้อนใจ ได้ยินเสียงแว่ว ๆ
“วานสายลมจงพาเอาความรัก ความเป็นห่วงของข้า ส่งไปให้แม่ด้วยเถิด”

๓๖.หญิงกลางคนชุดขาวหยุดชะงัก มองรอบตัว...ไม่เห็นใคร
รถเมล์อยู่ห่างแค่ชั่วมือเอื้อม แต่ราวกับเป็นคนละโลก
“เสียงใครนะ” เธอพึมพำสงสัย สักครู่ก็กวาดใบไม้ต่อไป

๓๗.“อดีตชาติมันจบไปแล้ว จะห่วงหาอาวรณ์อีกทำไม บัดนี้เจ้าอยู่ในอีกภพ อีกภาวะหนึ่ง จงรู้ตัวไว้เสีย”
คนขับรถเตือน
“ข้าไม่น่าจดจำภพเก่าได้เลย” กระเป๋ารถพึมพำ
“จำได้หรือไม่...ไม่สำคัญ สำคัญที่ต้องรู้...อยู่กับปัจจุบัน”

๓๘.รถเคลื่อนที่...แต่ต้องหยุดชะงัก ชายจีวรสีเหลืองแวบผ่าน ภิกษุรูปหนึ่งเดินเข้ามาใกล้
หญิงกลางคนชุดขาวเห็น รีบทรุดตัวคุกเข่า ประณมมือ “หลวงพ่อ”
“มีอะไรหรือ”
“ตะกี้ได้ยินเสียงแปลก ๆ เจ้าค่ะ”
“อาคันตุกะมาเยี่ยมน่ะ อย่ากังวลเลย”

๓๙.ร่างในผ้ากาสาวพัสตร์มาหยุดใกล้ประตู ยิ้มให้ข้าพเจ้า
อะไรไม่ทราบ ทำให้ข้าพเจ้าทรุดตัวพับเพียบราบ ประณมมือเช่นเดียวกับกระเป๋ารถ

๔๐.ท่านยิ้มเมตตา “วานไปรับคน ๆ หนึ่งทีนะ...ถึงเวลาแล้ว เขาจะขึ้นข้างบน”
ริมฝีปากไม่ขยับ แต่กระแสเสียงดังกังวาน...ภาษาใจ…
“ขอรับ” กระเป๋ารถรับคำนอบน้อม

๔๑.รถจอดที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญ ภาพในบ้านปรากฏต่อหน้า
...ชายผู้หนึ่งนอนอยู่บนเตียง
...บุตรหลานรายล้อมรอบด้าน
...แต่ละคนใบหน้าชุ่มน้ำตา
...ชายผู้นั้นยิ้มละไม ปลอบคนรอบข้าง

๔๒.“ลูกเอย...อย่าร้องไห้ มองดูรอบตัวสิ...มีใครบ้าง...ไม่ตาย
ความตายเป็นหน้าที่ ที่มนุษย์ทุกคนต้องยอมรับ
เกิด...แล้วต้องตาย...เรื่องธรรมดา
ยามเกิด...ธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ...มารวมกัน
ยามตาย...ก็แค่ธาตุทั้งสี่ไม่อาจประคองกัน ต่างแยกย้าย คืนสู่ธาตุเดิมของมัน
การตายของสังขารร่างกาย มีเท่านี้เอง จะเศร้าโศกเสียใจไปทำไม กับแค่ธาตุหยาบ ๆ จะกลับคืนสู่สภาพเดิม

๔๓.ยึดมั่น ถือมั่น...เป็นทุกข์ มองให้เห็นตามความเป็นจริงเถิดลูก มีอะไร “เป็นเรา”... “ของเรา” บ้าง

๔๔.ความ จริง กายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
มีแต่ธาตุหยาบ ๆ สี่อย่างมาประชุมกันตามเหตุ และปัจจัยกับแค่อุปาทาน หลอกให้ยึดถือ...เท่านั้น
มองให้เห็น ความจริง ตามนั้น ใจจะคลายเอง

๔๕.ใจรู้จริง รู้ว่าสิ่งใดเกิดขึ้น...สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา เท่านี้...ก็จะไม่มีใครเปลืองน้ำตาอีก

๔๖.ภาพหายวับ ชายผู้นั้นมายืนอยู่หน้าประตูรถ
“มารับผมใช่ไหม”
“ขอรับ” คนขับรถตอบแทนกระเป๋า
“ขอบคุณมาก ผมอยากมาสะสางภาระบางอย่าง คงไม่เสียเวลาพวกคุณในการรับผู้โดยสารคนอื่น”
“ไม่หรอกขอรับ...ผู้ที่จะขึ้นรถคันนี้ มักมีกรรมเกี่ยวพันกัน กระผมยินดีด้วยซ้ำ ที่ท่านให้เกียรติมาขึ้นรถของเรา”
“คงรู้แล้วว่าผมจะต้องไปที่ใด”
“ขอรับ...เทวโลก ชั้นดาวดึงส์”
เขายิ้มรับ ใบหน้าอิ่มเอิบยิ่งนัก

๔๗.เขานั่งข้างข้าพเจ้า เริ่มต้นสนทนาพูดคุย…

๔๘.“คุณขึ้นรถมานานหรือยัง” เขาถาม
“นานพอสมควร” ข้าพเจ้าตอบ
“คุณคงผ่านสถานที่ต่าง ๆ มากมาย”
“ข้าพเจ้าพบเห็นเพียงอบายภูมิ และมนุษยภูมิ”
“นอกจากนั้น...เช่น เทวโลก”

๔๙.“ข้าพเจ้าไม่เคยไป...หรือถ้าไป...ก็อาจจำไม่ได้”
“ฉะนั้นคุณควรรู้...วัฏสงสารมีสถานที่มากมาย อบายภูมิสี่มี…โลกนรก โลกเปรต โลกอสูรกาย โลกเดรัจฉาน
สุคติภูมิมี…โลกมนุษย์ เทวโลก พรหมโลก อรูปพรหม”
“มากมายเพียงนี้เชียวหรือ”
“ใช่...ถึงจะมีมากมาย แตกต่างสภาพความเป็นอยู่ มันก็ต่างกันแค่สมมุติเท่านั้น
ในวัฏสงสารมีอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน
นั่นคือ...ต้องอยู่ในกฏแห่งไตรลักษณ์…มีความไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ และไม่ใช่ตัวตน
ไม่เที่ยง เพราะมันแปรเปลี่ยนเสมอ
ทนอยู่ไม่ได้...เป็นทุกข์จนอาจิณ
ไม่ใช่ตัวตน เพราะไม่อาจสั่งการ บังคับได้อย่างใจ”
ข้าพเจ้านิ่งฟังด้วยความไม่เข้าใจ อึดอัด ในหัวมีความแน่นทึบเหมือนจะเห็นแสงสว่าง แต่หาทางออกไม่เจอ

๕๐.เขายิ้มละไม เมตตา
“สักวัน คุณจะเข้าใจ…ลองมองดูแต่ละสถานที่ ที่คุณผ่านมาสิ
ในนิรยภูมิ ก็ยังมีสรรพสัตว์พ้นออกมาขึ้นรถเพื่อไปสู่ภพภูมิอื่น
ในมนุษยภูมิ ก็ยังมีผู้คนขึ้นสู่เทวโลกได้และเมื่อคุณขึ้นไปถึงเทวโลก…
คุณจะเห็นว่าบนนั้น…ก็ยังมีอดีตชาวฟ้า มาขึ้นรถคันนี้ เพื่อลงสู่มนุษย์โลก
หรือต่ำกว่านั้น ผมพยายามชี้ให้คุณเห็นว่า…ในวัฏสงสารนี้...ล้วนไม่เที่ยง
แปรเปลี่ยนจนเป็นปกติไม่ว่าที่ใดล้วนมีแต่ทุกข์ ทุกข์มาก ทุกข์น้อยแตกต่างกัน”

๕๑.ข้าพเจ้านิ่งฟัง คล้ายมีแสงสว่างราง ๆ ปรากฏในหัว ม่านทึบ ๆ จางลง
เขายิ้ม... ราวกับเห็นภายในจิตใจข้าพเจ้า

๕๒.รถจอด
ข้าพเจ้าตื่นตะลึงกับภาพที่เห็น ความงดงามของสถานที่
ผู้คน...ช่างเกินคำบรรยาย กลิ่นหอมรวยริน ฉุดจิตวิญญาณให้ลุ่มหลง
...ข้าพเจ้าอยากอยู่ที่นี่!…

๕๓.“อย่าเพิ่งลุ่มหลงในสิ่งที่คุณเห็น” เขาเตือนสติ
ข้าพเจ้าหันไปมองเขา...เขายิ้มให้
“ผมคงต้องลงก่อน...ทั้งหมดที่พูดกับคุณ ก็เพื่อจุดประกายปัญญา…จากนี้ไป...อยู่ที่คุณ...จะเห็นความจริงแค่ไหน”
เขาลงจากรถ...ข้าพเจ้า เห็น ความอาวรณ์ในใจ

๕๔.รถยังไม่เคลื่อนที่ กำลังรอผู้โดยสาร
“น่าเสียดาย ที่เรามีโอกาสมาที่นี่ไม่บ่อยนัก” คนขับรถพูด
“แต่ขึ้นมาคราวใด ก็ชุ่มชื่นใจเมื่อนั้น” กระเป๋ารถตอบ

๕๕.ผู้โดยสารมาแล้ว เป็นหนึ่งชาย สองหญิง ทั้งสามมีใบหน้างดงาม แต่แฝงความเศร้าหมอง
กลิ่นหอมรวยรินเริ่มจาง เมื่อทั้งสามมาถึง

๕๖.น้ำตาหญิงสาวไหลริน
“ไม่น่าเลย ทำไมถึงเป็นแบบนี้นะ”
“เมื่อถึงเวลาหมดบุญ ใครเล่าจะช่วยได้ ในเมื่อเราต่างหลงระเริงในความสุข จนลืมเลือนว่า...มันไม่คงทน”
“ฉันควรทำอย่างไร” หญิงสาวอีกคนถาม
...แต่ไร้คำตอบ…

๕๗.ทั้งหมดนั่งตอนกลางรถ ไม่สนใจข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าเหลียวมองตาม นี่หรือ...ความไม่แน่นอนในเทวโลก
ข้าพเจ้ายังอยากอยู่ที่นี่อีกหรือไม่?
...ไร้คำตอบเช่นกัน..

๕๘.รถแล่นช้า ๆ ราวกับไม่ต้องการผละจาก…
ข้าพเจ้าเหลียวกลับดูด้านหลัง เห็นสถานที่นั้นเล็กลง ๆ จนในที่สุด เห็นเพียงหมอกขาวพร่างพราว ปิดบังจนมิด

๕๙.ทั้งสามคุยกันเบา ๆ
“เราจะไปอยู่ที่ไหนกันนะ” หญิงสาวเอ่ย
“กรรม...เท่านั้นเป็นเครื่องกำหนด” ชายหนุ่มบอก
“ฉันกลัวเหลือเกิน บนนี้มีแต่ความสุข เบื้องล่างมีแต่ความทุกข์” หญิงสาวอีกคนกล่าว
“สุขจริงหรือไม่ ฉันยังสงสัย ถ้าเป็นสุขอย่างแท้จริงแล้ว…ทำไมต้องมีสูญเสีย...พลัดพราก...หมดสุข
ความสุขที่แท้จริง ไม่ควรเสื่อมสลาย...แปรเปลี่ยน”

๖๐.ข้าพเจ้าฟังคำพูดเหล่านั้นอย่างไตร่ตรอง นึกทบทวนคำสอนของชายที่เพิ่งลงจากรถ
แสงแห่งปัญญาฉายมาเรือง ๆ ข้าพเจ้าเข้าใจมากขึ้น เห็นความไม่เที่ยงแท้ของวัฏสงสารชัดเจนกว่าเดิม
...และเริ่มรู้สึกเบื่อหน่าย…

๖๑.บนรถว่างเปล่าอีกครั้ง บุคคลทั้งสามลงจากรถแล้ว
หญิงสาวคนแรกถูกส่งในที่กันดาร แร้นแค้น เธอไม่อยากลง แต่จะทำอย่างไรได้...กรรม...กำหนดไว้แล้ว
หญิงสาวคนที่สอง ถูกส่งยังบ้านที่ร่ำรวย
แต่เธอไม่อาจมีใบหน้างดงามดังเก่า...รูปสมบัติ...ก็เปลี่ยนแปลงตามกรรม
ชายหนุ่มคนสุดท้าย ถูกส่งไปยังครอบครัวฐานะปานกลางไม่รวย ไม่จน
แต่ข้าพเจ้าเห็นแสงแห่งปัญญาฉาบฉายบ้านหลังนี้
“บุรุษผู้นี้ มีโอกาสกลับไปเทวโลกได้อีก” คนขับรถทำนาย…

๖๒.ระยะนี้ รถรับผู้โดยสารอีกมาก จากหลายสถานที่
ข้าพเจ้าไม่ใคร่สนใจใคร ๆ อย่างที่เคยเป็น สมองกำลังตกอยู่ในห้วงความคิด ทบทวนถึงสถานที่ต่าง ๆ ที่ผ่านมา
คิดถึงผู้โดยสารที่ขึ้น – ลงรถคันนี้
คิดถึงคำพูดของผู้มีพระคุณทางปัญญา
คิดถึงผู้ที่ต้องลงมาจากเทวโลก
ทบทวนไปมา สุดท้าย...ย้อนกลับมาดูตนเอง...เราเกิด - ตายกันมากี่ชาติแล้วนี่?
ข้าพเจ้ารู้สึกเบื่อวัฏสงสารอย่างหนัก
เบื่อการเวียนว่ายตาย – เกิด
เบื่อสภาพแปรผัน ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน
และแล้ว...คำถามหนึ่งผุดขึ้นมาในสมอง...นี่เราจะหลุดออกจากวัฏสงสารได้อย่างไร…

๖๓.เสียงดังครืน รถหยุดชะงัก ราวมีมือมหายักษ์มาหยุดไว้
คนขับ กระเป๋ารถต่างแปลกใจ ผู้โดยสารมองหน้ากันอย่างงง ๆ
รถแล่นโดยอิสระ คนขับไม่อาจบังคับควบคุม
มันพุ่งตรงไปเบื้องหน้า ฝ่าสายลม ปุยเมฆ ขุนเขา ไม้เขียว และจอดนิ่งตรงลานกว้างแห่งหนึ่ง

๖๔.ข้าพเจ้าลุกขึ้น…ลงไปยืนบนบันไดขั้นสุดท้าย เบื้องหน้าเป็นรูปปั้นใหญ่...งดงาม ชวนศรัทธายิ่ง
...รูปปั้นมหาบุรุษผู้ครองผ้ากาสาวพัสตร์...พระองค์อยู่ในท่าเยื้องย่าง นุ่มนวล อ่อนโยน
ดูคล้ายชายจีวรจะปลิวสะบัด นัยน์ตาทอดมองต่ำอย่างปรานี บริเวณรอบเป็นลานกว้าง
มีเหล่าสาธุชนมาเคารพ บูชา กราบไหว้ด้วยใจศรัทธา
พวกเขามิได้เคารพ นบไหว้ เพียงแค่ความงดงาม น่าเลื่อมใส แต่ศรัทธาในธรรม ที่จะพาพวกเขาพ้นทุกข์ได้
ที่นี่คือแดนมนุษย์ ยุคที่คำสอนแห่งมหาบุรุษพระองค์นั้นยังคงอยู่!
...ข้าพเจ้าตื้นตันใจสุดประมาณ…
...กระแสอิ่มเอ่อล้นเต็มหัวอก…ค่อย ๆ ก้าวลงจากรถ...เหยียบแตะพื้น ก้มลงกราบด้วยความเคารพ ศรัทธาสูงสุด
...ข้าพเจ้ารู้แล้ว...คำถามที่เคยคิดค้น...สงสัย
มหาบุรุษพระองค์นี้...สามารถประทานคำตอบให้ได้…คำตอบที่จะบอกว่า…
ทำอย่างไรถึงจะพ้นจากวัฏสงสาร
ทำอย่างไรถึงจะไม่ต้องเกิดอีก!

๖๕.ข้าพเจ้าหลับตา น้ำตารินไหลด้วยความปีติ ข้าพเจ้าเคยคิดว่า เมื่อหลับตาแล้วจะพบกับความมืด…
ผิดถนัด! เพราะหากนัยน์ตาหลับ...แต่ดวงใจตื่น จะพบความสว่างจากหัวใจ

๖๖.ก่อนข้าพเจ้าจะเคลื่อนไปสู่ภพใหม่ ...ภพชาติแห่งมนุษย์...ในยุคที่จะได้พบพระพุทธศาสนา
ในมโนทวารข้าพเจ้า ได้ยินเสียงระฆังกังวานไกล แว่วเสียงสวดอันคุ้นหู
...พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
...ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
...สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

นอกจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว ที่พึ่งอื่น...ไม่มี


เรื่องสั้นโดย.... ชลนิล
บทความจาก //dungtrin.com/mag/?17#
ที่มา //www.tamdee.net/db/forum_posts.asp?TID=645&PID=3653



Create Date : 18 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 2 ธันวาคม 2552 15:21:46 น. 0 comments
Counter : 1276 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.