Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2553
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
5 กรกฏาคม 2553
 
All Blogs
 
การลงโทษลูกด้วยการตีเป็นบาปหรือไม่



ถาม – การทำโทษลูกด้วยการตีนั้น บาปหรือไม่ครับ
ถ้าบาปเราจะสอนเขาอย่างไร เพราะเขาไม่ยอมเชื่อฟังเราเลย
อีกอย่างที่อยากทราบคือการดุว่าลูกดังๆ เพื่อขู่บ่อยๆ นั้นจะเป็นการสะสมโทสะ เป็นโทษเป็นภัยกับตัวเองหรือไม่?



ถึงวันนี้ การมีลูกเป็นเรื่องน่าเห็นใจมากครับ
เพราะที่จะเลี้ยงเด็กรุ่นใหม่ให้สงบเยือกเย็นน่ารักน่าเอ็นดูนั้น ยากเหลือเกิน
เนื่องจากสิ่งกระตุ้นรอบข้างเจืออยู่ด้วยราคะ โทสะ โมหะเข้มข้น ยั่วยุให้เด็กอยากทำอะไรก็ทำ
ไม่ค่อยอยากยับยั้งชั่งใจ และเมื่อลูกไหลออกมาจากท้องแล้ว คุณจะเปลี่ยนใจจับยัดกลับคืนที่ก็ไม่ได้
ถูกใจหรือไม่ถูกใจ ขอเปลี่ยนแบบสินค้ารับประกันคุณภาพไม่ได้เสียด้วย

ก่อนจะเข้าเรื่องบาปหรือไม่บาปกับการตีลูก ขอยกตัวอย่างการทำโทษลูกที่น่าประทับใจ
และทุกคนต้องเชื่อตรงกันว่าเป็นบุญแน่ๆ ก่อนนะครับ ที่จะเล่านี้เป็นเรื่องของหลานชายมหาตมะคานธี
ซึ่งมีนามว่าอาลุน คานธี ผมเอามาจากหนังสือชื่อ Don’t Eat the Marshmallow… Yet!
แปลเป็นไทยชื่อ ‘วิธีคิดที่ทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จ’

เมื่ออาลุนอายุ ๑๗ ปี เขาขับรถไปส่งพ่อที่ทำงานซึ่งอยู่ห่างจากบ้านประมาณ ๑๕ กิโลเมตร
พอส่งเสร็จเขาก็ได้รับคำสั่งจากพ่อให้นำรถไปเข้าอู่ซ่อม และคอยรถจนกว่าจะเสร็จ
แล้วต้องกลับมารับท่านตอนเลิกงาน ๕ โมงเย็น

เบื้องต้นอาลุนก็ปฏิบัติตามคำสั่งดี นำรถไปเข้าอู่ให้พ่อ
แต่ปรากฏว่าช่างสามารถซ่อมรถเสร็จตั้งแต่เที่ยงวัน อาลุนจึงเหลือเวลาร่วม ๕ ชั่วโมงกับการฉายเดี่ยว
ขับรถตระเวนไปรอบเมือง แวะดูหนังจนกะโมงยามผิด กว่าหนังจะจบก็ปาเข้าไป ๖ โมงเศษแล้ว
แน่นอนกว่าจะไปถึงที่ทำงานของพ่อ ก็ต้องปล่อยให้ท่านแกร่วรอมาแล้วราวชั่วโมงเศษ

พออาลุนมาถึงก็ขอโทษขอโพยใหญ่ พ่อของอาลุนไม่ว่าอะไร เพียงถามด้วยความเป็นห่วงว่าเกิดอะไรขึ้น
แล้วประสาเด็กวัยรุ่นที่รักตัวกลัวอาญาพ่อ อาลุนได้ใส่ความช่างซ่อมรถ หาว่าเป็นพวกหน้าโง่
กว่าจะเจอจุดที่เสียว่าอยู่ตรงไหนก็ครึ่งค่อนวัน เพิ่งซ่อมเสร็จหยกๆ นี่เอง

พ่อของอาลุนอึ้งงัน เพราะเพิ่งโทรศัพท์ไปสอบถามกับอู่ซ่อมรถเมื่อเวลา ๕ โมงครึ่ง
ด้วยความเป็นห่วงกับการล่าช้าอย่างผิดปกติ เกรงจะเกิดเรื่องร้ายกับลูกชายตน
และก็ยิ่งห่วงหนักขึ้นเมื่อทราบจากทางอู่ว่ารถเสร็จตั้งแต่เที่ยง

มาบัดนั้น เมื่อได้ฟังการรายงานแบบปั้นน้ำเป็นตัวของลูกชาย เขาตัดสินใจเพียงครู่ก็สั่งเรียบๆว่า
“ลูกพ่อ ขับรถไปเถิด พ่อจะเดินกลับบ้านเอง”

จากอาการประหม่ากลัวโดนทำโทษ อาลุนเปลี่ยนเป็นตกใจตะลึงงง
เพราะระยะทาง ๑๕ กิโลเมตรในเวลาย่ำค่ำไม่ใช่เรื่องตลก เขาโวยวายคัดค้านการตัดสินใจของพ่อ
เพียงเพื่อฟังคำตอบสะเทือนโสต ที่สามารถพลิกชีวิตของเขาให้เปลี่ยนไปตลอดกาล

“ลูกพ่อ ถ้าสิบเจ็ดปีที่ผ่านมาพ่อไม่สามารถทำให้ลูกไว้วางใจพ่อได้ ก็แปลว่าพ่อต้องเป็นพ่อที่แย่มาก
สมควรแล้วที่จะเดินเท้ากลับบ้าน เพื่อคิดให้ออกว่าจะทำตัวเป็นพ่อที่ดีขึ้นกว่านี้ได้ยังไง
ขอให้ลูกอภัยกับความเป็นพ่อที่ไม่ดีพอตลอดเวลาที่ผ่านมาด้วยเถิด”


เมื่อพ่อเริ่มออกเดิน อาลุนก็ก้าวขึ้นรถยนต์และขับตามไป เขาจอดเป็นระยะเพื่อวิงวอนขอร้องให้ท่านขึ้นรถ
แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ พ่อยังคงเดินหน้าและพูดสั่ง “ไม่หรอกลูก กลับบ้านเถอะ กลับบ้านไป”

ครั้งนั้นอาลุนไม่ฟังคำสั่ง ไม่ยอมทิ้งพ่อกลับบ้านไปก่อน
แต่แม้ขอร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ได้รับการยืนกรานปฏิเสธทุกครั้งไป เขาเหน็ดเหนื่อยแทบขาดใจกับการอ้อนวอน
และแม้อยู่ในรถก็นั่งอย่างไม่เป็นสุข ไม่ต่างจากลงเดินเท้าร่วมกับพ่อสักเท่าใดนัก

กระทั่งลุถึงบ้านพร้อมกันในเวลาเกือบห้าชั่วโมงครึ่งต่อมา ฝ่ายบิดาก็ทิ้งลูกชายเข้าห้องนอนไปเฉยๆ
ไม่ดุด่า ไม่เฆี่ยนตี ไม่ทำอะไรอื่นใดทั้งสิ้น แน่นอนว่าคืนนั้นอาลุนโดนความรู้สึกผิดหลอกหลอนไปจนถึงเช้า
และอาจจะต่อเนื่องอีกหลายๆ คืนด้วยประสบการณ์เขย่าประสาทส่งผลให้อาลุนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
เขากล่าวว่า “หลังจากนั้น ผมก็ไม่เคยโกหกมนุษย์หน้าไหนอีกเลย!”

อ่านแล้วชอบเรื่องนี้มากครับ โดยเฉพาะเมื่อทราบว่าเกิดขึ้นจริงๆ
มันทำให้ผมได้แง่คิดว่าโลกเรามีเรื่องราวเป็นพันล้านเรื่องทุกวัน ทุกชั่วโมง และทุกวินาที
แต่กรรมขาวอันยิ่งใหญ่น่านับถือของคนบางคนเท่านั้น ที่ทำให้มีเพียงบางเรื่องสมควรถูกบันทึกไว้เล่าขาน
เป็นแรงบันดาลใจไม่รู้ลืม

ลองคิดดูว่าถ้าคุณเป็นพ่อของอาลุน คุณจะทำอย่างไร?
แน่ยิ่งกว่าแช่แป้ง พ่อทุกคนที่จับได้ว่าลูกโกหกตน ทำให้ตนต้องแกร่วรอเป็นชั่วโมง
ย่อมอยากทำโทษในทางใดทางหนึ่ง
สถานเบาคือด่าว่าด้วยความฉุนเฉียว สถานหนักอาจตบกบาลกันกลางถนนเดี๋ยวนั้น!

วิธีโต้ตอบกับสถานการณ์ที่ไม่ให้โอกาสคิดนานนั้น สะท้อนตัวตนอันเป็นปกติของคนๆ หนึ่งได้อย่างชัดเจน
ดังจะเห็นว่าพ่อของอาลุนต่างไปจากพ่อคนอื่น ท่านมีสติ มีความสงบ มีความคิดอ่านเสมอต้นเสมอปลาย
สิ่งที่เราได้เห็นคือตัวตนของพ่อผู้มีน้ำใจประเสริฐ ยอมเหนื่อยเดินเท้า ๑๕ กิโลเมตรเพียงเพื่อดัดนิสัยลูกให้ดีขึ้น
คุณเห็นเลยว่านี่เป็นการฉายภาพแห่งบุรุษแท้ที่แข็งแกร่ง ตั้งมั่น และทำสำเร็จในกิจอันเป็นไปเพื่อมหากุศล
นี่อาจน่าคารวะยิ่งกว่านักรบผู้พิชิตร้อยสมรภูมิเสียอีก

คุณคาดหมายได้ว่าลูกผู้มีพ่อที่มั่นคงราวหินผาเช่นนี้
จะเติบโตขึ้นเป็นชายที่แข็งแกร่งและทนเพียรทำดีให้สำเร็จ เจริญรอยตามพ่อได้เช่นกัน

ว่ากันถึงข้อสรุปเบื้องต้นก่อนนะครับ เมื่อใดคุณมีสติ และหักห้ามใจตัวเองไม่ให้ทำตามกิเลสได้
สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาจะเป็นปัญญาเห็นทางออกที่ดีขึ้นเสมอ

นี่เป็นความจริง การห้ามใจไม่ดุด่าทันที ไม่ตีลูกทันที จะทำให้คุณคิดออกตามพื้นฐานสติปัญญาของตัวเองว่า
ควรทำอย่างไร มีช่องทางไหนในสถานการณ์หนึ่งๆ ที่จะเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีได้

ถ้าตั้งใจให้ลูกดีขึ้น ถ้าตั้งใจให้ลูกเชื่อฟัง คุณต้องไม่พูด ไม่ลงมือด้วยโทสะ
แต่ต้องหนักแน่นด้วยขันติที่เจืออยู่ด้วยเมตตา กับทั้งประกอบพร้อมด้วยความเป็นกลางวางเฉย
คุณจะเกิดปัญญาสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เอง
ยิ่งเกิดปัญหาบ่อยก็ยิ่งลับปัญญาให้คม และสามารถคิดอ่านได้แหลมคมยิ่งๆ ขึ้นอย่างไม่มีอะไรเทียบได้เลย

ขันติและเมตตาจะทำให้น้ำเสียงของคุณนุ่มนวลลงกว่าตอนกำลังโมโห
ซึ่งก็จะเป็นแสงสว่างชำแรกความมืดหม่นในจิตใจลูกให้หายไป หรือลดน้อยถอยลงได้ไม่มากก็น้อย

คนเราไม่ค่อยคิดฝึกห้ามใจ จึงไม่ค่อยมีใครรู้รสของการเป็นคนแข็งแรงและมีอำนาจอยู่เหนือกิเลส
กับทั้งไม่รู้ว่าเมื่อมีอำนาจอยู่เหนือกิเลสแล้ว สติปัญญาจะมาได้มากขนาดไหน

คราวนี้ขอตอบตรงคำถาม คือที่คุณตีๆ ลูกไปนั้นจะเป็นบาปเพียงใด
อันนี้เราต้องพิจารณาตามจริงว่าการตีลูกมีหลายแบบ ต่างกันที่เจตนา
ตีลูกประชดผัวที่ไม่รับผิดชอบครอบครัวก็มี ตีลูกเพราะเมาเหล้าอาละวาดก็มี
ตีลูกให้เข็ดหลาบจากการทำตัวเลวๆ ก็มี ตีลูกเพื่อให้สำนึกว่าทำอะไรลงไปก็มี
เมื่อตีไปแล้ว ลูกเจ็บตัวแล้ว ไม่ว่าด้วยเหตุผลกลใด เจตนาดีร้ายแบบไหน
พ่อแม่ส่วนใหญ่จะรู้สึกเหมือนๆ กันคือสงสารลูก

ว่ากันว่าถ้าตอนเป็นเด็กเคยโดนตีไว้มาก โตขึ้นจะระงับความโมโหยาก แล้วก็มาลงเอากับลูกของตัวเอง
ซึ่งดูไปก็เหมือนห่วงโซ่แห่งเวร โดนพ่อแม่ตีมา ก็มาตีลูกตัวเองต่อ
พอตีลูกตัวเอง อีกหน่อยก็ไปเกิดกับพ่อแม่ที่นิยมการตีลูกเป็นงานอดิเรกอีก

ลูกไม่ใช่สัตว์เลี้ยง แต่หลายคนมักเผลอลืม และตีลูกได้ด้วยอารมณ์ประมาณเดียวกับทุบตีสัตว์เลี้ยง
การทำให้คนอื่นเจ็บกายเจ็บใจนั้น เป็นการทำให้เกิดทุกขเวทนาทางกายและทางใจ
เมื่อให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นยากจะไม่ย้อนกลับมาถึงตัว

อีกประการหนึ่ง การให้ทุกข์แม้ทางกาย ย่อมเพาะเชื้อของความเกลียด ความกลัว
หรือทั้งเกลียดและกลัวขึ้นในใจอีกฝ่ายด้วยเป็นของแถม
ฉะนั้นการตีจึงไม่ใช่นโยบายที่ดี และควรเป็นมาตรการท้ายสุด หลังจากไม่พบทางออกอื่นอีกแล้ว

หากรู้ตัวว่ากำลังอยู่ในอารมณ์โกรธ การออกห่างจากลูกสักพักอาจช่วยได้มาก
เพราะคนเราตอนโกรธนะครับ อยู่ใกล้ใครหรืออะไรก็พาลพาโลกับคนนั้นหรือสิ่งนั้นแหละ
ขอให้คิดถึงผลเสียที่จะตามมามากๆ ทั้งการที่ลูกผูกใจเคียดแค้นคุณ
และทั้งการที่คนอื่นอาจได้รับผลร้ายจากความเก็บกดของลูกคุณ

อย่างไรก็ตาม ให้มองตามจริงอีกเช่นกัน ตามสำนวนรักวัวให้ผูก รักลูกให้ตีนั้น
ถ้าไม่มีความหมายอยู่เลยก็คงไม่จดจำกัน มนุษย์เราเหมือนม้าพยศ หากไม่มีมาตรการเด็ดขาดเพื่อกำราบเสียบ้าง
ก็อาจดิ้นหนีหรือทำเรื่องร้ายตามสัญชาตญาณดิบไม่สิ้นสุด
หากทำโทษด้วยความปรารถนาดี ไม่อยากให้เขาเป็นภัยแก่ตนและคนอื่น
ก็สบายใจได้ว่าในเบื้องต้นจิตของคุณตั้งขึ้นด้วยเจตนาที่เป็นบุญ

มันเริ่มต้นกันที่ใจ แม้การตีจะเป็นบาปอันเกิดจากการทำร้าย
แต่ถ้าใจคุณมีสติด้วยความตั้งใจดีเป็นพื้น ก็ช่วยแบ่งเบาบาปได้ครับ
กล่าวคือหากมีสติครบถ้วน ไม่เจือด้วยโทสะเลย
หวังจะให้การทำโทษเป็นมาตรการเด็ดขาดเพื่อความถูกต้อง ก็อาจเป็นบุญ ๗๕% เจืออยู่ด้วยบาป ๒๕%
ต่างจากการตีด้วยความโกรธ หรือด้วยความถืออำนาจแห่งความเป็นพ่อแม่ ซึ่งจะเป็นบาปเต็ม ๑๐๐% ครับ

ตามที่เห็นนะครับ เด็กบางคนแม้โดนตีหลายต่อหลายครั้ง ก็ไม่จำเป็นต้องเสียสุขภาพจิตหรือมีปมแค้นฝังใจ
มันขึ้นอยู่กับว่าเด็กรู้สึกเป็นปกติกับพ่อแม่อย่างไร รักหรือไม่รัก อบอุ่นหรือไม่อบอุ่น เข้าใจหรือไม่เข้าใจ
หากเขารักคุณ อบอุ่นกับการเลี้ยงดูของคุณ ตลอดจนเข้าใจดีว่าคุณทำทุกอย่างด้วยเหตุผลเพื่อเขามาตลอด
การหวดด้วยไม้เรียวคงไม่อาจทำลายความรัก ความอบอุ่น และความเข้าใจในตัวคุณลงได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณหวดด้วยสติ ลงน้ำหนักตามโทษานุโทษ เขาจะเข็ดหลาบและกลัวบาปกลัวกรรม
ไม่ใช่เข็ดและกลัวตัวคุณ

ส่วนเรื่องการสะสมโทสะของคุณเอง ก็อย่างที่คุณคิดครับ การดุด่าว่ากล่าวนั้น ต่อให้สติดีเพียงใด
วันต่อวันมันก็ต้องมีกลิ่นไหม้ และความมืดของโทสะแทรกซึมเข้ามาสู่หัวใจคุณ บ้างไม่มากก็น้อย

การตีและการดุด่าคือการสอนที่ปลายทาง การสอนที่ต้นทางจะต่างไป
คุณจำเป็นต้องป้อนอะไรที่เป็นกระแสความดีเข้าสู่จิตใจเขาเรื่อยๆ นับจากทำตัวเป็นแบบอย่าง
เช่น ตัวพ่อแม่เองต้องไม่ทะเลาะกันให้เด็กเห็นเด็ดขาด และถ้าอยากให้ได้ผลไว ต้องหมั่นทำบุญใส่บาตรให้เขาดู
ให้เขามีใจอ่อนน้อม มีความอ่อนโยน นำเขาสวดมนต์เรื่อยๆ
แล้วก็แนะนำให้เขารู้จักแรงบันดาลใจดีๆ ที่มีในสังคม อย่าให้เขาเข้าใกล้วิดีโอเกมโหดๆ ฯลฯ

พูดง่ายๆ แบบรวบรัดคือป้อนแต่เหตุปัจจัยด้านดี เข้าสู่จิตใจเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
แล้วก็ขัดขวางทุกวิถีทางไม่ให้เขาได้รับเชื้อร้าย จากโลกร้อนในปัจจุบัน
ถ้าขวางอย่างสิ้นเชิงคงเป็นไปไม่ได้ เอาเป็นว่ามากที่สุดเท่าที่ความเป็นคุณจะอำนวยแล้วกันครับ

เด็กนั้นเคยเป็นคนอื่นมาก่อน ตอนนี้เขาอยู่ในความรับผิดชอบของคุณ อยู่ในมือคุณ
ก็ต้องดูกันต่อไปว่าคุณจะปั้น หรือเปลี่ยนเขาให้เป็นผู้พร้อมจะไปดีได้แค่ไหน
เลี้ยงลูกให้เป็นอย่างไร ต่อไปคุณจะถูกเลี้ยงเยี่ยงนั้นแล


โดย ดังตฤณ
ที่มา : //dungtrin.com



Create Date : 05 กรกฎาคม 2553
Last Update : 5 กรกฎาคม 2553 13:40:29 น. 2 comments
Counter : 1156 Pageviews.

 
ขอบคุณที่นำเรื่องดีๆมาให้อ่าน ขออนุญาตส่งต่อให้ผู้อื่นค่ะ


โดย: เรา IP: 118.173.228.72 วันที่: 5 กรกฎาคม 2553 เวลา:15:14:00 น.  

 
ลงโทษนะ...ทำได้ แต่ผู้ใหญ่ต้องควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ อย่าตีเพราะอารมณ์ เด็ก ๆ เขาก็รู้จักเหตุผล พูดด้วยเหตุผล ตีเพราะให้เขารู้ว่าการที่เขาเจ็บเช่นนี้ คนอื่นเจ็บยิ่งกว่า....โดยเฉพาะพ่อแม่ที่ตีลูก พ่อแม่อยากให้ลูกเป็นคนดี ไม่อยากให้ใครมาว่า ลูก จึงต้องลงโทษเพื่อให้รู้ว่าสิ่งที่ทำผิดไม่ดีอย่างไร....


โดย: *~ต้นกล้า...ของหัวใจ~* วันที่: 5 กรกฎาคม 2553 เวลา:16:44:06 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.