Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2553
 
11 พฤษภาคม 2553
 
All Blogs
 
ความดีที่ไม่สูญ (ท.เลียงพิบูลย์)

ธรรมะ
ความดีที่ไม่สูญ โดย ท.เลียงพิบูลย์
จากหนังสือกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๕


เทศกาลตรุษจีนตรงกับวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๔ เป็นวันถือ เป็นประเพณีเดิมซึ่งถือกันตลอดมา
และเป็นวันหยุดของห้างร้านทั้งจีนและชาวต่างประเทศ ที่เกี่ยวกับกิจการค้า
แม้แต่ธนาคารพาณิชย์ซึ่งปีก่อนไม่หยุด แต่ปีนี้ก็หยุดไปตามกัน

ข้าพเจ้าถือโอกาสในวันหยุดนัดหมายไว้ว่า จะไปพักผ่อนที่ชายหาดทะเลพัทยาพร้อมทั้งเด็กและผู้ใหญ่
ฉะนั้นย่ำรุ่งวันที่ ๑๕ ข้าพเจ้าก็ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ มุ่งตรงไปจุดหมายปลายทางคือ พัทยา
แต่วันนี้รู้สึกว่าโชคไม่สู้จะดี ฝนโปรยมาแต่เช้า ท้องฟ้ามืดครึ้ม
เมื่อรถผ่านด่านเก็บค่าทางบางปูไปได้ไม่ไกลนัก รถก็หยุดลงเครื่องยนต์ไม่ยอมทำงานต่อไป

ข้าพเจ้านำรถเข้าข้างทางแล้วก็ลงมือตรวจแก้ เครื่องมือก็มีไขควงเพียงอันเดียว
นี่เป็นความบกพร่องอันหนึ่งที่ข้าพเจ้านึกตำหนิตัวเองที่ไม่ได้ตรวจดูเครื่องมือให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทางไกล
และข้าพเจ้ายังหย่อนความชำนาญในทางเครื่องยนต์ ฉะนั้นหลังจากแก้ไขไปพักหนึ่งอย่างงูๆ ปลาๆ ก็หมดปัญญา
และนึกขำแต่ในใจว่ารถเจ้ากรรมแต่ไหนแต่ไรไม่เคยเสีย เมื่อจะเสียก็เสียเอาวันสำคัญคือวันตรุษจีน
ทุกหนทุกแห่งเขาหยุดงานหมดตามช่างที่ไหนมาแก้ ซ้ำมาเสียห่างจากกรุงเทพฯ เกือบ ๔๐ กิโลเมตร

คิดแล้วก็ไม่เห็นมีทางอื่นจะดีเท่าโดยสารรถเข้ากรุงเทพฯ แล้วก็เที่ยวหาช่าง
และก็นึกท้อใจ เพราะอู่และช่างที่เคยใช้เป็นประจำ ก็เคยบอกว่าตรุษจีนปีนี้จะไปเที่ยวพระพุทธบาท
ฉะนั้นช่างที่ประจำก็หมดหวังแน่ ช่างอื่นๆ ไม่เห็นเลยในวันตรุษเทศกาลสำคัญเช่นนี้เขาคงหยุด
แม้จะพบก็คงบ่ายเบี่ยงไม่ยอมมาเป็นแน่ นี่เป็นข้อที่น่าหนักใจมาก

แต่ถึงอย่างไรก็ดี ก่อนอื่นจำเป็นจะต้องเข้ากรุงเทพฯ แล้วไปขบปัญหาเอาข้างหน้า ข้อแรกก็หารถโดยสาร
ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงสั่งคนในรถข้าพเจ้าว่าจะไปกรุงเทพฯ
และกว่าจะกลับมาก็เห็นจะหลายชั่วโมงบางทีอาจค่ำก็ได้ เพราะยังนึกไม่ออกว่าจะตามช่างได้ที่ไหน
เคราะห์ดีหน่อยที่ยังมีอาหารและน้ำอยู่ในรถ พอจะแบ่งกันรับประทานกันหิวไปได้

ครั้นเห็นรถบัสโดยสารกำลังผ่านมา ข้าพเจ้าก็ออกมายืนโบกมือเป็นสัญญาณให้หยุดและจะขอโดยสารไปด้วย
ครั้นแล้วรถที่ผ่านมาก็ผ่านไปโดยไม่เบาเครื่อง และบอกสาเหตุที่ไม่ยอมรับ
ข้าพเจ้าบอกตัวเองว่ารถคันนี้คนคงเต็มจึงไม่หยุดรับ
และก็มองไม่เห็นคนในรถเพราะเอาผ้าใบลงกันฝนทั้งสองข้าง

แต่แล้วคันหลังๆ ก็เหมือนกับคันแรก โดยผ่านมาแล้วก็ผ่านไปโดยไม่ยอมเบาเครื่อง
และข้าพเจ้าก็บอกตัวเองว่าเราคงจะขึ้นผิดที่เสียแล้ว เห็นจะเป็นเพราะไม่มีป้ายบอกหยุดรับส่งผู้โดยสาร
รถส่วนบุคคลที่ผ่านเข้ากรุงเทพฯ ก็มีคนนั่งเต็ม
บางคันก็เป็นรถรับจ้าง ซึ่งมีผู้เช่าเดินทางไกลก็มีคนนั่งเต็มเหมือนกัน

รถส่วนบุคคลบางคันที่ผ่านมาจะเข้ากรุงเทพฯ พอดีจะอาศัยนั่งได้บ้างก็ไม่ยอมหยุด
หันมาหัวเราะเหมือนข้าพเจ้าเป็นตัวตลกเต้นอยู่กลางฝนเช่นนั้น แต่แล้วฝนก็ลงหนาเม็ดขึ้น
ข้าพเจ้าจึงต้องรีบขึ้นไปนั่งหลบฝนอยู่บนรถ นั่งมองดูน้ำฝนไหลตามกระจก
นึกขันตัวเองที่รถบัสโดยสารไม่ยอมรับข้าพเจ้าก็ดี
รถส่วนบุคคลที่ไม่ยอมรับและหัวเราะเหมือนข้าพเจ้าเป็นตัวตลกก็ดี ข้าพเจ้าไม่ได้โกรธและไม่เคยนึกโกรธ
เพราะความโกรธคือความทุกข์ ธุระอะไรที่ข้าพเจ้าจะเอาความทุกข์มาใส่ตัว
ข้าพเจ้าได้แต่ขำตัวเอง

บัดนี้ฝนหนาเม็ดขึ้น ได้แต่นั่งจับเจ่าอยู่ในรถไปไหนไม่ได้
แล้วก็หวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ ๒ ประเทศไทยกำลังขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
ราคาน้ำมันเบนซินแพงต้องปัน ส่วนตลาดมืดมีขายก็ราคาสูง รถยนต์วิ่งตามถนนน้อยลงอย่างผิดตา
ค่าโดยสารและค่าขนส่งสูงขึ้นหลายเท่าตัว ผ่านคลองด่านมาได้ไม่กี่กิโลเมตรก็เห็นผู้คนพลุกพล่านผิดปกติ

ข้าพเจ้าเป็นคนอยากรู้อยากเห็นจึงหยุดรถที่หน้าบ้านครูเที่ยง ซึ่งเป็นครูใหญ่โรงเรียนประชาบาลแถวนั้น
เมื่อถามดูก็ได้ความว่า เมื่อบ่ายโมงมีรถยนต์โดยสารจากศรีราชาจะเข้ากรุงเทพฯ ได้มาหยุดลงที่หน้าบ้านครูเที่ยง
ครั้นแล้วก็มีผู้คนพยุงหญิงสาวผู้หนึ่งลงจากรถ ผู้หญิงนั้นแสดงว่าเจ็บปวดมากไม่สามารถจะเดินทางต่อไปได้
คนรถจึงนำลงทั้งๆ ที่ผู้หญิงไม่รู้จักใครในตำบลนี้เลย เป็นการเดินทางมาคนเดียว

ครูเที่ยงกับภรรยาเป็นผู้มีใจดีได้จัดการให้เข้าพักในบ้าน ปรากฏว่าครรภ์แก่คงจะคลอดบุตร
ครูเที่ยงจัดการกั้นม่านให้ลับตาคน แต่แล้วก็ไม่คลอด การเจ็บปวดทวีมากขึ้น
ฉะนั้นชาวบ้านจึงวิ่งวุ่นหายากลางบ้านมาช่วยตามมีตามเกิด ส่วนมากเป็นยาแผนโบราณแต่ไม่ได้ผลหรือทำให้ดีขึ้น
ครูเที่ยงแสดงความวิตกทุกข์ร้อน จะหาหมอแผนใหม่และแผนโบราณก็ไม่มีในตำบลนี้หรือใกล้เคียง
จะถามถึงชื่อเสียงและญาติพี่น้องของหญิงนั้นว่า อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้เรื่อง เพราะแกเจ็บปวดจนไม่ได้สติ
ข้าพเจ้าสงสารและเห็นอกเห็นใจ

ครูเที่ยงเป็นผู้ที่มีมนุษยธรรมดี สงเคราะห์ผู้ที่อยู่ในยามเจ็บไข้ได้ทุกข์
และตนเองก็ต้องหนักอกเป็นทุกข์เป็นร้อนเพราะผู้ป่วยมีอาการหนักขึ้น
และชาวบ้านแถวนั้นก็มีจิตใจสูงที่ได้ช่วยเพื่อนมนุษย์ตาดำๆ ด้วยกันอย่างเต็มอกเต็มใจ

ข้าพเจ้าเองก็มีทางที่จะช่วยได้บ้างและสงสารเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ข้าพเจ้าจึงบอกครูเที่ยงว่า ข้าพเจ้าจะเข้ากรุงเทพฯ รีบไปรับหมอมาโดยเร็ว แม้จะเสียเวลานานหน่อยแต่ก็แน่นอน
ครูเที่ยงแสดงความดีใจและมีหวังขึ้นมา ข้าพเจ้ามิได้รอช้ารีบขึ้นรถเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ทันที

ตรงไปที่นเรศพยาบาล ถนนนเรศสี่พระยา ซึ่งนายแพทย์ประวัติฯ เป็นผู้อำนวยการ
พอจอดรถที่หน้าตึก ข้าพเจ้ารีบไปด่วนและร้องเรียกหมอตั้งแต่ขึ้นบันได
แต่บังเอิญวันนั้นหมอไม่ได้ไปไหน ข้าพเจ้าโล่งใจเพราะกลัวว่าจะไม่พบหมอ
ข้าพเจ้าบอกว่าเร็วด่วนหมอ มีคนป่วย...….. จะคลอดบุตรกำลังเจ็บปวดมาก........
หมอรีบเก็บเครื่องมือและยาใส่กระเป๋าแล้วถามถึงตำบลที่จะไป
ข้าพเจ้าบอกให้ทราบแล้วก็รีบฉวยกระเป๋ารีบออกมาขึ้นรถ มีหมอตามติดมาด้วย
ข้าพเจ้าเร่งน้ำมันเต็มที่เพราะเวลานั้นถนนไม่ค่อยจะมีรถมากนัก จราจรก็ไม่มี ข้าพเจ้าจึงทำเวลาให้เร็วพอใช้
พอถึงข้าพเจ้าก็มองเห็นครูเที่ยงคอยดูเราอยู่แล้ว พอเห็นเรากลับมาถึงก็แสดงความยินดี บอกว่าไปมาได้เร็วมาก
ข้าพเจ้าทราบจากครูเที่ยงว่าคนไข้ไม่มีอาการอะไรดีขึ้นเลย หมอได้รีบตรวจอาการด่วนและให้ยาและฉีดยา

ข้าพเจ้านั่งสนทนากับชาวบ้านอยู่ข้างนอก ครู่ใหญ่ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงทารกร้อง
พวกเราพากันดีใจและเข้าใจว่าคนไข้คงจะปลอดภัยแล้ว สักครู่หมอก็ออกมาบอกว่า “พ้นอันตรายแล้ว”
หมอได้มอบยาไว้ให้และบอกวิธีปฏิบัติ จากนั้นข้าพเจ้าก็พาหมอกลับกรุงเทพฯ บุตรที่คลอดทราบว่าเป็นหญิง

แล้วก็ลืมเหตุการณ์ครั้งนั้นเสียสิ้น และเป็นเหตุบังเอิญเมื่อ ๒ ปีก่อนข้าพเจ้าได้พบเพื่อนผู้หนึ่ง
ซึ่งเรามิได้พบกันประมาณยี่สิบกว่าปี เพราะต่างแยกย้ายกันไปไม่ได้พบกันเลย เมื่อข้าพเจ้าเข้าไปนั่งในบ้าน
เพื่อนผู้นี้ก็เรียกภรรยาออกมาให้รู้จัก และข้าพเจ้าเองก็ไม่เคยพบเห็นภรรยาของเพื่อนผู้นี้มาก่อน
แต่ภรรยาของเพื่อนผู้นี้บอกว่าเคยรู้จักข้าพเจ้ามาก่อนแล้ว แต่ยังไม่รู้จักตัว ข้าพเจ้าก็งง นึกไม่ออก
แต่แล้วภรรยาเพื่อนก็เรียกหญิงรุ่นสาวออกมาทำความเคารพข้าพเจ้า
แล้วก็เล่าเรื่องที่บุตรสาวคนนี้ คลอดที่บ้านครูเที่ยงเมื่อคราวสงครามโลกครั้งที่ ๒ ข้าพเจ้าจึงนึกได้
นี่เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าช่วยด้วยความสงสาร

ในถนนสายเดียวกันที่ข้าพเจ้ากำลังนั่งมองดูน้ำฝนไหลผ่านกระจก โดยไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีกว่านี้
อีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าจำได้ว่าเป็นเวลาเย็น ข้าพเจ้าได้เดินทางมาที่สมุทรปราการและกำลังจะกลับบ้าน
มีชายคนหนึ่งเข้ามาถามข้าพเจ้าว่ากำลังจะไปไหน ข้าพเจ้าบอกว่าจะกลับกรุงเทพฯ
ชายผู้นั้นก็แสดงความหมดหวัง
ข้าพเจ้าถามว่าจะไปไหน ก็ได้ทราบว่ารถยางแตกอยู่ที่คลองด่านทางที่จะแยกไปประตูน้ำ
โดยต้องอาศัยรถผ่านนำยางที่แตกมาปะๆ เสร็จแล้วจะหารถนำยางที่ปะแล้วไปใส่ ก็หารถโดยสารไปไม่ได้
รถก็ทิ้งอยู่กลางทาง ความจริงข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักท่านผู้นี้มาก่อนเลย
แต่หวนนึกถึงว่าข้าพเจ้าไปยางแตกเช่นนี้บ้าง และกำลังมองหาผู้เห็นอกเห็นใจเช่นนี้

คิดแล้วข้าพเจ้าก็ตกลงใจไปส่งถึงที่รถยางแตกก็พอดีค่ำ ข้าพเจ้าทราบภายหลังว่าท่านผู้นี้มาหลบภัย
และบ้านอยู่ซอยโรงหนังบางกะปิ เมื่อออกจากแยกคลองด่านเวลาค่ำแล้วจะกลับบ้าน เมื่อผ่านมาถึงแถวบางปู
ไฟหน้าฉายเห็นมีรถยนต์อยู่ข้างทางคันหนึ่ง และมีผู้ยืนอยู่กลางถนนโบกมือให้ข้าพเจ้าหยุด
ก็ทราบว่ารถของท่านผู้นั้นน้ำมันหมด จะขอโดยสารรถไปซื้อน้ำมันที่ปากน้ำ
ครั้นถึงปากน้ำแล้วขอร้องให้ข้าพเจ้าไปส่งที่บางปู ข้าพเจ้าก็เห็นใจเพราะไม่มีรถไป
ภายหลังข้าพเจ้าจึงทราบว่าท่านผู้นั้นเป็นนายตำรวจ

ข้าพเจ้าคิดถึงเรื่องเหล่านี้แล้วทำให้จิตใจสบายขึ้นอย่างประหลาด เพราะข้าพเจ้าทำไปด้วยเห็นอกเห็นใจ
ไม่เคยหวังอะไรตอบแทน เกิดมั่นใจว่าทุกคราวที่คับขันมองไม่เห็นทางออก
แต่แล้วเมื่อถึงนาทีสุดท้ายก็มีทางออกอย่างงดงามเสมอ ข้าพเจ้าคิดว่าคนเราสร้างความดีคงไม่สูญแน่
คิดไปแล้วหลายเรื่องฝนก็ยังไม่หาย

บัดนี้หวนไปนึกถึงเรื่องเก่าแก่ แม้จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับถนนสายนี้ จิตใจของคนในครั้งนั้นข้าพเจ้ายังจำได้ทุกวันนี้
คือเมื่อครั้งเปิดถนนสายกรุงเทพฯ - สมุทรปราการใหม่ๆ ทางสมุทรปราการมีงานต้อนรับชาวกรุง
มีทั้งตลาดนัดเช้าและโยนห่วงปาเป้า ข้าพเจ้าเวลานั้นก็นัดเพื่อนฝูงไว้หลายคนจะออกจากกรุงเทพฯ ก่อนย่ำรุ่ง
โดยข้าพเจ้าจะนำรถออกตระเวนรับเพื่อนๆ ตามบ้าน เมื่อถึงเวลากำหนดและรับเพื่อนครบตามจำนวนแล้ว
ข้าพเจ้าขับรถมุ่งหน้าตรงไปสมุทรปราการทันที เช้าวันนั้นเราเที่ยวเตร่กันจนเป็นที่จุใจ
แล้วพอสายหน่อยเราก็ชวนกันกลับ การกลับคราวนี้ยังสรวลเสเฮฮากันอย่างสนุกสนานเบิกบาน
ล้อเลียนตามภาษาเพื่อนๆ ที่สนิท พอรถเลี้ยวโค้งที่จะเข้าเขตสำโรงกึ่งกลางระหว่างโค้งกับสะพานสำโรง
ก็เกิดเหตุขึ้นคือ คุณตุ๊ วัชราธร ชะโงกหน้าออกมาชี้มือให้ข้าพเจ้าดูแล้วตะโกนว่า
“เฮ้ย ? นั่นล้ออะไรวะ มันวิ่งแข่งกับล้อรถลื้อ”

ข้าพเจ้ามองตามมือชี้ก็เห็นล้อรถกำลังวิ่งออกนำหน้ารถข้าพเจ้าไป
จากนั้นเพื่อนที่นั่งข้างหลังอีกสามคนก็ชะโงกออกมาดู ต่างแปลกใจถ้าเป็นกลางคืนก็คิดว่าผีหลอก
แต่เพื่อนนั่งข้างหลังไม่ทันเห็น รถก็เอียงตะแคงวูบลงไป บังโคลนครูดกับถนนเป็นทางยาว
ข้าพเจ้าร้องออกมาได้แต่เพียง “จบกัน ล้อรถอั้วเอง”

แม้รถเราจะตะแคงหยุดลงแล้ว เจ้าล้อมันวิ่ง ปุเรง ! ปุเรง ! อย่างอิสระโดยไม่ยอมหยุด
แล้วมันก็กระดอนออกไปลงอยู่ในคูคลอง ร้อนถึงเด็กเลี้ยงควายโดดลงไปเอาขึ้นมาให้
ฝรั่งคนนั้นขับตามหลังเห็นเหตุการณ์รถของเรามาตลอด ฝรั่งผู้นั้นหัวเราะจนตัวงอ หน้ารถคันนั้นส่ายไปส่ายมา
เมื่อเราหายตะลึงแล้วก็พากันออกมายืนดูรถเพลาหลัง และก็พากันหัวเราะจนน้ำตาไหล

เมื่อข้าพเจ้าตรวจดูแล้วก็หมดหนทางที่จะนำรถกลับได้
เพราะน๊อตหัวเพลาแตกลิ่มเพลาท้ายตกกระเด็นหายไปหาไม่พบ... ไม่มีทาง... หมดทาง ข้าพเจ้าบอกเพื่อนๆ
แต่แล้วรถตามหลังมาก็พากันหยุดและลงมาถามว่า จะให้ช่วยอะไรได้บ้าง

ข้าพเจ้ารู้สึกตื้นตันในน้ำใจของท่านเหล่านั้น ที่ได้หลั่งความเห็นอกเห็นใจ
บัดเดี๋ยวใจข้างถนนก็มีรถจอดกันเป็นทิวแถว ทุกคนต่างลงมาจากรถมาถามพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ
ข้าพเจ้าบอกขอบคุณทุกท่าน ที่คอยให้ความช่วยเหลือที่มีจิตใจเมตตากรุณา
บอกว่าน๊อตหัวเพลาแตกลิ่มเพลาหาย ล้อจึงออกมา และแม่แรงในรถก็ไม่มี

แต่แล้วคุณพระมาตลี (ผิว) บอกว่าไม่ต้องแม่แรง ช่วยกันยกแล้วเอาหินข้างทางมารอง
แล้วในไม่ช้ารถของข้าพเจ้าก็ถูกยกขึ้นด้วยกำลังคน มีก้อนหินข้างทางรองอยู่เบื้องล่าง
ข้าพเจ้าจำได้ว่าคุณพระฯ ได้กลับไปที่รถของท่าน ค้นอะไรอยู่พักหนึ่งทางท้าย แล้วก็หยิบเอาลิ่มออกมา
แล้วมาเทียบเข้ากับเพลารถของข้าพเจ้าก็เข้ากันได้พอดี
แล้วข้าพเจ้าก็เห็นคุณหมอทองอยู่ฯ ห้างขายยาปราสาททองก็ไปค้นหีบเครื่องมือที่รถ
ไม่ช้าก็ได้น๊อตหัวเพลามาอันหนึ่ง เมื่อมาใส่แล้วขันเกลียวเข้ากันดี
มันเป็นเรื่องที่ประหลาดและเหมาะเจาะอะไรเช่นนั้น
จากนั้นข้าพเจ้าก็ได้รับความกรุณาจากคุณพระมาตลีจัดการเรียบร้อย
ข้าพเจ้าอดที่จะระลึกถึงเหตุการณ์เหล่านี้เสียมิได้
และยังนึกขอบคุณท่านที่ได้ช่วยเหลือรถของข้าพเจ้ากลับถึงกรุงเทพฯ โดยเรียบร้อย

ข้าพเจ้านึกถึงเรื่องเก่าๆ เพลิน ฝนซาลง
จำเป็นที่จะต้องรีบด่วนเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อหาช่างมาแก้รถให้เรียบร้อย แม้มีความหวังน้อยแต่ก็ต้องลองดู
พอดีข้าพเจ้ามองเห็นรถจิ๊บคันหนึ่งวิ่งมาแต่ไกลกำลังจะผ่าน มองเห็นในรถมีแต่คนขับคนเดียว
ข้าพเจ้ารีบออกไปโบกมือให้รถหยุด เมื่อรถหยุดข้าพเจ้าก็ขอโดยสารเข้ากรุงเทพฯ
ผู้ขับนั้นเป็นชายหนุ่ม แสดงความยินดีที่ให้ข้าพเจ้าโดยสารไปด้วย
ข้าพเจ้าโล่งใจที่ปัญหาข้อแรกได้ผ่านพ้นไปแล้ว ยังหนักใจเมื่อถึงกรุงเทพฯ แล้วจะหาช่างที่ไหน

ทันใดนั้น ชายหนุ่มถามถึงจุดประสงค์ ข้าพเจ้าบอกว่ารถเสีย ไฟไม่เข้าหัวเทียน ตั้งใจไปตามช่างกรุงเทพฯ
ชายหนุ่มผู้นั้นแสดงความหนักใจแทนข้าพเจ้า บอกว่าไปตามช่างวันนี้เห็นจะไม่สำเร็จแน่
เพราะเป็นวันหยุดทุกแห่ง แต่แล้วก็บอกว่าผมอยากจะลองช่วยคุณแก้ดูว่าเกี่ยวกับไฟพอมีทาง
หากผมแก้ไม่ตก ผมคิดว่าอย่าเสียเวลาเข้ากรุงเทพฯ เลย เพราะเวลานี้บ่ายแล้วไปมาจะค่ำคงไม่ทัน
และช่างคงหาไม่ได้ ผมมีเชือกอยู่ท้ายรถพอจะลากเข้ากรุงเทพฯ ได้
ข้าพเจ้าได้ฟังคำพูดของชายหนุ่มผู้มีจิตใจสูงผู้นี้ ก็ร้อนวูบขึ้นมาทันที ความหวังก็เกิดขึ้นในนาทีสุดท้าย

แม้ชายผู้นี้จะแก้รถของข้าพเจ้าไม่ตก ก็ยังมีหวังที่จะลากจูงเข้ากรุงเทพฯ ได้โดยมิต้องค้างแรมอยู่กลางทาง
ทันใดชายผู้นั้นกลับรถถอยหลังมาจอดชิดกับรถของข้าพเจ้า แล้วหยิบเครื่องมือออกมาจากรถ
ข้าพเจ้าเกรงใจเพราะฝนยังไม่หาย แม้จะตกไม่นานนักก็ทำให้เปียกได้ ขอให้รอฝนหายเสียก่อนค่อยลงมือ

แต่ชายผู้นั้นบอกว่าไม่เป็นไร สมกับคำ “อันความกรุณาปราณี จะมีใครบังคับก็หาไม่ฯ”
รู้สึกว่าชายผู้นี้มีความชำนาญในเครื่องยนต์ไม่น้อย
ใช้เวลาแก้ไขไม่นานนัก รถก็มีชีวิตชีวาขึ้นพร้อมที่จะรับใช้ต่อไป
นับว่าโชคดีอย่างประหลาด ที่มาพบชายผู้นี้ได้แก้ปัญหาหนักอกสุดสิ้นไป
และยังนึกขอบใจรถที่ผ่านๆ มานั้นไม่ยอมรับข้าพเจ้าเข้ากรุงเทพฯ
มิฉะนั้นข้าพเจ้ามัวตามช่างที่ไม่แน่นอนและไม่รู้จะสิ้นสุดเมื่อใด

ต่อจากนั้นข้าพเจ้าก็ออกเดินทางต่อไปจนถึงจุดหมายปลายทาง และกลับมาถึงกรุงเทพฯ โดยเรียบร้อย
ทั้งนี้เพราะความกรุณาปราณีซึ่งไม่หวังสิ่งใดตอบแทน ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย
แม้ชายผู้นั้นจะอ่อนวัยกว่าข้าพเจ้ามาก แต่ความดีที่มีเมตตากรุณาทำให้ข้าพเจ้าเคารพนับถือด้วยความจริงใจ
ชายผู้นั้นคือ คุณธีระ อยู่จังหวัดชลบุรี


................ เอวัง ................


ที่มา : //www.dhammajak.net


Create Date : 11 พฤษภาคม 2553
Last Update : 11 พฤษภาคม 2553 23:41:15 น. 0 comments
Counter : 894 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.