Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2552
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
6 กรกฏาคม 2552
 
All Blogs
 
แก้เหม่อด้วยการเห็นความเหม่อ

ความเหม่อ,ข้อคิดธรรมะ

อาการ เหม่อเป็นเรื่องธรรมดาของคนธรรมดา จุดเริ่มต้นของความเหม่อ คือ การขาดสติ
สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ปล่อยจิตปล่อยใจเลื่อนลอยไปกับอารมณ์ที่ไม่ชัดเจน

เมื่อคุณเห็นใครสักคน ตาลอย
คุณอาจรู้สึกขึ้นมาชั่วขณะหนึ่งว่า ตัวตนของเขาหายไปจากโลกนี้ชั่วขณะ จนอยากทักว่าใจลอยไปอยู่ไหน
หรืออยากให้เขากลับมารับรู้เรื่องตรงหน้าที่มีคุณเข้ามาร่วมโลก ร่วมหายใจอากาศเดียวกันกับเขาแล้ว

แต่เมื่อใด ที่คุณเหม่อเสียเอง และไม่มีใครมาทักให้รู้เนื้อรู้ตัวล่ะจะทำอย่างไร?
บางคนขาดความสนใจโลก เอาแต่หมกมุ่นหดหู่ก็เพราะเหม่อบ่อยนี่เอง

อาการ เหม่อนั้น ถ้าเหม่อมากจนผิดปกติ ก็เรียกว่าโรคทางใจชนิดหนึ่งได้ คือ
โรคเหม่อ โรคขาดการติดต่อกับภายนอก
(ถ้าพูดให้ครบก็ต้องว่าขาดการติดต่อแม้กับภายในด้วย เช่นแม้คิดก็ไม่ทราบว่าตนเองกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่)
แล้วก็เป็นไปได้สูงที่โรคเหม่อจะพัฒนาเป็นโรคสงสารตัวเอง โรคซึมเศร้า ตลอดจนโรคอยากจบชีวิต

โรคเหม่อระยะเริ่มต้น อาจชวนคุณฝันกลางวัน วาดวิมานในอากาศ หากใครจินตนาการดี ฝันหวานเก่ง ก็มักติดใจ
คือพอเกิดความคิดมาชักชวนใจให้ล่องลอยขึ้นสู่วิมานในอากาศ วาดเรื่องราวแสนดีที่ไม่มีทางเป็นจริง
ใจก็กระโจนทะยานตามความคิดขึ้นสู่วิมานในอากาศไปเต็มๆ คงจำได้ว่า เมื่อติดอยู่กับวิมานในอากาศ
คุณจะไม่อยากฝืนห้ามตัวเอง และไม่อยากกลับคืนสู่ภาพอันแห้งแล้งของโลกความเป็นจริงอีก

นั่นเป็น เรื่องของโรคเหม่อขั้นเริ่มต้น
แต่โรคเหม่อขั้นรุนแรงอาจชวนให้คุณปฏิเสธโลกความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง
และอาจทึกทักอะไรไปต่างๆนานาได้สารพัด โดยมากเป็นในทางแย่ นั่นก็เพราะความเหม่อเป็นอกุศลจิต
อกุศลจิต มีลักษณะเศร้าหมอง มืดหม่น อับจนหนทาง ยากจะสว่างขึ้นมาเอง
เปรียบเหมือนถูกขังอยู่ในห้องทึบไร้หน้าต่าง เมื่อไม่เห็นแสง ไม่เห็นสีสัน ไม่เห็นความสวยงาม
คุณก็ย่อมจมแช่อยู่กับความมืด เห็นแต่สีดำ เห็นแต่ความน่าเกลียดน่ากลัวอันซ่อนเร้นอยู่ในก้นบึ้งของจิตที่ชุ่มกิเลส

เว้นไว้แต่คนมีความบกพร่องทางกาย โรคเหม่อไม่ใช่สิ่งติดตัวมาแต่เกิด มันเป็นอาการสั่งสม
ซึ่งหมายความว่าอาการเหม่อ เป็นสิ่งเพิ่มได้ลดได้
ใครชอบเหม่อจัดๆตอนนี้ แสดงให้เห็นว่าสั่งสมอาการเหม่อมานาน
แต่ใช่จะต้องเหม่อเรื่อยไป เพราะถ้าเลือกว่า จากนี้ คุณจะเหม่อน้อยลง
ก็แค่ทำความเข้าใจกับต้นสายปลายเหตุของความเหม่อ เพื่อขจัดสาเหตุนั้นทิ้งเสีย


สาเหตุหลักของความเหม่อ ได้แก่

๑) ความเหนื่อยอ่อน เปลี้ยเพลีย
พูด ง่ายๆคือความล้าทางกายบีบให้ห่อเหี่ยว หมดกำลังที่จะตั้งสติรู้เห็นอะไรรอบตัว แต่ก็อาจยังไม่ง่วง
ขนาดอยากหลับให้สิ้นเรื่องสิ้นราว จึงคาราคาซังอยู่กับอาการหลับก็ไม่ใช่ตื่นก็ไม่เชิง ครึ่งๆกลางๆอยู่

คนที่จำเป็นต้องทำงานหนักและไม่เป็นเวลาบ่อยๆ ร่างกายอ่อนแอลง ก็คงยากจะรักษาสติไว้ให้เข้มแข็ง
ยิ่งถ้าเลิกงานแล้วหันมาทำเรื่องไร้สติ เช่น
เหวี่ยงแหดูรายการทีวีหรือคลิกเลือกเว็บไซต์ไปเรื่อยแบบไม่มีจุดหมายชัดเจน
จิตใจก็จะยิ่งคลุกเคล้าเข้ากับคลื่นความคิดปั่นป่วน เป็นชนวนให้เกิดความเหม่อขั้นหนักได้

การมีวินัยในการออกกำลังกายให้ แข็งแรง ตลอดจนการกำหนดเวลาพักผ่อนให้ได้ความรู้สึกสดชื่นเต็มอิ่ม
และหลีกเลี่ยงกิจกรรมชวนฟุ้งซ่านวกวน นับว่ามีส่วนช่วยแก้เหม่อได้อย่างตรงกับเหตุ
ความขี้เกียจและความไม่เต็มใจจะทำอะไรให้ดีขึ้น ก็คือการเลือกสนับสนุนให้ตัวเองเหม่อหนักขึ้นเรื่อยๆ


๒) จิตไม่มีงานหรือไม่มีจุดหมาย คือ ไม่มีเรื่องน่าสนใจให้กระตือรือร้นอยากรู้อยากเห็น
พูดง่ายๆคือความไร้ที่ตั้งของจิตทำให้จิตล่องลอยคล้ายว่าวสายขาด
เมื่อเคยชินที่จะปล่อยใจให้ลอยไปเรื่อยถึงจุดหนึ่ง ก็ยากแล้วที่จะดึงใจให้กลับมาตั้งอยู่กับปัจจุบันเฉพาะหน้า

งานบางประเภทเช่น ที่มีลักษณะนั่งเฝ้าหรือยืนเฝ้านานๆ โดยไม่มีเหตุการณ์กระตุ้นความสนใจ
เข้าข่ายก่อให้เกิดภาวะจิตไม่มีงานโดยตรง นับว่าน่าเห็นใจ
แต่ความจริงก็คือ มนุษย์เราสามารถสร้างจุดสนใจขึ้นมาได้ง่ายๆเสมอ ไม่ว่าใครจะมีอาชีพการงานแบบไหน

ทางพุทธเราถือว่า ในเมื่อพลาดมีชีวิตขึ้นมาแล้ว ก็ต้องรับผิดชอบด้วยการ ‘รู้’ และ ‘ดู’ ชีวิตตลอดไป
การปล่อยให้ชีวิตคลาดสายตาหรือหลุดลอยไปสู่โลกของความเหม่อไร้สติ นับเป็นความไม่รับผิดชอบที่มีโทษหนัก
อย่างน้อย ชีวิตก็จะไม่เป็นอย่างที่มันควรเป็นและพลาดหลายโอกาสที่น่าเสียดาย
อาจถึงขั้นกลายเป็นเหตุให้ตกต่ำอย่างคาดไม่ถึง

ยกตัวอย่างง่ายๆ พอเหม่อบ่อย กำลังสติก็ถอย ระลึกถึงอะไรๆยากขึ้น
สมรรถภาพทางความจำเสื่อมถอย กลายเป็นคนขี้หลงขี้ลืม ตั้งแต่ยังไม่แก่

หนักกว่านั้น พอเหม่อมากสมาธิก็สั้น ตั้งใจทำอะไรได้ไม่นานก็สะดุด
ความรู้สึกอยากทำอะไรให้สำเร็จก็เหลือน้อย กลายเป็นคนขาดความเชื่อมั่นและไร้ความมุ่งมั่น
กระทั่งรู้สึกว่า ตนเองไม่สามารถทำอะไรสำเร็จได้สักอย่าง
แม้เกิดฮึดนึกอยากทำสิ่งใดให้สำเร็จจริงจังสักที ก็จะออกแนวต้นแรงปลายแผ่วเสมอ ไปไม่ถึงดวงดาวเสมอ

พอเห็นโทษของความ เหม่อ คุณก็พร้อมจะจัดการกับความเหม่อมากกว่าตอนไม่ตระหนักถึงโทษของมัน
ฉะนั้น สรุปว่าการเห็นโทษของความเหม่อ จะนำมาซึ่งความใส่ใจเฉพาะหน้า
ซึ่งความใส่ใจนั่นเอง ที่จะขจัดภาวะ ‘จิตไม่มีงาน’ ไปเสียได้

คำถาม ที่เหลือคือเราจะ ‘ใส่ใจอะไร’ ในระยะยาว
คำตอบที่ง่ายเหมือนกำปั้นทุบดินคือใส่ใจว่าคุณกำลังเหม่อหรือไม่เหม่ออยู่ นั่นเอง
เมื่อรู้ตัวว่ากำลังเหม่อ คุณได้ชื่อว่าเห็นความเหม่อ
และทันทีที่เห็นความเหม่อ ความเหม่อจะหายไป แล้วถูกแทนด้วยสติชั่วขณะหนึ่ง

ปัญหา คือ ขณะเหม่อเต็มที่แปลว่า สติขาดหายอย่างสิ้นเชิง คุณจึงไม่มีสิทธิ์เห็นอะไรในขณะที่กำลังเหม่ออยู่
ต่อเมื่อนึกขึ้นได้ว่ากำลังอยู่ในอิริยาบถใด หายใจเข้าหรือหายใจออก
หรือกำลังอยู่ไหน เห็นหรือได้ยินอะไรตรงหน้านั่นเองสติจึงกลับมา
แม้ไม่เต็มบริบูรณ์ แต่ขอเพียงครึ่งๆกลางๆของสติ ก็เพียงพอแล้วที่จะทราบได้ว่าเมื่อครู่เหม่อไปแล้ว

แม้คุณจะเห็นความ เหม่อได้แวบเดียว แต่ชั่วขณะนั้นก็ได้ตระหนักว่าความเหม่อทำให้โลกหายไปทั้งใบ ไม่ว่ากาย ไม่ว่าความรู้สึก
ไม่ว่าสีสันหรือส่ำเสียงรอบข้าง ต่อเมื่อมีอาการระลึกได้ว่ากายอยู่ตรงนี้ ใจอยู่ตรงนี้ สภาพแวดล้อมอยู่ตรงนี้
คุณจึงทราบว่าเพิ่งล่วงพ้นจากเขตแดนของความไม่รู้ไม่เห็นออกมาได้หยกๆ

เห็นบ่อยเข้าคุณจะตระหนักว่าธรรมชาติของใจต้องลอยหายไปเป็นพักๆ
และคุณจะรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นธรรมชาติอะไรอย่างหนึ่งที่ ไม่เป็นตัวของตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ควบคุมไม่ได้ ว่าจะให้มาหรือไป ควบคุมไม่ได้ว่าจะให้ตั้งอยู่นานแค่ไหน ระหว่างวันจะต้องเข้าสู่ภาวะหยุดรู้
หยุดฉลาดถี่บ่อยเพียงใด คุณได้แต่ให้ปัจจัยของสติ คือพยายามระลึกบ่อยเท่าที่จะระลึกได้ว่าเหม่อหายไปแล้ว

พอทำๆไป จะเกิดชั่วขณะที่คุณระลึกได้ว่าเอาอีกแล้ว เหม่ออีกแล้ว
คุณอาจพบ ‘อะไร’ อีกอย่างหนึ่งที่ไม่ให้ความรู้สึกว่าเป็นคุณ เพราะมีแต่ภาวะรู้หรือว่างจากรู้
นั่นแหละจิต นั่นแหละที่ถูกสำคัญว่าเป็น ‘ตัวคุณ’ มาตลอด แท้จริงมันไม่ใช่ตัวใครเลย
มากที่สุดที่มันเป็นได้ คือ จิตที่รู้สติและจิตที่เหม่อลอยเท่านั้น
ข้อสรุปว่าจิตเหม่อไม่ใช่คุณนั่นแหละ ประโยชน์สุดยอดของการเห็นความเหม่อ!

ความเหม่อเป็นสิ่งน่ารังเกียจ แต่ก็น่าเห็นให้ได้
เพราะเป็นทางเดียว ที่จะไม่ต้องอยู่กับมัน


ที่มา //dungtrin.com/empty4/15.htm



Create Date : 06 กรกฎาคม 2552
Last Update : 6 กรกฎาคม 2552 14:32:51 น. 1 comments
Counter : 1051 Pageviews.

 
ขอบคุณมากครับสำหรับความรู้ดีๆ


โดย: เพลงร็อค IP: 58.64.114.169 วันที่: 11 ตุลาคม 2552 เวลา:15:37:39 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.